ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“ทหารตำรวจอาวุธปืน”

๑.จำเลยรับราชการทหารมาก่อน เป็นผู้คุ้นเคยและสันทัดจัดเจนการใช้อาวุธปืน ย่อมทราบความรุนแรงของอาวุธว่าหากถูกอวัยวะสำคัญย่อมทำให้เสียชีวิตได้ การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงที่ท้องและหน้าอกหลายนัดซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญด้วยความโกรธที่ผู้เสียหายไม่ยอมทำตามที่จำเลยต้องการ ถือมีเจตนาฆ่า คำพิพากษาฏีกา ๑๐๔๐/๒๕๔๘
๒.จำเลยเป็นตำรวจย่อมทราบว่าอาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรงที่สามารถทำอันตรายแก่ชีวิตได้โดยง่าย แต่ยังเอาอาวุธปืนมาขมขู่ผู้ตายโดยจ่อไปที่ศรีษะผู้ตาย ย่อมเล็งเห็นได้ว่าอาวุธปืนอาจลั่นถูกผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ผู้ตายได้ปัดป้องให้ตัวเองพ้นแต่ปืนลั่นถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำโดยเจตนาฆ่า คำพิพากษาฏีกา ๗๖๖๙/๒๕๔๙
ข้อสังเกต ๑. ปืนเป็นอาวุธร้ายแรงที่สามารถทำอันตรายชีวิตได้ การใช้ปืนยิงถือมีเจตนาฆ่า ยิ่งเป็นทหารซึ่งมีความคุ้นเคยและสันทัดในการใช้อาวุธยิ่งต้องทราบความรุนแรงในอาวุธดังกล่าว การใช้ปืนยิงไปที่หน้าท้องและที่หน้าอกหลายครั้งโดยอวัยวะดังกล่าวเป็นอวัยวะสำคัญอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ ประกอบเหตุที่ยิงเพราะไม่พอใจที่ผู้เสียหายที่ไม่ยอมทำตามที่จำเลยต้องการ เหล่านี้ส่อให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนายิงผู้ตายให้ถึงแก่ความตาย
๒.เป็นตำรวจย่อมคุ้นเคยการใช้อาวุธและทราบถึงความรุนแรงของอาวุธปืนได้ แม้จะนำออกมาขมขู่โดยการจ่อไปทางศรีษะผู้ตาย แม้จะมีเจตนาฆ่าหรือไม่มีเจตนาฆ่าก็ตามแต่ก็เล็งเห็นได้ว่าหากอาวุธปืนลั่นขึ้นมากระสุนต้องถูกที่ศรีษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญทำให้ถึงแก่ความตายได้ทั้งการเอาปืนจี้ในระยะใกล้ความรุนแรงของปืนย่อมมีมากขึ้นกว่าการยิงในระยะไกล จำเลยเล็งเห็นได้ว่า บุคคลที่ถูกเอาอาวุธปืนจ่อที่ศรีษะย่อมพยายามหาทางให้ปากกระบอกปืนพ้นจากตัวเอง หาทางให้วิถีกระสุนปืนพ้นจากตัวเอง จึงไม่แปลกที่ผู้ตายพยายามปัดป้องอาวุธปืนให้พ้นไปจากศรีษะของตน จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าหากผู้ตายปัดป้องอาวุธปืน อาวุธปืนอาจลั่นถูกผู้ตายได้ เมื่อผู้ตายปัดป้องจนอาวุธปืนเกิดลั่นถูกผู้ตายถึงแก่ความตายต้องถือจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลได้ การกระทำดังกล่าวมิใช่การกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายแต่อย่างใดไม่
๓.ในการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจการเข้าจับกุมตรวจค้นก็ไม่มีกฎหมายใดให้อำนาจตำรวจใช้อาวุธปืนจี้ที่ศรีษะผู้ถูกจับกุมเพื่อที่จะทำการจับกุม หากมีการกระทำดังกล่าวแล้วปืนลั่นต้องถือมีเจตนาฆ่าโดยเจตนาย่อมเล็งเห็นผลได้ จะถือว่าการใช้อาวุธปืนจี้ที่ศรีษะเป็นวิธีการหนึ่งในการจับกุมหาได้ไม่เพราะปืนอาจลั่นได้ตลอดเวลา คงไม่มีตำรวจคนใดใช้ปืนจี้ที่ศรีษะโดยนิ้วไม่ได้เข้าไปอยู่ในโกร่งไกลปืน การเอาปืนจี้ไปที่บุคคลโดยนิ้วไม่ได้อยู่ในโกร่งไกลปืนย่อมไม่มีผลไม่มีประสิทธิ์ภาพที่จะทำให้คนกลัวได้ การที่เอานิ้วใส่ไปในโกร่งไกลปืนปืนอาจลั่นได้ทุกขณะ ซึ่งหากปืนลั่นขึ้นมาก็ถือเป็นการเข้าจับกุมที่รุนแรงเกินกว่าเหตุที่จะจับกุมทั้งไม่มีภยันตรายใดๆที่จะเกิดแก่ผู้จับกุมจนผู้จับกุมต้องใช้อาวุธปืนในการป้องกันตัวและในการเข้าจับกุม ยิ่งหากผู้ถูกจับกุมไม่มีอาวุธด้วยแล้วการเข้าจับกุมโดยใช้อาวุธปืนจ่อที่ศรีษะย่อมเป็นการกระทำที่เกินเลยเกินกว่าเหตุไป และหากผู้ถูกจับกุมมีคนเดียวแต่มีตำรวจหลายนายเข้าจับกุมแล้วใช้ปืนจ่อที่ศรีษะด้วยแล้วย่อมเป็นการเข้าจับกุมด้วยวิถีทางที่เกินเลยกว่ากรณีที่จำเป็นต้องเข้าจับกุม
๔.ในกรณีที่ผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานตำรวจโดยมีทหารเข้าร่วมในการจับกุมด้วยก็เช่นกันยิ่งเป็นอาวุธปืนยาวที่ใช้ในการสงครามเข้าทำการจับกุม หรือเป็นกรณีผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองที่เข้าจับกุมโดยมีอาสาสมัคร(อส.) เข้าร่วมในการจับกุมโดยใช้อาวุธสงครามเข้าร่วมในการจับกุมก็เช่นกัน สมัยผมรับราชการที่จังหวัดสกลนครมีอาสาสมัคร(อส)ร่วมกับฝ่ายปกครองเข้าทำการจับกุมผู้ลักลอบตัดไม้ คนร้ายหลบหนี อาสาสมัคร(อส)ใช้อาวุธปืนเอสเค ๓๓ ยืนบนท้ายรถกระบะไล่ยิงคนร้าย ก็เป็นการจับกุมที่เกินเลย ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือผู้ช่วยเจ้าพนักงานอื่น การที่ใช้อาวุธปืนไล่ยิงคนร้ายที่หลบหนี แม้มีเจตนายิงที่ล้อรถ แต่ก็คาดหมายหรือเล็งเห็นผลได้ว่า กระสุนปืนอาจถูกคนที่อยู่ในรถได้เพราะรถเคลื่อนที่ไม่ได้อยู่นิ่งและรถเจ้าหน้าที่ที่ไล่ตามก็เคลื่อนที่ด้วยเช่นกัน หากยิงไม่แม่นแล้วกระสุนถูกคนร้ายตาย หากไม่ปรากฏว่าคนร้ายได้ใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ก่อนแล้วก็ต้องถือว่ามีเจตนาฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผลได้ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะกลายเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยได้ในความผิดฐานพยายามฆ่าหรือฆ่าคนตายโดยเจตนาประสงค์ต่อผลหรืออาจเป็นเจตนาย่อมเล็งผลแล้วแต่กรณีไป

ไม่มีความคิดเห็น: