ค้นหาบล็อกนี้

วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“รบกวนการครอบครอง”

๑.จำเลยเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่จัดการดูแลรักษาห้องน้ำซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลาง ได้ปิดกั้นห้องน้ำไม่ให้เจ้าของอาคารชุดคนอื่นเข้าใช้ประโยชน์ เป็นการจัดการทรัพย์ส่วนกลางไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องดำเนินการตามมติที่ประชุมของเจ้าของอาคารชุดหรือคณะกรรมการควบคุมอาคารชุด ยังไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก คำพิพากษาฏีกา ๑๒๑๔/๒๕๔๙
๒.เข้าไปในห้องนอนผู้เสียหายเวลากลางคืนขู่ไม่ให้ร้อง ใช้ไฟฉายตีผู้เสียหายบาดเจ็บ ไม่เป็นการรบกวนการครอบครอง แต่เป็นการเข้าไปในเคหสถานโดยไม่มีเหตุอันควร คำพิพากษาฏีกา ๘๕๙/๒๕๓๕
๓.ผู้เสียหายขับรถเกือบเฉี่ยวรถจักรยานยนต์ของจำเลยทั้งสอง จึงเกิดการต่อว่าและท้าทาย ผู้เสียหายบอกให้จำเลยทั้งสองตามมาที่บ้าน เมื่อจำเลยทั้งสองตามมาที่บ้านก็เข้าไปในห้องครัวต่อว่าผู้เสียหายจึงเกิดการชกต่อยกัน การกระทำของจำเลย ไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกตุสุข การเข้าไปทำร้ายเป็นการเข้าไปในเคหสถานผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควร คำพิพากษาฏีกา ๒๘๒๔/๒๕๓๕
๔.ชกต่อยบุตรผู้เสียหายหน้าบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายหนีเข้าบ้านจำเลยทั้งสี่วิ่งไล่ตามเป็นการกระทำต่อเนื่องจากการทำร้าย เมื่อผู้เสียหายไล่ให้ออกจากบ้านก็ออกจากบ้านทันที ไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข แต่เป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันควร คำพิพากษาฏีกา ๕๖๑๓/๒๕๕๐
๕.เข้าไปในห้องแถวที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เช่า ซึ่งศาลมีคำพิพากษาให้ขับไล่แล้ว พร้อมพูดว่า “ ออกไปเถอะหนู อยู่ไปก็ลำบาก “ ยังไม่เป็นการรบกวนการครอบครอง คำพิพากษาฏีกา ๑๑๒๔/๒๕๑๘
๖.จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าไม่ต้องการให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าเช่า เมื่อโจทก์ออกไปข้างนอก จำเลยได้ปิดประตูใช้ไม้กระดานตีขวางประตูทำให้โจทก์เข้าห้องไม่ได้เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์แล้ว มีความผิดฐานบุกรุก คำพิพากษาฏีกา ๑/๒๕๑๒
๗.จำเลยเป็นเจ้าของห้องพิพาทฟ้องขับไล่ ต และภรรยา ต แถลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้องพิพาทอีก จำเลยจึงเข้าไปรื้อห้องพิพาท เมื่อ ต. ยอมออกจากห้องบุตรและภรรยาของ ต. จึงไม่มีสิทธิ์ใดๆในห้องพิพาท การที่ภรรยาและบุตรของ ต เข้าไปในห้องพิพาทภายหลัง ต. รับว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้องพิพาท ภรรยาและบุตรของ ต. จึงเข้าไปโดยไม่มีสิทธิ์ครอบครอง ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ คำพิพากษาฏีกา ๒๓๔๗/๒๕๑๕
๘.โจทก์ร่วมเช่าโกดังที่จำเลยใช้ในการประกอบกิจการโรงสีของจำเลย โดยจำเลยยังคงถือกุญแจจอยู่เพียงฝ่ายเดียว ค่าเช่าปีละ ๑๐๐ บาท นับว่าน้อยมาก เป็นการเช่าเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีเจตนาเป็นการเช่าตามกฎหมายอย่างแท้จริง ถือจำเลยยังครอบครองดกดังอยู่ตลอดเวลา ไม่อาจรบกวนการครอบครองของตนได้ ไม่ผิดฐานบุกรุก คำพิพากษาฎีกา คำพิพากษาฏีกา ๑๓๖๓/๒๕๕๐
ข้อสังเกต ๑. การกระทำที่เป็นความผิดฐานบุกรุกต้องเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น โดยการเข้าไปถือเอาอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของเราทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือเข้าไปกระทำการใดๆอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข
๒.การที่จำเลยเป็นผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุด มีหน้าที่จัดการดูแลรักษาห้องน้ำซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางย่อมมีอำนาจในการจัดการทรัพย์ส่วนกลางไปในทางที่เป็นประโยชน์ต่อเจ้าของอาคารชุดทุกคนลำพังเพียงการเข้าไปปิดกั้นห้องน้ำไม่ให้เจ้าของอาคารชุดคนอื่นเข้าใช้ประโยชน์ แม้เป็นการจัดการทรัพย์ส่วนกลางไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ต้องดำเนินการตามมติที่ประชุมของเจ้าของอาคารชุดหรือคณะกรรมการควบคุมอาคารชุดก็ตาม แต่ผู้จัดการนิติบุคคลอาคารชุดย่อมมีอำนาจในการเข้าไปในห้องน้ำพิพาทได้ ไม่ถือว่าการ “เข้าไป”ดังกล่าวเป็นการ” เข้าไป” ตามความหมายใน ปอ มาตรา ๓๖๓ และยังถือไม่ได้ว่า การกระทำดังกล่าว “เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าของอาคารชุดโดยปกติสุข” เพราะเมื่อมีอำนาจในการจัดการดูแลรักษาห้องน้ำย่อมมีอำนาจในการเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจัดการดูแลรักษากิจการต่างๆในห้องน้ำรวมทั้งการปิดห้องน้ำดังกล่าวเพื่อซ่อมหรือปรับปรุงหรือเมื่อมีคนใช้ห้องน้ำส่วนกลางแต่ไม่รักษาความสะอาดและไม่มีแม่บ้านมาดูแลเรื่องความสะอาดก็อาจจำเป็นต้องปิดห้องน้ำส่วนกลางชั่วคราวได้ ซึ่งหากการกระทำดังกล่าวหากไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ชอบด้วยมติของที่ประชุมคณะกรรมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุดอย่างไร ก็ต้องเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกันเองโดยมติที่ประชุมเจ้าของอาคารชุดหรือทางคณะกรรมการจัดการนิติบุคคลอาคารชุด การกระทำดังกล่าวยัง ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกกวนการครอบครองของเขาโดยปกติสุข
๓.เมื่อมีเจตนาเพียงต้องการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายในเคหสถานของผู้เสียหาย การเข้าไปในห้องนอนผู้เสียหายเวลากลางคืนขู่ไม่ให้ร้อง ใช้ไฟฉายตีผู้เสียหายบาดเจ็บ ไม่เป็นการรบกวนการครอบครองเพราะการเข้าไปทำร้ายไม่ได้ “รบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข” แต่อย่างใด แต่เป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายเพื่อทำร้ายผู้เสียหายย่อมเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดย “ไม่มีเหตุอันควร” เป็นความผิดฐานบุกรุกในเวลากลางคืนตาม ปอ. มาตรา ๓๖๔,๓๖๕ และฐานทำร้ายร่างกายตาม ปอ มาตรา ๒๙๕ กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงตามมาตรา ๓๖๕ ซึ่งเป็นบทหนัก ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพราะในการบุกรุกนั้นไม่ได้ใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อที่จะบุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหาย เพียงแต่บุกรุกเข้าไปโดยมีเจตนาเพื่อทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
๔.การที่ผู้เสียหายถูกจำเลยทั้งสอง ต่อว่าและท้าทาย จนผู้เสียหายบอกให้จำเลยทั้งสองตามมาที่บ้าน เมื่อจำเลยทั้งสองตามมาที่บ้านก็เข้าไปในห้องครัวต่อว่าผู้เสียหายจึงเกิดการชกต่อยกัน การที่ผู้เสียหายบอกให้จำเลยมาที่ตามมาที่บ้านหาใช่เป็นการสมัครใจเชิญจำเลยทั้งสองมาที่บ้านเพื่อมาเที่ยวหรือเยี่ยมเยือน แต่เป็นการพูดทำนองท้าทายว่าคงไม่กล้าตามมาที่บ้านมากกว่า และอาจคิดว่าจำเลยทั้งสองอาจไม่กล้าตามมาที่บ้านด้วย การที่จำเลยทั้งสองตามมาที่บ้านจึงไม่ใช่การได้รับอนุญาตให้เข้ามาในเคหสถานของผู้เสียหาย และต่อมาเมื่อเกิดการชกต่อยกันนั้น การเข้าชกต่อยผู้เสียหายในเคหสถานของผู้เสียหายยัง “ไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกตุสุข” เพราะไม่มีเจตนาที่จะเข้าไปแย่งการครอบครองหรือรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหาย แต่ การเข้าไปทำร้ายผู้เสียหายในบ้านเป็นการเข้าไปในเคหสถานผู้อื่น “โดยไม่มีเหตุอันควร” อันเป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ปอ มาตรา ๓๖๔ หาใช่ตามปอ มาตรา ท๓๖๒ แต่อย่างใดไม่
๕.จำเลยทั้งสี่ชกต่อยบุตรผู้เสียหายหน้าบ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายหนีเข้าบ้านจำเลยทั้งสี่วิ่งไล่ตามเป็นการกระทำต่อเนื่องจากการทำร้าย จำเลยมีเจตนาที่จะติดตามไปทำร้ายมากกว่ามีเจตนาที่จะรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ทั้งเมื่อผู้เสียหายไล่ให้ออกจากบ้านก็ออกจากบ้านทันที การกระทำของจำเลยทั้งสี่ไม่เป็น “การรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข” ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ปอ มาตรา ๓๖๒ แต่การวิ่งติดตามเข้าไปทำร้ายบุตรผู้เสียหายภายในบ้านผู้เสียหายย่อมเป็นการเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดย “ไม่มีเหตุอันควร” ตาม ปอ มาตรา ๓๖๔ เมื่อมีผู้กระทำผิดร่วมกันตั้งแต่ ๔ คนขึ้น๒ คนขึ้นไปโดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นโดยไม่มีเหตุอันควรโดยมีอาวุธโดยร่วมกันกระทำความผิดร่วมกันตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไปโดยใช้กำลังประทุษร้าย ตาม ปอ มาตรา ๓๖๔,๓๖๕(๑)(๒)
๖. คำพูดว่า “ ออกไปเถอะหนู อยู่ไปก็ลำบาก “ ซึ่งได้พูดหลังศาลมีคำพิพากษาให้ขับไล่แล้วไม่ยอมออก แม้จะเข้าไปพูดในที่ผู้เสียหายเช่า ก็ยังไม่เป็นการรบกวนการครอบครอง เป็นเพียงการแจ้งหรือเตือนให้ผู้เสียหายปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลเท่านั้น หากไม่ปฏิบัติตามอาจถูกจำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาร้องขอต่อศาลให้มีคำสั่งจับกุมกุมขังตาม ปวพ มาตรา ๒๙๗ หรืออาจร้องขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีตาม ปวพ มาตรา๒๙๖ทวิ โดยเจ้าพนักงานบังคับคดีอาจรายงานศาลเพื่อให้จับกุมหรือกักขัง ตาม ปวพ มาตรา ๒๙๖ จัตวาได้ การเข้าไปในที่ให้เช่าแล้วพูดด้วยถ้อยคำดังกล่าว ยังไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพ์โดยปกติสุข และ ไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ปอ มาตรา ๓๖๒ และถือเป็นเหตุอันควรจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามปอ มาตรา ๓๖๔ด้วย
๗.จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้เช่าไม่ต้องการให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าเช่า เมื่อโจทก์ออกไปข้างนอก จำเลยได้ปิดประตูใช้ไม้กระดานตีขวางประตูทำให้โจทก์เข้าห้องไม่ได้เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์แล้ว จำเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะเอาไม้ไปปิดกั้นไม่ให้โจทก์เข้าไปในที่เช่าแม้ห้องเช่าจะเป็น” ของจำเลย” ก็ตาม ไม่งั้นคนจะฝ่าฝืนกฎหมาย ใช้ศาลเตี้ยในการตัดสิ้น เมื่อต้องการจะบังคับให้โจทก์ออกจากห้องเช่าต้องดำเนินการทางศาลเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานบุกรุกโดยการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุน ตาม ปอ มาตรา ๓๖๒
๘. การที่ ต แถลงว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้องพิพาทอีกหลังจากที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของห้องได้ฟ้อง ต. และ จำเลยจึงเข้าไปรื้อห้องพิพาท เมื่อ ต. ยอมออกจากห้องบุตรและภรรยาของ ต. จึงไม่มีสิทธิ์ใดๆในห้องพิพาท การที่ภรรยาและบุตรของ ต เข้าไปในห้องพิพาทภายหลัง ต. รับว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้องพิพาท ภรรยาและบุตรของ ต. จึงเข้าไปโดยไม่มีสิทธิ์ครอบครองตาม ปอ มาตรา ๓๖๒ และไม่ใช่การครอบครองโดยอาศัยสิทธิ์สืบเนื่องหรือต่อเนื่องจากสิทธิ์ในสัญญาเช่าแต่อย่างใดเพราะนาย ต ได้สละสิทธิ์ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นการที่ภรรยาและบุตรนาย ต เข้าไปในห้องพิพาทจึง เป็นการเข้าไปอยู่โดยไม่มีสิทธิ์ใดๆ สิทธิ์ในการเช่าได้หมดไปแล้ว จำเลยจึงได้ฟ้องขับไล่ ต และบริวาร เมื่อจำเลยยอมแถลงต่อศาลว่าจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในห้องพิพาทอีกแสดงว่าสละสิทธิ์ครอบครองอันมีสืบเนื่องมาจากสัญญาเช่าเดิมเสียทั้งสิ้นแล้ว การที่ภรรยาและบุตร ต เข้าไปอยู่จึงเป็นการเข้าไปอยู่โดยไม่มีสิทธิ์ใดๆทั้งนั้น การที่จำเลยเข้าไปรื้อห้องพิพาทจึงไม่ใช่การรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ที่ภรรยาและบุตร ของนาย ต ครอบครองอยู่แต่อย่างใด จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ปอ มาตรา ๓๖๒ และการเข้าไปรื้อห้องพิพาทภายหลังจากที่นาย ต สละสิทธิ์ครอบครองโดยไม่ขอเข้ายุ่งเกี่ยวในห้องพิพาทอีก ภรรยาและบุตรของนาย ต จึงไม่เกิดสิทธิ์ครอบครองในห้องที่พิพาทดังกล่าวแต่อย่างใด การเข้าไปรื้อบ้านของจำเลยเองเมื่อนาย ต สละสิทธิ์ที่จะครอบครองบ้านตามสัญญาเช่าแล้ว จึงเป็นการเข้าไปในเคหสถานโดยมีเหตุอันควรไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตาม ปอ มาตรา ๓๖๔ และไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์เพราะห้องที่รื้อเป็นห้องของจำเลย
๙. การที่โจทก์ร่วมเช่าโกดังที่จำเลยใช้ในการประกอบกิจการโรงสีของจำเลย โดยจำเลยยังคงถือกุญแจจอยู่เพียงฝ่ายเดียวโดยโจทก์ร่วมไม่ได้ถือกุญแจไว้เลยส่อให้เห็นว่าไม่มีเจตนาเช่ากันอย่างแท้จริงเพราะโจทก์ร่วมไม่อาจได้ประโยชน์ในโกดังที่เช่านั้นเลย อีกทั้งการที่ ค่าเช่าปีละ ๑๐๐ บาท ถือว่าน้อยมาก ส่อให้เห็นว่าไม่มีเจตนาเช่ากันอย่างแท้จริงโดย เป็นการเช่าเป็นพิธีเท่านั้น ไม่มีเจตนาเป็นการเช่าตามกฎหมายอย่างแท้จริง ถือจำเลยยังครอบครองโกดังอยู่ตลอดเวลา จึงไม่อาจรบกวนการครอบครองของตนได้ ไม่ผิดฐานบุกรุก

ไม่มีความคิดเห็น: