ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“ไม่ใช่เศษเหล็กที่ต้องส่งมอบ”

สัญญาซื้อขายรถยนต์มีว่า จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ซึ่งมีเครื่องยนต์อยู่ในสภาพใช้เดินได้ เห็นว่า เป็นสัญญาส่งมอบรถยนต์ในสภาพที่เป็นรถยนต์ ไม่ใช่เศษเหล็ก และต้องส่งมอบรถให้อยู่ในสภาพให้ใช้งานได้ ซึ่งหมายความว่า จำเลยต้องทำการตามที่จำเป็นเพื่อให้โจทก์ได้จดทะเบียนรถนั้น เพราะถ้าไม่ได้จดทะเบียน รถนั้นก็ใช้การไม่ได้ แม้การจดทะเบียนไม่ใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ แต่การจดทะเบียนก็เป็นการจำเป็นแก่การใช้รถนั้น เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานไม่ยอมจดทะเบียนรถพิพาทให้โจทก์ โดยจำเลยไม่ไปรับรองต่อนายทะเบียน จึงเป็นหน้าที่จำเลยต้องไปรับรองการจดทะเบียนนั้นด้วย คำพิพากษาฏีกา ๗๖/๒๔๙๖
ข้อสังเกต ๑.การทำนิติกรรมสัญญา หากไม่ได้มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย หรือขัดกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแล้วสามารถตกลงทำนิติกรรมสัญญากันได้ ดังนั้นข้อสัญญาที่ว่า “ จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ที่อยู่ในสภาพใช้เดินได้” นั้นเป็นข้อสัญญาที่ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ไม่เป็นการพ้นวิสัยที่จะกระทำได้ และไม่ขัดกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีงามของประชาชน จึงเป็นข้อสัญญาที่สามารถตกลงกันได้ โดยมีความหมายว่า การซื้อรถเก่าหรือซากรถหรือหรือรถโบราณซื้อในสภาพที่รถนั้นสามารถวิ่งได้ ไม่ได้หมายความว่า ซื้อเศษเหล็กโครงรถโบราณ โครงรถเก่า หรือซากรถ มาตั้งโชว์ที่บ้านแต่อย่างใด จึงเป็นหน้าที่ของผู้ขายต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้รถวิ่งได้ตามที่ปรากฏในสัญญา ทั้งยังหมายความด้วยว่า เมื่อรถสามารถขับเคลื่อนได้แล้วก็ต้องสามารถนำไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงชื่อจากเจ้าของเดิมมาเป็นชื่อผู้ซื้อได้ด้วยหรือหากรถดังกล่าวไม่มีการจดทะเบียนเพราะมีการซื้อซากรถเก่าหลายคันมาประกอบเป็นรถคันใหม่ ต้องสามารถนำไปจดทะเบียนได้โดยไม่มีข้อห้ามทางกฎหมายที่ห้ามไม่ให้จดทะเบียน เพราะเมื่อรถสามารถขับเคลื่อนได้แล้วหากรถคันดังกล่าวไม่ได้จดทะเบียนการใช้รถ ก็เป็นการนำรถที่ไม่จดทะเบียนมาใช้ในทางเดินรถซึ่งเป็นความผิดตามกฏหมาย หากรถจดทะเบียนไม่ได้ รถนั้นก็ไม่สามารถนำมาวิ่งบนทางเดินรถได้ แม้การจดทะเบียนไม่ใช่หลักฐานแห่งการแสดงกรรมสิทธิ์ก็ตาม แต่การจดทะเบียนก็จำเป็นแก่การเดินรถเพราะ
๑.๑ การขายซากรถ(เศษเหล็ก)กับการขายรถที่สามารถวิ่งได้ราคาแตกต่างกัน
๑.๒. หากมีการจดทะเบียนก็คงต้องมีการตรวจสอบว่า เป็นการนำชิ้นส่วนรถยนต์จากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงภาษีอากรแล้วนำมาประกอบเป็นรถหรือไม่
๑.๓. ทั้งจะได้ตรวจสอบว่ารถคันดังกล่าวเคยมีการจดทะเบียนมาก่อนหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงสีไปจากเดิมที่จดทะเบียนหรือไม่ มีการเปลี่ยนแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดของรถให้ผิดไปจากที่เคยจดทะเบียนไว้แล้วหรือไม่
๑.๔. และจะได้รู้ว่าเป็นรถเก่าที่เจ้าของแจ้งการไม่ใช้รถ เพื่อยกเว้นการเสียภาษีประจำปีหรือไม่
๑.๕. ทั้งเมื่อจดทะเบียนแล้วก็จะได้รับแผ่นป้ายทะเบียนรถ หากไม่มีแผ่นป้ายทะเบียนแล้วนำรถมาใช้ในทางเดินรถย่อมเป็นความผิดตามกฏหมาย
๑.๖. หากรถยังไม่สามารถจดทะเบียนก็ไม่สามารถเสียภาษีประจำปีสำหรับรถนั้นได้
๑.๗. จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยซึ่งเป็นผู้ขายที่มีหน้าที่ไปรับรองต่อนายทะเบียนว่ารถคันดังกล่าวเป็นของตนที่ขายให้แก่ผู้ซื้อจริง ไม่ได้ขโมยซากรถใครเขามาแล้วนำมาซ่อมแซมหรือลักลอบนำชิ้นส่วนรถจากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร เพื่อมาขอจดทะเบียนการใช้รถ ทั้งยังเป็นหน้าที่ผู้ขายซึ่งต้องมีผู้ชำนาญหรือวิศวกรหรือผ่านการตรวจสภาพจากสถานตรวจสภาพที่ได้รับอนุญาตตามกฏหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ที่จะรับรองว่ารถเก่าหรือการนำซากรถหรือนำชิ้นส่วนประกอบของรถมาตกแต่งประกอบขึ้นมาใหม่มีสภาพปลอดภัยแก่การใช้งานได้สามารถที่จะทำการตรวจสภาพจากกรมการขนส่งทางบกก่อนมีการจดทะเบียนการใช้รถด้วย และเมื่อนำไปจดทะเบียนแล้วก็คงต้องถูกกรมการขนส่งทางบกทำการตรวจสภาพรถอีกทีว่ารถคันดังกล่าวมีความปลอดภัยเพียงพอที่จะนำมาใช้บนทางเดินรถได้หรือไม่ ดังนั้น แม้การจดทะเบียนไม่ใช่หลักฐานแห่งกรรมสิทธิ์ แต่ก็เป็นความจำเป็นแก่การใช้รถ เมื่อปรากฏว่าเจ้าพนักงานไม่ยอมจดทะเบียนรถคันดังกล่าวให้ จึงเป็นหน้าที่ผู้ขายต้องไปรับรองการจดทะเบียนด้วย

ไม่มีความคิดเห็น: