ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

อาญา มาตรา ๕๙ - ๖๐

หมวด 4  ความรับผิดในทางอาญา                                                       มาตรา 59 - 79
มาตรา 59       บุคคลจะต้อง รับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน ผู้กระทำย่อมประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้
กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
มาตรา 59 วรรคแรก
-          บุคคลจะต้อง รับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้ กระทำโดยเจตนา(1) เว้นแต่จะได้ กระทำโดยประมาท(2) ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด เมื่อได้กระทำโดยประมาท หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิด แม้ได้ กระทำโดยไม่มีเจตนา(3)
(1)     กระทำโดย เจตนา เป็นองค์ประกอบภายใน อันเป็นเงื่อนไขที่ผู้กระทำจะต้องมี เจตนาจึงจะต้องรับผิด ในทุกฐานความผิด (เว้นแต่ กรณี (2) (3)) โดยกฎหมาย ไม่ต้องบัญญัติไว้ที่ฐานความผิดนั้นอีก
(2)     กระทำโดย ประมาท เป็นองค์ประกอบภายในที่กฎหมาย ต้องบัญญัติไว้ที่ฐานความผิด เมื่อบัญญัติให้ต้องรับผิด
(3)     กระทำโดย ไม่มีเจตนา ต้องมีกฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัด เช่น ความผิดลหุโทษ ตาม ม 104
โครงสร้างการกระทำ
กระทำ  ความหมาย ปกติ การเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สำนึก อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
                                                กระทำโดยผลของกฎหมาย คือ การงดเว้น ไม่ป้องกันผล เมื่อมีหน้าที่ต้องป้องกัน ตาม ม 59 ว ท้าย , การละเว้น ไม่ช่วยผู้ที่ตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต เมื่อสามารถช่วยได้ ม 374
                วิธีการ                      กระทำด้วยตนเอง , ใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ
                                                กระทำด้วยผู้อื่น         ใช้บุคคลที่ไม่มีเจตนาร่วมกระทำผิดเป็นเครื่องมือ
                                                                                ร่วมกับบุคคลอื่น

โครงสร้างเงื่อนไขความรับผิด ในส่วนของการกระทำแต่ละประเภท

กระทำโดยเจตนา    เจตนาตามจริง      มาตรา 59 วรรค 2     รู้สึกนึกฯ + ประสงค์ หรือย่อมเล็งเห็นผล
                                                                มาตรา 59 วรรค 3     หากไม่รู้ (ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด) = ไม่เจตนา
                                                                มาตรา 62 วรรค 3     หากไม่รู้ (เหตุฉกรรจ์) = ไม่ต้องรับโทษหนัก  ขึ้น
                                                                มาตรา 61                 ความสำคัญผิดในตัวบุคคล (บทขยาย ไม่มีผลต่อความรับผิด)
                                                                มาตรา 62 วรรค 1     ความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง อันเป็นคุณแก่ผู้กระทำ
                                                                มาตรา 62 วรรค 2     การไม่รู้ฯ และความสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ซึ่งเกิดขึ้นโดยประมาท
                                                                                                ต้องรับผิด กรณีกฎหมายบัญญัติให้รับผิด แม้กระทำโดยประมาท
                                เจตนาโดยผลของกฎหมาย          มาตรา 60 เจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง
                                                                                                แต่ผลการกระทำเกิดขึ้นแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป
                                ขั้นตอนของการกระทำโดยเจตนา                คือ (1.คิด 2.ตัดสินใจ และ 3.ลงมือ)
                                ขั้นตอนในการพิจารณาความรับผิด             ขั้นตระเตรียม ขั้นลงมือพยายามกระทำ - ความผิดสำเร็จ
กระทำโดยประมาท                 มาตรา 59 วรรค 4                     เป็นการกระทำผิดที่ มิใช่โดยเจตนาแต่ขาดความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตาม วิสัยและ พฤติการณ์หรือได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้น ไม่เพียงพอ
กระทำโดยไม่มีเจตนา             มาตรา 104               หลักที่ใช้กับกฎหมายลหุโทษ ให้ต้องรับผิด แม้กระทำโดยไม่มีเจตนา ยกเว้น ความผิดนั้นจะมีบทบัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น ในลักษณะที่ว่า         นิติบุคคลอาจต้องรับผิดทางอาญาได้ในกรณีดังต่อไปนี้ (บทความความรับผิดทางอาญาของนิติบุคคล โดยอาจารย์บัญญัติ สุชีวะ)
                1. เมื่อมีกฎหมายบัญญัติโดยตรงให้นิติบุคคลใดต้องรับผิดทางอาญา  นิติบุคคลนั้นก็ย่อมจะต้องรับผิดตามที่กฎหมายนั้นบัญญัติไว้  เช่น  ความผิดตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน  ห้างหุ้นส่วนจำกัด  บริษัทจำกัด  สมาคม  และมูลนิธิ  .. 2499
                2. เมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้นิติบุคคลใดต้องรับผิดในการกระทำของผู้อื่น ซึ่งนิติบุคคลจะต้องรับผิดชอบ เช่น พระราชบัญญัติสมุดเอกสารแลหนังสือพิมพ์  .. 2470 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้นให้เจ้าของต้องรับผิดในความผิดที่ได้กระทำลงด้วยการโฆษณาสมุด   หรือเอกสาร  หรือหนังสือพิมพ์ ฉะนั้นบริษัทจำกัดนิติบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์ จึงต้องรับผิดในความผิดฐานหมิ่นประมาทอันเนื่องจากข้อความที่ตีพิมพ์ได้ (คำพิพากษาฎีกาที่  265/2473) หรือตามพระราชบัญญัติการทำเหมืองแร่ พ.. 2461 ซึ่งใช้อยู่ในขณะนั้น ผู้ถือประทานบัตรเหมืองแร่ยื่นบัญชีแร่ไม่ถูกต้อง ก็มีความผิด แม้ผู้ถือประทานบัตรนั้นจะเป็นบริษัทจำกัด   ซึ่งเป็นนิติบุคคล   และแม้ผู้จัดการของบริษัทจะเป็นผู้ทำบัญชีก็ตาม (คำพิพากษาฎีกาที่ 185/2489)
                3. หากไม่มีกฎหมายบัญญัติโดยตรงให้นิติบุคคลต้องรับผิด หรือต้องรับผิดในการกระทำของผู้อื่นดังกล่าวข้างต้นแล้ว นิติบุคคลจะรับผิดทางอาญา ก็ต่อเมื่อความผิดทางอาญานั้นได้กระทำไปในการดำเนินงานตามวัตถุที่ประสงค์ของนิติบุคคลนั้น ๆ   และนิติบุคคลได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้นแล้ว ทั้งนี้จะเห็นได้จากคำพิพากษาฎีกาที่ 1669/2506 และ  584/2508 ซึ่งวินิจฉัยว่า  บริษัทนิติบุคคล แม้ไม่สามารถกระทำการทุกอย่างได้เช่นบุคคลธรรมดาก็ตาม แต่ถ้าการกระทำนั้นเป็นไปตามความประสงค์ซึ่งได้จดทะเบียนไว้ และได้รับประโยชน์อันเกิดจากการกระทำนั้นแล้ว ก็ย่อมมีเจตนาในการรับผิดทางอาญาได้

-          มาตรา 59 วรรคแรก          ความรับผิดในทางอาญาของนิติบุคคล
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 787-788/2506 เจตนาของนิติบุคคลย่อมแสดงออกทางผู้แทนของนิติบุคคล เมื่อผู้แทนของนิติบุคคลแสดงเจตนาซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้แทนในทางการของการดำเนินกิจการตามวัตถุที่ประสงค์ของนิติบุคคล เจตนานั้นก็ผูกพันนิติบุคคลและต้องถือว่าเป็นเจตนาของนิติบุคคลนั้นเอง ฉะนั้น นิติบุคคลจึงอาจมีเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดในทางอาญาและกระทำความผิด ซึ่งผู้กระทำต้องมีเจตนารวมทั้งต้องรับโทษทางอาญาเท่าที่ลักษณะแห่งโทษ เปิดช่องให้ลงแก่นิติบุคคลได้  ซึ่งต้องพิจารณาตามลักษณะความผิด พฤติการณ์แห่งการกระทำและอำนาจหน้าที่ของผู้แทนนิติบุคคลประกอบกับวัตถุที่ประสงค์ของนิติบุคคลเป็นรายๆ ไป Ø การที่ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น โดยกระทำไปในอำนาจหน้าที่ทางการค้า อันเป็นวัตถุที่ประสงค์และเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของห้างหุ้นส่วน ถือได้ว่าเป็นเจตนาและการกระทำของห้างหุ้นส่วนฉะนั้น ห้างหุ้นส่วนจึงต้องรับผิดทางอาญาด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 59/2507 บริษัทจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจสั่งจ่ายเงินในเช็คแทนบริษัทร่วมกับจำเลยที่ 3 กรรมการของบริษัทอีกคนหนึ่ง  เมื่อจำเลยที่ 2 กับที่ 3 ได้เซ็นชื่อสั่งจ่ายเงินในเช็คให้ใช้เงินมีจำนวนสูงกว่าเงิน  เงินในบัญชี โดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นแล้ว จำเลยทั้งสามมีความผิดในฐานเป็นตัวการ Ø การที่ผู้ทรงเช็คละเลยไม่ยื่นเช็คแก่ธนาคาร เพื่อให้ใช้เงินภายในหนึ่งเดือนนั้น เพียงแต่ทำให้ผู้ทรงเช็คเสียสิทธิบางอย่างตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บัญญัติไว้เท่านั้น หาทำให้ผู้กระทำผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค ฯ พ้นผิดไปด้วยไม่
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 584/2508 นิติบุคคลอาจรับผิดทางอาญาร่วมกับบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นกรรมการดำเนินการของนิติบุคคลได้ ถ้าการกระทำผิดทางอาญานั้น กรรมการดำเนินการกระทำไปเกี่ยวกับกิจการตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคล ที่ได้จดทะเบียนไว้ และเพื่อให้นิติบุคคลได้รับประโยชน์จากการกระทำนั้น Ø จำเลยเติมข้อความในเอกสารที่จำเลยทำขึ้นเอง แต่จำเลยหมดอำนาจที่จะเติมเช่นนั้นแล้ว เพราะได้นำไปใช้เป็นหลักฐานในการขายสินค้าเชื่อให้แก่ ส.จน ส.กับโจทก์ที่ 2 ได้ตรวจรับสิ่งของและเซ็นชื่อไว้ในบิลส่งของที่ซื้อแล้วจำเลยจึงมีความผิดฐานปลอมเอกสารได้ Ø ในการซื้อเชื่อสินค้าต่าง ๆ  เมื่อผู้ขายนำส่งสิ่งของที่ผู้ซื้อสั่งซื้อนั้น ผู้นำส่งได้เขียนกรอกรายการสิ่งของที่นำส่ง และราคาลงในบิลด้วย  เมื่อฝ่ายผู้ซื้อตรวจสอบสิ่งของและราคาถูกต้องกับจำนวนที่ฝ่ายผู้ขายนำส่งแล้ว ก็ลงชื่อลายมือชื่อผู้รับในบิลนั้น มอบให้แก่ผู้นำส่งสิ่งของไป บิลซื้อเชื่อสินค้าต่าง ๆ รายนี้  จึงเป็นหลักฐานแห่งการก่อหนี้สินและสิทธิเรียกร้อง จึงเป็นเอกสารสิทธิตามกฎหมาย Ø โจทก์ฟ้องและนำสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า เมื่อผู้ขายนำส่งสิ่งของที่ผู้ซื้อสั่งซื้อพร้อมด้วยบิลซื้อเชื่อสินค้าให้ ส. หรือโจทก์ที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ควบคุมงานรับเหมาก่อสร้างของ ส. เซ็นชื่อเป็นผู้รับของนั้น ไม่มีข้อความที่โจทก์หาว่าปลอม การกระทำของจำเลยเป็นการเปลี่ยนตัวผู้ซื้อหรือลูกหนี้จาก ส.เป็น ท. และโจทก์ทั้งสองเพิ่งทราบเมื่อวันที่จำเลยส่งอ้างเอกสารเหล่านั้นเป็นพยานในคดีแพ่งอันเป็นเวลาที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นหลานและเป็นผู้รับมรดกของ ท.ผู้ตายแล้ว ย่อมเห็นได้ว่า ถ้าฝ่ายจำเลยปลอมเอกสารเหล่านั้นในตอนอ้างส่งเป็นพยานต่อศาลจริง โจทก์ที่ 1 อาจได้รับความเสียหาย โจทก์ที่ 1 จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหายตามความในมาตรา 2 (4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา Ø โจทก์ที่ 2 เป็นผู้เซ็นชื่อรับของในบิลซื้อเชื่อบางฉบับไว้แทน ส. ผู้รับเหมาก่อสร้าง แล้วฝ่ายจำเลยทำการปลอมเอกสารเหล่านั้น มาอ้างส่งเป็นพยานต่อศาล ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นผู้เซ็นชื่อรับรองไว้แทน ท. ก็เป็นที่เห็นได้ว่าอาจทำให้โจทก์ที่ 2  ต้องรับผิดต่อ ท. หรือทายาทของ ท.ได้  โจทก์ที่ 2 จึงอยู่ในฐานะเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1508/2515 จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตรวจสอบมาตรฐานสินค้าขาออกตาม พ.ร.บ. มาตรฐานสินค้าขาออก ได้ออกคำรับรองต่อสภาหอการาค้าไทยว่า แป้งมันสำปะหลังป่นที่มีผู้ขอให้รับรองมาตรฐานที่จะส่งไปต่างประเทศนั้น ได้มาตรฐานชั้นหนึ่ง จนสภาหอการค้าไทยได้ออกใบรับรอง ให้ผู้ขอไปความจริงแป้งมันสำปะหลังป่นรายนี้ไม่ได้มาตรฐานชั้นหนึ่งดังที่ทางการกำหนดไว้ และผู้ตรวจสอบของจำเลยที่ 1 ก็มิใช่ผู้มีอำนาจตรวจมาตรฐานสินค้าชั้นหนึ่ง การที่จำเลยที่ 1 รับรองไปเช่นนั้นเป็นการจงใจกระทำการ ให้การออกใบรับรองมาตรฐานสินค้าผิดไปจากความเป็นจริง จึงเป็นความผิดตาม พ.ร.บ. มาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. 2503 มาตรา 57 Ø จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแผนกจัดงานตรวจสอบมาตรฐานสินค้า ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ตรวจสอบมาตรฐานสินค้า ไม่ได้ความว่ากระทำในฐานส่วนตัว หรือเป็นผู้จัดการหรือมีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำการแทนจำเลยที่ 1 และไม่ได้ความว่าได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำจึงไม่มีความผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 63/2517 กรรมการผู้จัดการบริษัทออกเช็คสั่งจ่ายเงินในนามของบริษัท โดยเจตนาจะมิให้มีการใช้เงินตามเช็ค ถือว่าได้ร่วมกับบริษัทกระทำความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 378,379/2517 นายอำเภอมีหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ. 2457 มาตรา 118 และ พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2495 มาตรา 40 วรรคสาม ที่จะต้องตรวจตราและจัดการรักษาทางบกทางน้ำ  ให้ไปมาโดยสะดวกตามที่จะเป็นได้ทุกฤดูกาล จึงมีอำนาจประกาศห้ามรถยนต์วิ่งรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางที่กำลังก่อสร้าง เพื่อป้องกันอันตรายแก่ผู้โดยสาร และอำนวยความสะดวกในการก่อสร้างให้เสร็จโดยเร็วได้ Ø จำเลยที่ 1 ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วยังฝ่าฝืนเดินรถรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางนั้น จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368  Ø จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลแสดงเจตนาออกโดยจำเลยที่ 2 และ จำเลยที่ 3 เป็นคนขับรถได้ปฏิบัติตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 จึงถือได้ว่าจำเลยทั้ง 3 ร่วมกันกระทำผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 97/2518 ผู้จัดการบริษัทจำกัดโฆษณาหลอกขายที่ดินแก่ประชาชน แม้มีผู้สั่งจองโดยยังไม่ชำระเงิน  มีผู้ซื้อเพียงรายเดียวที่แจ้งความร้องทุกข์ ก็เป็นความผิดตามมาตรา 343 บริษัทจำกัดมีความผิดตามมาตรานี้ด้วย ซึ่งศาลลงโทษปรับบริษัท และจำคุกผู้จัดการ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 388/2520 จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องและว่าจำเลยเป็นตัวแทนของบริษัทเท่านั้น ดังนี้จำเลยมีความผิดฐานมีแร่ดีบุกไว้ในครอบครองเกินกว่าใบสุทธิแร่ แม้จะมีไว้ในครอบครองในฐานะตัวแทนบริษัท จำเลยก็มีความผิดร่วมกับบริษัทด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2567/2520 ห้างหุ้นส่วนจำกัดนายจ้างไม่จ่ายเงินทดแทนแก่ลูกจ้างตามคำสั่งพนักงานเงินทดแทน ซึ่งอธิบดีกรมแรงงานยกอุทธรณ์เพราะยื่นเกิน 30 วัน อันเป็นกำหนดเวลายื่นอุทธรณ์ นายจ้างไม่ยื่นอุทธรณ์คำสั่งอธิบดีต่อศาลภายใน 30 วัน คำสั่งนั้นถึงที่สุดนายจ้างนำคดีมาฟ้องศาลภายหลัง การไม่จ่ายเงินเป็นความผิดตาม ป.ว. ฉบับที่ 103 ลงวันที่ 16 มีนาคม 2515 ข้อ 8 นายจ้างจ่ายเงินเมื่ออัยการฟ้องนายจ้างแล้ว นายจ้างไม่พ้นความผิด หุ้นส่วนผู้จัดการ ซึ่งเป็นผู้ทำการแทนนิติบุคคลมีความผิดเช่นเดียวกับ ห้างหุ้นส่วนจำกัดด้วย

-          มาตรา 59 วรรคแรก          ความรับผิดของนิติบุคคล ในความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3446/2537 บริษัท ส. จำกัด จำเลยที่ 1 และนาย ว. กรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ซื้อขายถังก๊าซ อุปกรณ์ก๊าซ และเคมีภัณฑ์ ฯลฯ จำเลยที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการบริหารงานต่าง ๆ ของจำเลยที่ 1 ในวันเกิดเหตุ ลูกจ้างของจำเลยทั้งสอง ขับรถบรรทุกก๊าซไปส่งลูกค้าด้วยความประมาท เป็นเหตุให้รถเสียหลักทำให้ถังก๊าซหลุดออกมา เกิดระเบิดเพลิงไหม้ มีคนตาย และบาเจ็บสาหัส รวมทั้งทรัพย์สินเสียหายเป็นจำนวนมาก ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ... แม้อุบัติเหตุคดีนี้ ส่วนหนึ่งเกิดจากความประมาทของลูกจ้าง ที่เป็นผู้ขับรถบรรทุกก๊าซดังกล่าวเกิดเหตุพลิกคว่ำ ... แต่ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าผลของอุบัติเหตุครั้งนี้ มีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการกระทำของจำเลยที่ 1 (บริษัท ส. จำกัด) ด้วย เนื่องจากจำเลยที่ 1 มิได้นำรถคันดังกล่าว ไปรับการตรวจรับรองจากกรมโยธาธิการ และกระทวงอุตสาหกรรม ว่าด้วยมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตามกฎกระทรวงที่ออกตามความในประกาศคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 28 (พ.ศ.2514) ข้อ 3 โดยไม่ติดตั้งวาล์วนิรภัย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุกรณีก๊าซรั่วไหล ... ด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังของจำเลยทั้งสอง ที่มิได้ทำการควบคุมดูแล เป็นการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ที่มุ่งคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชน เป็นการกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยทั้งสอง จักต้องมีความวิสัยและพฤติการณ์... ศาลฎีกาพิพากาาลงโทษจำเลยทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ปรับ 20,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี และปรับ 20,000 บาท แต่โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

กระทำ      ความหมาย               ปกติ การเคลื่อนไหว หรือไม่เคลื่อนไหวร่างกาย โดยรู้สำนึก อยู่ภายใต้การควบคุมของจิตใจ
                                                กระทำโดยผลของกฎหมาย คือ การงดเว้น ตาม มาตรา 59 วรรค ท้าย , ละเว้น มาตรา 374
                วิธีการ                      กระทำด้วยตนเอง , ใช้สัตว์เป็นเครื่องมือ
                                                กระทำด้วยผู้อื่น         ใช้บุคคลที่ไม่มีเจตนาร่วมกระทำผิดเป็นเครื่องมือ
                                                                                ร่วมกับบุคคลอื่น

-           กระทำ คือ 1.คิด 2.ตัดสินใจ และ 3.ลงมือ (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ..2538 /86)
-          มาตรา 59 วรรคแรก บุคคลจะต้องรับผิดในทางอาญา ก็ต่อเมื่อได้ กระทำโดยเจตนาเว้นแต่ กระทำโดยประมาท...หรือ....กระทำโดยไม่มีเจตนา
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 928/2499 ปืนลั่นจากมือจำเลยในขณะที่จำเลยกำลังเป็นลมบ้าหมูไม่รู้สึกตัวไปถูกผู้เสียหายเข้า จำเลยไม่มีผิดฐานพยายามฆ่าคนหรือทำร้ายร่างกาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 425/2525 การที่จำเลยกับผู้เสียหายกอดปล้ำฟัดเหวี่ยงพลิกไปพลิกมา เพื่อแย่งมีดกันนั้น อาจเป็นเหตุให้มีดที่แย่งกัน ซึ่งเป็นมีดปลายแหลม แทงเข้าไปที่สะบักซ้ายด้านหลังของผู้เสียหาย โดยจำเลยไม่มีเจตนาแทงได้ กรณีไม่อาจสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายแก่จำเลย เหตุที่เกิดขึ้นผู้เสียหายเป็นฝ่ายที่ท้าจำเลยให้ต่อยกันก่อน ฟังไม่ได้ว่าจำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยชกต่อยผู้เสียหาย ซึ่งเป็นความผิดตาม ป.อ. ม.391 เท่านั้น

-          ประเด็นเปรียบเทียบ การกระทำ และไม่มีการกระทำ              การขับรถพุ่งไปทางเจ้าพนักงาน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1270/2526 จำเลยขับรถยนต์บรรทุกดินลูกรังสูงเกินกำหนด พอถึงจุดตรวจซึ่งมีแผงเหล็กเครื่องหมาย "หยุด" ตั้งอยู่กลางถนน เจ้าพนักงานตำรวจได้เป่านกหวีดและให้สัญญาณให้จำเลยหยุด จำเลยกลัวถูกจับจึงไม่หยุดรถ แต่ กลับเร่งเครื่องยนต์ หลีกเครื่องหมายจราจร พุ่งเข้าใส่เจ้าพนักงานตำรวจ ที่ยืนอยู่ทางซ้าย 2-3 คน แต่เจ้าพนักงานตำรวจกระโดดหลบเสียทัน ดังนี้ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำได้ว่ารถยนต์ที่จำเลยขับพุ่งเข้าใส่เช่นนั้น จะต้องชนเจ้าพนักงานตำรวจที่ยืนอยู่ในถนนถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 80
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 223/2531 จำเลยขับรถยนต์สิบล้อไปถึงด่านตรวจ ได้รับสัญญาณให้หยุดรถจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งยื่นอยู่ริมถนนบริเวณด่านตรวจนั้นแล้วไม่ปฏิบัติตาม โดยจำเลยขับรถผ่านเลยไป ดังนี้ เมื่อไม่ได้ความว่าจำเลยกระทำการอื่นใด นอกเหนือไปจากนี้ การกระทำของจำเลย จึงยังถือไม่ได้ว่าเป็นความผิดฐานขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่

-          งดเว้น คือ 1.มีหน้าที่ (เป็นหน้าที่โดยเฉพาะเพื่อป้องกันผล) และ 2.ไม่กระทำตามหน้าที่ (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ..2538 /94)
-          มาตรา 59 วรรคท้าย      การกระทำ ให้หมายความรวมถึงการให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
-          การกระทำ ให้หมายความรวมถึง การให้เกิดผลอันหนึ่งอันใดขึ้น โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้นด้วย
-          งดเว้นกระทำการ มีทั้งกรณี เจตนา และประมาท
-          งดเว้นกระทำการ โดยมีเจตนากระทำผิดแล้ว ผลไม่เกิด รับผิดฐานพยายามกระทำผิดได้
-          งดเว้นกระทำการ มีการกระทำโดยพลาดตาม ม 60 ได้ หากผู้กระทำมีหน้าที่ป้องกันผลต่อผู้ได้รับผลร้ายด้วย
-          ความผิดที่ต้องการเจตนา หากขาดเจตนา เพราะไม่รู้องค์ประกอบความผิด ไม่ต้องรับผิด เว้นแต่กรณี ความไม่รู้เกิดจากความประมาทตาม ม 62 2
-          งดเว้นกระทำการ มีตัวการร่วมตาม ม 83 ได้
-          งดเว้นกระทำการ มีผู้สนับสนุนตาม ม 86 ได้
-          งดเว้น เป็นการตัดโอกาสผู้อื่นเข้าช่วย ผู้เสียหายแล้ว เช่น เข้าช่วยแล้ว หยุดช่วย เป็นงดเว้นกระทำการ
-          ผิดเมื่อ มีหน้าที่ และสามารถป้องกันผลได้ แต่งดเว้น หากไม่อาจทำได้ ไม่ผิด เช่น ไม่กล้าโดดน้ำไปช่วย (ความเห็นเพิ่ม)
-          ผลต้องสัมพันธ์กับ การงดเว้นกระทำการ เช่น ไม่พาไปรักษา แต่แม้พาไปรักษา ก็ตายอยู่ดี ไม่ผิด
-          ทำผิด พรบ.ควบคุมอาคาร ไม่ทำทางหนีไฟ เป็น งดเว้นกระทำการ ผิด ม 291 เพราะไม่เจตนาฆ่า แต่ประมาท
-          ปล่อยให้ลูก ฆ่าตัวตาย พ่อผิด เพราะเป็นการงดเว้นกระทำการป้องกัน  แม้ลูกทำเอง
-          งดเว้นกระทำการ ใช้กับองค์ประกอบที่ต้องมีผลเกิด ต่างกับ มาตรา 307 ทิ้งแล้วผิดทันที เช่น ทิ้งลูก ผิด มาตรา 307 ทันที แต่ยังไม่ต้องรับผิด ข้อหาพยายามฆ่า โดยไตร่ตรองไว้ก่อน มาตรา 59 5+80+288

-          หน้าที่โดยเฉพาะเพื่อป้องกันผล (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ..2538 /72)
-          หน้าที่ตามกฎหมายบัญญัติ เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1564 บิดา มารดา เลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ , มาตรา 1563 บุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา , มาตรา 1461 สามีและภรรยามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูกันตามฐานานุรูป
-          หน้าที่จากการยอมรับโดยเฉพาะเจาะจง เช่น หน้าที่ตามสัญญารับจ้างเลี้ยงเด็ก โดยมีค่าตอบแทน หรือ เพื่อนบ้านตกลงจะดูแลเด็กแทนพ่อแม่ชั่วคราว โดยไม่มีค่าตอบแทน
-          หน้าที่จากการกระทำครั้งก่อนของตนเอง เพราะไปตัดโอกาสผู้อื่นที่จะช่วยเหลือ เช่น จูงคนตาบอดข้ามถนน ต้องช่วยจนเสร็จ
-          หน้าที่จากความสัมพันธ์พิเศษ เช่น ป้าเลี้ยงดูหลาน แต่หลานปล่อยให้ป้าป่วยตาย ไม่พาไปรักษา (คดีศาลอังกฤษ)

-          การงดเว้น
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1112-1114/2508 จำเลยเห็นผู้ตายกำลังถูกทำร้าย ไม่ได้เข้าขัดขวางแต่อย่างใด และไล่ลูก ๆ ให้ออกไป ทั้งสั่งห้ามไม่ให้ไปบอกใครด้วย เมื่อมีหญิงคนหนึ่งมายังที่เกิดเหตุ จำเลยวิ่งไปรับหน้า ห้ามมิให้เข้าไป โดยกล่าวเท็จว่า ผัวเมียตีกันไม่ใช่ธุระ เป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยกระทำไปโดยตั้งใจเพื่อจะอำนวยความสะดวกให้ผู้ตายถูกฆ่า โดยไม่ต้องถูกผู้ใดขัดขวาง จำเลยจึงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 / หมายเหตุ ชายชู้ฆ่าสามี ภรรยาช่วยเหลือชายชู้ และงดเว้นไม่ช่วยเหลือสามี ซึ่งภรรยามีหน้าที่ตามกฎหมายต้องช่วยเหลือดูแลสามี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1461
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2210/2544 แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าจุดที่จำเลยจอดรถและเกิดเหตุชนกันอยู่ในไหล่ทางด้านซ้ายของถนน ในลักษณะไม่กีดขวางการจราจรแล้วก็ตาม แต่การที่จำเลยจอดรถในเวลามืดค่ำโดยไม่ได้เปิดไฟ หรือใช้แสงสว่างตามที่กำหนดในกฎกระทรวง(ฉบับที่ 2 พ.ศ.2522) เพื่อเป็นสัญญาณให้ผู้ขับขี่มองเห็นรถที่จอดอยู่ จนเป็นเหตุให้ผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ พุ่งเข้าชนท้ายรถคันที่จำเลยจอดอยู่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายอันเป็นผลจากความประมาทของจำเลย ไม่ว่าจะฟังว่าผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยก็ตาม ก็ต้องถือว่าเหตุที่ผู้ตายถึงแก่ความตายเกิดเพราะความประมาทของจำเลยด้วย จึงเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากความประมาทของจำเลยเพื่องดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น หาใช่ผลโดยตรงจากการขับรถของจำเลยไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐาน ขับรถโดยประมาทตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกฯ มาตรา 43 (4), 157 คงผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ.มาตรา 291

-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า เรื่องงดเว้น
-          (ขส เน 2538/ 2) แดง จ้างขาว ไปฆ่าดำ ขาวตกลง / ระหว่างรอโอกาส ดำไปว่ายน้ำในสระ เกิดตะคริว จะจมน้ำ ดำร้องขอให้คนช่วย/ ขาวเป็นลูกจ้างประจำสระ มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัย เห็นดำและช่วยได้ แต่ไม่ช่วยเพราะประสงค์ให้ดำตาย ซึ่งหากขาวช่วย ดำก็จะไม่จบน้ำ (ขาวและแดงผิดฐานใด) / ขาวมีหน้าที่ป้องกันมิให้ผู้มาว่ายน้ำจมน้ำ ปล่อยให้ดำจมน้ำ เป็นการฆ่าดำ โดยงดเว้นการที่จักต้องกระทำเพื่อป้องกันผลนั้น ตาม ม 59 วรรคท้าย เมื่อมีเจตนาฆ่าอยู่ก่อนแล้ว จึงผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ม 289 (4) เพราะเป็นการรับจ้างมาฆ่า / แดง ผู้ใช้ต้องรับโทษเสมือนตัวการ ตาม ม 84 วรรคสอง ผิด ม 289 (4) ประกอบ ม 84

-          ละเว้น คือ 1.มีหน้าที่ (เป็นหน้าที่โดยทั่วไป “General Duty” ไม่ใช่หน้าที่ป้องกันผล) และ 2.ไม่กระทำตามหน้าที่ (อก/74, 84)
-          มาตรา 374    ผู้ใดเห็นผู้อื่นตกอยู่ในภยันตรายแห่งชีวิต ซึ่งตนอาจช่วยได้โดยไม่ควรกลัวอันตรายแก่ตนเองหรือผู้อื่น แต่ไม่ช่วยตามความจำเป็น / อ จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า ความผิดตามมาตรานี้ ไม่เป็นการไม่กระทำ ไม่ใช่หน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลมิให้ตายตามมาตรา 59 วรรคท้าย ฉะนั้น ถ้าไม่ช่วยแล้ว เกิดมีความตาย ผู้ไม่ช่วยไม่มีความผิดฐานฆ่าคน และความผิดตามมาตรานี้ไม่ต้องมีผล ฉะนั้น การที่ไม่ช่วยจะตายหรือจะรอดไม่สำคัญ และการละเว้นไม่ช่วยตามความจำเป็นต้องเป็นการกระทำโดยเจตนา ถึงแม้การที่ควรจะช่วยหรือไม่ โดยไม่ต้องมีเจตนาในส่วนนั้นก็ตาม

-          งดเว้น - ละเว้น
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1403/2512 (สบฎ เน 2096) 157 การจะเป็นความผิดนั้น ต้องเป็นการปฏิบัติ หรือละเว้นปฏิบัติ เฉพาะแต่หน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้น "โดยตรง" ตามที่ได้รับมอบหมาย ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่โดยตรงแล้ว ย่อมไม่ผิด (หมายถึงหน้าที่ในการปฏิบัติราชการ ไม่ใช่หน้าที่ป้องกันผล ตาม ม 59 ว 5)
-          เช่น นายขาว จะแทงนายดำให้ตาย ตำรวจผ่านมา ไม่ระงับเหตุ ทั้งที่ทำได้ ตำรวจผิด ม 157 แต่ไม่ผิด ม 288 + 59 ว 5
-          แต่หากตำรวจนั้นได้รับคำสั่งให้มาอารักขาดำ โดยตรง ผิด ม 157 และ หากมีเจตนาฆ่า ผิด ม 288 + 59 ว 5 + 59 ว 2 หรือหากงดเว้น ไม่ช่วยอารักขาโดยประมาท ม 59 ว 4,5 + 291)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 999/2527 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ มีอำนาจทำการสืบสวนคดีอาญา และจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายในกรณีที่มีผู้กระทำผิด ซึ่งหน้าแม้ในที่รโหฐาน จำเลยก็มีอำนาจจับได้โดยไม่ต้องมีทั้งหมายจับและหมายค้น จำเลยเข้าไปในห้องเล่นการพนัน พบผู้เล่นกำลังเล่นการพนันเอาทรัพย์สินกัน แล้วไม่ทำการจับกุม ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการกรมตำรวจ มีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ป.อ.ม.157


-          หลักความรับผิดตามเจตนาและข้อเท็จจริงคือ (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ..2538 /103)
-          ไม่รู้-ไม่เจตนา
-          ตาม เจตนาจริง ม 59 ว 2 , 3 และ เจตนาโดยผลของกฎหมาย มาตรา 60
-          ฎ 6405/2539 จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายโดยสำคัญผิดว่าผู้เสียหายอายุ 17 ปี เท่ากับไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ.มาตรา 277 วรรคแรก จึงถือว่าจำเลยไม่มีเจตนากระทำความผิดฐานนี้
-          รู้เท่าไร-เจตนาเท่านั้น
-          ตาม ม 62 ว 1 , 3
-          รับผิดไม่เกินความจริง
-          ตามองค์ประกอบของกฎหมาย บทมาตราที่ทำผิด
-          กรณีที่ความจริงเป็นคุณมากกว่าความเข้าใจ ไม่ต้องอ้างสำคัญผิดตาม ม 62 ว 1 (อก/134)
-          ขาดองค์ประกอบภายนอก ไม่ผิดฐาน 80 อ จิตติ และ อ หยุด (อก/99)

มาตรา 59 วรรคสอง
กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน ผู้กระทำย่อมประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น

กระทำโดยเจตนา    มาตรา 59 วรรค 2 = รู้สึกนึกฯ + ประสงค์ หรือย่อมเล็งเห็นผล
                                มาตรา 59 วรรค 3 หากไม่รู้ (ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด) = ไม่มีเจตนา
-          เจตนา เป็นความนึกคิดภายในใจของผู้กระทำ การวินิจฉัยเจตนาของผู้กระทำ ในทางปฏิบัติ ใช้วิธีพิจารณาจากพยานหลักฐาน และพฤติการณ์แวดล้อม แต่ในทางทฤษฎีโดยเฉพาะในการทำข้อสอบ ต้องดูข้อเท็จจริงที่ให้มาในข้อสอบให้ดี เพราะบางครั้งข้อเท็จจริงที่ให้มาในข้อสอบเป็นอันยุติแล้ว แต่ข้อเท็จจริงในส่วนอื่น ทำให้หลงวินิจฉัยไปแย้งกับข้อเท็จจริงที่ให้มาแล้วได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1958/2526 เจตนาเป็นองค์ประกอบภายในของความผิดอาญาที่จะแสดงว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่ อันเป็นมูลฟ้องในข้อหาบุกรุกลักทรัพย์ของโจทก์ ศาลย่อมมีอำนาจยกเจตนาของจำเลยขึ้นวินิจฉัยได้ ไม่ว่ากระบวนพิจารณาอยู่ในชั้นใด และจำเลยจะได้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้แล้วหรือไม่

-          กระทำโดยเจตนา ได้แก่ กระทำโดยรู้สำนึกในการที่กระทำ และในขณะเดียวกัน ผู้กระทำย่อมประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น
-          ถ้าผู้กระทำมิได้รู้ข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบของความผิด จะถือว่าผู้กระทำประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นมิได้

-          เจตนาประสงค์ต่อผล (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546 น 144)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1051/2510 ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 ผู้หลอกลวงต้องประสงค์ต่อผล คือ การทำงานของผู้ที่ถูกหลอกให้ประกอบการงานให้แก่ตน หรือบุคคลที่สามโดยจะไม่ใช้ค่าแรงงาน ฯลฯ เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยหลอก เพื่อให้ส่งเงินเท่านั้น ไม่ได้หลอกให้ทำงาน จึงไม่ใช่เป็นการกระทำ เพื่อประสงค์ต่อผล ตามมาตรา  344 จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรานี้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4279/2539 บริษัทมีเจตนาเพียงจะเรียกเก็บเงินประกันการทำงานจากประชาชนผู้มาสมัครงาน โดยมีเจตนาแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตัวกรรมการของบริษัทเอง หรือเพื่อบริษัทอันเป็นการกระทำโดยทุจริตโดยประกาศหลอกลวงให้ประชาชนมาสมัครงานด้วยแสดงข้อความเท็จว่าให้สมัครเข้ามาทำงาน แต่บริษัทหามีงานให้ทำไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะกรรมการบริหารงานของบริษัทย่อมจะต้องทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทไม่มีงานให้ทำ แต่ก็ยังร่วมดำเนินการรับสมัครบุคคลเข้าทำงานตลอดมาเป็นการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนและในการรับสมัครบุคคลเข้าทำงานดังกล่าวเป็นเหตุทำให้บริษัทกับกรรมการของบริษัทได้ไปซึ่งเงินประกันการทำงานจากผู้สมัคร การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 วรรคแรก / การที่บริษัทได้รับผู้เสียหายเข้าทำงานแล้วได้ให้ ผู้เสียหายซื้อหุ้นคนละ 30 หุ้น เป็นเงิน 3,000 บาท มี ลักษณะเป็นการรับเข้าร่วมลงทุนและได้มีการจ่าย ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้เสียหายโดยให้เงินปันผลหรือเงิน ค่าครองชีพเดือนละ135 บาท จึงเข้าลักษณะการกู้ยืมเงิน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ..2527 มาตรา 3 เมื่อบริษัทจัดให้มีผู้รับเงินในการรับสมัครงานที่มิชอบ หรือจ่ายหรือตกลงหรือจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้เสียหายซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้กู้ยืมเงินตามพระราชกำหนดดังกล่าว และในการกู้เงินดังกล่าวได้มีการให้ผลประโยชน์ตอบแทนเดือนละ 135 บาท หรือคิดเป็นอัตราถึงร้อยละ 54 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตาม กฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้จึงเข้ากรณีเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 5 แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.. 2527 เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้ร่วมรับเงินที่ ผู้เสียหายได้นำมาเข้าร่วมลงทุนเพื่อให้ผลประโยชน์ ตอบแทนดังกล่าว จึงมีความผิดตามพระราชกำหนด การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.. 2527 มาตรา 5 / ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 ผู้หลอกลวงต้องประสงค์ต่อผล คือการทำงานของผู้ถูกหลอกลวงให้ประกอบการงานให้แก่ตนหรือบุคคลที่สาม โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงาน หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานต่ำกว่าที่ตกลงกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ได้ กระทำในนามของบริษัท โดยอ้างว่ามีงานให้ทำก็ดี การรับผู้เสียหายเข้าทำงานก็ดี การคืนเงินประกันการ ทำงานเมื่อครบกำหนด 6 เดือน แล้วก็ดี ล้วนเป็นอุบาย ทุจริตคิดตั้งเรื่องขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อ และมอบเงินให้ แสดงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 หลอกลวง ผู้เสียหายให้ส่งมอบเงินแก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น มิได้มีเจตนาหลอกลวงเพื่อมิให้มาทำงาน เพราะความจริง แล้วไม่มีงานให้ทำ ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 จัดให้มีการทำงานในช่วงแรก ๆ และจ่ายเงินเดือนให้ก็เป็นวิธีการในการหลอกลวงอย่างหนึ่ง ซึ่งต่อมาภายหลังก็ไม่มีงานให้ทำและไม่จ่ายเงินเดือนให้ กรณีจึงมิให้เป็นการกระทำ เพื่อประสงค์ต่อผลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 ไม่มีความผิดตามมาตรานี้

-          ประสงค์ให้เกิดผล แม้ไม่ คาดหมายว่าผลจะเกิด ถือว่า เจตนา
-          เช่น ใช้ปืนที่มีระยะหวังผล 30 เมตร คือระยะที่ทำให้ถึงตายได้แน่นอน แต่ลูกกระสุนไม่ได้หยุดในระยะหวังผล ยิงไปที่ ก ซึ่งยืนอยู่ห่างไป 50 เมตร ถูกศีรษะตาย ก็ถือว่ามีเจตนาฆ่า

-          ไม่ประสงค์ให้เกิดผล แต่ คาดหมายได้ว่าผลอาจเกิด ถือว่า ไม่ เจตนา เช่น แพทย์ผ่าตัด คนไข้ตาย

-          ประสงค์ และไม่ประสงค์ ต่อผล ส่วนที่ไม่ประสงค์ต่อผลอาจเป็น เล็งเห็นผล
-          เช่น ชกหน้า (ประสงค์ต่อผล ทำร้ายร่างกาย) แว่นแตก (ย่อมเล็งเห็นผล ว่าทำให้เสียทรัพย์)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 321/2535 การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง และกระสุนปืนไปถูกกระจกหน้าต่าง และโต๊ะของผู้เสียหาย ได้รับความเสียหายด้วยนั้น แสดงว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้เสียหายเป็นสำคัญ จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น (โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล) และฐานทำให้เสียทรัพย์ (โดยมีเจตนาย่อมเล็งเห็นผล) ซึ่งเป็นกรรมเดียว

-          ประสงค์ต่อผล แล้วผลเกิด ต้องรับผล แม้วิธีการผิดแปลกไปจากที่ตั้งใจไว้ (อ เกียรติขจรฯ 8/144)
-          เล็งปืนแล้ว ยังไม่ทันยิง หรือยิงแล้วไม่ถูก แต่ช็อกตาย หรือไล่ยิง ทำให้ผู้ถูกฆ่า ต้องกระโดดน้ำ หรือกระโดดตึกหนี แล้วตาย
-          เจตนาฆ่า แต่ยิงรูปปั้นโดยสำคัญผิด แล้วกระสุน แฉลบมาถูกผู้ตายตามเจตนา

-          เจตนาฆ่า แม้ไม่เจาะจงตัว ก็ประสงค์ต่อผลได้
-          เช่น ยิงไปในกลุ่มคน / กรณีไม่แน่ชัดว่าเจาะจงยิงผู้ใดในกลุ่ม ศาลปรับ เล็งเห็นผล (อ เกียรติขจรฯ 8/167)
-          บางกรณีศาลปรับเป็นเจตนาเล็งเห็นผล / ฎ 2567/2544 (อ เกียรติขจรฯ 8/162) จำเลยใช้ปืนยิงไปที่กลุ่มคน บนรถยนต์โดยสารที่จำเลยโดยสารมา ถือว่ามีเจตนาฆ่าโดยเล็งเห็นผล

-          การสำคัญผิดในตัวบุคคล (ตาม มาตรา 61) ก็ถือเป็นการการกระทำโดยประสงค์ต่อผล
-          ดำ ประสงค์จะฆ่าขาว เมื่อแดงเดินมา ดำยิงแดง โดยเข้าใจว่ายิงขาว ดำผิด มาตรา 288 + 59 ว 2 + 61 / แม้ไม่มีมาตรา 61 การเข้าใจผิดของดำ ก็ยังครบองค์ประกอบภายในตาม มาตรา 288 คือ รู้ว่า การยิง เป็นการฆ่า” + “รู้ว่าแดง เป็นผู้อื่นและเมื่อเข้าองค์ประกอบภายนอก คือ มีการฆ่า และฆ่าผู้อื่น ครบโครงสร้างความรับผิด จึงต้องรับผิดตามกฎหมายเหมือนเดิม


-          เจตนาเล็งเห็นผล (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546 น 156)
-          เล็งเห็นว่าผลจะเกิดแน่นอน เท่าที่บุคคลนั้นจะคาดหมายได้
-          พิจารณาตามบุคคลในสภาพเช่นเดียวกับผู้กระทำ ไม่ใช่วิญญูชนทั่วไป เช่น เด็กทำ คิดเหมือนเด็ก (อก/116)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1334/2510 จำเลยจะทำร้ายบุตรของผู้เสียหาย ผู้เสียหายเข้าไปขัดขวาง จำเลยผลักผู้เสียหาย ทำให้ผู้เสียหายล้มลง จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่า เมื่อผู้เสียหายล้มลงแล้ว ผู้เสียหายจะได้รับผลอย่างไร ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บ ก็ย่อมเป็นผลแห่งการกระทำโดยเจตนาของจำเลยตาม มาตรา 59 วรรค 2
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1155/2520 จ.ปลูกข้าวในหนองสาธารณะ จ.อ้างสิทธิครอบครองในหนองไม่ได้ จำเลยมีสิทธิใช้หนองได้เท่าเทียมกับ จ.แต่จำเลยนำเรือเข้าไปตัดใบบัว ซึ่งปนอยู่กับต้นข้าวทำให้ต้นข้าวเสียหาย เป็นการกระทำโดยเล็งเห็นผลตาม ม.59 ผิดตาม ม.359
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2780/2527 จำเลยจ้องปืนมาทางจ่าสิบตำรวจ . กับพวกแล้วก็มี เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากทางด้านจำเลย ซึ่งจำเลยจะ ต้องเป็นผู้ยิงเพราะพวกของจำเลยไม่มีปืน แม้กระสุนปืนที่จำเลยยิงจะไม่ถูกใคร แต่การที่จำเลยยิงปืนมาทางจ่าสิบตำรวจ . กับพวก จำเลยย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้นได้ว่าอาจเป็นเหตุให้จ่าสิบตำรวจ . กับพวกคนใดคนหนึ่งหรือ หลายคนถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 114/2531 การที่จำเลยจุดไฟเผาที่นอนในห้องของโรงน้ำชา เพราะไม่พอใจหญิงบริการของโรงน้ำชานั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าเมื่อที่นอนถูกเผาไหม้แล้ว ไฟอาจจะลุกลามไหม้เตียงนอน ฝาพนัง เพดาน จนกระทั่งโรงน้ำชาแห่งนั้นทั้งหมดได้ เมื่อได้ความว่าโรงน้ำชานั้นมีคนอยู่อาศัยด้วย จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานวางเพลิงเผาโรงเรือนที่คนอยู่อาศัย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 218 (1)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3322/2531 ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าตรวจค้นรถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับ โดยโหนตัวขึ้นไปยืนบนบันไดรถ จำเลยขับรถกระชากออกไปโดยเร็ว และไม่ยอมหยุดรถโดยเจตนาให้ผู้เสียหายตกจากรถ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า อาจเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 298
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 24/2533 แม้จำเลยจะยิงผู้เสียหาย โดยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผล คือความตาย เพราะผู้เสียหายกับจำเลยเป็นเพื่อนกัน และยิงในขณะที่จำเลยมึนเมาสุรา แต่การที่จำเลยยกอาวุธปืนขึ้นเล็ง แล้วยิงไปที่ผู้เสียหายในระยะกระชั้นชิด จำเลยเล็งเห็นผลได้ว่ากระสุนปืนที่ยิงจะต้องไปถูกผู้เสียหาย จำเลยจะอ้างความมึนเมามาเป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นความผิดไม่ได้ / จำเลยยิงผู้เสียหายในระยะใกล้ กระสุนปืนถูกที่ท้องต้องรับการรักษาโดยการผ่าตัด หากแพทย์รักษาไม่ทัน ผู้เสียหายอาจถึงแก่ความตายได้ เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3431/2535 การที่จำเลยที่ 2 ใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงยิงไปทางกลุ่มผู้เสียหายซึ่งมีประมาณ 10 คน โดยไม่ใยดีว่ากระสุนปืนจะถูกผู้ใดหรือไม่ แม้จะเป็นการยิงเพียงนัดเดียว ก็อาจถูกผู้อื่นถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นการกระทำที่ย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำนั้น เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2991/2536 จำเลยอยู่บนรถกระบะที่กำลังขับไล่ติดตามรถจักรยานยนต์ ที่ผู้เสียหายขับไปตามถนนซึ่งเป็นทางลูกรังแคบและขรุขระใช้อาวุธปืนเล็กกล (เอ็ม.16) ยิงไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายหลายนัด แม้จำเลยมีเจตนายิงยางรถจักรยานยนต์ เพื่อให้รถจักรยานยนต์ล้ม แต่จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายได้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงไปในลักษณะเช่นนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า กระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายที่บริเวณอวัยวะสำคัญทำให้ผู้เสียหายทั้งสองถึงแก่ความตายได้ จึงเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 573/2539 จำเลยยิงปืนเข้าไปในห้องน้ำ โดยรู้ว่าผู้เสียหายอยู่ในนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็น ได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ จึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2870/2540 แม้จำเลยกับผู้เสียหายจะเป็นญาติพี่น้องกัน สาเหตุแห่งการทำร้ายเกิดจากจำเลยโกรธที่ผู้เสียหายว่ากล่าวตักเตือนให้จำเลยเลิกดื่มสุรา จำเลยได้ลอบเข้าไปแทงผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายนอนหลับ จำเลยเลือกแทงที่ท้องของผู้เสียหายอย่างแรง บาดแผลลึกถึง 4 นิ้ว ทะลุลำไส้เล็กตัดเส้นโลหิตใหญ่ฉีกขาด ถึงแม้จำเลยจะมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย แต่จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่าอาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ ย่อมถือว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายตาม ป.อ.มาตรา 59 วรรคสอง และการที่จำเลยไม่แทงซ้ำอีกทั้ง ๆ ที่มีโอกาส จะทำได้ก็ไม่ทำให้ความผิดของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป เพราะเจตนาโดยเล็งเห็นผลนั้นมุ่งถึงลักษณะแห่งการกระทำ และผลของการกระทำที่อาจเกิดขึ้นเป็นหลัก มิได้มุ่งถึงเจตนาของผู้กระทำเป็นหลัก
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4252/2542 แม้ผู้ตายมีเจตนาจะใช้มีดที่ถืออยู่ประทุษร้ายจำเลยอย่างแน่นอน อันเป็นการละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปที่มือผู้ตาย ขณะที่มือผู้ตายอยู่ในบริเวณใบหน้า และจำเลยรู้ดีว่าปืนของจำเลยเป็นชนิดที่ยิงออกไปแล้วกระสุนกระจายออกหลายเม็ด จำเลยย่อมเล็งเห็นผลว่า หากจำเลยยิงไปที่มือกระสุนปืนต้องถูกใบหน้าผู้ตายด้วย ข้ออ้างของจำเลยที่อ้างว่า ต้องการยิงมือของผู้ตายเพื่อให้มีดตกลงจากมือผู้ตายฟังไม่ขึ้น / ผู้ตายถือมีดทำครัวใบมีดยาวเพียง 4 นิ้ว กว้าง 1 นิ้ว เข้ามาจะทำร้ายจำเลย หากจำเลยเพียงแต่ใช้อาวุธปืนขู่ หรือเพียงแต่ยิงขู่ผู้ตายซึ่งเมาสุรา และถือมีดดังกล่าว ก็ไม่น่าจะกล้าใช้มีดนั้นเข้ามาทำร้ายอีกต่อไป แม้จำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเพียงนัดเดียว ก็เป็นการกระทำเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4563/2543 จำเลยถอดกางเกงเดินเข้าไป เพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้ตาย ขณะที่ผู้ตายไม่ได้สวมกางเกง และยืนพิงลูกกรงระเบียงอาคาร ซึ่งสูงเพียงระดับสะโพก โดยผู้ตายมิได้ยินยอม จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า หากผู้ตายหลบหลีกขัดขืน มิให้ข่มขืนกระทำชำเราแล้ว อาจจะตกลงไปจากระเบียงอาคาร ถึงแก่ความตายได้ ผู้ตายดิ้นรนขัดขืน เพื่อมิให้จำเลยข่มขืน จนผู้ตายพลัดตกลงไปจากระเบียงอาคาร ได้รับบาดเจ็บและตายในเวลาต่อมา จึงเป็นผลที่เกิดโดยตรง อันเป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่าผู้ตาย

-          ประเด็นเปรียบเทียบเรื่องเจตนาประสงค์ต่อผล กับเจตนาย่อมเล็งเห็นผล
-          & การยิงยานพาหนะ คำพิพากษาฎีกาที่ 2991/2536 จำเลย อยู่บนรถกระบะ ที่กำลังขับไล่ติดตามรถจักรยานยนต์ ที่ผู้เสียหาย ขับไปตามถนน ซึ่งเป็นทางลูกรังแคบ และขรุขระ ใช้อาวุธปืนเล็กกล (เอ็ม.16) ยิงไปที่รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย หลายนัด แม้จำเลย มีเจตนายิงยางรถจักรยานยนต์ เพื่อให้รถจักรยานยนต์ล้ม แต่จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่า กระสุนปืน อาจถูกผู้เสียหายได้ การที่จำเลย ใช้อาวุธปืนดังกล่าว ยิงไปในลักษณะเช่นนั้น จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า กระสุนปืน อาจถูกผู้เสียหาย ที่บริเวณอวัยวะสำคัญ ทำให้ผู้เสียหายทั้งสอง ถึงแก่ความตายได้ จึงเป็น การกระทำโดยเจตนาฆ่า / ข้อสังเกต แต่ถ้าจำเลย ยิงยางรถยนต์ แล้วไปถูกคนบนรถ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เป็นการกระทำโดยประมาท ตามคำพิพากษาฎีกาที่ 1086/2521 ซึ่งอาจเป็นเพราะ การยิงไปที่ยางรถยนต์นั้น โอกาสที่จะถูกผู้เสียหายนั้น มีน้อยกว่ารถยนต์ ทั้งความร้ายแรงของอาวุธปืน ก็ต่างกันด้วย / ตามแนวของศาลฎีกา ได้วางหลักตลอดมาว่า การยิงปืนเข้าไปในรถยนต์ รถไฟ หรือเรือ หรือในห้องที่รู้ว่ามีคน หรือหมู่คน โดยมิได้ประสงค์ จะให้ถูกผู้ใด โดยเฉพาะแล้ว ถือได้ว่า เป็นเจตนาประเภท ย่อมเล็งเห็นผล ดังนี้ เมื่อถือว่า มีเจตนาแล้ว ถ้ายิงไม่ถูกผู้ใด ก็ยังคงเป็น ความผิดขั้นพยายามได้

-          ประเด็นเปรียบเทียบเรื่องเจตนาฆ่า กับทำร้าย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1003/2512 จำเลยขับรถแซงรถผู้เสียหายขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวงมาลัยให้ท้ายรถจำเลยปัดหน้ารถผู้เสียหาย จนรถผู้เสียหายแฉลบไปจนเกือบตกถนนนั้น “หากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชัน” ย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ถ้ารถคว่ำไปแล้ว ทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ เห็นผลได้ชัดว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายจะไม่ตกถนนลงไป จำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และไม่จำต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ 1 แขน หรือ 1 เมตร / “ขณะเกิดเหตุ” ผู้เสียหายขับรถอยู่ในอัตราความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปัดหน้ารถผู้เสียหาย ๆ ก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนนอีกราว 1 ศอกผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายยังไม่ได้ เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไป โดยผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในตัวรถก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหาย ย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ “ซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้” ดังนี้จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายผู้เสียหาย เป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตาม มาตรา 295, 80
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1048/2512 ผู้เสียหายใช้ของแข็งตีศีรษะจำเลย 1 ที จำเลยไปหยิบมีดโต้วิ่งเข้าหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งหนีจำเลยไล่ตาม ผู้เสียหายล้ม จำเลยตามทัน ก็ใช้มีดโต้ฟันผู้เสียหาย มีบาดแผล 2 แห่ง คือ ที่ข้อศอกซ้ายและที่ไหล่ขวาแห่งละแผล แล้วจำเลยก็กลับไปเอง แม้อาวุธมีดที่จำเลยใช้ฟันผู้เสียหาย จะเป็นมีดที่ใหญ่ยาวถึงศอกเศษ อันอาจทำให้ผู้เสียหายถึงตายได้ก็ดี แต่จำเลยก็ใช้ฟันผู้เสียหายเพียง 2 แผล ในที่ไม่สำคัญเท่านั้น แล้วจำเลยกลับไปเอง ทั้งที่มีโอกาสที่จะฟันซ้ำในที่สำคัญ ๆ ให้ถึงตายได้ บาดแผลก็รักษาหายในเวลาหนึ่งเดือน จึงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟันทำร้ายผู้เสียหาย โดยมีเจตนาฆ่า คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น (ศาลวินิจฉัยว่ามีเจตนาเพียงทำร้าย หากวินิจฉัยว่ามีเจตนาฆ่า และยับยั้ง ก็จะผิด ม 288 + 80 + 82 คงรับผิดตาม ม 295 เช่นเดียวกัน)

-          กรณีไม่มีเจตนา
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 509/2502 ใช้ปืนยิงขู่ โดยเข้าใจผิดว่าเป็นคนร้ายจะมางัดห้อง แต่การยิง ผู้ยิงไม่เห็นตัว และได้ยิงลงต่ำ ไม่ประสงค์ให้ถูกใคร หากแต่เผอิญกระสุนไปถูกไม้คร่าว จึงแฉลบไปถูกคนที่เข้าใจผิด ว่าเป็นคนร้ายเข้า ถือว่าไม่มีเจตนาฆ่า หรือแม้แต่เจตนาจะทำร้ายร่างกาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1019/2504 จำเลยเชื่อมั่นโดยสุจริตว่าเป็นเหมืองของจำเลย จำเลยย่อมไม่รู้ว่าเหมืองที่จำเลยกั้นน้ำนั้น เป็นสาธารณูปโภค ซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ปอ มาตรา 228 จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรานี้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1381/2508 จำเลยเชื่อโดยสุจริตใจว่า ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งจำเลยเข้าครอบครองอยู่นั้น เป็นที่ของตน ฉะนั้น การที่จำเลยไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำสั่งของนายอำเภอ โดยอ้างว่าที่พิพาทเป็นของตนนั้น จึงมีเหตุอันสมควร เป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 ได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 136/2515 (วรสารอัยการ ก.ย. 34 หน้า 133) การที่ชายร่วมประเวณีกับหญิง โดยต่างยินยอมพร้อมใจ แม้หญิงจะถึงแก่ความตาย โดยชายมิได้คาดคิด จึงไม่มีเจตนาฆ่า หรือทำร้ายร่างกาย / (พนักงานอัยการ กรมอัยการ โจทก์ จ่าโทแอนดรู โรเบิร์ททูมส์ จำเลย) จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตาย เจตนาที่แท้จริงของจำเลย ก็เพื่อจะร่วมประเวณีกับผู้ตายเท่านั้น แต่เนื่องจากการร่วมประเวณีเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย โดยขณะที่จำเลยกับผู้ตายกำลังร่วมประเวณีกัน เป็นครั้งที่ 2 จำเลยกับผู้ตายได้กอดรัดกันแรงกว่าครั้งแรก เพราะความสนุก และอาจเป็นไปได้ที่มือจำเลยบังเอิญไปถูกที่คอผู้ตาย โดยเฉพาะตอนที่ว่าใช้มือช้อนคอขึ้นจูบหน้า เมื่อใกล้จะสำเร็จความใคร่นั้น นิ้วมือของจำเลยไปกดถูกที่เส้นเลือดเลี้ยงสมองโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นการกดอย่างไม่แรงด้วย  ประกอบกับผู้ตายมีสุขภาพไม่ดี เคยแท้งลูก เป็นลมและเวียนศีรษะเป็นประจำ ด้วยเหตุเหล่านี้เอง ที่เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และจำเลยกระทำกับผู้ตาย เมื่อใกล้จะสำเร็จความใคร่ ด้วยความยินยอมพร้อมใจ และสนุกด้วยกันทั้งสองฝ่าย โดยไม่อาจคาดคิดได้เลยว่า จะเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จึงเห็นว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตาย หรือแม้แต่เจตนาทำร้ายร่างกาย อันจะเป็นความผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนาแต่อย่างไร
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 110/2516 จำเลยส่งจดหมายมีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ทางไปรษณีย์ลงทะเบียนถึงโจทก์โดยตรง ณ สำนักงานโจทก์ แสดงเจตนาของจำเลยว่าจะให้โจทก์เท่านั้นทราบข้อความในจดหมาย มิใช่เจตนาเป็นการใส่ความโจทก์ต่อบุคคลที่สาม แม้เสมียนของโจทก์ทราบข้อความจากจดหมายที่จำเลยส่งไปถึงโจทก์นั้น ก็เป็นเรื่องนอกเหนือเจตนาของจำเลย การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3118/2516 จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครองที่ดินส่วนหนึ่งของที่ดิน ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่า ทางราชการผ่อนผันให้ครอบครองไปจนกว่าทางราชการจะพิจารณา แล้วเห็นว่าจำเป็น จะต้องให้จำเลยออกจากที่ดินและแจ้งให้ออกแล้ว ต่อมานายอำเภอได้แจ้งให้จำเลยออกไปจากที่ดินนั้น จำเลยทราบคำสั่งแล้วไม่ออกไป ก็ไม่เป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎหมาย หรือคำสั่งของนายอำเภอ การกระทำของจำเลยตั้งแต่วันที่ 28 กรกฎาคม 2516 เป็นต้นมา จึงขาดเจตนา อันเป็นองค์ประกอบความผิด ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 368 และ ป ที่ดิน มาตรา 9 แต่บังอาจยึดถือที่ดินนี้ ตั้งแต่ก่อนวันที่ 28 กรกฎาคม 2513 เป็นความผิดตาม ป ที่ดิน มาตรา 9 มีโทษตามมาตรา 108 และมีอายุความ 1 ปี ตาม ป อาญา มาตรา 95 (5) โจทก์ฟ้องเมื่อเกิน 1 ปี จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 38/2524 กำนันถูกแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการโครงการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน เป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้ว ตาม พ.ร.บ.ลักษณะปกครองท้องที่ พ.ศ.2457 เบิกเงินมาเพื่อจ่ายแก่ผู้รับเหมาทำถนนในขณะที่ถนนยังไม่เสร็จ แต่เบิกมาเพื่อจะจ่ายให้ผู้รับเหมาทำงานต่อไปได้ มิฉะนั้นจะต้องส่งเงินคืนคลังกำนันจ่ายเงินแก่ผู้รับเหมาไปแล้ว ดังนี้ ขาดเจตนาแจ้งความเท็จตาม ป.อ.ม.59 แต่เมื่อรับเงินมาแล้ว กำนันละเว้นไม่ดำเนินการให้ผู้รับเหมาทำงานต่อไปให้เสร็จตามสัญญา เป็นการทุจริตให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดตาม ป.อ.ม.157
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 7601/2540 การที่จำเลยใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นเบอร์ 12 ยิงผู้เสียหายในระยะห่างเพียง 15 เมตร หากจำเลยมีเจตนาฆ่ากระสุนปืนที่จำเลยยิงก็น่าจะถูกผู้เสียหายหรือ ร. บ้าง แต่ลูกกระสุนปืนก็หาได้ถูกผู้หนึ่งผู้ใดไม่ ไม่ปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนไปในทิศทางที่ใกล้กับผู้เสียหายหรือไม่อย่างไร น่าเชื่อว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายหรือฆ่าผู้เสียหาย จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงในหมู่บ้าน จำเลยมีความผิดฐานยิงปืน โดยใช่เหตุในหมู่บ้านตาม ป.อ.มาตรา 376
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 12482/2547 ผู้เสียหายและจำเลยเคยมีความสัมพันธ์กันฉันชู้สาว ในวันเกิดเหตุ จำเลยมาหาผู้เสียหายที่บ้านและกอดรัดผู้เสียหาย ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน แม้ผู้เสียหายจะปฏิเสธและจำเลยไม่เลิกรา ก็น่าจะเป็นเพราะจำเลยต้องการแสดงความรักต่อผู้เสียหาย ตามวิสัยชายที่มีต่อหญิงที่เคยมีความสัมพันธ์กันมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาบุกรุก และขาดเจตนาอนาจารผู้เสียหาย

-          ขาดเจตนา แต่เป็นประมาท ต้องรับผิดเมื่อมีกฎหมายบัญญัติให้รับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1022/2503 การที่จะลงโทษบุคคลฐานพยายามฆ่าคนนั้น จะต้องได้ความว่าจำเลยมีเจตนากระทำการเพื่อการฆ่า เพียงแต่จำเลยถือปืนส่ายไปมาต่อหน้าคนหมู่มาก แล้วกระสุนลั่นออก โดยไม่ได้จ้องยิงผู้ใด คดีมีทางส่อให้วินิจฉัยได้ว่า จำเลยประมาทเลินเล่อ ทำให้ปืนลั่นออกไปโดยไม่มีเจตนาจะเหนี่ยวไกปืนลั่นกระสุน จึงจะลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนไม่ได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 847/2527 จำเลยเสพสุราจนเมามากครองสติไม่ได้ ไม่มีเหตุทะเลาะวิวาทกับผู้เสียหาย หรือผู้ใดในบริเวณที่เกิดเหตุ เมื่อเดินออกมาที่ลานบ้านผู้เสียหาย จำเลยกดไกปืน ทำให้ปืนลั่น โดยมิได้เจตนาจะยิงทำร้ายผู้ใด แต่เนื่องจากปืนของกลางเป็นปืนยิงเร็ว และยิงกระสุนเป็นชุด จำเลยไม่สามารถบังคับทิศทางของกระสุนปืนได้ กระสุนปืนบางนัดจึงถูกบ้านเสียหาย หาใช่เจตนายิงใส่บ้านผู้เสียหายไม่ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายกับพวกที่อยู่ในบ้าน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2483/2528 จำเลยใช้อาวุธปืนขู่ผู้ตายมิให้เอาถ่านมาป้ายหน้าจำเลย โดยจำเลยไม่รู้ว่าอาวุธปืนนั้นมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้อง แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงออกมาขู่ผู้ตาย โดยจำเลยไม่ดูเสียให้ดีก่อนว่ามีกระสุนบรรจุอยู่หรือไม่ เป็นเหตุให้กระสุนปืนลั่นไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย


-          เจตนาพิเศษ (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546 น 170)
-          สังเกตคำว่า เพื่อเป็นเจตนาพิเศษ
-          ใช้ประกอบกับเจตนา ตาม มาตรา 59 วรรค 2 เสมอ
-          เจตนาพิเศษซึ่งเป็นองค์ประกอบความผิด ต้องเป็น เจตนาประสงค์ต่อผลเท่านั้น ไม่ใช้กับ เจตนาเล็งเห็นผล
-          เจตนาพิเศษยกเว้นความผิด 68 เพื่อป้องกัน ยกเว้นโทษ 67 เพื่อให้พ้นภยันตราย บรรเทาโทษ 72 บันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงฯ ต้องมีเจตนา ม 59 2 ประกอบเจตนาพิเศษ

-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1240/2504 (สบฎ เน 632) การกระทำให้เกิดอุทกภัยตาม มาตรา 228 จะต้องมีเจตนาให้เกิดอุทกภัยโดยตรง จะยกเอาการเล็งเห็นผลของการกระทำตาม มาตรา 59 2 มาใช้ไม่ได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 717/2511 การลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพตาม มาตรา 199 ต้องทำด้วยความมุ่งหมาย เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย จึงจะเป็นผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1827/2520 จับคนไปเพื่อเรียกค่าไถ่ เป็นความผิดสำเร็จเมื่อนำตัวคนไป โดยเจตนาพิเศษ เพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ แม้ยังไม่ได้ติดต่อเรียกค่าไถ่ก็ตาม
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2907/2526 ตาม ม.157 คำว่า "เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ถือว่าเป็นเจตนาพิเศษ การที่จำเลยแก้ไขมติของสภาเทศบาลในรายงานการประชุม โดยไม่มีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่เทศบาล หากเป็นการกระทำไป เพราะความเข้าใจผิดพลาด เกี่ยวกับระเบียบกระทรวงมหาดไทย จำเลยจึงไม่มีความผิดตาม ม.157
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5409/2530 การที่จำเลยพรากเด็กไป เพื่อให้ขอทานเงิน และเก็บหาทรัพย์สินมาให้จำเลย เป็นการกระทำไปเพื่อหาประโยชน์ในทางทรัพย์สินอันเป็นเจตนาพิเศษในการพรากเด็ก จึงเป็นการกระทำเพื่อหากำไร เป็นความผิดตาม มาตรา 317 วรรคท้าย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 769/2540 (สบฎ เน 31) ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงนอกจากเป็นการกระทำโดยเจตนาแล้ว ยังต้องมีเจตนาพิเศษ การที่จำเลยมีเจตนากระทำเอกสารปลอมขึ้นเพื่อให้ ค. หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ก็เป็นความผิดแล้ว แม้จำเลยยังไม่ได้นำเอกสารดังกล่าวไปใช้แสดงต่อ ด.
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 6632/2540 การที่ ป. มารดาเด็กหญิง ส. ยินยอมให้เด็กหญิง ส. เดินทางไปกับจำเลย ก็เพื่อไปรับจ้างทำงานเป็นลูกจ้างขายผักที่ตลาดเท่านั้น มิได้ยินยอมให้จำเลยพาไป เพื่อการอนาจารแต่อย่างใด ฉะนั้นการที่จำเลยพาเด็กหญิง ส. เข้าไปในโรงแรม เพื่อกระทำอนาจารหรือร่วมประเวณี แม้จำเลยยังไม่ทันกระทำการดังกล่าวก็ตาม พฤติการณ์ของจำเลยก็เข้าองค์ประกอบแห่งความผิดตาม ป.อ.มาตรา 317 วรรคหนึ่งและวรรคสาม อันเป็นความผิดสำเร็จแล้ว หาใช่เพียงขั้นพยายามไม่
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1001/2547 ความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 เป็นเหตุที่ทำให้ผู้กระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามมาตรา 295 ต้องรับโทษหนักขึ้นเพราะผลที่เกิดจากการกระทำ โดยที่ผู้กระทำไม่จำต้องประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลถึงอันตรายสาหัสนั้น ดังนั้น แม้จำเลยจะทำร้ายผู้เสียหายโดยหามีเจตนาทำให้แท้งลูกก็ตาม เมื่อผลจากการทำร้ายนั้นทำให้ผู้เสียหายต้องแท้งลูกแล้ว จำเลยก็ต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (5)

-          ประเด็นเปรียบเทียบ เรื่องนักศึกษาเอาทรัพย์สินของนักศึกษาต่างสถาบัน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4792/2533 ฝ่ายจำเลยกับฝ่ายผู้เสียหาย ต่างเป็นนักเรียนอาชีวะ ในระยะเกิดเหตุนักเรียนอาชีวะ มีเรื่องตีกันบ่อย แต่ไม่มีเจตนาที่จะปล้น หรือฆ่ากันวันเกิดเหตุ เป็นเวลากลางวันและเหตุเกิดที่สถานีรถไฟ ซึ่งปกติมีผู้คนพลุกพล่าน จำเลยที่ 1 แต่งกายนักเรียน พร้อมกับพวกเมาสุรา เข้ามาหาผู้เสียหายไปหาเรื่องเพื่อนจำเลยที่ 1 เมื่อผู้เสียหายปฏิเสธ จำเลยที่ 1 ได้ล้วงเอามีดออกมาจากกระเป๋าย่าม ทำท่าจะฟันผู้เสียหายจำเลยอื่นห้ามไว้ จำเลยที่ 1 จึงเก็บมีด และดึงเอาปากกาและกระเป๋าของผู้เสียหายไป แล้วพูดว่าอยากได้ของ ก็ตามมาเอา จำเลยที่ 1 กับพวกไม่ได้หลบหนีไปไหน คงอยู่ที่สถานีรถไฟ จนกระทั่งถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุม พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำไปด้วยความคะนอง เพื่อแสดงอวดให้เพื่อน ๆ เห็นเท่านั้น จำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาเอาทรัพย์สิน ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต จึงไม่มีความผิดฐานชิงทรัพย์
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1942/2538 จำเลยและพวกกับผู้เสียหายทั้งสี่เป็นนักศึกษาต่างสถาบัน ซึ่งมีเรื่องยกพวกทำร้ายร่างกายกันเป็นประจำ ในขณะที่สวมเครื่องแบบนักศึกษา แม้ไม่เคยรู้จักกัน จำเลยกับพวกมีอาวุธปืน มีด และก้อนหินขู่บังคับผู้เสียหายทั้งสี่ ให้ถอดเสื้อฝึกงานและหัวเข็มขัด ซึ่งมีราคาเพียงเล็กน้อย ผู้เสียหายทั้งสี่กลัวจึงยอมทำตาม จำเลยและพวกย่อมไม่สามารถนำเสื้อฝึกงาน และหัวเข็มขัดดังกล่าวไปใช้ หรือแสวงหาประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินได้ จึงเป็นการกระทำโดยมิได้มุ่งประสงค์ต่อผล ในการจะแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริง มิได้มีเจตนาเอาทรัพย์สินดังกล่าวไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่น หากแต่เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ทำไปด้วยความคะนอง ตามนิสัยวัยรุ่นที่ความประพฤติไม่เรียบร้อย เพื่อหยามศักดิ์ศรีของนักศึกษาต่างสถานศึกษาเท่านั้น เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาลักทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่เป็นการข่มขืนใจผู้เสียหายทั้งสี่ให้กระทำตามที่จำเลย และพวกประสงค์โดยทำให้กลัวว่า จะทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้เสียหายทั้งสี่ อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคสอง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2753/2539 จำเลยกับพวกขึ้นไปบนรถโดยสารประจำทาง บังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายถอดเสื้อฝึกงานและแหวนรุ่นทำด้วยเงินซึ่งมีราคาเล็กน้อย จำเลยกับพวกกระทำไปเป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ด้วยความคะนอง เพื่อให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นนักศึกษาต่างสถาบัน ที่มีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสถาบันของจำเลยเห็นว่า เป็นคนเก่ง พอที่จะรังแกคนได้ ตามวิสัยวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อยเท่านั้น มิใช่มุ่งหมายเพื่อจะได้ประโยชน์จากทรัพย์ จึงไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพตาม ป.อ. มาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความผิดฐานปล้นทรัพย์ ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงต้องลงโทษตามที่พิจารณาได้ความ ส่วนเสื้อฝึกงานและแหวนเงินจำเลยไม่มีสิทธิยึดถือไว้ ต้องคืนแก่ผู้เสียหาย หลังจากให้ถอดเสื้อฝึกงานและแหวนเงิน แล้วกลุ่มเพื่อนของจำเลย 3 คน ได้ชกต่อยผู้เสียหาย จากนั้นจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายในระยะห่าง 1 ฟุต แต่ผู้เสียหายยกขาและแขนขึ้นปิดป้องไว้ และกระสุนปืนถูกกระดุมเสื้อซึ่งเป็นแผ่นเหล็ก เป็นเหตุให้ไม่ถูกอวัยวะส่วนสำคัญ ถือได้ว่าจำเลยใช้ปืนยิงโดยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำไม่บรรลุผล จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 288, 80 และมาตรา 371
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5164/2542 จำเลยที่ 1 ยกมือเป็นสัญญาณ คนบนรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 2 ก็ลงจากรถเข้าไปล้มป้ายของวัดรางม่วง และกระทืบจนหลอดไฟแตก แล้วยกป้ายขึ้นรถยนต์กระบะของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์เข้าไปวัดถ้ำสิงโตทองนั้น แสดงว่าเจตนาจำเลยทั้งสองแต่แรก ต้องการทำลายให้แผ่นป้ายนั้นไร้ประโยชน์ อันสืบเนื่องมาจากความไม่พอใจวัดรางม่วง การเอาไปซึ่งแผ่นป้ายดังกล่าว กระทำต่อเนื่องกับการทำลายแผ่นป้ายนั้น ในวาระเดียวเกี่ยวพันกัน โดยไม่ขาดตอน จึงมิใช่เป็นการกระทำโดยมุ่งจะแสวงหาประโยชน์จากทรัพย์สินดังกล่าวโดยแท้จริง จำเลยทั้งสองมิได้มีเจตนาจะเอาแผ่นป้ายดังกล่าวเป็นของตน หากแต่เป็นการแสดงอำนาจบาตรใหญ่ หรือทำไปด้วยความคึกคะนองของพวกจำเลย มิใช่เกิดจากเจตนาทุจริต ไม่ผิดฐานลักทรัพย์
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 507/2543 จำเลยกับ ต. ตกลงกันว่า หากพบเห็นนักศึกษาต่างโรงเรียนก็ให้แย่งเสื้อตัวที่นักศึกษาของสถาบันนั้นมาให้ได้ จำเลยจับเสื้อช๊อปของผู้เสียหายไว้ ขณะที่พูด ขอเสื้อ ครั้นถูกปฏิเสธ จำเลยจึงล้วงมีดคัทเตอร์ เมื่อพวกของจำเลยต่อย จำเลยก็เข้าชกต่อยจนกระทั่งได้เสื้อช๊อป แสดงเจตนาว่าจำเลยประสงค์ต่อเสื้อช๊อปเป็นสำคัญ จำเลยจึงมีความผิดฐานชิงทรัพย์

-          การขาดเจตนายึดถือเพื่อตน ไม่เป็นการครอบครอง ทำให้ไม่ครบองค์ประกอบความผิดทางอาญา
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 760/2535 (สบฎ เน 11) จำเลยมีเรื่องทะเลาะกับบิดา จำเลยน้อยใจต้องการประชดบิดา จึงให้เพื่อนซื้อเฮโรอีน มาเป็นของกลางเพื่อให้ตำรวจจับกุม มิใช่เจตนาที่จะยึดถือไว้ในครอบครอง ไม่มีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต



-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า เรื่องเจตนา
-          (ขส เน 2524/ 7) ชัยวิวาทก่อเรื่องวิวาทกับคนกลุ่มหนึ่ง แล้วถูกไล่ทำร้าย ชัยกระโดดขึ้นรถสองแถว แล้วใช้มีดจี้ให้คนขับพาหนี คนขับกระโดดหนี ชัยจึงขับรถต่อไป เมื่อหนีพ้นแล้วจอดทิ้งหนีไป / ชัยไม่ผิดชิงทรัพย์ เพราะไม่ประสงค์ต่อผลในการลักรถยนต์ และจะถือว่ามีเจตนาเล็งเห็นผลไม่ได้ เพราะลักทรัพย์ต้องมีเจตนาทุจริต ซึ่งเป็นเจตนาพิเศษ จะยกเอาเจตนาย่อมเล็งเห็นผลมาใช้ไม่ได้ (ฎ 1240/2504) จึงไม่ผิดฐานชิงทรัพย์ / แต่การขู่ให้ขับรถพาหนีเป็นความผิดตาม ม 309 ว 2 อ้างจำเป็น เพื่อไม่ต้องรับโทษ ตาม ม 67 ไม่ได้เพราะเป็นผู้ก่อเหตุ โดยไปก่อเรื่องวิวาทเอง ฎ 1683/2500

-          (ขส พ 2502/ 7 ครั้งที่สอง) สีจุดประทัดโยนใส่คนดูลิเก ขาวตกใจ ปัดถูกสา สาตกใจปัดไปเกิดระเบิดขึ้น ทำให้แสงตาบอด / สีผิด ม 297 เพราะมีเจตนาย่อมเล็งเห็นผล ว่าจะต้องมีผู้หนึ่งผู้ใด ได้รับบาดเจ็บเนื่องจากการกระทำของตน ตาม ม 59 / ขาวและสา ไม่ผิดเพราะไม่มีเจตนา (และไม่มีข้อเท็จจริงว่าเป็นประมาท)
-          (ขส พ 2515/ 8) คนร้ายลักวิทยุของ นาย ก ไป 15 วันต่อมา ข เก็บวิทยุได้ที่ข้างถนน นำไปซ่อมและใส่ถ่าน แล้วขายให้นาย ค นาย ค ทราบแล้วว่า ข เก็บได้ รับซื้อไว้โดยเปิดเผยและสุจริต นาย ง แจ้งแก่นาย ก ว่าหากต้องการวิทยุคืน จะไปรับให้ แต่ต้องจ่ายค่าจ้างให้ 100 บาท แต่นาย ง ก็ไม่นำวิทยุมาคืน เพราะเล่นการพนันเสียหมด / นาย ข ไม่ผิดฐานใด เพราะไม่รู้ว่าเป็นของได้มาโดยการกระทำผิด เพราะการเก็บของตก อาจผิดกฎหมายก็มี ไม่ผิดกฎหมายก็มี การเก็บได้ ก็มิได้ซ่อนเร้น ยังถือไม่ได้ว่า ข ทุจริตคิดยักยอก เพราะเมื่อเก็บได้แล้ว ก็ไม่มีเหตุอย่างใดที่จะทำให้เชื่อว่าเป็นของใคร หรือพอจะหาเจ้าของได้ / นาย ค ไม่ผิด เพราะ นาย ข ผู้เก็บได้ ไม่มีความผิดตามกฎหมาย จึงเอาผิดแก่ นาย ค ผู้ซื้อไว้โดยสุจริตไม่ได้ / นาย ง ไม่ผิด เพราะเงินที่ นาย ก ให้ เป็นค่าจ้าง
-          (ขส พ 2523/ 8) อู๋หยุดรถให้เม้งแซง แล้วหักรถให้ท้ายรถปัดถูกหน้ารถเม้ง เกือบตกถนนสูงประมาณครึ่งเมตร หน้ารถพัง เม้งชักปืนยิงอู๋ กระสุนพลาดไปถูกผู้โดยสารในรถอู๋ / อู๋ผิด ม 358 ถนนสูง ย่อมคาดหมายได้ว่าถ้าตกถนน จะได้รับอันตราย อู๋เล็งเห็นผลได้ จึงผิด ม 295+80 1003/2512 / เม้งยิงอู๋ขณะโทสะ กระสุนพลาดไป ผิด ม 288+80+60+72 ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ ฎ 1682/2509
-          (ขส พ 2524/ 7) เช้าแก้เลขท้ายในสลาก แล้วนำไปหลอกขาย สายรู้อยู่แล้ว แต่เห็นว่าทำแนบเนียน จึงซื้อไว้ แล้วแก้ให้ถูกรางวัลที่สูงขึ้น นำไปหลอกขายเที่ยง / เช้าผิด ปลอมเอกสารสิทธิ (ไม่เป็นเอกสารราชการ) และนำไปขาย (เป็นการใช้) ผิด ม 265+268 เช้าหลอกสาย แต่สายชำระเงินทั้งที่รู้ว่าถูกหลอก เช้าผิด ม 341+80 เป็นกรรมเดียว / สายผิด ม 265+268 + (80+341) เป็นกรรมเดียว การที่เที่ยงนำไปขึ้นเงิน อยู่นอกเจตนาของเช้า เช้าไม่ต้องรับผิดร่วมกับแสง เพราะเจตนาฉ้อโกงนายแสงเพียงผู้เดียว
-          (ขส พ 2528/ 10) นายขาวส่งจดหมายดูหมิ่นนายดำ เสมียนของนายดำ แอบอ่าน เป็นเรื่องนอกเหนือเจตนาของนายขาว ไม่ผิด ม 326 และการส่งกับการรับจดหมาย ต่างเวลากัน ไม่เป็นการดูหมิ่นซึ่งหน้า ตาม ม 393 1100/2516 / เสมียนแอบอ่านนำไปเล่าต่อ ให้เพื่อฟัง แม้จะเล่าเพราะเพื่อนถาม ก็ย่อมสำนึกในการกระทำ และเล็งเห็นผล ถือได้ว่ายืนยันข้อเท็จจริง โดยเจตนาใส่ความนายดำ เสมียนผิด ม 326 380/2503

-          (ขส อ 2529/ 3) ขับรถชนรถตำรวจ ให้ตกน้ำตาย แต่น้ำตื้น ผิด ม 289 (2) + 80 + 358 ผลักตำรวจที่ควบคุมตัวมาในรถเดียวกัน ให้ตกรถ ผิด ม 296 + 190 2 (ไม่มีประเด็น ม 138 2+140 ไม่ถือว่าขัดขวางการจับกุม แต่น่าจะถือว่าขัดขวางการควบคุมตัว ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกัน)
-          (ขส อ 2529/ 4) เจ้าของผูกช้างไว้ ช้างตกมัน ไปพังบ้านนายมั่น และกระทืบนายมั่นซี่โครงหัก นายมาจึงยิงช้างตาย / เจ้าของผิด ม 59 4 + 300 + 377 3435/2527 ทรัพย์เสียหายโดยประมาทไม่ผิด / นายมา ไม่ผิด ม 385 เพราะป้องกัน ม 68
-          (ขส อ 2531/ 3) เผาที่นอนประสงค์ต่อผล (ต้องผิด ม 217 แต่ธงคำตอบไม่มีประเด็น) ไฟไหม้เตียงนอน อาคาร เล็งเห็นผล ม 218 (1) (+ 358) (ที่นอนลุกไหม้แล้วดับไฟทัน ไม่บอกว่าอาคารติดไฟ ต้องผิดพยายาม ไม่ใช่ผิดสำเร็จ + 80)
-          (ขส อ 2531/ 5) ชักปืนเล็งเล็ก ถูกปัด ปืนลั่น เบิ้มตาย คนชักปืน ผิด ม 288+80+60 คนปัด ไม่ผิด เพราะไม่มีเจตนาฆ่า และไม่ถือว่าประมาท เพราะกระทันหันเพื่อช่วยชีวิต เป็นกรณีเร่งด่วน จะใช้ความระมัดระวังไม่ให้ถูกผู้อื่นด้วย คงทำไม่ได้
-          (ขส อ 2541/ 1) ร่วมกันทำร้าย ห้ามแล้ว แต่เพื่อนอัดตาย / เป็นตัวการ ม 83 ห้ามแล้วเจตนาร่วมยุติ คนห้าม ผิด ม 295+83 คนทำต่อประสงค์ต่อผล ผิด ม 288 (สังเกต "ทำร้ายถึงแก่ความตาย" ไม่ ม 290) / ต่อยกันในร้าน ย่อมเล็งเห็นผล ว่าอาจทำให้ทรัพย์เสียหายได้ ผิด ม 358


-          พฤติการณ์ประกอบการกระทำ  (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ครั้งที่ 8 /2546 น 174)
-          พฤติการณ์ประกอบการกระทำ คือลักษณะของการกระทำนั้น ๆ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด หากวิญญูชนเห็นว่า น่าจะเสียหายฯก็เข้าองค์ประกอบ น่าจะเสียหายโดยผู้กระทำไม่ต้องรู้ หรือประสงค์ต่อผล
-          หาก ไม่น่าจะเสียหายฯก็ขาดองค์ประกอบภายนอก และไม่ต้องปรับบทพยายามกระทำผิด 80 แม้ผู้กระทำประสงค์จะให้เกิดความเสียหาย
-          องค์ประกอบนี้ไม่ต้องการผล เช่น น่าจะหรืออาจเกิดความเสียหาย” “อันเป็นการมิชอบ” “อันเป็นการเหยียดหยามศาสนา” “โดยประการที่น่าจะทำให้…” “อันเป็นการรบกวนการครอบครอง
-          อันเป็นการเหยียดหยามศาสนาถือเป็นองค์ประกอบความผิดที่พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลทั่วไป (เทียบ 769/2540 (สบฎ เน น 31) )เช่น กรณีชาวต่างประเทศมาปีนขี่พระพุทธรูป เพื่อถ่ายรูป โดยมีเจตนา คือ รู้ว่า ตนปีน พระพุทธรูป และพระพุทธรูปนั้น เป็นวัตถุที่บุคคลซึ่งนับถือศาสนาพุทธนับถือ แม้ไม่มีเจตนาจะเหยียดหยามโดยตรง เพียงแต่ต้องการถ่ายรูปในลักษณะที่สนุกสนาน แต่การปีนไปขี่พระพุทธรูปในความรู้สึกของบุคคลทั่วไป เห็นได้ว่าเป็นการเหยียดหยามศาสนา ก็เป็นความผิดตาม มาตรา 206 ได้
-          จนน่าจะเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่น หรือทรัพย์ของผู้อื่นอ จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า ไม่ใช่ผลของการกระทำ แต่เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ ฉะนั้นจึงเป็นความผิดสำเร็จโดยที่ยังไม่เป็นอันตราย การกระทำ ถึงขนาดน่าจะเป็นอันตรายหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงเป็นความเห็นอันเป็นความรู้สึกทางจิตใจ ถ้าเป็นสิ่งที่คนธรรมดารู้ได้ ศาลก็ย่อมรู้ได้เอง (ปวิพ มาตรา 84) แต่ถ้าไม่ใช่กรณีที่คนธรรมดารู้ได้ โจทก์ก็ต้องสืบพยานแสดงให้เห็นว่าน่าจะเป็นอันตราย (ปวิอ มาตรา 174)
-          น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนอ จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายว่า เป็นพฤติการณ์ประกอบการกระทำ มิใช่ผลที่ต้องเกิดจากการกระทำ เพียงแต่น่าจะเกิดแต่ไม่เกิด ก็เป็นความผิดสำเร็จ ถ้าไม่น่าจะเกิดความเสียหาย ก็ไม่เป็นความผิด แม้ในฐานพยายามก็ไม่เป็นความผิด เมื่อไม่ใช่ผลของการกระทำ ก็ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ของเจตนาว่าประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลเป็นข้อเท็จจริงประกอบองค์ความผิดประการหนึ่ง

-          คำพิพากษาฎีกาที่ 256/2509 ความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น ต้องเป็นการแสดงข้อความให้คนฟังคนเห็นคนเชื่อ จึงจะเกิดความรู้สึกเกลียดชังดูหมิ่นขึ้นได้ จำเลยกล่าวว่าโจทก์เป็นผีปอบ เป็นชาติหมา ความรู้สึกนึกคิดของคนธรรมดาไม่เชื่อว่าเป็นเช่นนั้นได้ จึงไม่ก่อให้เกิดความเกลียดชังหรือดูหมิ่นอย่างใด และข้อความใดจะเป็นการทำให้เสียหายแก่ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ต้องถือตามความคิดของบุคคลธรรมดาผู้ได้เห็นได้ฟังคำกล่าวของจำเลย จึงไม่ผิดฐานหมิ่นประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 710/2516 การทำหรือใช้เอกสารปลอม น่าจะเกิดความเสียหายหรือไม่ เป็นปัญหาข้อเท็จจริง
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1568/2521 แก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัว ให้เป็นหมายเลขที่ถูกรางวัลเพื่อให้เพื่อนเลี้ยงอาหารจำเลยก่อน แล้วจำเลยทิ้งสลากกินแบ่งในถังขยะในบ้าน มีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นไปขอรับรางวัลนอกความรู้เห็นของจำเลย การหลอกให้เลี้ยงอาหาร เป็นการล้อเล่นระหว่างเพื่อนซึ่งทำอยู่เป็นปกติ ไม่เป็นความเสียหายแก่ประชาชนหรือเพื่อนของจำเลย ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1064/2531 ข้อความที่กล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ถึงความรู้สึกของวิญญูชนทั่ว ๆ ไปเป็นเกณฑ์ ในการพิจารณาว่าข้อความที่กล่าวนั้นถึงขั้นที่ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาท น่าจะเสียชื่อเสียง ถูกบุคคลอื่นดูหมิ่นเกลียดชังหรือไม่  ไม่ใช่พิจารณาตามความรู้สึกของผู้ถูกหมิ่นประมาทแต่ฝ่ายเดียว
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 213/2539 จำเลยนำภาพถ่ายของตน มาปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของตน แม้เพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจ และบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริง แต่ก็ไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆ แก่ผู้อื่นหรือประชาชน จึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร และแม้จะได้นำไปใช้ก็ไม่มีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 769/2540 (สบฎ เน 31) “โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน264 นั้น ไม่ใช่การกระทำโดยแท้ และไม่ใช่เจตนาพิเศษ จึงไม่เกี่ยวกับเจตนา แต่เป็นพฤติการณ์ที่ประกอบการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายได้ แม้จะไม่เกิดความเสียหายขึ้นจริง ก็เป็นความผิด ถือเป็นองค์ประกอบความผิดที่พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลทั่วไป
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 4408/2542  หนังสือสัญญาจ้างเหมาะแรงงานมีข้อความในลักษณะแบบสัญญา ซึ่งมีข้อความที่พิมพ์ไว้แล้ว  มีช่องว่างสำหรับเติมข้อความที่ต้องการไว้ซึ่งสาระสำคัญที่จะต้องเติมประการแรกก็คือ ชื่อและลายมือชื่อของคู่สัญญาที่จะต้องรับผิดและพยานท้ายสัญญาสำหรับชื่อของคู่สัญญาในเอกสารนั้นคงมีเฉพาะชื่อบริษัท อ. โดยจำเลยที่ 1 กรรมการผู้จัดการระบุในฐานะผู้ว่าจ้างและจำเลยที่ 1 ได้ลงชื่อท้ายสัญญาในช่องผู้ว่าจ้างเท่านั้น โดยไม่มีชื่อโจทก์หรือบุคคลอื่นใดที่ระบุไว้เป็นคู่สัญญาในฐานะผู้รับจ้างไว้เลย ลักษณะของเอกสารดังกล่าว จึงยังไม่เป็นสัญญาที่จะใช้บังคับผู้หนึ่งผู้ใดให้ต้องรับผิดได้การที่จำเลยที่ 1 ทำเอกสารขึ้นมาเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือแก่ผู้อื่นหรือประชาชน จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานปลอมเอกสาร

-          การบรรยายฟ้อง และการสืบพยาน
-          หาก ผู้เสียหายเป็นโจทก์ ต้องบรรยายว่าเกิดความเสียหาย และตนได้รับความเสียหายแล้ว จะบรรยายว่า น่าจะ..หรือ อาจเกิด..” ตามตัวบทไม่ได้ เพราะเท่ากับความเสียหายยังไม่เกิด โจทก์ยังไม่ได้รับความเสียหาย ไม่ใช่ผู้เสียหาย / ปวิอ ม 28 ให้ ผู้เสียหายมีอำนาจฟ้อง ผู้จะเสียหายจึงไม่มีอำนาจฟ้อง / แต่หาก อัยการเป็นโจทก์ มีอำนาจฟ้อง ป.วิ.อาญา.28 โดยไม่จำต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหาย จึงบรรยายตามตัวบทได้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2054/2517 การเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดี มิใช่เรื่องแจ้งความต่อเจ้าพนักงาน เพราะศาลทำหน้าที่เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมในการพิจารณาคดี ซึ่งมีบทบัญญัติไว้โดยเฉพาะตามมาตรา 177 มิได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานอย่างเจ้าพนักงานทั่วไป จึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ / ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า การแจ้งความของจำเลยอาจทำให้โจทก์เสียหายเป็นแต่กล่าวว่า อาจทำให้ผู้อื่นเสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องในข้อหาฐานนี้
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3397,3398/2516 คู่ความรับกันว่า จำเลยได้ลงข้อความเกี่ยวกับโจทก์ในหนังสือพิมพ์ ดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง คงเหลือปัญหาจะต้องวินิจฉัยแต่เพียงว่า ข้อความตามฟ้องเป็นการใส่ความโจทก์ โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังหรือไม่ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยลักษณะของการกระทำ ไม่ใช่วินิจฉัยผลแห่งการกระทำ อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยได้เองโดยพิจารณาจากข้อความเหล่านี้ว่ามีความหมายอย่างไร โจทก์หาต้องนำสืบไม่
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1068/2537 คำว่าเบี้ยวมีความหมายพิเศษเป็นที่รู้กันอยู่ทั่วไปว่า หมายถึง ไม่ซื่อตรงหรือโกง การแปลหัวข้อข่าวที่ว่า "แอมบาสเดอร์เบี้ยวค่าเฟอร์นิเจอร์ เจ้าของฟ้องศาลเรียกหนี้ 1 ล้าน" หมายถึงแอมบาสเดอร์ไม่จ่ายค่าเฟอร์นิเจอร์เพราะไม่ซื่อตรงหรือโกง จึงไม่เป็นการแปลความหมายผิดไปจากเจตนารมณ์หรือความหมาย หัวข้อข่าว ประกอบกับข้อความในเนื้อข่าวตามฟ้อง เป็นการใส่ความโจทก์ทั้งสาม โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์ทั้งสามเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่ เป็นการวินิจฉัยลักษณะของการกระทำ อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ศาลวินิจฉัยได้เอง โดยพิเคราะห์จากข้อความเหล่านั้นว่ามีอย่างไร

-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า เรื่อง พฤติการณ์ประกอบการกระทำ
-          (ขส พ 2528/ 7) สัญญากู้ แม้ไม่มีพยานก็สมบูรณ์แล้ว แม้จัดให้มีพยานลงลายมือชื่อภายหลัง ก็ไม่ผิด ม 265 เพราะไม่น่าจะเสียหาย เมื่อนำไปยื่นฟ้องจึงไม่ผิด ม 268 และไม่ผิด ม 180 ฎ 1126/2505 / ผู้ลงชื่อเป็นพยานในสัญญากู้ ก็ไม่ผิด ม 265 เพราะไม่น่าจะเกิดความเสียหาย / ผู้กู้หยิบสัญญามาดูแล้วฉีก ผิด ม 358 และ 188 เป็นกรรมเดียว ม 90 ฎ 1418/2506


-          การกระทำความผิด โดยประมาท (อ เกียรติขจร คำอธิบายกฎหมายอาญา ภาค 1 ..2538)`
-          กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้น จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และผู้กระทำอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่
1.        ความระมัดระวังตาม วิสัยของบุคคล” (บุคคลที่มีลักษณะเช่นเดียวกับผู้กระทำ) “ในภาวะเช่นนั้น” (บุคคลเช่นเดียวกับผู้กระทำซึ่งอยู่ในขณะนั้น)
-          บุคคลธรรมดา   พิจารณาจากอายุ เพศ การศึกษา ฯลฯ
-          ผู้มีวิชาชีพ         ผู้มีวิชาชีพในระดับปกติ / ผู้เชี่ยวชาญ
2.        ความระมัดระวังตามพฤติการณ์ พิจารณาจากข้อเท็จจริง หรือเหตุต่าง ๆ ภายนอกตัวผู้กระทำ ที่เกิดขึ้น หรือมีอยู่ขณะนั้น

-          ประมาทต้องมีการ กระทำก่อน ดังนั้นจึงเกิดจากการ งดเว้นได้
-          1909/2516 จำเลยขับรถยนต์บรรทุกเสาไฟฟ้าโดยใช้ล้อพ่วง เมื่อล้อรถพ่วงหลุด ทำให้เสาตกลงมาขวางถนน จนกระทั่งค่ำแล้ว จำเลยก็ไม่ได้จัดให้มีโคมไฟ หรือเครื่องสัญญาณอย่างอื่น เพื่อให้ผู้ใช้ถนนเห็นเสาที่ขวางถนนอยู่นั้น เป็นเหตุให้รถที่แล่นมาชนเสามีคนตายและบาดเจ็บ ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยประมาท และผลเสียหายเกิดขึ้น จากการที่จำเลยงดเว้นการที่จักต้องกระทำ เพื่อป้องกันผลนั้น จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291,300 (แต่ไม่ผิด ม 288 เพราะไม่มีเจตนาฆ่า)

-          พิจารณาความประมาทจากวิสัยของ คนในภาวะเช่นนั้น ไม่ใช่วิญญูชนทั่วไป (อก/182)
-          ไม่ใช้กับเหตุ งด” “ลดโทษที่ต้องมีเจตนาพิเศษ เช่น ม.67, .68 และไม่ใช้กับเรื่องที่มีองค์ประกอบที่ต้องการกระทำโดย เจตนาเช่น ม.80-88 (อก/192)
-          บรรยายฟ้อง ต้องบรรยายถึง การกระทำที่อ้างว่าเป็นประมาทให้ชัด (เน 47/4/70)
-          Common law (อก/190)
-          Negligence              ประมาทธรรมดา ขาดความระวัง แต่รู้สึกเสี่ยงภัยแล้วยังทำ
-          Recklessness           คาดว่าผลอาจเกิด แต่ไม่แน่ว่าจะเกิด แล้วยังทำ (ต่างกับเล็งเห็นผล ต้องเล็งเห็นว่าจะเกิดผลแน่)

-          การฝ่าฝืนกฎหมายเป็นคนละประเด็นกับ การประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 294/2501 ขับรถยนต์โดยไม่มีใบอนุญาต แต่ไม่ประมาท แม้ทับคนตาย ก็ไม่ผิดฐานฆ่าคนโดยประมาท การทำฝ่าฝืนกฎหมายและข้อบังคับนั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ไม่ได้บัญญัติว่าเป็นประมาทอย่างกฎหมายเก่า
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 206/2503 จำเลยขับรถผิดทางเข้าไปชนรถที่ผู้เสียหายขับขี่เพียง แต่ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่มีใบอนุญาตให้ขับขี่เท่านั้น ยังไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ฟังว่าผู้เสียหายประประมาทเลินเล่อ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2961/2524 คดีละเมิด ความเสียหายเกิดขึ้นจากความผิดของผู้ตายแต่ฝ่ายเดียว ที่ขับรถจักรยานยนต์โดยไม่ชำนาญ ผ่านทางแยก ชนรถยนต์ที่จำเลยขับ แม้จำเลยขับรถยนต์ผ่านทางแยกด้วยความเร็วประมาณ 30-50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ความเสียหายเกิดจากความผิดของผู้ตายฝ่ายเดียว มิใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยขับรถเร็วฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจรฯ จำเลยจึงมิได้กระทำละเมิดต่อผู้ตาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3426/2516 จำเลยขับเรือเป็ดขนาดใหญ่มีกำลัง 10 แรงม้า แล่นตัดกระแสน้ำ เรือหางยาวมีกำลัง 25 แรงม้าแล่นตามกระแสน้ำมาทางขวาของเรือจำเลยด้วยความเร็วสูง คนขับเรือหางประมาท เป็นเหตุให้เรือสองลำชนกัน มีคนถึงแก่ความตาย แม้ตามกฎกระรวง (พ.ศ.2498) ออกตามความใน พ.ร.บ. ป้องกันเรือโดนกัน พ.ศ. 2497 หมวด 3 ข้อ 20 จำเลยจะต้องหลีกทางให้เรือหางยาวก็ตาม แต่เป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะแล่นเรือหลีกทางให้เรือหางได้ การที่จำเลยไม่หลีกทางให้เรือหางยาว จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎกระทรวงดังกล่าว จำเลยไม่มีความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาท และไม่มีความผิดตาม พ.ร.บ. การเดินเรือในน่านน้ำไทย


-          หากความเสียหายเป็น ผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาท แม้ ผู้เสียหายมีส่วนประมาท จำเลยก็ต้องรับผิด (อก/191)
-          ทางอาญา แม้ผู้เสียหายประมาทด้วย ก็ไม่ใช่ข้อต้องพิจารณา
-          94-95/2512 ส่วนทางแพ่ง แต่ละฝ่ายประมาทเพียงใด มีผลต่อการพิจารณากำหนดค่าเสียหาย ม.442 (อก/10)
-          ประมาททั้งสองฝ่าย จำเลยไม่พ้นความรับผิด
-          ศาลย่อมพิจารณาจากการกระทำของจำเลยฝ่ายเดียว ฎ 94-5/2512 (สบฎ เน 2120)
-          อัยการฟ้องทั้งสองฝ่ายได้ ฎ 1326/2510 (อก/191)
-          แต่ผู้เสียหายมีส่วนประมาทด้วย ถือว่าไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ไม่มีอำนาจฟ้อง ฎ 1167-1168/2530 (ขส เน วิอ 2538/1)

-          การกระทำโดยประมาท ไม่มีความผิดฐานพยายาม เพราะ การพยายามกระทำความผิด คือการมุ่งหมายที่จะกระทำผิด จึงใช้กับเรื่องเจตนาเท่านั้น การกระทำโดยประมาท ไม่ใช่การมุ่งหมายที่จะกระทำผิด จึงไม่ใช่เรื่องของการพยายามกระทำผิด เช่น ขับรถประมาท เกือบชนคนถึงตาย ไม่ผิด ม 291 แต่หากช็อกตาย อาจต้องรับผิด ในกรณีที่เป็นผลโดยตรง (อก/191) / (หนังสือรพี 2531 เนรุ่น 40/63) คดีละเมิด Bourhill v. Young จำเลยขับรถประมาทชนรถยนต์คันอื่น หญิงมีครรภ์ไม่เห็นเหตุการณ์ แต่ได้ยินเสียงชนอย่างแรง และเห็นเลือดในที่เกิดเหตุหลังรถชนกัน ทำให้ตกใจช็อคและแท้งลูก จำเลยไม่ต้องรับผิด ในเหตุที่หญิงนั้นแท้งลูก

-          ความผิดที่แบ่งโดยผล มี 2 ลักษณะ  (อก/192)
-          เกิดผลแล้วจึงจะต้องรับผิด (“…ประมาทเป็นเหตุให้…”) ไม่มีฐาน 80 เช่น ม.291, 300, 390 หรือ
-          ยังไม่เกิดผลก็เป็นความผิด (“น่าจะ…”) เช่น ม.225, 239 (อก/192)

-          การกระทำโดยประมาท ไม่มี ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนตาม ม 83-86 เพราะ โดยสภาพไม่อาจ เป็น ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุน ตาม ม 83-86 ให้กระทำความผิดโดยประมาทได้ ฎ 1337/2534 (อก/192)

-          ประมาทหลายคน ไม่ถือว่าเป็นตัวการประมาทร่วมกันต่างรับผิดในความประมาทของตน เช่น
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1199/2510 จำเลยที่ 1 เป็นนักเรียนหัดขับรถยนต์ ยังไม่ได้รับใบอนุญาตขับขี่ จำเลยที่ 2 ได้รับใบอนุญาตขับขี่ แต่ยังไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นครูฝึกสอนขับรถยนต์ ได้นั่งควบคุมไปด้วย ถนนที่จำเลยหัดขับนั้น ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นถนนสำหรับฝึกหัดขับรถยนต์ ในวันเวลาเกิดเหตุถนนตอนนั้น มีผู้คนพลุกพล่าน ฝนตก ถนนลื่น จำเลยที่ 1 ขับจะเฉี่ยวรถสามล้อเครื่อง หรือหักหลบรถสามล้อเครื่องไม่พ้น จำเลยที่ 2 ซึ่งนั่งควบคุมไปด้วย ต้องเข้าช่วยถือพวงมาลัย และให้จำเลยที่ 1 ปล่อยมือ จำเลยที่ 1 จึงปล่อยมือ แต่เท้ายังเหยียบคันเร่งน้ำมันอยู่ จำเลยที่ 2 หักพวงมาลัยเบนขวา เพื่อให้พ้นสามล้อเครื่อง เป็นเหตุให้รถพุ่งข้ามถนนชนต้นไม้และคนถึงบาดเจ็บและตาย จึงเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 1 ด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1326/2510 (สบฎ เน 1527) จำเลยที่ 1 ขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด จำเลยที่ 2 ไม่หยุดรอให้รถของจำเลยที่ 1 ซึ่งมาในเส้นทางตรง ผ่านไปเสียก่อน การที่เกิดชนกัน จึงเป็น ผลโดยตรงจากความประมาทของจำเลยทั้งสองที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย เป็นความผิดด้วยกันทั้งคู่
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2530 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลักน้ำมันที่ปั๊มผู้เสียหาย โดยใช้สายไฟต่อขั้วแบตเตอรี่กับเครื่องปั๊ม ดูดน้ำมันจากถังใต้ดินมาใส่ถังในรถยนต์ เมื่อดูดน้ำมันได้ 4 ถังแล้ว จำเลยที่ 2 ดึงสายไฟจากขั้วแบตเตอรี่ ให้ปั๊มติ๊กหยุดทำงาน เพื่อจะเปลี่ยนสายยางไปใส่ถังที่ 5 ทำให้เกิดประกายไฟเป็นเหตุให้เพลิงไหม้ ดังนี้ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมาลักทรัพย์โดยวิธีการเช่นนี้ ทำให้เกิดไอระเหยของน้ำมันกระจายอยู่ในบริเวณนั้น ง่ายต่อการเกิดเพลิงไหม้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท เพราะแบตเตอรี่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าและน้ำมันเป็นวัตถุติดไฟได้ง่าย เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้น เนื่องจากวิธีการในการลักทรัพย์ของจำเลยทั้งสอง ซึ่งกระทำด้วยความประมาท ต้องถือว่าเป็นผลอันเกิดจากการกระทำของจำเลยทุกคนที่ร่วมกันลักทรัพย์ ดังนั้นแม้จำเลยที่ 3 จะมิได้เป็นผู้ถอดสายไฟฟ้าจากขั้วแบตเตอรี่ ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำด้วย จำเลยที่ 3 จึงต้องมีความผิดฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท
-          Common law (อก/193) ขับรถแข่งกันในถนน รับผิดทั้งคู่ ไม่ว่าผลจะเกิดจากรถคันใด (291 Manslaughter)

-          หากประมาทและผลเกิด แต่ไม่สัมพันธ์กัน (ไม่ใช่ผลโดยตรง) ไม่ต้องรับผิด
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 717/2509 (ขับรถเร็ว แต่ถูกเลี้ยวตัดหน้า แต่แม้ขับช้าก็ต้องชน ไม่ต้องรับผิด ไม่ใช่ ผลโดยตรงจากประมาท) จำเลยที่ 1 ขับรถเข้ามาขวางทางแล่นในช่องของจำเลยที่ 2 โดยกระชั้นชิด แม้จะขับรถเร็วน้อยกว่า ก็ต้องชนอยู่นั่นเอง หาใช่เป็นความประมาทของจำเลยที่ 2 ไม่ / ในกรณีที่รถแล่นคนละช่อง ต้องรักษาช่องเดินรถของตน เมื่อจะเปลี่ยนช่อง ต้องระวังมิให้กีดขวางรถที่แล่นอยู่ในช่องนั้น ๆ เมื่อจะเลี้ยวรถทางซ้าย จะต้องแล่นชิดขอบทางด้านซ้าย จะเลี้ยวได้ เมื่อสามารถกระทำได้โดยปลอดภัย ถ้าหากแล่นเข้าไปกีดขวางในช่องทางเดินรถอื่นแล้ว อันตรายเกิดขึ้น เพราะการกระทำของตนจะต้องรับผิด เมื่อให้สัญญาณเลี้ยวแล้ว จะเลี้ยวทันทีไม่ได้ เพราะไม่สามารถจะป้องกันอันตรายได้

-          กระทำโดยเจตนา แต่พลาด ด้วยความประมาท
-          ป้องกันตาม ม 68 ต่อ ผู้เสียหายที่ 1 ผลเกิดแก่ ผู้เสียหายที่ 2 โดยประมาท แม้ไม่ต้องรับผิด ม 288 เพราะ อ้าง ม 68 แต่อาจต้องรับผิด ม 291 ต่อ 2 ได้ (อก/195) เช่น ก ถือมีดสั้นจะทำร้าย ข / ข มีทั้งดาบที่ยาว และมีดสั้น เกิดชะล่าใจว่าตนขว้างมีดสั้นได้แม่น จึงขว้างมีดใส่ ก แต่มีดไปถูก ค บาดเจ็บ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 140/2494 ขับรถยนต์รับคนโดยสารมาตามถนน เผอิญเกิดยิงกันเกี่ยวกับการจราจลจึงขับรถหนี แม้จะเร็วจนถึงขนาดผิดกฎจราจร ก็ได้รับยกเว้นโทษตาม ก.. ลักษณะอาญามาตรา 49 เพราะถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อหลบหนีภยันตรายอันร้ายแรง เมื่อเอาผิดในตอนนี้ไม่ได้ การวิ่งตัดหน้ารถยนต์ภายในระยะ 1 วา คนขับห้ามล้อรถหยุดไม่ทัน ทั้ง ๆ ที่ห้ามล้อดี วินิจฉัยว่าวิ่งตัดหน้ารถยนต์ในระยะกระชั้นชิด ใช่วิสัยที่จะป้องกันมิให้รถยนต์ทับได้ การที่รถยนต์ทับคนที่วิ่งตัดหน้ารถนั้นจึงเป็นเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เรื่องผู้ขับรถประมาท (ผู้สั่งต้องรับผิด ไม่ปรับ ม 83 หรือ ม 84 ไม่ใช่ผู้กระทำความผิดทางอ้อม)
-          ทฤษฎี เรื่องความรับผิดเด็ดขาด (อก/197-205)

-          การกระทำเดียว มีส่วนที่กระทำโดยเจตนา และส่วนที่กระทำโดยประมาท ได้ แต่ตามแนวคิดของ อ เกียรติขจร การกระทำส่วนที่ประมาทและเจตนา มิได้เกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น สำคัญผิดเกิดจากความประมาท (อก/195) ,
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 872/2510 (สบฎ เน 1525) จำเลยใช้ปืนยิงเด็กตีกบ โดยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้ายจะมาฆ่าพี่จำเลย เป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน และความสำคัญผิดเกิดขึ้นโดยสำคัญผิด จำเลยมีความผิด ตาม ม 288 , 69 และ ม 291 เป็นกรรมเดียว
-          เจตนาฆ่าโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริง ม 59 2 + 288 + 68 + 69 + 62 1
-          ความสำคัญผิดเกิดขึ้นด้วยความ ประมาท62 2 59 4 + ตาย = 291 กรรมเดียว)

-          กรณีที่มีการกระทำทั้งส่วนที่เกิดจากเจตนา และส่วนที่เกิดจากความประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1094/2501 ยิงคนตายในที่มืด โดยเล็งไปทางที่คนเห็น เพราะเข้าใจว่าเป็นคนร้ายมาแย่งชิงทรัพย์ ไม่พิจารณาให้รอบคอบ เป็นความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา โดยป้องกันทรัพย์เกินกว่าเหตุ (เจตนาฆ่า เพราะสำคัญผิดในข้อเท็จจริงว่ายิงคนร้ายที่จะชิงทรัพย์ แต่ความสำคัญผิดนั้น เกิดจากการไม่พิจารณาให้รอบคอบ ก็เป็นการกระทำที่เกิดขึ้นจากความประมาทอยู่ในตัว / อ เกียรติขจร (เน 51/6/1) เห็นว่า การกระทำโดยประมาท ต้องไม่ใช่การกระทำโดยมีเจตนา เพราะตัวบทใช้คำว่า การกระทำโดยประมาท ได้แก่การกระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา ซึ่งกรณีนี้ “ความสำคัญผิดที่เกิดขึ้นก่อนการลงมือยิง” นั้น เป็นความสำคัญผิดโดยประมาท ต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ตาม ม 62 วรรคสองด้วย ส่วนตอนที่ “ลงมือยิง” นั้น เป็นการกระทำโดยเจตนา วินิจฉัยในประเด็นนี้ไปตามปกติ / มองอีกแง่มุมหนึ่ง แม้ส่วนที่ประมาท และเจตนาเกิดไม่พร้อมกัน แต่ในขณะยิง ก็อาจเป็นประมาทได้ หากดูให้ดีก็จะทราบข้อเท็จจริง การพิจารณาในแง่นี้ เมื่อแยกพิจารณาทีละส่วน ก็ไม่น่าผิด)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 717/2511 จำเลยมีปากเสียงกับพวกผู้ตายก่อนเกิดเหตุ แล้วผู้ตายเกินมาหาพวก ผู้ตายก้มลงเก็บของที่ทำตก จำเลยสำคัญผิดว่าผู้ตายจากทำร้ายตน จึงยิงผู้ตายตาย ดังนี้เป็นการเข้าใจผิดโดยไม่มีเหตุอันควร แม้ความสำคัญผิดจะเกิดจากความประมาท ก็เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ การกระทำของจำเลย จึงเป็นการป้องกันตัวเกินสมควรแก่เหตุ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 917/2530 จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะ ว.แตกเลือดไหลแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูก ด. ตาย และ ส. ได้รับบาดเจ็บ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ว. ตาม มาตรา 295 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิง เพื่อฆ่าหรือทำร้าย ว. กรณีจึงมิใช่เป็นการที่จำเลยมีเจตนากระทำต่อ ว. แต่ผลของการกระทำผิดเกิดแก่ ด. และ ส. โดยพลาด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 290, 295 ประกอบด้วยมาตรา 60 อย่างไรก็ตาม เมื่อการที่กระสุนปืนลั่นเป็นผลให้ ด.ตายและ ส.ได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเพราะความประมาทของจำเลย ในการใช้ปืนตี ว.จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 291, 390 (เจตนาทำร้ายโดยใช้ปืนตีศีรษะ และการใช้ปืนในลักษณะนี้ ย่อมเป็นการกระทำโดยประมาทอยู่ในตัว )
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1211/2530 จำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลักน้ำมันที่ปั๊มผู้เสียหาย โดยใช้สายไฟต่อขั้วแบตเตอรี่กับเครื่องปั๊ม ดูดน้ำมันจากถังใต้ดินมาใส่ถังในรถยนต์เมื่อดูดน้ำมันได้ 4 ถังแล้ว จำเลยที่ 2 ดึงสายไฟจากขั้วแบตเตอรี่ให้ปั๊มติ๊กหยุดทำงาน เพื่อจะเปลี่ยนสายยางไปใส่ถังที่ 5 ทำให้เกิดประกายไฟเป็นเหตุให้เพลิงไหม้ ดังนี้ พฤติการณ์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันมาลักทรัพย์โดยวิธีการเช่นนี้ ทำให้เกิดไอระเหยของน้ำมันกระจายอยู่ในบริเวณนั้น ง่ายต่อการเกิดเพลิงไหม้ ถือได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท เพราะแบตเตอรี่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า และน้ำมันเป็นวัตถุติดไฟได้ง่าย เมื่อเกิดเพลิงไหม้ขึ้น เนื่องจากวิธีการในการลักทรัพย์ของจำเลยทั้งสอง ซึ่งกระทำด้วยความประมาท ต้องถือว่าเป็นผลอันเกิดจากการกระทำของจำเลยทุกคนที่ร่วมกันลักทรัพย์ ดังนั้น แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้เป็นผู้ถอดสายไฟฟ้าจากขั้วแบตเตอรี่ ก็ต้องฟังว่าจำเลยที่ 3 ร่วมกระทำด้วย จำเลยที่ 3  จึงต้องมีความผิดฐานทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท (เจตนาลักทรัพย์ และวิธีการลักทรัพย์นั้น เป็นการกระทำโดยประมาท)

-          คำพิพากษาฎีกาเรื่องประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาเรื่องประมาท             เกี่ยวกับการขับขี่ยานพาหนะ และจราจร
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 127/2503 การขับรถตามหลังคนอื่น ควรจะเว้นระยะให้ห่างมากพอที่จะหยุดรถได้ทันโดยไม่ชนรถคันหน้า ยิ่งฝุ่นตลบ ก็ย่อมจะต้องระมัดระวังเว้นระยะให้ห่างมากขึ้น เมื่อรถจำเลยไปชนรถคันหน้าเป็นเหตุให้คนตาย ถือได้ว่า จำเลยประมาท ทำให้คนตาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 983/2508 มาตรา 291 ต้องเป็นการกระทำโดยประมาท และเป็นผลโดยตรงให้เกิดความตาย การกระทำตามมาตรานี้ไม่รวมถึงการละเว้น การที่จำเลยที่ 1 “ไม่ไปตรวจหัวประแจก่อนที่รถจะมาถึง ก็เป็นเพียงละเว้น ไม่ใช่ผลโดยตรงที่ทำให้รถชนกัน ผลโดยตรงที่ทำให้รถชนกันอยู่ที่ การเปลี่ยนหัวประแจ ไม่สับกลับซึ่งเป็นการกระทำของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ไม่ผิด ม 291
-          ตามแนวคิดเรื่องการตรวจสอบซ้ำ (Double Check) ใช้กับเรื่องที่มีความสำคัญมาก ๆ เช่นการเดินรถไฟ ซึ่งมีประชาชนใช้บริการเป็นจำนวนมาก การรักษาความปลอดภัยในระบบการเดินรถไฟ เป็นเรื่องสำคัญ หากข้อเท็จจริงฟังได้ชัดว่า จำเลยที่ 1 นอกจากมีหน้าที่ตรวจหัวประแจโดยตรงแล้ว และเมื่อพบว่าการสับรางยังไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 จะต้องดำเนินการให้ถูกต้องทันที การกระทำของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ ที่ไม่ไปตรวจหัวประแจ ถือเป็นการงดเว้นกระทำการ โดยประมาทแล้ว และถือเป็นเหตุที่สำคัญอันหนึ่งซึ่งทำให้เกิดผลคือรถไฟชนกัน และมีผู้ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในผลของการกระทำนั้นโดยตรง ตามทฤษฎีเงื่อนไข ในแง่ Contributory cause
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 761/2511 จำเลยขับรถประจำทางมาตามถนน เห็นรถบรรทุกแล่นสวนทางมาในระยะกว่า 50 เมตรในลักษณะผิดปกติ คือแล่นกินทางเข้ามาด้วยความเร็วสูงและส่ายไปมา เช่นนี้ จำเลยควรมีหน้าที่หยุดรถ หรือชะลอรถแอบเข้าข้างทาง แต่คงขับต่อไป เพิ่งจะห้ามล้อ เมื่ออยู่ห่างกันในระยะ 7-8 เมตร แล้วหักหลบไปทางขวา เป็นเหตุให้ชนรถบรรทุกจนมีคนตายและบาดเจ็บ ถือว่าเป็นการกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้เพียงพอไม่ จำเลยจึงมีความผิดฐานประมาททำให้คนตายและบาดเจ็บ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1563/2521 คนโดยสารเรือยนต์ตกน้ำ เรือถอยหลังไปช่วย ทำให้ใบจักรฟันคนที่ตกน้ำตาย แทนที่จะโยนชูชีพลงไปช่วยตามข้อบังคับการเดินเรือ เป็นการขาดความระวังตามควรแก่เหตุการ และนายท้ายผู้ประกอบวิชาชีพเดินเรือควรได้คาดคิด จึงเป็นประมาททำให้คนตายตาม ม.291
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3052/2530 (คดีแพ่ง) พ. ขับรถยนต์ด้วยความเร็ว 50-60  กิโลเมตรต่อชั่วโมง แม้ไม่เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด แต่ตรงที่เกิดเหตุมีทางแยก จะต้องขับรถให้ช้าลงกว่านี้อีก การที่ พ. ขับรถด้วยความเร็วดังกล่าว และขณะที่ขับรถมาใกล้จะถึงที่เกิดเหตุ ก็ได้เห็นรถที่จอดรออยู่ตรงเกาะกลางถนนแล้ว ก็น่าจะชะลอความเร็วของรถบ้าง หรือมิฉะนั้น เมื่อเห็นมีรถซึ่งรออยู่ตรงเกาะกลางถนน แล่นตัดหน้าไปคันหนึ่งแล้ว ก็ควรห้ามล้อให้รถชะลอความเร็วลงได้ โดยไม่จำเป็นต้องหักรถหลบไป จนปีนเกาะกลางถนน ดังนี้ถือได้ว่า พ. มีส่วนประมาทด้วย

-          คำพิพากษาฎีกาเรื่องประมาท             เกี่ยวกับการใช้อาวุธ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 361/2497 เอาปืนที่บรรจุกระสุนไปจ่อล้อเพื่อนเล่น โดยไม่ระมัดระวังเพื่อนปัดกระบอกปืน ๆ จึงลั่นถูกเพื่อนตาย ดังนี้ ก็ย่อมเป็นความผิดฐานทำให้คนตายโดยประมาทตาม ก..ลักษณะอาญามาตรา 252 / เจ้าของปืนผู้ได้รับอนุญาตแล้ว ใช้จำเลยเอาปืนไปทำความสอาดชั่วขณะหนึ่ง ในระหว่างนั้นจำเลยเอาปืนไปจ่อเพื่อนโดยประมาท ปืนลั่นทำให้เพื่อนตาย ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต. ( อ้างฎีกาที่ 1578/2495 )
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1086/2521 ยิงยางรถยนต์พลาด กระสุนถูกรถยนต์ทะลุไปถูกคนในรถ เป็นอันตรายสาหัส เป็นความผิดฐานทำให้เกิดอันตรายสาหัสโดยประมาทตาม ม.300 แต่ฟ้องฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา จึงลงโทษไม่ได้ (ไม่ใช่พลาด ม 60 เพราะไม่มีเจตนาต่อคน)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2483/2528 จำเลยใช้อาวุธปืนขู่ผู้ตายมิให้เอาถ่านมาป้ายหน้าจำเลย โดยจำเลยไม่รู้ว่าอาวุธปืนนั้นมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย จำเลยไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตามที่โจทก์ฟ้อง แต่การที่จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงออกมาขู่ผู้ตาย โดยจำเลยไม่ดูเสียให้ดีก่อนว่ามีกระสุนบรรจุอยู่หรือไม่ เป็นเหตุให้กระสุนปืนลั่นไปถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5548/2530 จำเลยถูกผู้เสียหายด่า จึงยิงปืนเพื่อขู่ไม่ให้ผู้เสียหายด่าจำเลยอีกต่อไป แต่จำเลยไม่เลือกยิงขึ้นฟ้า กลับยิงไปที่ลูกกรงไม้ชานบ้าน ห่างจากจุดที่ผู้เสียหายยืนประมาณ 2 วา ทำให้เศษไม้กระเด็นไปถูกผู้เสียหาย ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กาย ตาม มาตรา 390

-          กรณีไม่เป็นการกระทำโดยประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 3445/2535 รถยนต์โดยสารที่จำเลยขับยางล้อหลังระเบิด จำเลยจึงจอดรถยนต์ไว้ชิดไหล่ทางด้านซ้าย ล้อหน้าอยู่ที่ไหล่ทาง ส่วนล้อหลังด้านขวาอยู่บนถนน แล้วจำเลยได้หากิ่งไม้มาวางและเปิดสัญญาณไฟกระพริบ ถือได้ว่าจำเลยใช้ความระมัดระวังเพียงพอแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการกระทำโดยประมาท
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 383/2537 จำเลยขับรถยนต์ไปด้วยความเร็วประมาณ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ผู้ตายได้วิ่งไล่ตี ช. ข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับ ไปแล้วแต่ได้มีรถยนต์อีกคันหนึ่งแล่นมา ผู้ตายจึงชะงักและถอยหลังกลับเข้ามาช่องเดินรถของจำเลยโดยกะทันหัน และในระยะกระชั้นชิด ทำให้จำเลยไม่สามารถหยุดรถหรือหลบไปทางอื่นได้ทันท่วงที และในภาวะเช่นนั้นจำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่า จะมีคนวิ่งข้ามถนนตัดหน้าช่องเดินรถที่จำเลยขับไปแล้ว กลับชะงักและถอยหลังเข้ามาขวางหน้ารถยนต์ที่จำเลยขับไปอีก การที่จำเลยขับรถยนต์ชนผู้ตาย จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยไม่อาจป้องกันได้ จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ชนผู้อื่นถึงแก่ความตาย

-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า เรื่องประมาท
-          (ขส พ 2502/ 7 ครั้งที่สอง) สีจุดประทันโยนใส่คนดูลิเก ขาวตกใจ ปัดถูกสา สาตกใจปัดไปเกิดระเบิดขึ้น ทำให้แสงตาบอด / สีผิด ม 297 เพราะมีเจตนาย่อมเล็งเห็นผล ตาม ม 59 / ขาวและสา ไม่ผิดเพราะไม่มีเจตนา (และไม่มีข้อเท็จจริงว่าเป็นประมาท)
-          (ขส พ 2519/ 9) แดงให้ดำช่วยสอนขับรถ แดงขับรถประมาทชนคน ดำเห็นแดงพลาด จึงหักพวงมาลัยรถ ชนคนตาย แดงบาดเจ็บสาหัส แดงและดำผิด ม 291 ดำผิด ม 300 อีกด้วย เพราะก่อนดำหักพวงมาลัย แดงขับรถมาในลักษณะน่าจะอันตรายอยู่แล้ว ฎ 1199/2510 ดำถือพวงมาลัย ทั้งที่ไม่อยู่ในสภาพที่จะขับหรือควบคุมรถได้ปลอดภัย จึงเป็นการประมาท

-          (ขส อ 2529/ 4) เจ้าของผูกช้างไว้ ช้างตกมัน ไปพังบ้านนายมั่น และกระทืบนายมั่นซี่โครงหัก นายมาจึงยิงช้างตาย / เจ้าของผิด ม 59 4 + 300 + 377 3435/2527 ทรัพย์เสียหายโดยประมาทไม่ผิด / นายมา ไม่ผิด ม 358 เพราะป้องกัน ม 68
-          (ขส อ 2531/ 5) ชักปืนเล็งเล็ก ถูกปัด ปืนลั่น เบิ้มตาย คนชักปืน ผิด ม 288+80+60 คนปัด ไม่ผิด เพราะไม่มีเจตนาฆ่า และไม่ถือว่าประมาท เพราะกระทันหันเพื่อช่วยชีวิต เป็นกรณีเร่งด่วน จะใช้ความระมัดระวังไม่ให้ถูกผู้อื่นด้วย คงทำไม่ได้


มาตรา 60               ผู้ใดเจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น แต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะ ฐานะของบุคคลหรือเพราะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้ายมิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น

(1)      เจตนาที่จะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง (สังเกตตัวบทใช้คำว่า ผู้ใดมีเจตนา...)
-          เจตนาแรก เป็นเจตนาประสงค์ต่อผล หรือย่อมเล็งเห็นผลก็ได้
-          ไม่ใช้กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด เมื่อได้กระทำโดยประมาท และมีผู้ได้รับผลจากการกระทำหลายฝ่าย ไม่ใช้มาตรา 60 แต่ให้พิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
-          เจตนาแรกต้องถึงขั้นลงมือทำผิด

(2)      ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง โดยพลาดไป / มาตรา 60 มีผู้เกี่ยวข้องในการกระทำอยู่ 3 ฝ่าย (1) บุคคลผู้กระทำผิด (2) บุคคลที่ผู้กระทำผิด เจตนาจะทำกระทำ และ (3) บุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำ โดยพลาด
-          บุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำโดยพลาด จะต้องได้รับผลร้ายนั้นแล้ว (จะถึงขั้นเป็นความผิดสำเร็จ หรือพยายามก็ได้)
-          ใช้กับ วัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่ออันเป็นประเภทเดียวกันเท่านั้น (ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน)
-          กรณีวัตถุที่มุ่งหมายกระทำต่อนั้น ต่างประเภทกับวัตถุที่ถูกกระทำ ต้องพิจารณาเรื่องเจตนาเล็งเห็นผล ตามมาตรา 59 วรรคสอง ประกอบวรรคแรก (คือหากมีเจตนา ก็ต้องรับผิด ปรับเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท แต่หากไม่มีเจตนา พิจารณาเรื่องการกระทำโดยประมาทต่อ) และการกระทำโดยประมาท กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท ตามมาตรา 59 วรรคสี่ ประกอบวรรคแรก (หากไม่มีเจตนา และไม่ได้กระทำโดยประมาท หรือกระทำโดยประมาท แต่ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิด ผู้กระทำไม่ต้องรับผิด)

(3)      ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำนั้น
-          เจตนาประสงค์ต่อผลโดยตรง รับผิดตามเจตนาที่มีอยู่เดิม แม้สำคัญผิดในตัวบุคคล
-          เจตนาแรก (ฆ่า , ทำร้ายร่างกาย , ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์) โอนไปยังผู้ถูกกระทำโดยสำคัญผิด หรือผู้ที่ได้รับผลร้าย
-          เจตนาแรก ประกอบด้วยเจตนาพิเศษ (ป้องกัน , จำเป็น , บันดาลโทสะ , ฆ่าโดยไตร่ตรอง ฯลฯ) โอนไปยังผู้ถูกกระทำโดยสำคัญผิด หรือผู้ที่รับผลร้าย
-          ผู้กระทำรู้องค์ประกอบภายนอกเท่าไร รับผิดเท่านั้น
-          หากไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด ถือว่าไม่มีเจตนาตามมาตรา 59 วรรคสาม ผู้กระทำไม่ต้องรับผิด
-          หากไม่รู้ข้อเท็จจริง อันทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 62 วรรคท้าย
-          ผู้กระทำรับผิดไม่เกินข้อเท็จจริง อันเป็นองค์ประกอบความผิดนั้น
-          ผู้กระทำต้องรับผิดต่อ บุคคลที่ผู้กระทำผิด เจตนาจะทำกระทำและ บุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำผิด (เป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักตามมาตรา 90)
-          มาตรา 60 แม้การกระทำนั้น มีเจตนาโดยพลาด เกิดขึ้นโดยประมาท (คือ กระทำโดยประมาทต่อบุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำผิด ด้วย) มาตรา 59 วรรคสี่ ไม่ต้องปรับประมาทอีก เพราะต้องรับผิดในส่วนของ เจตนาตาม มาตรา 59 วรรคสอง ต่อ บุคคลที่ผู้กระทำผิด เจตนาจะทำกระทำและ บุคคลที่ได้รับผลร้ายจากการกระทำผิด อยู่แล้ว

(4)      กรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ลงโทษหนักขึ้น เพราะ ฐานะของบุคคลหรือเพราะ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้กระทำกับบุคคลที่ได้รับผลร้ายมิให้นำกฎหมายนั้นมาใช้บังคับเพื่อลงโทษผู้กระทำให้หนักขึ้น
-          ตรงกับกรณีไม่รู้ข้อเท็จจริง อันทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น ผู้กระทำไม่ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามมาตรา 62 วรรคท้าย


-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 “เป็นเจตนาโดยผลของกฎหมายเพราะไม่มีเจตนากระทำต่อผู้เสียหายที่ 2 จริง และเป็นเรื่องเจตนาโอน (อก/160)

-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 “ต้องมีผู้ถูกกระทำ 2 ฝ่ายขึ้นไป ผู้เสียหายที่ 1 ถูกกระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผล ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับผลร้ายด้วย (อก/161)
-          ยิงดำ ถูกขาว ผิดต่อดำ ม 80+288 ผิดต่อขาว ม 288+60 ปรับ ม 90 รับโทษ ม 288 (อก/161)
-          ยิงดำ ถูกกระจกรถยนต์ขาว ไม่ใช่ ม 60 (อก/161)
-          ปืนตีหัวดำ ปืนลั่นดำตาย ไม่ใช่ ม 60 (อก/162)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1937/2522 ยิง 4-5 นัด เจตนาฆ่า ก. กระสุนถูก ก. ตาย ถูก ส.อันตรายสาหัส เป็นความผิดตาม ป.อ.ม.288 กับ ม.288,80 อีกบทหนึ่ง คำพิพากษาต้องอ้างความผิดทั้ง 2 บท ให้ลงโทษตาม ม.288 บทหนัก คำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์ที่ได้ตัวมาเบิกความ และที่ไม่ได้ตัวมาเบิกความเพราะติดตามตัวไม่พบ ระบุชื่อผู้ยิงว่านายประทีป สุขเกษมมาในชั้นศาลพยานโจทก์ว่าคนยิงไม่ใช่จำเลย แต่เป็นคนในร้านตัดเสื้อที่ชื่อประทีป แต่ไม่ทราบนามสกุล ศาลรับฟังได้ว่านายประทีป สุขเกษม จำเลยคือผู้ยิงตามฟ้อง

-          ต้องไม่ประสงค์ต่อผล หรือเล็งเห็นผลต่อ ผู้เสียหายที่ 2 เพราะหากมี เจตนา ตาม ม 59 2 ไม่ใช่ พลาดตาม ม 60 (อก/162)
-          จะยิงดำ แต่ยิงตอไม้ ถูกขาวบาดเจ็บ และถูกดำตาย ผิดต่อขาว ม 60+80+288 ผิดต่อดำ ม 59+288 ไม่ใช่ ม 60 (อก/162)
-          ใช้ปืนลูกซองกระจาย ตั้งใจยิงขาว ซึ่งยืนอยู่กับตำรวจ ถือว่ามีเจตนาประสงค์ต่อผลที่จะฆ่าขาว (ม 59 ว 2 + 288) และเจตนาย่อมเล็งเห็นผลที่จะฆ่าตำรวจเจ้าพนักงาน (ม 59 ว 2 + 289 (2) ซึ่งต้องรับโทษหนักขึ้น / แต่หากยิงด้วยปืนนัดเดียว ไม่อาจเล็งเห็นได้ว่าจะถูกตำรวจ แต่บังเอิญกระสุนไปถูกนาฬิกาของขาว แฉลบไปถูกตำรวจตาย รับผิดต่อขาว (ม 59 ว 2 + 288 + 80) รับผิดต่อตำรวจเพียงแค่ (ม 59 ว 2 + 288 + 60) ไม่ผิดฐานฆ่าเจ้าพนักงานตาม ม ๖๐ ตอนท้าย)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 321/2535 จำเลยใช้อาวุธปืนยิง และกระสุนปืนไปถูกกระจกหน้าต่าง และโต๊ะของผู้เสียหาย ได้รับความเสียหายด้วยนั้น จำเลยมีเจตนายิงผู้เสียหายเป็นสำคัญ จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น (“กระทำโดยเจตนาประสงค์ต่อผล”) และฐานทำให้เสียทรัพย์ (“กระทำโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผล” แต่ไม่ใช่กระทำโดยพลาด เพราะเล็งเห็นได้ และเรื่องนี้มีผู้เสียหายเพียงคนเดียว)ซึ่งเป็นกรรมเดียว

-          ไม่ต้องดูว่า ประมาทต่อ ผู้เสียหายที่ 2 ด้วยหรือไม่ เพราะมีเจตนาตามกฎหมายเสมอ (อก/162)
-          ยิงดำ ถูกขาว แม้ประมาทต่อขาวด้วย ไม่ต้องรับผิดฐานประมาท เพราะต้องรับผิดตามเจตนาซึ่งโอนมาด้วย อยู่แล้ว แม้ขาวอยู่ไกลมาก (อก/162)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 784/2509 การที่จำเลยติดตามขับไล่คนร้ายไป แล้วใช้ปืนยิงคนร้าย แต่กระสุนปืนไปถูกผู้เสียหายนั้น เป็นการกระทำที่จำเลยได้มีเจตนาจะกระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป ตามมาตรา 60 ให้ถือว่าผู้นั้นกระทำโดยเจตนาแก่บุคคลซึ่งรับผลร้าย ไม่เป็นการกระทำโดยประมาท

-          กรณีเจตนากระทำต่อ วัตถุประเภทหนึ่งแต่เกิดผลกับ วัตถุอีกประเภทหนึ่งไม่ใช่การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ให้พิจารณาเจตนาย่อมเล็งเห็นผลและประมาทประกอบ (ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1086/2521 ยิงยางรถยนต์ แต่ลูกกระสุนไปถูกคนในรถ ได้รับอันตรายสาหัส ปรับ ม 80+358 และ ม 59 4 + 300 ไม่ใช่ ม 60 (อก/163)

-          การกระทำโดยพลาดตาม ม 60 ใช้กับวัตถุที่มุ่งหมายเป็นประเภทเดียวกัน (ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สิน)
-          ดำ ทำร้ายลูกของขาว / ขาวเห็นเหตุการณ์ เกิดตกใจช็อกตาย / ปรับ ม 60 ผิด ม 295 และ ม 290 + 60 (สังเกต เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล) แต่หากดำทำลายทรัพย์ของขาว ขาวเห็นเหตุการณ์ เกิดตกใจช็อกตาย ไม่ปรับ ม 60 (อก/163)

-          การกระทำโดยพลาดตาม ม 60 ใช้กับทรัพย์ เสรีภาพ และชื่อเสียงด้วย
-          ขส เน 2531 ยิงช้างของ ผู้เสียหายที่ 1 ไปถูกช้างของ ผู้เสียหายที่  2 โดยเจตนาป้องกัน ตาม ม 68 อ้างป้องกัน ได้ทั้ง ผู้เสียหายที่ 1-2 (อก/164)

-          เจตนาโอน ให้ดูที่เจตนาแรกเป็นหลัก และให้รับผิดในผลของทั้งสองเจตนา แล้วปรับ ม.90 กรณีเป็นเจตนาทำผิด ไม่ต้องดูต่อว่าประมาทหรือไม่ เพราะต้องรับผิดตามเจตนาที่โอนไป ซึ่งหนักกว่าอยู่แล้ว (อก/164)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 205/2516 ผู้ตาย ผู้เสียหาย และจำเลยร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา แล้วผู้ตายกับจำเลยทะเลาะกัน ผู้เสียหายจึงชวนจำเลยกลับบ้าน  ผู้ตายตามมาต่อยและเตะจำเลยจนล้ม ลุกขึ้นก็ยังถูกเตะอีกเมื่อผู้ตายเตะ จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมที่ติดตัวไปแทงสวนไปสองสามครั้ง ถูกผู้ตาย ระหว่างนั้นผู้เสียหายเข้าขวางเพื่อห้าง  จึงถูกมีดได้รับบาดเจ็บ ส่วนผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยต่อผู้ตายเป็นการกระทำโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุ แม้จะพลาดไปถูกผู้เสียหายเข้าด้วย ซึ่งตามมาตรา 60 ประมวลกฎหมายอาญา จะถือว่าจำเลยมีเจตนาแทงผู้เสียหายก็ดี แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากจำเลยแทงผู้ตาย เพื่อป้องกันสิทธิพอสมควรแก่เหตุ อันไม่เป็นความผิด  จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1428/2520 ผู้ตายไล่จ้วงแทงจำเลยด้วยมีด ตัวมีดยาวคืบเศษ จำเลยยิงด้วยปืนพก 7.65 มม. 7 นัด เมื่ออยู่ห่าง 1 วา กระสุน 1 นัดพลาดไปถูกผู้อื่นบาดเจ็บ เป็นการกระทำเพื่อป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ความผิดฐานฆ่าคนและพยายามฆ่าคนเป็นกรรมเดียวกัน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 370/2527 จำเลยมีปากเสียงชกต่อย  ค.ด้วยสาเหตุปักใจเชื่อว่า ค.เป็นคนร้ายฆ่าบิดาตน จำเลยสู้ไม่ได้และกลับไปก่อน ต่อมาอีก 30 นาที ค.ขี่รถจักรยานกลับบ้านมี  ป.นั่งซ้อนท้ายไปด้วย จำเลยดักซุ่มอยู่ในป่าข้างทางใช้ปืนแก๊ปยาวที่ถือติดมือมายิง  ค.แต่กระสุนปืนพลาดไปถูก ป.ตายดังนี้เป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. ม.289 (4) ประกอบด้วย ม.60

-          การกระทำโดยพลาดตาม ม 60 ต้องเกิดผลแก่ ผู้เสียหายที่ 2
-          เพราะมาตรา 60 ตามตัวบทต้องมี ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง
-          ยิงดำ เกือบถูกขาว ไม่ต้องรับผิดต่อขาว แต่หากยิงดำ ขาวช็อกตาย ปรับ ม 60 รับผิดต่อขาว (อก/165)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 5438/2538 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่า ส. กระสุนปืนถูก ส. ได้รับอันตรายสาหัส และพลาดไปถูก ว. ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่า ส. และ ว. อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

-          การกระทำโดยพลาดตาม ม 60 ต้องเกิดผลขณะกระทำ
-          ยิงดำลูกขาว ขาวช็อกตาย ขณะ นั้น ปรับ ม 60 แต่หากขาวมาเห็นศพ แล้วช็อกตาย ไม่ปรับ ม 60 (อก/165)

-          การกระทำโดยพลาดตาม ม 60 “เจตนาโอนต้องรับผิดต่อผู้เสียหายที่ 2 ตามเจตนาที่มีต่อผู้เสียหายที่ 1 เช่น
-          ยิงดำ ถูกขาวสาหัส รับผิดต่อขาว ม 288 + 80 + 60 ไม่ใช่ ม 297 (อก/165)
-          ตีดำ ถูกขาวล้มหัวแตกตาย รับผิดต่อขาว ม 290 + 60 ไม่ใช่ ม 288 (อก/166)
-          ตีเมีย ถูกชาวบ้านตาย รับผิดต่อชาวบ้าน ม 290 + 60 447/2510 (อก/166)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 61/2494 น้อยโกรธเมียหลวงเพราะเมียหลวงพูดถ้อยคำบาดหู จึงเอามีดฟันเมียหลวงไปในทันทีทันใดนั้น โดยหมายฟันตรงแขนเมียหลวง แต่เมียหลวงเบนหนี มีดที่ฟันลงจึงไปถูกกลางศีร์ษะเด็กหญิงอายุ 7 เดือนที่เมียหลวงอุ้มพาดตักและแขนเข้า กะโหลกศีร์ษะแตกตาย ดังนี้ วินิจฉัยว่าหากเมียหลวงไม่เบนหนี มีดที่ฟันก็จะถูกแขนเมียหลวงและเมียหลวงก็ไม่ถึงตาย ฉะนั้นเมื่อเกิดพลาดไปถูกเด็กจนถึงตายขึ้น ก็เป็นเรื่องที่ชี้ขาดว่าเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาไม่ได้ คงเป็นความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนาตาม ก..ลักษณะอาญามาตรา 251
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 486/2499 การที่จำเลยกับพวกสมคบกันมาเจตนาจะยิงคู่ปรปักษ์ แม้กระสุนปืนของพวกจำเลยยิงไปจะพลาดพวกปรปักษ์ แต่ไปถูกผู้เสียหายซึ่งมาดูเหตุการณ์เข้าเช่นนี้.จำเลยซึ่งเป็นฝ่ายพวกผู้ถูกยิงย่อมต้องมีผิดฐานพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1917/2511 ความผิดฐานปล้นทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตาม มาตรา 340 วรรคท้ายนั้น หมายถึงบุคคลอื่น มิใช่พวกปล้นด้วยกันเอง จำเลยกับพวกปล้นทรัพย์และใช้ปืนยิงเจ้าทรัพย์บาดเจ็บ กระสุนพลาดไปถูกพวกคนร้ายด้วยกันตาย จำเลยผิดฐานปล้นโดยใช้ปืนยิง และฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา (รับผิดฐานพยายามฆ่าต่อเจ้าทรัพย์ด้วย)

-          .917/2530 “ด้ามปืนตีหัว ปืนลั่น จำเลยตีหัว ว.แตก ปืนลั่นถูก ด.ตาย ส.บาดเจ็บ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 917/2530 จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะ ว.แตกเลือดไหลแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูก ด. ตาย และ ส. ได้รับบาดเจ็บ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ว. ตาม มาตรา 295 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิง เพื่อฆ่าหรือทำร้าย ว. กรณีจึงมิใช่เป็นการที่จำเลยมีเจตนากระทำต่อ ว. แต่ผลของการกระทำผิดเกิดแก่ ด. และ ส. โดยพลาด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 290, 295 ประกอบด้วยมาตรา 60 อย่างไรก็ตาม เมื่อการที่กระสุนปืนลั่นเป็นผลให้ ด.ตายและ ส.ได้รับบาดเจ็บนั้น เป็นเพราะความประมาทของจำเลย ในการใช้ปืนตี ว.จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 291, 390
-          ศาลฎีกาว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ามีเจตนายิงหรือทำร้าย ว.จึงไม่ใช่กรณีเจตนากระทำต่อ ว.แล้วผลเกิดแก่ ด.และ ส.โดยพลาด จึงไม่ปรับ ม.290,295 + 60 แต่เป็นความประมาทจึงปรับ ม.291 ,390 / คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ไม่ได้ชี้ในประเด็นนี้ ว่าเจตนาทำร้ายนี้ โอนได้ แต่ศาลฎีกาไปหยิบเอาผลของการกระทำที่นอกเหนือความตั้งใจเดิม มาวินิจฉัยว่า ไม่ใช่เจตนาฆ่า จึงไม่ใช้หลักเจตนาโอน ตาม ป.อาญา มาตรา 60 ซึ่ง ขาดประเด็นที่ต้องวินิจฉัยในคดีนี้โดยตรง ว่าเจตนาทำร้ายนั้น ต้องโอนไปยังผู้เสียหายที่ 2 ตามมาตรา 60 ด้วย
-          อ เกียรติขจรฯ เห็นว่าการใช้ปืนตีหัว ว.เป็น เจตนาทำร้ายเมื่อผลเกิดแก่ ด.และ ส. แม้จะด้วยวิธีการที่นอกเหนือไปจากเจตนา ก็ยังถือว่าเจตนาโอน
-          รับผิด ต่อ ว. ตาม ม.295+59 .2 หากปืนลั่นถูก ว.บาดเจ็บด้วย ต้องปรับประมาท ม.390+59 .4 / หาก ว.ตาย ปรับ ม.290+59 .4 แล้วจึงปรับด้วย ม.90 / แต่ตามข้อเท็จจริง ว.ไม่บาดเจ็บจากกระสุน ไม่ต้องปรับเรื่องประมาท ทั้งที่ถือว่าเป็นการประมาทด้วย เพราะเรื่องประมาทต้องรับผิดเมื่อผลเกิดเท่านั้น
-          กรณีรับผิดต่อ ด. ปรับบทเช่นเดียวกับกรณี ว.ตาย เพิ่ม ม.60 ตามหลักเจตนาโอน
-          กรณีรับผิดต่อ ส. ปรับ ม.295 + 60 ตามหลักเจตนาโอน และ ม.390 เพราะถือว่าประมาทต่อ ส.ซึ่งส่วนนี้เป็นเรื่องประมาท ไม่ปรับเจตนาโอน แต่หาก ส.อยู่ไกลมาก ไม่เป็นประมาทต่อ ส.แล้ว ก็ไม่ต้องปรับ ม.390
-          แม้การใช้ปืน ตบหน้าผู้อื่น จะเป็นการกระทำที่ขาดความระมัดระวัง แต่ก็ไม่ต้องปรับเป็นเรื่องการกระทำโดยประมาทอีก เพราะกรณีนี้ เป็นการกระทำที่เริ่มด้วยเจตนาทำร้าย จึงขาดองค์ประกอบของการกระทำโดยประมาท ที่บัญญัติว่า "กระทำโดยประมาท ได้แก่ กระทำความผิดมิใช่โดยเจตนา แต่กระทำโดยปราศจากความระมัดระวังฯ"
-          ส่วนที่กระสุนลั่นไปถูก นาย ค. นั้น เมื่อการกระทำเดียวกัน เริ่มด้วยเจตนาทำร้าย แต่ผลของการกระทำไปเกิดกับอีกบุคคลหนึ่งโดยพลาดไป แม้ในกรณีนี้ ผลที่เกิดจากกระสุนลั่น โดยไม่มีเจตนาจะยิงโดยตรง ก็เข้าองค์ประกอบ ป.อาญา มาตรา 60 เพราะเจตนาทำร้ายนั้น โอนได้ และผู้กระทำต้องรับผิดต่อผู้เสียหายทั้งสอง

-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 รับผิดต่อ ผู้เสียหายที่ 1 แม้ผลไม่เกิด ผิด ม 80 และรับผิดต่อผู้เสียหายที่ 2 ปรับ ม 90 (ดู ม 107 2 พยายามฆ่า โทษประหาร) (อก/171)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2852/2531 จำเลยยิงผู้ตายซึ่งอยู่ในกลุ่มคน 2 นัดติดต่อกัน กระสุนปืนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย และพลาดไปถูกคนในกลุ่มคือ ส. ได้รับบาดเจ็บพฤติการณ์ของจำเลยจึงเป็นการกระทำ  เพื่อฆ่าผู้ตายเท่านั้น หาได้มีเจตนาจะฆ่า ส.อีกต่างหากไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 บทหนึ่งและมาตรา 288,80 ประกอบด้วยมาตรา 60 อีกบทหนึ่ง  ไม่ใช่เป็นการกระทำความผิดหลายกระทง

-          การกระทำ โดยสำคัญผิดตาม ม 61 ไม่ต้องรับผิดตาม ม 81 ต่อ ผู้เสียหายที่ ตั้งใจจะทำร้าย แต่รับผิดต่อ ผู้เสียหายที่ ถูกกระทำอย่างเดียว (อก/171)
-          การพยายามกระทำความผิด ซึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ ตาม 81 เกิดจากการกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ได้ เช่น ต้องการยิงดำ แต่ยิงตอไม้ กระสุนถูกขาวตาย รับผิดต่อดำ ม 288+81 และ รับผิดต่อขาว ม 288+60 (อก/171)

-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 เกิดได้หลายวิธี
-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 เพราะบุคคลที่สาม เช่น ยิงผู้เสียหายที่ 1 แต่บุคคลที่สาม ปัดปืน ถูกพวกเดียวกับผู้ยิงเอง ผิด ม 288+60 651/2513 (อก/169)
-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 เพราะผู้เสียหายที่ 1 เช่น ตีดำ ดำหลบ เซไปถูกขาว ขาวหัวแตก รับผิดต่อดำ ม 295+59/2+80 รับผิดต่อขาว 295+60 (อก/169)
-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 เพราะผู้เสียหายที่ 2 เช่น หลอกให้ดำกินยาพิษ แต่ขาวมาหยิบกิน (อก/169)

-          ผู้กระทำ ทำต่อตนเอง แต่ผลเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง ไม่ใช่การกระทำโดยพลาดตาม ม 60
-          ฆ่าตัวตาย มือสั่น ลูกปืนไปถูกขาว ไม่ผิด ม 288 ไม่มีเจตนาฆ่า แต่อาจผิด ม 291 ประมาทได้ (อก/170)



-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ต้อง มีการกระทำต่อ ผู้เสียหายที่ 1 “ถึงขึ้นเป็นความผิด เช่น ม 80
-          การตระเตรียมการวางเพลิงตาม มาตรา 219 แม้มีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่โดยลักษณะของขั้นตระเตรียม ยังไม่เกิดผลของการกระทำ จึงไม่อาจมีกรณีการกระทำโดยพลาดตาม ม ๖๐ ได้ เพราะมาตรา ๖๐ ต้องมี ผลของการกระทำเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง

-          กรณี ตระเตรียมฆ่า แต่ผลเกิดกับบุคคลที่สาม ไม่ใช่พลาด เช่น
-          ซื้อยาพิษมาเก็บไว้ แต่มีคนเอาไปกิน (อก/170)
-          เล็งปืนแล้ว ถูกปัด ถูกผู้เสียหายที่ 2 เป็นการกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 แต่ ชักปืนแล้ว ถูกปัด ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำผิด ปืนลั่นถูกผู้เสียหายที่ 2 ไม่ใช่ ม 60 แต่หากเป็นการกระทำโดยประมาท รับผิดตาม ม 291 ได้ (อก/170)

-          ถ้าประสงค์ต่อผลและเล็งเห็นผลพร้อมกัน แยกเป็นสองเจตนา ยังไม่ปรับ มาตรา 60 แต่ทั้งสองเจตนานั้น อาจพลาดไปเกิดผลกับผู้อื่นอีกได้ กรณีนี้จึงปรับ ม 60 (อก/162,167)

-          การกระทำโดยประมาทเจตนาไม่โอน ให้รับผิดฐานประมาท ตาม ม 59 4 ต่อผู้เสียหายทั้งหมด
-          แกว่งปืนที่สาธารณะ กระสุนไปถูก ก.แล้วแฉลบไปถูก ข.ด้วย (อก/171)/
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1086/2521 ยิงยางรถยนต์พลาด กระสุนถูกรถยนต์ทะลุไปถูกคนในรถ เป็นอันตรายสาหัส เป็นความผิดฐานทำให้เกิดอันตรายสาหัสโดยประมาทตาม ม.300 (ศาลวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ส่วนที่ใช้คำว่าพลาดไปถูกคนในรถนั้น หมายถึง ผลที่เกิดไม่ตรงกับที่ตั้งใจไว้ แต่ไม่ใช่เรื่องการกระทำโดยเจตนาโดยพลาดไปตาม ม 60)

-          การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ใช้กับเจตนาย่อมเล็งเห็นผลด้วย (อ เกียรติฯ 8/240)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 117/2515 จำเลยยิงปืนเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย โดยจำเลยทราบดีว่ามีคนอยู่ในบ้านนั้น กระสุนปืนอาจจะถูกผู้เสียหายและพวกซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ และกระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงได้ทะลุบ้านผู้เสียหาย ไปถูกผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้จำเลยมีความผิด (รับผิดต่อผู้เสียหาย) ตาม มาตรา 288, 80 (+เจตนาย่อมเล็งเห็นผล) (และรับผิดต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ ตาม ม 288 , 80 , 60)

-          การกระทำ โดยเจตนาเท่านั้นที่ เจตนาแรก โอนไปยังผู้รับผล ตาม ม 60 ได้ ส่วน การกระทำโดยประมาทเจตนา ไม่โอน ตาม มาตรา 60 (อ เกียรติฯ 8/240)
-          ประมาทขับรถชนรถดำ ไม่รู้ว่าดำบรรทุกระเบิด เกิดระเบิด ขาวอยู่ริมถนนตาย ไม่ต้องรับผิดต่อขาว / ถือว่าประมาทต่อดำ แต่ผลที่เกิดกับขาว นั้นไม่ถือว่าความประมาทที่มีต่อดำ โอนมายังขาวด้วย เมื่อไม่ได้กระทำโดยประมาทต่อขาว จึงไม่ต้องรับผิดต่อขาว (อ เกียรติฯ 8/240)
-          เห็นว่าเป็นการกระทำโดยประมาท และความตายเป็นผลโดยตรง จากการกระทำโดยประมาท หากจะไม่ต้องรับผิดในผล ก็น่าจะใช้ทฤษฎีเหตุที่เหมาะสม หมายถึงทฤษฎีเดิม ที่ว่าเหตุทุกเหตุ ไม่ได้มีน้ำหนักเท่ากัน จะมีบางเหตุเท่านั้น ที่จะมีน้ำหนัก มีความเหมาะสมเพียงพอที่จะทำให้ผลนั้นเกิดขึ้น การวินิจฉัยก็จะดูว่า เหตุอันนี้กับผลที่เกิดขึ้น มีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ หรือเหตุที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เกิดผลขึ้นมานั้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือไม่ที่จะทำให้เกิดผลอย่างนี้ขึ้นมา / ไม่ได้หมายถึงทฤษฎีเหตุที่เหมาะสม ซึ่งอาจารย์นำมาปรับใช้กับ ม 63 โดยตรง เพราะกรณีนี้ไม่ใช้ ม 63 เนื่องจากความตาย ไม่ใช่ผลแห่งการกระทำผิด ที่ทำให้ผู้กระทำจะต้องรับโทษหนักขึ้น
-          ตัวอย่างที่อาจารย์ยกขึ้นนี้ เทียบกับการที่รถยนต์ของดำ ไม่บรรทุกระเบิด แต่ไถลไปชนเข็นข้างทาง แล้วรถเข็นกระเด็นไปทับขาวที่นอนอยู่ในบ้าน หรือรถเข็นกระเด็นเข้าไปถูกถังแก็สในบ้าน แล้วระเบิดขึ้น ทำให้ขาวตาย กรณีนี้น่าจะพิจารณาในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผล มากกว่าในเรื่องที่ว่าไม่ได้ประมาทต่อขาว
-          ปืนลั่นถูกดำ แฉลบไปถูกขาว ซึ่งอยู่ห่างมาก รับผิดต่อดำ ม 291 เพราะกระทำโดยประมาทต่อดำ แต่ไม่ต้องรับผิดต่อขาว เพราะไม่ได้กระทำโดยประมาทต่อขาว และการกระทำโดยประมาท ไม่อาจโอนความรับผิด ในกรณีกระทำโดยพลาดตาม ม 60 ได้ เพราะใช้กับการกระทำโดยเจตนาเท่านั้น (อ เกียรติฯ 8/240)

-          กรณี ขาดองค์ประกอบความผิดไม่ใช่พลาด
-          จะฆ่า ก ยิงไปที่ศพ ก.แล้วไปถูก ข หรือ จะยิงสัตว์เลี้ยงของ ก.แต่ยิงสัตว์เลี้ยงตัวเอง แล้วไปถูกสัตว์ของ ข. (อก/172) หรือจะยิงสัตว์ของ ก แต่ยิง ข ซึ่งอยู่หลังพุ่มไม้ (รับผิด ต่อ ทายาทของ ก. .358+81 ต่อ ข.ปรับ ม 59 3 ขาดองค์ประกอบ ผู้อื่น”) (อก/179)
-          (เทียบ การพยายามกระทำความผิด ซึ่งไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ ตาม 81 เกิดจากการกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ได้ เช่น ต้องการยิงดำ แต่ยิงตอไม้ กระสุนถูกขาวตาย รับผิดต่อดำ ม 288+81 และ รับผิดต่อขาว ม 288+60 (อก/171))

-          กรณีเจตนาแรก เป็นเจตนาพิเศษ (เช่น ม 67 , 68 , 72) แล้วพลาด เจตนาโอน แต่หากไม่มีเจตนาพิเศษ การกระทำโดยพลาด ตาม ม 60 ไม่ต้องดูเจตนาพิเศษ เพราะไม่ต้องรับผิด (อก/172)
-          ยิงโดยป้องกัน ตาม ม 68 ต่อแดง แดงหลบ ถูกขาวตาย อ้าง ม 68 ต่อขาวได้ ฎ 205/2516 แต่หากเกิดจากประมาท รับผิด ม 291 ต่อขาวด้วย (อก/173)
-          มีเหตุจำเป็นต้องยิงดำ ม 67  ยิงแล้ว ดำหลบทัน พลาดไปถูก ขาว (รับผิด ต่อดำ ม 59+80+288 อ้าง ม 67 และต่อขาวปรับมาตราเดียวกัน เพิ่ม ม 60) แต่หากดำหลบแล้วกระสุนไปถูกทรัพย์ของขาว กรณีขาวไม่ใช่เรื่องพลาด (วัตถุต่างประเภท เจตนาไม่โอน 60) จึงไม่ต้องรับผิดต่อขาว และไม่ต้องพิจารณาเจตนาโอน (อก/174)

-          กรณีเป็นเจตนาป้องกัน บันดาลโทสะ แล้วพลาด อ.จิตติ ให้ดูประมาทอีกประเด็นหนึ่ง (เน 47/8/23)

-          ฐานะหรือความสัมพันธ์ (อก/176)
-          เจตนาทำ บุคคลธรรมดา            ผลเกิดแก่บิดา หรือเจ้าพนักงาน   ถือว่าเจตนาทำต่อบุคคลธรรมดา (อก/176)
-          เจตนาทำ บิดา                          ผลเกิดแก่ มารดา                       รับผิดเต็ม ไม่นอกเหนือเจตนา (อก/176)
-          เจตนาทำ เจ้าพนักงาน               ผลเกิดแก่ เจ้าพนักงานอื่น            รับผิดเต็ม ไม่นอกเหนือเจตนา (อก/176)
-          เจตนาทำ บิดา                          ผลเกิดแก่ เจ้าพนักงาน
-          หรือ เจตนาทำ เจ้าพนักงาน ผลเกิดแก่บิดา                           รับผิดเพียง บุคคลธรรมดา” (อก/177)
-          เจตนาทำ บิดา หรือ เจ้าพนักงาน แต่ผลเกิดแก่บุคคลธรรมดา         รับผิดเท่าบุคคลธรรมดา (ไม่ต้องกล่าวถึงเจตนาแรก))

-          กรณีโทษหนัก แต่ไม่ใช่เรื่องฐานะหรือความสัมพันธ์ของบุคคล
-          ทำลายทรัพย์ ผลเกิดแก่ทรัพย์สาธารณะ รับผิด ม 358+60 ไม่ใช่ ม 360+60 ไม่ปรับ ม 60 ตอนท้าย (อกว่า ม 60 ตอนท้าย ไม่จำเป็นต้องมี) (62 3 สามารถปรับใช้ได้ทุกกรณี) (อก/177)

-          การกระทำ โดยสำคัญผิดตาม ม 61 มีการพลาด ตาม ม 60 ได้ (อก/178)
-          ประสงค์จะยิงแดง แต่ยิงดำโดยสำคัญผิดว่าเป็นแดง กระสุนแฉลบไปถูกขาวด้วย

-          ผลอาจเกิดขึ้นตามเจตนา ก็ต้องรับผิด แม้ผลจะเกิดด้วยเหตุอันนอกเหนือเจตนา
-          ยิงรูปปั้นคิดว่าเป็นดำ กระสุนแฉลบ ถูกดำตาย (อก/178)

-          เจตนาแรก อาจเป็นเจตนาประสงค์และเล็งเห็นผลในขณะเดียวกันได้
-          ตั้งใจขว้างกระจก คาดว่าจะถูกหัวดำ ผลเกิด แจกันของเหลืองแตก แจกันล้ม ถูกเขียวหัวแตกด้วย (อก/179)
-          ตั้งใจยิง สัตว์ของดำ แต่ยิงขาว ซึ่งอยู่หลังพุ่มไม้ (รับผิด ต่อ ดำ ม 358+81 ต่อ ขาว ปรับ ม.59 .3 ขาดองค์ประกอบ ผู้อื่นแต่อาจเป็นการกระทำโดยประมาท ตาม ม 59 4 ได้) เช่น กระสุนพลาดไปถูก เหลือง และแมวของเขียว ตายหมด (อาจรับผิดต่อเหลือง ม 291 ได้ (กรณีเหลือง ไม่ปรับ ม 60 เพราะวัตถุที่ถูกกระทำเป็นคนละประเภท) รับผิดต่อเขียว ม 60+358 (อก/179)

-          ประเด็นตามกฎหมายวิธีพิจารณาความ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 2145/2499 ฟ้องว่าจำเลยยิง ก.ตายโดยเจตนา ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเจตนายิง ข. แต่พลาดไปถูก ก. ตายเช่นนี้ ถือว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้อง ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้ศาลลงโทษจำเลยตาม ก..อาญา ม.44 ก็ต้องบรรยายลงไว้ในฟ้องให้ชัดเจน. (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 6/2500)
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1182/2512 (สบฎ เน 2071) บรรยายฟ้องว่า "เจตนาฆ่านายทองหล่อ" แต่กระสุนพลาดถูกนายรอด แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่า "เจตนาฆ่านายรอด" จำเลยผิดฐานฆ่านายรอดตายโดยเจตนา ม 288

-          1. ต้องมีผู้ถูกกระทำ 2 ฝ่ายขึ้นไป
-          2. ผู้กระทำจะ ต้องไม่ ประสงค์ต่อผลต่อบุคคลผู้ได้รับผลร้าย และ ต้องไม่ เล็งเห็นผลว่าจะเกิดแก่บุคคลซึ่งได้รับผลร้าย ... (หากเล็งเห็นผล ก็เป็นเจตนาตามมาตรา 59)
-          3. การที่ไปเกิดแก่ผู้ได้รับผลร้ายนั้น ไม่ต้องคำนึงว่าผู้กระทำจะประมาทหรือไม่ กล่าวคือ แม้ประมาทก็ถือว่าผู้กระทำมีเจตนาต่อผู้ได้รับผลร้าย แม้ไม่ประมาทก็ถือว่าผู้กระทำก็มีเจตนาต่อผู้รับผลร้ายเช่นกัน
-          4. หากผู้กระทำได้กระทำต่อวัตถุแห่งการกระทำ อันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดฐานหนึ่ง ซึ่งผู้กระทำรู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบภายนอนนั้นแล้ว แต่ผลของการกระทำไปเกิดแก่วัตถุแห่งการกระทำ อันเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดอีกฐานหนึ่ง ซึ่งผู้กระทำไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบนั้นมาก่อน เช่นนี้ไม่ถือว่าเป็นการกระทำโดยพลาด (ฎ 1086/21 ยิงยางรถยนต์พลาด กระสุนถูกรถยนต์ทะลุไปถูกคนในรถเป็นอันตรายสาหัส เป็นความผิดฐานทำให้เกิดอันตรายสาหัสโดยประมาทตาม ม.300)
-          5. หากกระทำโดยเจตนาต่อทรัพย์ของบุคคลหนึ่ง แต่ผลไปเกิดแก่ทรัพย์ของอีกบุคคลหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60 ได้เช่นกัน
-          6. แม้ผลจะเกิดแก่ผู้เสียหายฝ่ายแรกสมเจตนาของผู้กระทำ หากผลไปเกิดแก่ผู้เสียหายอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นการกระทำโดยพลาดด้วยเช่นกัน (
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1937/2522 ยิง 4-5 นัด เจตนาฆ่า ก. กระสุนถูก ก. ตาย ถูก ส.อันตรายสาหัส เป็นความผิดตาม ป.อ.ม. 288 กับ ม.288, 80 อีกบทหนึ่ง คำพิพากษาต้องอ้างความผิดทั้ง 2 บท ให้ลงโทษตาม ม.288 บทหนัก)
-          7. การกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60 จะต้องมีผลเกิดขึ้นแก่ผู้เสียหายฝ่ายที่สอง
-          8. เจตนาตามมาตรา 60 คือเจตนาโอนหากเจตนาในตอนแรกเป็นเจตนาฆ่า เจตนาที่โอนมาก็เป็นเจตนาฆ่า หากเจตนาในตอนแรกเป็นเจตนาทำร้าย เจตนาที่โอนมาก็เป็นเจตนาทำร้ายเช่นกัน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 447/2510 จำเลยกับภรรยาโต้เถียงกัน แล้วจำเลยใช้ไม้ไผ่ซึ่งมีขนาดโตกว่าหัวแม่มือนิดหน่อย ยาวประมาณ 1 วา ตีภรรยา แต่ตีหนักมือไป ทำให้พลาดถูกนางบุญสืบซึ่งภรรยาของจำเลยยืนเกาะหลังอยู่ถึงแก่ความตาย เมื่อภรรยาจำเลยหนีไปแล้ว จำเลยก็มิได้ตีซ้ำอีก ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยกระทำโดยไม่รู้สำนึกในการกระทำ และมิได้ประสงค์ต่อผลหรือย่อมเล็งเห็นผลว่านางบุญสืบอาจถึงแก่ความตายเพราะการกระทำของจำเลยได้ จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าคนโดยไม่เจตนาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 917/2530 จำเลยใช้ด้ามปืนตีศีรษะ ว.แตกเลือดไหลแล้วกระสุนปืนลั่นไปถูก ด.ตาย และ ส. ได้รับบาดเจ็บ จำเลยย่อมมีความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ว. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาใช้ปืนยิงเพื่อฆ่าหรือทำร้าย ว. กรณีจึงมิใช่เป็นการที่จำเลยมีเจตนากระทำต่อ ว. แต่ผลของการกระทำผิดเกิดแก่ ด. และ ส. โดยพลาด จำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรา 290, 295 ประกอบด้วยมาตรา 60 อย่างไรก็ตาม เมื่อการที่กระสุนปืนลั่นเป็นผลให้ ด.ตายและ ส.ได้รับบาดเจ็บนั้นเป็นเพราะความประมาทของจำเลยในการใช้ปืนตี ว.จำเลยจึงมีความผิดตามมาตรา 291, 390)
-          9. หากเจตนาในตอนแรกเป็นเจตนาประเภทไตร่ตรองไว้ก่อน เจตนาที่โอนมายังผู้ได้รับผลก็เป็นเจตนาไตร่ตรองไว้ก่อนเช่นกัน
-          10. การที่ผลไปเกิดแก่ผู้เสียหายอีกฝ่ายหนึ่งโดยพลาดนั้นอาจเกิดได้หลายวิธีด้วยกัน
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 651/2513 จำเลยชักปืนสั้นออกมาง้างนกขึ้นจ้องจะยิง ส. ซ.พวกของจำเลยรีบเข้าปัดปืนให้เฉไปเสีย กระสุนปืนที่ลั่นออกมาจึงไปถูก จ. พวกของจำเลยถึงแก่ความตาย จำเลยก็มีความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนา
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 870/2526 ผู้เสียหายกับจำเลยทะเลาะกัน ในที่สุดจำเลยชักปืนเล็งไปที่หน้าอกผู้เสียหาย และขึ้นนกจะยิงในระยะห่างประมาณ 1 เมตรเศษ สามีจำเลยเข้าจับมือกดลงต่ำ ปืนลั่นกระสุนถูกผู้อื่นที่เท้า ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานพยายามฆ่า
-          11. หากผู้กระทำได้กระทำต่อตนเอง แต่ผลไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง ก็ไม่ใช่การกระทำโดยพลาด
-          12. กรณีที่จะถือว่าเป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60 ได้นั้น ผู้กระทำจะต้องได้กระทำการโดยเจตนาต่อบุคคลฝ่ายแรกถึงขึ้นที่จะเป็นความผิดเสียก่อน เช่น ถึงขั้นลงมือตามมาตรา 80 หรือตระเตรียมในบางกรณี เช่น ตระเตรียมวางเพลิงเผาทรัพย์ หากการกระทำในตอนแรกโดยเจตนานั้นยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นความผิด แม้ผลเกิดแก่บุคคลที่สาม ก็มิใช่การกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 1961/2528 การวิวาท หมายถึง การสมัครใจเข้าต่อสู้ทำร้ายกัน คำพูดของจำเลยที่ว่าการย้ายตำรวจต้องมีขั้นตอน ต้องมีคณะกรรมการอย่าไปเชื่อให้มากนัก เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นในการสนทนาเท่านั้น มิได้มีข้อความใดที่เป็นการท้าทายให้ผู้ตายหรือผู้เสียหายออกมาต่อสู้ทำร้ายกับจำเลย จะถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายก่อเหตุวิวาทมิได้ / หลานผู้ตายใช้ขวดตีจำเลยที่ทัดดอกไม้จนเข่าทรุดร่วงตกจากเก้าอี้ ผู้ตายเข้าไปล็อคคอและดึงคอเสื้อจำเลยไว้ พร้อมกับพูดว่าเอาให้ตายและมีคนอีกกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาจะรุมทำร้ายจำเลย จำเลยสะบัดหลุดแล้วชักปืนออกมาขู่ โดยหันปากกระบอกปืนขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนว่าอย่าเข้ามา ทันใดนั้นมีคนเข้ามาตะปบปืนในมือจำเลยเพื่อจะแย่งปืน ปืนลั่นขึ้น 1 นัด กระสุนถูกผู้ตายล้มลงถึงแก่ความตาย จำเลยวิ่งหนี แต่คนกลุ่มนั้นวิ่งไล่ตามจะทำร้ายจำเลย จำเลยยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าอีก 1 นัด แล้ววิ่งไปได้หน่อยหนึ่งก็หมดสติล้มลง กระสุนปืนนัดที่สองพลาดไปถูกผู้เสียหายบาดเจ็บสาหัส เมื่อจำเลยเจตนายิงขึ้นฟ้าเพื่อขู่แล้ว ก็ถือไม่ได้ว่ามีเจตนาฆ่า จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้ตายหรือพยายามฆ่าผู้เสียหาย และจะถือว่าจำเลยกระทำให้ผู้อื่นตายโดยประมาทหรือรับอันตรายสาหัสโดยประมาทมิได้)
-          13. การกระทำโดยเจตนาต่อผู้เสียหายฝ่ายแรกนั้น หากผลไม่เกิดแก่ผู้เสียหายฝ่ายแรกตามเจตนาของผู้กระทำ ผู้กระทำต้องรับผิดฐานพยายามตามหลักทั่วไป
-          14. การกระทำโดยเจตนาต่อผู้เสียหายฝ่ายแรกนั้น อาจเป็นเจตนาเล็งเห็นผล ก็ได้ หากพลาดไปถูกผู้เสียหายฝ่ายที่สองก็เป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60
-          (ฎีกาที่ 117/2515 จำเลยยิงปืนเข้าไปในบ้านผู้เสียหาย โดยจำเลยทราบว่ามีคนอยู่ในบ้านนั้นกระสุนปืนอาจจะถูกผู้เสียหายและพวกซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังนั้นได้ และกระสุนปืนที่จำเลยใช้ยิงได้ทะลุบ้านผู้เสียหายไปถูกผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่งได้รับบาดเจ็บ เช่นนี้ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80)
-          15. “เจตนาเท่านั้นที่สามารถโอนได้ ตามมาตรา 60 ส่วน ประมาทโอนไม่ได้
-          16. หากผู้กระทำมีเจตนากระทำต่อบุคคลหนึ่ง แต่ความจริงเป็นเรื่องขาดองค์ประกอบความผิดภายนอกของความผิด แม้ผลจะไปเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่ง ก็ไม่ถือเป็นการกระทำโดยพลาดตามมาตรา 60
-          17. หากเจตนาในตอนแรกเป็นเจตนาพิเศษเพื่อป้องกันสิทธิตามมาตรา 68 เจตนาพิเศษในเรื่องจำเป็นตามมาตรา 67 หรือเจตนาพิเศษในเรื่องบันดาลโทสะตามมาตรา 72 แม้จะมีการกระทำโดยพลาดเกิดผลแก่ผู้เสียหายอีกฝ่ายหนึ่ง เจตนาพิเศษในตอนแรกดังกล่าวก็โอนไปด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 205/2516 ผู้ตาย ผู้เสียหาย และจำเลย ร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา แล้วผู้ตายกับจำเลยทะเลาะกัน ผู้เสียหายจึงชวนจำเลยกลับบ้าน ผู้ตายตามมาต่อยและเตะจำเลยจนล้ม ลุกขึ้นก็ยังถูกเตะอีกเมื่อผู้ตายเตะ จำเลยก็ใช้มีดปลายแหลมที่ติดตัวไปแทงสวนไปสองสามครั้ง ถูกผู้ตาย ระหว่างนั้นผู้เสียหายเข้าขวางเพื่อห้าง จึงถูกมีดได้รับบาดเจ็บ ส่วนผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยต่อผู้ตายเป็นการกระทำโดยป้องกันพอสมควรแก่เหตุ แม้จะพลาดไปถูกผู้เสียหายเข้าด้วย ซึ่งตามมาตรา 60 ประมวลกฎหมายอาญา จะถือว่าจำเลยมีเจตนาแทงผู้เสียหายก็ดี แต่การกระทำของจำเลยก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากจำเลยแทงผู้ตาย เพื่อป้องกันสิทธิพอสมควรแก่เหตุ อันไม่เป็นความผิด จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายด้วย
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 892/2515 จำเลยตั้งใจยิงคนร้ายที่ปล้ำอยู่กับบุตรสาวและบุตรเขยของจำเลยในน้ำลึกถึงเอว เพื่อช่วยเหลือบุตรสาวและบุตรเขยให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้าย อันละเมิดต่อกฎหมายที่กำลังมีอยู่โดยไม่พินิจพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อนว่าคนไหนเป็นคนร้าย คนไหนเป็นบุตรสาวบุตรเขย คนร้ายมีอาวุธอะไรหรือไม่ เมื่อลูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงพลาดไปถูกบุตรเขยถึงแก่ความตาย การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาเพื่อป้องกันผู้อื่นเกินสมควรแก่เหตุ
-          คำพิพากษาฎีกาที่ 222/2513 พี่สาวจำเลยกับ ฉ. ด่าท้าท้ายและจะทำร้ายกันจำเลยจึงถือปืนลูกซองยาวบรรจุกระสุนปืนพร้อมเข้าไปยืนห่าง ฉ. เพียง 3 วา เป็นเชิงท้าทาย เมื่อ ฉ. ดังนี้ จำเลยจะอ้างว่าป้องกันตัวไม่ได้ และเมื่อกระสุนปืนที่จำเลยยิงไปนั้นยังพลาดไปถูก ป.ถึงแก่ความตาย จำเลยก็มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นอีกด้วย)



-          ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 60
-          (ขส เน 2512/ 5) กรอบจะยิงตัวตาย แต่ไกปืนแข็ง ให้กล่ำจับปืน โดยกรอบเหนี่ยวไกเอง / กระสุนไม่ถูกกรอบ แต่กระสุนพลาดไปถูกนายก้อนบาดเจ็บ / กรอบไม่ผิด ม 288 เพราะเป็นการฆ่าตนเอง แม้กระสุนพลาดไปถูกก้อน ก็ไม่ใช่การกระทำโดยพลาดตาม ม 60 ทั้งไม่ปรากฏว่ากรอบกระทำโดยปราศจากความระมัดระวัง ในผลร้ายที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น จึงไม่เป็นการทำให้ก้อนได้รับบาดเจ็บโดยประมาท / กล่ำผิดฐานพยายามฆ่ากรอบ ม 288+80 และผลร้ายเกิดขึ้นแก่นายก้อนโดยพลาด กล่ำจึงผิดฐานพยายามฆ่าก้อนด้วย ตาม ม 288+80+60

-          (ขส พ 2515/ 6) แดงข่มเหงดำ ดำบันดาลโทสะแทงแดง พลาดไปถูกเขียว เขียวโกรธวิ่งไปเอาปืนที่บ้านมายิงดำ แต่ลืมบรรจุกระสุนปืนไว้ / ดำผิด ม 295,60 อ้างบันดาลโทสะได้ ม 72 1682/2509 / เขียวผิด ม 288,81 อ้างบันดาลโทสะได้ ม 72 247/2478
-          (ขส 2519/ 6) ดินเอาก้อนหินขว้างน้ำ น้ำหลบหัวชนเรือ ตกน้ำตาย ดินผิด ม 290 เพราะดินมีเจตนาทำร้าย น้ำหลบ คิ้วแตกเป็นผลจากการกระทำของดิน ฎ 895/2509 / ไม่มีเจตนาฆ่า ฎ 150/2489 / ก้อนหินถูกตะเกียง ไม่ผิด ม 358 เพราะไม่มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ ไม่อาจเล็งเห็นผล และไม่มีกฎหมายให้ต้องรับผิดกรณีทำให้เสียทรัพย์โดยประมาท ทั้งไม่ใช่ ม 60
-          (ขส พ 2523/ 8) อู๋หยุดรถให้เม้งแซง แล้วหักรถให้ท้ายรถปัดถูกหน้ารถเม้ง เกือบตกถนนสูงประมาณครึ่งเมตร หน้ารถพัง เม้งชักปืนยิงอู๋ กระสุนพลาดไปถูกผู้โดยสารในรถอู๋ / อู๋ผิด ม 358 ถนนสูง ย่อมคาดหมายได้ว่าถ้าตกถนน จะได้รับอันตราย อู๋เล็งเห็นผลได้ จึงผิด ม 295+80 1003/2512 / เม้งยิงอู๋ขณะโทสะ กระสุนพลาดไป ผิด ม 288+80+60+72 ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดเพียงใดก็ได้ ฎ 1682/2509

-          (ขส อ 2519/ 7) ตีสลบ คิดว่าตายแล้ว เอาไปแขวนพรางคดี ผิด ม 290 1395/2518 (ไม่ผิด ม 199 + 80+81  / + ปวิอ ม 150 ทวิ เพราะขาดองค์ประกอบภายนอก ตอนเคลื่อนย้ายร่างผู้เสียหาย ผู้เสียหายยังไม่ตาย จึงไม่มีศพ และการพรางศพ ตามองค์ประกอบภายนอก)
-          (ขส อ 2522/ 5) ใหญ่ชกโต โตหลบ เซไปถูกเล็ก ใหญ่ ผิด ม 295+60
-          (ขส อ 2523/ 5) ใหญ่ไปแอบซุ่มยิง แต่ยิงผิดคนโดยสำคัญผิด ถูกนายโต เป็นรอยไหม้ แล้วเลยไปถูกบิดานายใหญ่ สาหัส / ต่อโต ผิด ม 289 (4) + 80 + 61 70/2493 / ต่อบิดา ผิด ม 289 (4) + 60 + 61 ไม่รับผิด ม 289 (1) / เป็นกรรมเดียว จะโทษพยายามฆ่าโต หรือบิดาก็ได้ โทษเท่ากัน ฎ 241-2/2504
-          (ขส อ 2529/ 5) ดักยิงขโมย แต่ยิงเงาต้นไม้ โดยสำคัญผิด พลาดไปถูกม้าแดงตาย และแดงตกม้าสาหัส / ซุ่มยิง ผิด ม 289 (4) + 81 ไม่เป็นป้องกัน ม 68 / ถูกม้าแดงตาย ไม่มีเจตนา ม 358 ไม่ผิด (และไม่ใช่พลาด ม 60 ต่างเจตนา) / แดงสาหัส ผิด ม 300
-          (ขส อ 2530/ 2) ปืนตีหัว ลั่นไปถูกผู้อื่น ตายและสาหัส / ตีหัว ม 295 / ปืนลั่น ไม่เจตนา ไม่ใช่พลาด ม 288+297+60 / แต่เกิดจากประมาท ม 291+300 / + 371 / + 291+295+300 + 90 และ ม 371 91
-          (ขส อ 2530/ 5) ราษฎรจับผู้ร้าย ขณะกำลังลักทรัพย์ แล้วคุมตัว เพื่อส่งให้ตำรวจ พี่ชายของผู้ต้องหา มาช่วยเหลือในขณะนั้น ผิด ตาม ม 191 + 81 (ธงคำตอบ ออกแนวว่าไม่ถือว่าขาดองค์ประกอบภายนอก แต่ถือว่าไม่บรรลุผลได้อย่างแน่แท้)
-          (ขส อ 2531/ 5) ชักปืนเล็งเล็ก ถูกปัด ปืนลั่น เบิ้มตาย คนชักปืน ผิด ม 288 + 80 + 60 คนปัด ไม่ผิด เพราะไม่มีเจตนาฆ่า และไม่ถือว่าประมาท เพราะกระทันหันเพื่อช่วยชีวิต เป็นกรณีเร่งด่วน จะใช้ความระมัดระวังไม่ให้ถูกผู้อื่นด้วย คงทำไม่ได้
-          (ขส อ 2533/ 3) ขาวขว้างหินและยิงปืนเข้าไปในบ้าน แดงยิงเป็นการป้องกัน ไม่ผิด ตาม ม 68 ดำภรรยาเข้าไปปัดปืน ปืนลั่นถูกบิดาแดง แดงไม่ผิด ไม่ต้องรับผลจากการที่กระสุนไปถูกเขียว (เล็งแล้ว ปืนลั่น เป็นพลาด ม 60 ได้ ดู อ เกียรติขจร / เรื่องนี้ตรวจดูว่า ถึงขั้นลงมือหรือยัง หรือปืนลั่นก่อนยกขึ้นเล็ง )

ไม่มีความคิดเห็น: