ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“พยานปากเดียว”

๑. แม้โจทก์มีพยานปากเดียว แต่เบิกความเชื่อได้ว่าเป็นไปตามความเป็นจริง เพราะผู้เสียหายได้บอกแก่ภรรยาแจ้งความต่อกำนันและเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ไม่มีเวลาที่จะปรุงแต่งเรื่องราวใส่ร้ายจำเลย วันเกิดเหตุได้นำจับจำเลยแต่ไม่พบ การเบิกความพยานไม่มีการตระเตรียมเสี่ยมสอนเพื่อกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย ผู้เสียหายเห็นเหตุการณ์แค่ไหนก็ว่าไปตามนั้น ภรรยาผู้เสียหายอยู่ห่างออกไป ๓ เส้น ไม่เห็นการกระทำผิด ไม่เห็นคนร้าย ก็เบิกความไปตามสัตย์จริงว่า ไม่เห็นเหตุการณ์ ส่วนกรณีที่มีสาเหตุกันก็ปรากฏว่าจำเลยเป็นคนก่อเรื่องทุกครั้ง เชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความตามความสัตย์จริง ลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๕๙๕/๒๕๒๖
๒. ในเวลากลางวัน โจทก์มีผู้เสียหายปากเดียวยืนยันเห็นหน้าจำเลยนาน ๑ นาที ไปแจ้งตำรวจว่าจำหน้าคนร้ายได้ รุ่งขึ้นเมื่อเห็นจำเลย ก็ชี้ให้ตำรวจจับ ดังนี้รับฟังลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๑๐๔/๒๕๕๖
๓. เหตุเกิดตอนกลางวัน พยานปากเดียวมีเวลานานพอที่จะสังเกตและจดจำจำเลยได้ ถ้อยคำที่ให้การก็มีเหตุผล ศาลลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๗๐๙/๒๕๒๕
๔. ในคดีขมขืนกระทำชำเรา คำของผู้เสียหายปากเดียวที่เบิกความตามความเป็นจริง เมื่อกลับไปถึงบ้านก็บอกให้บิดามารดาทราบทันที บิดามารดาก็มาเบิกความรับในข้อนี้ สามารถลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๑๙๙/๒๕๒๖
๕. เมื่อถูกขมขืนกระทำชำเรา ผู้เสียหายรีบเล่าให้มารดาทราบทันที ผู้เสียหายเป็นพี่ภรรยาจำเลยอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ไม่ปรากฏมีเหตุผิดพ้องหมองใจกับจำเลย ไม่มีเหตุแกล้งเบิกความปรักปรำ คำเบิกความมารดารับฟังเชื่อได้ว่า จำเลยขมขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจริง คำพิพากษาฏีกา ๑๓๖๕/๒๕๒๖
๖. เด็กอายุ ๑๑ ปี ถูกข่มขืน มารดาไม่ได้อยู่บ้าน ประกอบกับเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย การที่หญิงเพิ่งเล่าเรื่องนี้ให้ญาติที่อยู่บ้านเดียวกันฟังหลังเกิดเหตุ ๙ วัน ไม่ทำให้น้ำหนักพยานลดลงไป การที่ผู้เสียหายเล่าให้ญาติฟังเพราะญาติบอกให้ผู้เสียหายไปซื้อของที่ร้านจำเลย แต่ผู้เสียหายไม่กล้าไปเมื่อถูกสอบถามจึงเล่าให้ฟัง คำของญาติเป็นพยานประกอบคำให้การผู้เสียหายลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๕๓๖/๒๕๒๖
๗. แม้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายไปแล้ว คำให้การชั้นสอบสวนที่ยืนยันจำเลยเป็นคนร้ายในคดีพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและขมขืนกระทำชำเรา ซึ่งพนักงานสอบสวนเบิกความรับรอง มารดาผู้ตายเบิกความว่า เมื่อผู้เสียหายมาถึงบ้านในทันทีได้บอกว่าจำเลยเป็นคนร้าย หลักฐานรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิดจริง คำพิพากษาฏีกา ๓๔๑/๒๕๒๖
ข้อสังเกต ๑. ห้ามไม่ให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย เว้นแต่จะได้ความว่ามีการกระทำความผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำผิด ป.อ. มาตรา ๒๒๗วรรคแรก หากข้อเท็จจริงได้ความว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด คดีขาดอายุความ หรือมีเหตุตามกฏหมาย ที่ทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษ ศาลต้องพิพากษายกฟ้อง ป.ว.อ. มาตรา ๑๘๕ หรือแม้แต่ในคดีที่จำเลยรับสารภาพ หากการกระทำผิดในคดีดังกล่าวมีอัตราโทษอย่างต่ำตั้งแต่ ๕ ปีขึ้นไป หรือมีโทษสถานหนักกว่านั้น ศาลต้องฟังพยานหลักฐานจนพอใจว่า จำเลยได้กระทำผิด จึงลงโทษจำเลยได้ ป.ว.อ. มาตรา ๑๗๖ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจตนารมณ์ของกฎหมาย การที่จะลงโทษทางอาญาแก่บุคคลใด ต้องมีพยานหลักฐานแน่ชัดว่าบุคคลนั้นเป็นผู้กระทำผิดจริงๆ ศาลจึงลงโทษได้ หากมีข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งข้อสงสัยให้จำเลย ป.ว.อ. มาตรา ๒๒๗
๒.ไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า การรับฟังลงโทษต้องมีพยานกี่ปากเบิกความสอดคล้องต้องกันจึงจะลงโทษจำเลยได้ และก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้ศาลรับฟังพยานเพียงปากเดียวมารับฟังลงโทษจำเลยได้ ดังนั้นแม้มีเพียงปากเดียวเบิกความประกอบพฤตติการณ์อื่นๆแล้วน่าเชื่อว่าจำเลยกระทำผิด ก็สามารถรับฟังลงโทษจำเลยได้ ในทางกลับกัน การที่มีพยานเพียงปากเดียวมาเบิกความยืนยันการกระทำผิดของจำเลย แต่ศาลฟังข้อเท็จจริงตามทางการนำสืบของโจทก์ แล้วพยานเบิกความมีพิรุธไม่น่ารับฟัง หรือเบิกความขัดแย้งหลักธรรมชาติ ศาลก็ลงโทษเลยไม่ได้
๓. .แม้โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานปากเดียว แต่เบิกความเชื่อได้ว่าเป็นไปตามความเป็นจริง เพราะผู้เสียหายได้บอกแก่ภรรยาแจ้งความต่อกำนันและเจ้าหน้าที่ตำรวจทันที ไม่มีเวลาที่จะปรุงแต่งเรื่องราวใส่ร้ายจำเลย การเล่าเหตุการที่เกิดขึ้นให้บุคคลอื่นทราบไม่มีเวลาคิดแต่งเรื่องที่จะมาปรักปรำ ทั้งบุคคลที่รับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวก็เป็นประจักษ์พยานในส่วนที่รับฟังคำเบิกความจากผู้เสียหาย แต่ถ้อยคำที่ผู้เสียหายเล่าให้ฟังเป็นพยานบอกเล่าซึ่งมีน้ำหนักน้อยเพราะไม่ได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเองต้องอาศัยพยานหลักฐานอื่นมาประกอบจึงรับฟังได้ การที่ใน วันเกิดเหตุผู้เสียหายได้นำจับจำเลยแต่ไม่พบย่อมแสดงให้เห็นว่า มีเจตนาที่จะเอาตัวจำเลยมาลงโทษเพราะจำเลยได้กระทำผิดจริง ตามหลักแล้วบุคคลทั่วไปจะไม่ให้การใส่ร้ายหรือปรักปรำว่าคนอื่นเป็นผู้กระทำผิด เว้นแต่จะมีเหตุผลอื่นเป็นพิเศษ ทั้งการเบิกความพยานไม่มีการตระเตรียมเสี่ยมสอนเพื่อกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย ผู้เสียหายเห็นเหตุการณ์แค่ไหนก็ว่าไปตามนั้น ภรรยาผู้เสียหายอยู่ห่างออกไป ๓ เส้น ไม่เห็นการกระทำผิด ไม่เห็นคนร้าย ก็เบิกความไปตามสัตย์จริงว่า ไม่เห็นเหตุการณ์ มิใช่ว่าไม่เห็นเหตุการณ์แล้วมาปรุงแต่งว่าเห็นเหตุการณ์ ปรุงแต่งเหตุการณ์ให้สอดคล้องกับผู้เสียหาย แต่พยานที่เป็นภรรยารู้เห็นอย่างไรก็เบิกความไปตามนั้นว่าไม่เห็นเหตุการณ์แต่รับฟังคำบอกเล่ามาจากผู้เสียหาย จึงมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่าเบิกความตามที่รู้เห็นตามความเป็นจริงไม่มีการเสริมเติมแต่งข้อเท็จจริงเพื่อเอาตัวจำเลยมาลงโทษ แม้ผู้เสียหายและจำเลยมีสาเหตุกันก็ไม่ได้หมายความว่าจำเลยกระทำความผิดไม่ได้หรือผู้เสียหายจะเบิกความปรักปรำจำเลยเสมอไปทั้งยังได้ความว่าการที่มีเรื่องทะเลาะกันก็เพราะจำเลยเป็นคนก่อเรื่องทุกครั้ง เชื่อได้ว่าผู้เสียหายเบิกความตามความสัตย์จริง ลงโทษจำเลยได้
๔.เหตุเกิดในเวลากลางวัน โจทก์มีผู้เสียหายปากเดียวยืนยันเห็นหน้าจำเลยนาน ๑ นาที เป็นเวลานานเพียงพอที่จะเห็นและจดจำหน้ากันได้ ไม่ใช่ในเวลากลางคืนที่ไม่มีแสงหรือมีแสงน้อยที่อาจทำให้จำผิดพลาดได้ แต่เมื่อเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันมีแสงสว่างเห็นหน้าได้ชัดเจน การที่ผู้เสียหายไปแจ้งตำรวจว่าจำหน้าคนร้ายได้ทันทีหลังเกิดเหตุ สามารถบอกลักษณะรูปหน้า ท่าทางกริยาคนร้าย ให้ตำรวจสามารถสเก๊ตหน้าคนร้ายได้น่าเชื่อว่าเห็นและจดจำคนร้ายได้ ทั้ง ต่อมาในวันรุ่งขึ้นเมื่อเห็นจำเลยก็ชี้ให้ตำรวจจับ แสดงให้เห็นว่าสามารถจำหน้าคนร้ายได้ แม้เป็นพยานปากเดียวก็รับฟังลงโทษจำเลยได้
๕.ในความเป็นจริงยากที่จะให้มีประจักษ์พยานรู้เห็นจำนวนมาก เพราะผู้กระทำความผิดทางอาญามักปกปิดข้อเท็จจริง และกระทำความผิดในลักษณะที่ไม่ต้องการให้คนรู้เห็นย่อมยากที่จะมีพยานคู่หลายปากรู้เห็น หรือในกรณีขมขืนกระทำชำเราเป็นเรื่องคนกระทำผิดซึ่งอาจมีคนเดียวหรือหลายคนกระทำต่อผู้เสียหายเพียงลำพังคนเดียว จึงอาจเป็นการยันกันปากต่อปากสำหรับผู้เสียหายและผู้กระทำผิด การกระทำในลักษณะนี้ย่อมยากที่จะหาพยานคู่มายืนยันการกระทำผิดของจำเลยได้ จึงต้องดูว่าพยานผู้เสียหายปากเดียวเบิกความมีพิรุธหรือไม่ สอดคล้องกับหลักการทั่วไปหรือตามวิถีทางตามธรรมชาติหรือไม่ นำมาประกอบพยานแวดล้อมอื่นๆเพื่อนำมาชั่งน้ำหนักว่าคำเบิกความผู้เสียหายเพียงปากเดียวน่าเชื่อหรือไม่อย่างไร เช่นผู้เสียหายยืนยันถูกจำเลยขมขืน โดยผู้เสียหายได้กัดที่หัวไหล่และหน้าอกคนร้าย โดยคนร้ายขาเป้ข้างขวามีรอยสักที่หน้าอก เมื่อจับคนร้ายได้พบว่าคนร้ายมีรอยถูกกัดที่หัวไหล่และหน้าอกตามที่ผู้เสียหายให้การ คนร้ายขาเป้และมีรอยสักตรงตามที่ผู้เสียหายให้การ นำผู้เสียหายไปตรวจร่างกายพบเชื้ออสุจิในช่องคลอดผู้เสียหาย แสดงว่าถูกขมขืนมาจริง ผู้เสียหายไม่เคยรู้จักไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย ญาติจำเลยมาก่อน น่าเชื่อเบิกความตามความเป็นจริง แต่หากผู้เสียหายอ้างว่าถูกจำเลยขมขืนจนตั้งครรถ์ แต่จากการตรวจจำเลยพบว่าจำเลยเป็นหมั่นหรืออวัยวะเพศถูกภรรยาตัดขาดไปแล้วหรือทำการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงเพศเป็นเพศหญิงไปหลายปีมาแล้ว ดังนี้คำให้การผู้เสียหายก็ไม่มีน้ำหนักที่จะลงโทษจำเลยได้ นั้นก็คือพยานปากเดียวอาจรับฟังลงโทษจำเลยได้หรือไม่ได้ก็แล้วแต่ข้อเท็จจริงอื่นๆประกอบ
๖.ในสังคมไทยยังไม่ยอมรับในการที่หญิงจะไปร่วมประเวณีกับชายที่ไม่ใช่สามี การกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าอับอายในสังคม หากฝ่ายหญิงไม่ถูกขมขืนจริงแล้วไปแจ้งความว่าถูกขมขืนย่อมทำให้เสียชื่อเสียง ทำให้ฝ่ายหญิงรวมทั้งบิดามารดาได้รับความอับอาย และในการที่หญิงดังกล่าวจะไปแต่งงานมีครอบครัวก็ยังมีผู้ชายไทยบางคนถือในเรื่องความบริสุทธิ์ของหญิงสาวที่ตนต้องเป็นคนแรกของหญิงดังกล่าว ดังนั้น หากไม่เป็นความจริงว่าหญิงถูกล่วงละเมิดทางเพศแล้ว หญิงก็คงไม่กล้ามาแจ้งความหรือแม้บางรายถูกขมขืนกระทำชำเราหรือถูกล่วงละเมิดทางเพศก็ยังอายไม่กล้ามาแจ้งความดังนั้น การที่หญิงมาแจ้งความจึงน่าเชื่อว่าได้ถูกขมขืนกระทำชำเรามาจริง หรือแม้บางรายแจ้งความแล้วแต่ในชั้นพิจารณาคดีของศาลก็ไม่มาเบิกความด้วยความอาย เพราะการมาศาลต้องถูกจำเลยหรือทนายซักถามในเรื่องการถูกขมขืนซึ่งเหมือนกับว่าถูกขมขืนเป็นรอบที่สองในศาลซึ่งต้องมีการซักลายละเอียดและพฤติการณ์ของการขมขืน เป็นดาบที่ลงแก่หญิงที่ถูกขมขืนเหมือนถูกขมขืนครั้งที่สองในศาล ที่เคยเจอทนายจำเลยถามผู้เสียหายว่า “ ก่อนถูกข่มขืน พยานถอดเสื้อผ้าตัวเองและถอดเสื้อผ้าให้จำเลยด้วยใช่ไหม? พยานใช้ปากกับอวัยวะเพศจำเลยด้วยใช่ไหม? ตอนถูกขมขืนมีอารมณ์ใช่ไหม? ไม่รู้สึกเจ็บใช่ไหม? สนุกใช่ไหม? ขณะถูกขมขืนพยานกอดรัดจำเลยแน่นส่งเสียงร้องครวญครางอย่างมีความสุขใช่ไหม? ขณะถูกข่มขืนพยานขยับตัวไปตามจังหวะที่จำเลยขมขืนใช่ไหม? ติดใจในการกระทำของจำเลยใช่ไหม? มีความต้องการทางเพศตอบสนองร่วมกับจำเลยด้วยใช่ไหม? จำเลยสำเร็จความใคร่ไปแล้วผู้เสียหายยังไม่เสร็จบอกให้จำเลยทำต่ออีกใช่ไหม? ติดใจในการกระทำของจำเลยบอกให้จำเลยทำอีกใช่ไหม? หลังเกิดเหตุยังได้ขอเบอร์โทรศัพท์จำเลย และนัดจำเลยไปร่วมประเวณีตามสถานที่ต่างๆอีกหลายครั้งใช่ไหม? ผู้เสียหายมีความต้องการทางเพศสูงใช่ไหม? เคยนอนกับชายอื่นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนใช่ไหม? ชอบเที่ยวกลางคืนใช่ไหม? หากไม่ได้นอนกับผู้ชายก็ช่วยตัวเองใช่ไหม ? เหล่านี้จึงเป็นสาเหตุให้มีการแก้ไขวิธีพิจารณาความอาญาใหม่ ห้ามไม่ให้จำเลยและทนายจำเลยนำสืบพยานหลักฐานหรือถามค้านด้วยคำถามเกี่ยวพฤติการณ์ทางเพศของผู้เสียหาย เว้นแต่ศาลอนุญาต ป.ว.อ. มาตรา ๒๒๖/๔ ดังนั้นจำเลยหรือทนายจะมาถามค้านว่า ผู้เสียหายมีพฤติการณ์ส่ำส่อนทางเพศชอบเที่ยวกลางคืนและไปนอนค้างกับชายทั่วไปที่พอใจ ดังนี้ทนายและจำเลยไม่สามารถนำสืบได้
๗.หรือหากผู้เสียหายเป็นเด็กการสอบปากคำต้องผ่านพนักงานสอบสวนที่เป็นชายที่ไม่มีจิตวิทยาในการถาม ซึ่งอาจใช้คำพูดไม่เหมาะสมในการสอบปากคำก็เป็นการขมขืนผู้เสียหายด้วยคำพูดเป็นครั้งที่สอง กฎหมายจึงมีการแก้ไขให้ต้องมีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมสอบปากคำเด็ก โดยในการใช้คำถามจะให้พนักงานสอบสวนตั้งคำถาม แล้วนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยาซึ่งนั่งอยู่ในห้องกับเด็กซึ่งเป็นคนละห้องกับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการตั้งคำถามใหม่เพื่อลดการกดดัน ลดความกระทบกระเทือนใจที่อาจเกิดแก่เด็ก
๘. ในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ การที่พยานเห็นคนร้ายพาทรัพย์ไปเป็นระยะ ซึ่งพยานที่เห็นเหตุการณ์ในตอนหนึ่งๆเป็นพยานเดี่ยวทั้งนั้น ดังนี้ผู้วินิจฉัยสั่งคดีและชั่งน้ำหนักพยานไม่อาจเชื่อคำพยานบุคคลเหล่านั้นได้ เพราะยากที่จะจับเท็จและขาดน้ำหนักในตัวเอง เพราะหากมีพยานคู่หรือมีพยานที่รู้เห็นเกินกว่าหนึ่งคนหากให้การในชั้นสอบสวนขัดแย้งกัน พนักงานอัยการจะสั่งสอบเพิ่ม หากสอบเพิ่มแล้วยังได้ข้อความที่ขัดแย้งกันอีกไม่สอดคล้องไปในทางเดียวกัน พนักงานอัยการก็จะสั่งไม่ฟ้อง หรือหากเป็นในชั้นศาลหากพยานคู่หลายคนเบิกความในศาลในข้อสาระสำคัญแตกต่างกัน ศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง ดังนั้น การที่มีพยานปากเดียวย่อมยากที่จะพิสูจน์ได้ว่าให้การเป็นจริงหรือไม่อย่างไร แต่ หากพยานแต่ละคนไร้เหตุผลในตัวเองแล้วทำให้พยานดังกล่าวมีน้ำหนักลดน้อยลงมากจนไม่น่าเชื่อถือ
๙.ศาลฏีกาวางหลักไว้ว่า กรณีพยานปากเดียวใช้ยันกันระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยว่าใครน่าเชื่อถือกว่ากัน หากมีพยานคนกลางที่ผู้เสียหายเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังหลังเกิดเหตุทันที เช่น พอกลับถึงบ้านก็บอกพ่อแม่ว่าถูกข่มขืน พ่อแม่เป็นพยานรับฟังคำบอกเล่าแทบจะในทันทีภายหลังเกิดเหตุ เมื่อบอกเล่าแล้วได้ปรึกษาและตัดสินใจไปแจ้งความทันที และหากไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน หรือเคยรู้จักแต่ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนย่อมมีน้ำหนักให้น่ารับฟังคำพูดผู้เสียหาย นอกจากนี้ศาลฏีกายังขยายความไปถึงกรณีที่ไม่ได้บอกเล่าให้บุคคลอื่นทราบทันทีโดยมีเหตุผลอันสมควร เช่น ไม่ได้อยู่กับบิดามารดา หลังเกิดเหตุ ๙ วันพบบิดามารดาจึงเล่าเรื่องที่เกิดให้ทราบหรือตามคำพิพากษาฏีกาเมื่อผ่านไป ๙ วันญาตให้ไปซื้อของที่บ้านจำเลย แต่ผู้เสียหายไม่ยอมไปไม่กล้าไปเมื่อสอบถามจึงได้เล่าว่าตนถูกจำเลยขมขืน ดังนี้บิดามารดาหรือญาติก็เป็นพยานรับฟังคำบอกเล่านำมาประกอบคำให้การผู้เสียหายเพื่อใช้ยันการกระทำผิดของจำเลยได้
๑๐. แม้กรณีมีประจักษ์พยานปากเดียวคือผู้เสียหายได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว แต่เมื่อพนักงานสอบสวนเบิกความรับรองว่าได้สอบปากคำผู้ตายแล้วผู้ตายยืนยันว่าจำเลยเป็นคนกระทำผิด ทั้งบิดามารดายืนยันว่าหลังเกิดเหตุทันทีที่กลับถึงบ้านได้เล่าเรื่องให้บิดามารดาทราบและยืนยันจำเลยเป็นคนร้าย แม้จะไม่ได้ตัวผู้เสียหายมาเบิกความเพราะถึงแก่ความตายโดยผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานปากเดียวก็ตาม ศาลก็ลงโทษจำเลยได้ เพราะความผิดเกี่ยวกับเพศเป็นเรื่องน่าอับอาย หญิงที่ถูกขมขืนอาจมีความอายต่อบุคคลที่จะทราบเรื่อง การที่ผู้เสียหายยอมเล่าเรื่องที่เกิดให้ฟังจึงน่าเชื่อว่าเป็นความจริง ประกอบทั้งการเล่าเรื่องที่เกิดให้บุคคลที่เกี่ยวข้องทราบในทันทีหลังเกิดเหตุย่อมมีน้ำหนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยและญาติจำเลยแล้วย่อมมีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยได้

ไม่มีความคิดเห็น: