๑.ฟ้องใช้ไม้ตี ทางพิจารณาได้ความใช้แป๊ปตี ผลก็คือการทำร้ายจึงไม่ต่างในสาระสำคัญ จำเลยอ้างสถานที่อยู่ ถือจำเลยไม่หลงต่อสู้ลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๓๕๑/๒๕๓๙
๒ฟ้องทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ทางพิจารณาได้ความชุลมุนต่อสู้ ถือข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกันลงโทษจำเลยไม่ได้ คำพิพากษาฏีกา ๖๖๔๒/๒๕๓๙
๓.ฟ้องจำเลยทำร้ายร่างกาย ทางพิจารณาได้ความจำเลยกับพวกรุมทำร้าย เป็นข้อแตกต่างในลายละเอียด และจำเลยไม่หลงต่อสู้ แม้ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘,๒๘๙ ไม่ได้ขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ ศาลลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๔๔๔/๒๕๔๓
๔.ฟ้องเป็นตัวการในการกระทำผิด ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นผู้ใช้ เป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ลงโทษฐานผู้ใช้ไม่ได้ แต่กากรกระทำดังกล่าวถือเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการกระทำผิด ศาลลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ตาม ป.อ. มาตรา ๘๖ คำพิพากษาฏีกา ๓๑๙๖/๒๕๓๔
๕.ฟ้องจำเลยที่ ๑ ลักทรัพย์ จำเลยที่ ๒,ที่ ๓ รับของโจร จำเลยที่ ๒,ที่ ๓ รับสารภาพฐานลักทรัพย์ ไม่ใช่การกระทำที่กล่าวมาในฟ้อง ไม่ใช่การรับสารภาพตามฟ้องที่ศาลจะลงโทษได้โดยไม่ต้องสืบพยาน โจทก์มีหน้าที่แถลงต้องสืบพยาน เมื่อโจทก์แถลงไม่สืบพยานก็เท่ากับกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ กระทำผิดตามฟ้อง หาได้มีข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทา
งพิจารณาไม่ คำพิพากษาฏีกา ๕๖๖๖/๒๕๔๕
๖.ฟ้องคนร้ายลักโทรทัศน์ยี่ห้อ R T A เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเครื่องรับโทรทัศน์ยี่ห้อ เซียรร่า ของกลางอาจไม่ใช่ทรัพย์ผู้เสียหายที่ถูกลักไป แม้ฟังได้ว่าจำเลยรับโทรทัศน์โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ คำพิพากษาฏีกา ๔๖๑/๒๕๑๓
๗.ฟ้องว่างัดประตูบ้านแล้วเข้าไปในบ้านลักสายยูที่ใช้ล่ามบานประตู ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยเข้าไปในบ้านเพื่อลักทรัพย์ในบ้านไม่ใช่เข้าไปลักสายยู เป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ลงโทษฐานพยายามลักทรัพย์ไม่ได้ แต่ความผิดฐานบุกรุกในเคหสถานรวมอยู่ในองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน ศาลลงโทษฐานนี้ได้ คำพิพากษาฏีกา ๘๘๐๒/๒๕๔๓
๘.ฟ้องระบุหมายเลขทะเบียนรถคันคันหนึ่ง ทางพิจารณาเป็นอีกหมายเลขทะเบียนหนึ่ง ไม่ใช่ข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ทั้งจำเลยก็ยอมรับว่ารถได้เฉี่ยวชนกับรถผู้เสียหายเท่ากับยอมรับว่ามีการขับรถเฉี่ยวชนกับรถผู้เสียหายจริง คำพิพากษาฏีกา ๗๗๙/๒๕๑๕
๙.ฟ้องว่ากระบือเป็นของผู้เสียหาย ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นของแม้ยายศาลลงโทษได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๔๓/๒๕๐๘หรือฟ้องว่าทรัพย์เป็นของ ศ. ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นของ ว. ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ต่างในฟ้อง คำพิพากษาฏีกา ๑๖๘๒/๒๕๓๕
๑๐.ฟ้องฆ่าโดยเจตนา ทางพิจารณาได้ความฆ่าไม่เจตนา ศาลลงโทษได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๐๘๕/๒๕๑๐
๑๑.ฟ้องว่ารับของโจรโดยได้ทรัพย์มาจากการทำผิดฐานลักทรัพย์ ทางพิจารณาได้ความว่าได้ทรัพย์มจากการกระทำผิดฐานยักยอก ไม่ใช่ข้อต่างที่เป็นสาระสำคัญ คำพิพากษาฏีกา ๒๒๘/๒๕๑๐
๑๒.ฟ้องพยายามฆ่าโดยใช้ปืนยิง ทางพิจารณาได้ความว่าใช้ปืนตี ก็ไม่ใช่ข้อต่างที่เป็นสาระสำคัญ เป็นเพียงข้อแตกต้างในวิธีการประทุษร้าย อาวุธและบาดแผลก็ตรงตามฟ้องจำเลยไม่หลงต่อสู้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายจนได้รับอันตรายสาหัสได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๗๖๘/๒๕๓๖
๑๓.พรากเด็กไปฟ้องจากบิดามารดา ทางพิจารณาได้ความพรากไปจากผู้ดูแลไม่ใช่ข้อต่างอันเป็นสาระสำคัญ คำพิพากษาฏีกา ๑๔๐๐/๒๕๓๘
๑๕.ฟ้องเจตนาฆ่า ทางพิจารณาได้ความฆ่าโดยสำคัญผิด ศาลลงโทษได้ คำพิพากษาฏีกา ๘๓๗/๒๕๐๓
๑๖.ฟ้องว่าปลอมเอกสารที่บางรัก ทางพิจารณาได้ความปลอมจากเขตยานนาวา ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ คำพิพากษาฏีกา ๒๐๘/๒๕๐๖
๑๗.ฟ้องว่าจำเลยซื้อสินค้าแล้วออกเช็คต่อมาธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ทางพิจารณาได้ความคนอื่นสั่งซื้อสินค้า ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ คำพิพากษาฏีกา ๒๕๙๒/๒๕๔๒
๑๘.ฟ้องหมิ่นประมาทต่อหน้า น. ทางพิจารณาได้ความหมิ่นประมาทต่อหน้า ย. ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ คำพิพากษาฏีกา ๓๐๘๖/๒๕๑๖
๑๙.ฟ้องชิงทรัพย์ของ ส. ทางพิจารณาได้ความเป็นทรัพย์ ของ จ. ไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ คำพิพากษาฏีกา ๑๘๗๖/๒๕๒๘
ข้อสังเกต ๑. ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏในฟ้อง หากเป็นการแตกต่างกันในลายละเอียด ไม่ใช่แตกต่างกันในสาระสำคัญ และจำเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลสามารถลงโทษจำเลยได้ ตาม ป.ว.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง
๒.ฟ้องว่าใช้ไม้ตี ทางพิจารณาได้ความว่าใช้แป๊ปตี เป็นเพียงข้อแตกต่างกันในลายละเอียด ไม่ว่าจะใช้ไม้ตีหรือใช้แป๊ปตีก็คือการทำร้ายร่างกายนั้นเอง เว้นแต่จำเลยจะหลงต่อสู้ แต่เมื่อปรากฏว่าจำเลยต่อสู้เรื่องอ้างสถานที่เกิดเหตุ ดังนั้น การจะใช้ไม้ตีหรือแป๊ปตีก็ไม่ใช้สาระสำคัญ ทั้งการใช้ไม้ตีหรือใช้แป๊ปตีก็คือการทำร้ายร่างกาย องค์ประกอบความผิดอันเดียวกัน อ้างบทลงโทษมาตราเดียวกัน แต่หากจำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้ใช้ไม้ตี ทั้ง ลักษณะบาดแผลที่เกิดในตัวผู้เสียหายไม่ได้เกิดจากวัตถุของแข็งไม่มีคมเช่นไม้ แต่น่าจะเกิดจากวัตถุมีคม เช่น มีด หรือดาบ หากต่อสู้ดังนี้ถือจำเลยหลงต่อสู้ในข้อสาระสำคัญ ศาลลงโทษจำเลยไม่ได้
๓.ฟ้องว่าทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัส ทางพิจารณาได้ความว่าชุลมุนต่อสู้ จนเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ถือทางพิจารณาแตกต่างกับฟ้องในสาระสำคัญ เพราะองค์ประกอบความผิดฐานทำร้ายร่างกายและองค์ประกอบฐานชุลมุนต่อสู้จนเป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดไม่ว่าจะร่วมในการชุลมุนต่อสู้หรือไม่ได้รับอันตรายสาหัส องค์ประกอบของความผิดในกฎหมายดังกล่าวทั้งสองข้อหาแตกต่างกัน ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้บรรยายองค์ประกอบความผิดฐานชุลมุนต่อสู้ดังกล่าวมาในฟ้อง และไม่ได้อ้างบทกฏหมายดังกล่าวเพื่อขอให้ศาลลงโทษด้วย จึงต้องถือว่าไม่ใช่เรื่องที่โจทก์ประสงค์ขอให้ศาลลงโทษตาม ป.ว.อ. มาตรา ๑๙๒วรรคสอง ข้อแตกต่างดังกล่าวจึงเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ ศาลลงโทษจำเลยไม่ได้ตาม ป.ว.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง
๔.ฟ้องว่าจำเลยคนเดียวทำร้ายร่างกาย ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยกับพวกรุมทำร้ายร่างกาย ไม่ถือทางพิจารณาต่างกับฟ้องในสาระสำคัญ เพราะไม่ว่าจำเลยคนเดียวหรือจำเลยกับพวกทำร้ายผู้เสียหายก็คือการทำร้ายร่างกาย บทกฏหมายที่ใช้ลงโทษก็คือบทกฎหมายบทเดียวกัน ทั้งผู้เสียหายอาจประสงค์ฟ้องคนกระทำผิดเพียงคนเดียวหรือหลายคนร่วมกันก็ได้ เมื่อจำเลยไม่หลงต่อสู้ เช่นต่อสู้ว่ากระทำไปเพื่อป้องกันหรือเป็นการกระทำโดยจำเป็นหรือบันดาลโทสะหรืออ้างสถานที่อยู่ว่าตามวันเวลาสถานที่ที่เกิดเหตุ ตนไม่ได้อยู่ในสถานที่เกิดเหตุดังกล่าวดังนี้ถือจำเลยไม่หลงต่อสู้ แม้ในฟ้องขอให้ลงโทษฐานฆ่าตาม ป.อ. มาตรา ๒๘๘,๒๘๙ โดยไม่ได้ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายตาม ป.อ. มาตรา ๒๙๕ก็ตาม ศาลก็มีอำนาจลงโทษฐานทำร้ายร่างกายได้เพราะเป็นความผิดที่รวมอยู่ในการทำร้ายร่างกายตาม ป.ว.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง, วรรคสาม และบทลงโทษก็เบากว่าความผิดฐานฆ่า
๕.ฟ้องว่าเป็นตัวการในการกระทำผิด เป็นคนลงมือในการกระทำผิด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าไม่ได้เป็นตัวการในการกระทำความผิด แต่เป็นผู้ใช้จ้างวาน ขู่เข็ญ ยุยงส่งเสริม หรือด้วยวิธีอื่นใดอันเป็นการก่อให้ผู้อื่นกระทำความผิดโดยตนเองไม่ได้เป็นผู้ไปลงมือกระทำความผิดเอง องค์ประกอบของความผิดแตกต่างกันระหว่างการลงมือทำเองกับการใช้ให้คนอื่นกระทำผิด ทั้งก็ไม่ได้บรรยายมาในฟ้องว่าจำเลยก่อให้ผู้อื่นกระทำผิดด้วยการใช้ บังคับจ้างวานยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำผิด ทางพิจารณาจึงแตกต่างจากการบรรยายในฟ้องถือเป็นการแตกต่างในข้อสาระสำคัญ ศาลลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ไม่ได้ ถือเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ได้บรรยายมาในฟ้องเท่ากับโจทก์ไม่ประสงค์ให้ลงโทษฐานเป็นผู้ใช้ แต่อย่างไรก็ดีการใช้ให้คนอื่นกระทำผิดถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือให้ความสะดวกในการกระทำผิด ศาลลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนได้
๖.ฟ้องว่ารับของโจร จำเลยรับสารภาพว่าลักทรัพย์ เป็นกรณีทางพิจารณาแตกต่างกับในฟ้อง แม้ความผิดฐานลักทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา ๓๓๕ จะมีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่ ๑ ปีถึง ๕ ปีและปรับตั้งแต่ ๒,๐๐๐บาท ถึง๑๐,๐๐๐บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ จึงไม่ใช่กรณีกฎหมายกำหนดอัตราโทษจำคุกอย่างต่ำตั้งแต่ ๕ ปีขึ้นไปที่เมื่อจำเลยรับสารภาพ โจทก์ไม่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยเพื่อให้ศาลเชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตาม ป.ว.อ. มาตรา ๑๗๖ ก็ตาม แต่เมื่อฟ้องว่าจำเลยรับของโจร จำเลยรับสารภาพฐานลักทรัพย์เป็นกรณีทางพิจารณาต่างจากฟ้อง แม้จำเลยรับสารภาพก็เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานมาสืบให้เห็นว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง แม้การนำสืบของโจทก์จะได้ความว่าจำเลยรับของโจร แต่จำเลยรับสารภาพฐานลักทรัพย์ศาลก็ลงโทษได้ตาม ป.ว.อ. มาตรา ๑๙๒วรรคสาม โดยถือว่าทางพิจารณาต่างจากฟ้องในลายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์กับรับของโจรซึ่งกฎหมาย(ป.ว.อ. มาตรา ๑๙๒วรรคสาม) ไม่ให้ถือต่างกันในข้อที่เป็นสาระสำคัญ หากโจทก์ไม่นำสืบโดยแถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
๗.ฟ้องว่ารับของโจรโทรทัศน์ยี่ห้อหนึ่ง แต่ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมโทรทัศน์อีกยี่ห้อหนึ่ง แม้จำเลยรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ แม้ว่าจำเลยจะรับโทรทัศน์ของกลางโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์ก็ตาม เพราะทางพิจารณาในฟ้องเกี่ยวกับทรัพย์ที่กระทำผิดแตกต่างจากฟ้องที่ระบุทรัพย์เป็นอีกชิ้นหนึ่งซึ่ง ไม่ใช่ทรัพย์ของผู้เสียหาย แม้จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรแต่ก็ไม่ใช่ของผู้เสียหายในคดีนี้ ต้องดำเนินคดีกับจำเลยในทรัพย์ของกลางกับผู้เสียหายที่แท้จริงไม่ใช่ผู้เสียหายในคดีนี้ ซึ่งในกรณีนี้ก็มีคำพิพากษาฏีกา๒๒๐๘/๒๕๒๘ ลักยางพาราคนละชนิดกับที่โจทก์ฟ้อง หรือในคำพิพากษาฏีกา ๑๘๑๔/๒๕๔๒ ลักไก่ชนคนละตัวกับที่บรรยายในฟ้อง หรือในคำพิพากษาฏีกา๑๘๘๕/๒๕๑๖ บุกรุกที่ดินคนละแปลงกับที่บรรยายมาในฟ้อง เหล่านี้เป็นเรื่องทางพิจารณาต่างกับฟ้องในข้อที่เป็นสาระสำคัญ
๘.ฟ้องว่าร่วมกันงัดกุญแจเข้าไปในบ้านแล้วลักสายยูที่ใช้ล่ามประตู ทางพิจารณาได้ความว่างัดกุญแจเข้าไปเพื่อพยายามลักทรัพย์ในบ้าน ทางพิจารณาในเรื่องทรัพย์ที่ถูกลักแตกต่างจากในคำฟ้อง ศาลลงโทษฐานพยายามลักทรัพย์ไม่ได้ แต่การที่เข้าไปลักทรัพย์ในเคหสถานเป็นการร่วมกันบุกรุกเข้าไปในเคหสถาน ซึ่งมีอัตราโทษเบากว่าความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถานและองค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกในเคหสถานก็เป็นองค์ประกอบของความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ในเคหสถาน เป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานร่วมกันบุกรุกในเคหสถานจึงจะถือว่าโจทก์ไม่มีเจตนาประสงค์ขอให้ลงโทษฐานนี้ไม่ได้ ศาลจึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ ในกรณีเรื่องนี้น่าเป็นกรณีที่คนร้ายงัดสายยูเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านแต่ไม่ได้ทรัพย์อะไรไป แต่ปรากฏว่าสายยูที่ถูกงัดหายไปจึงมาบรรยายฟ้องว่าลักสายยู ซึ่งเจตนาจริงๆแล้วคนร้ายคงไม่มีเจตนาที่จะงัดสายยูเพื่อลักสายยู แต่คงมีเจตนางัดสายยูเพื่อเข้าไปลักทรัพย์ในบ้านมากกว่า ทางแก้ควรบรรยายฟ้องว่าลักสายยูและพยายามลักทรัพย์อีกหลายชิ้นภายในบ้านโดยได้ลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะมีผู้พบเห็นเสียก่อนจำเลยจึงหลบหนีไป หากบรรยายฟ้องดังนี้ผลคงแตกต่างจากคำพิพากษาฏีกานี้
๙.ฟ้องว่ารถจำเลยหมายเลขทะเบียนนี้เฉี่ยวชนกับรถผู้เสียหาย ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นอีกหมายเลขหนึ่ง เป็นเพียงลายละเอียดไม่ใช่ข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ น่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาดมากกว่าทั้งจำเลยก็ยอมรับว่ารถตนเองเป็นรถที่เฉี่ยวชนกับรถผู้เสียหาย จึงเป็นข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาแตกต่างจากในฟ้องที่ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญและจำเลยไม่หลงต่อสู้เพราะรับว่ารถได้เฉี่ยวชนกับรถผู้เสียหายจริง แต่หากจำเลยต่อสู้ว่ารถของตนไม่ได้เฉี่ยวชนกับรถผู้เสียหาย รถที่เฉี่ยวชนไม่ใช่รถของตนและตนไม่ใช่คนขับรถคันดังกล่าวแล้วก็จะเป็นกรณีทางพิจารณาต่างจากฟ้องในข้อสาระสำคัญ ซึ่งจำเลยหลงต่อสู้ ศาลลงโทษตามทางพิจารณาไม่ได้
๑๐.ฟ้องว่าทรัพย์เป็นของผู้เสียหาย ทางพิจารณาได้ความเป็นทรัพย์คนอื่น ไม่ใช่ข้อแตกต่างในข้อที่เป็นสาระสำคัญ เพราะยังไงจำเลยก็กระทำผิดฐานลักทรัพย์ แม้จะไม่ใช่ผู้เสียหาย เป็นเพียงผู้ครอบครองดูแลรักษาทรัพย์ที่ถูกลักไปก็ตาม เมื่อความผิดฐานลักทรัพย์เป้นความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดิน ใครสามารถแจ้งความกล่าวโทษได้แม้ไม่ใช่การแจ้งความร้องทุกข์ก็ตาม ข้อแตกต่างระหว่างว่าใครเป็นเจ้าของทรัพย์ไม่ใช่สาระสำคัญ สาระสำคัญคือจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่เท่านั้น
๑๑.ฟ้องฆ่าโดยเจตนา ทางพิจารณาได้ความฆ่าไม่เจตนาไม่ถือทางพิจารณาต่างกันในข้อที่เป็นสาระสำคัญ ทั้งความผิดฐานฆ่าโดยไม่เจตนาก็คือการทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งก็มีเจตนาทำร้ายเหมือนกันเพียงแต่ศาลฟังว่ามีเจตนาทำร้ายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ไม่ใช่มีเจตนาที่จะทำร้ายเพื่อให้มีความตายเกิดขึ้น ทั้งความผิดฐานนี้ก็มีอัตราโทษเบากว่าที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องศาลลงโทษจำเลยได้
๑๒.ฟ้องว่ารับของโจรโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ทางพิจารณาได้ความว่ารับของโจรโดยรู้ว่าได้ทรัพย์มาจาการกระทำผิดฐานยักยอก ไม่ถือทางพิจารณาต่างฟ้องในข้อที่เป็นสาระสำคัญ เพราะไม่ว่าจะรับของโจรโดยได้รับทรัพย์ไว้จากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ หรือได้จากการกระทำผิดฐานยักยอก มันก็คือการกระทำความผิดฐานรับของโจรอยู่ดี ทั้งใน ป.ว.อ. มาตรา ๑๙๒ วรรคสองยังถือว่าแม้มีข้อแตกต่างในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ ไม่ให้ถือเป็นข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ โดยถือเป็นข้อแตกต่างที่เป็นลายละเอียด ทั้งในความผิดฐานลักทรัพย์ก็มีความใกล้เคียงกับความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ปัญหาอยู่ที่การตีความว่า เป็นกรณีแย่งการครอบครองทรัพย์อันเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หรือเป็นกรณีครอบครองทรัพย์แล้วเบียดบังเอาทรัพย์นั้นเป็นของตนโดยเจตนาทุจริต
๑๓.ฟ้องใช้ปืนยิงอันเป็นการพยายามฆ่าโดยผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ทางพิจารณาได้ความว่าใช้ปืนตีก็ไม่ใช่ข้อต่างที่เป็นสาระสำคัญ เป็นข้อต่างในวิธีการประทุษร้ายเท่านั้น อาวุธและตำแหน่งบาดแผลก็ตรงตามที่ฟ้อง จำเลยไม่หลงต่อสู้ลงโทษฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสได้ เพราะเป็นความผิดที่มีองค์ประกอบรวมอยู่ในความผิดฐานพยายามฆ่าที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องและโจทก์ประสงค์ลงโทษแล้ว ทั้งความผิดฐานนี้ก็มีอัตราโทษเบากว่าที่โจทก์ฟ้องมา คงเป็นเพราะศาลฏีกาคงเห็นว่าจำเลยกระทำผิดจึงต้องรับโทษ หากจะมองกันจริงๆการใช้ปืนยิงกับการใช้ปืนตีมีความแตกต่างกัน การใช้ปืนยิงมีโอกาสตายมากกว่าการใช้ปืนตี ทั้งบาดแผลที่เกิดจากการใช้ปืนยิงน่าจะแตกต่างจากบาดแผลที่ถูกตี ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าเป็นข้อแตกต่างที่เป็นสาระสำคัญ แต่หากมองในมุมมองของการให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหายจำเลยควรได้รับโทษ ไม่ใช่เอากฎหมายวิธีพิจารณาความมายกเว้นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา
๑๔.ฟ้องพรากเด็กไปจากผู้ปกครอง ทางพิจารณาได้ความพรากไปจากผู้ดูแล ไม่ใช่ข้อแตกต่างอันเป็นสาระสำคัญ เป็นเพียงลายละเอียด ไม่ว่าพรากจากผู้ปกครอง หรือจากผู้ดูแล หรือพรากจากบิดามารดาก็เป็นการพรากผู้เยาว์ทั้งนั้นจึงเป็นเพียงแตกต่างในลายละเอียดเท่านั้น
๑๕.ข้อแตกต่างในฟ้องกับทางพิจารณาหากไม่ใช่สิ่งที่เป็นสาระสำคัญแล้วศาลลงโทษได้ ดังนั้นแม้ฟ้องหมิ่นประมาทต่อหน้าคนหนึ่งทางพิจารณาได้ความหมิ่นประมาทต่อหน้าอีกคน ก็เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทอยู่ดี หรือการชิงทรัพย์คนหนึ่งแต่ทางพิจารณาได้ความเป็นทรัพย์ของอีกคนที่ฝากไว้ อย่างไงก็คือการชิงทรัพย์อยู่ดี หรือจำเลยสั่งซื้อสินค้าเองหรือมีคนอื่นสั่งซื้อสินค้าก็ตาม เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจำเลยก็ต้องรับผิดหรือในกรณีฟ้องว่าปลอมเอกสาร ณ. สถานที่หนึ่ง ทางพิจารณาได้ความเป็นอีกสถานทีหนึ่งก็ไม่ใช่สาระสำคัญการปลอมเอกสาร สาระสำคัญอยู่ที่เป็นเอกสารปลอมหรือไม่และจำเลยเป็นคนปลอมเอกสารหรือไม่ หรือกรณีฟ้องเจตนาฆ่า ทางพิจารณาได้ความฆ่าโดยสำคัญผิดก็ไม่เป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญ เพราะฆ่าโดยสำคัญผิดก็คือมีเจตนาฆ่าต้องการฆ่าคนหนึ่งแต่ไปยิงอีกคนหนึ่งโดยสำคัญผิดว่าเป็นคนที่เราต้องการฆ่า ดังนั้นข้อต่างเหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญ เว้นเสียแต่จำเลยหลงต่อสู้ หากจำเลยไม่หลงต่อสู้ศาลลงโทษได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น