ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“ร้องเรียนผู้บังคับบัญชา”

จำเลยร้องเรียนผู้บังคับบัญชาโจทก์ว่า กำลังประสบความเดือดร้อนเนื่องจากโจทก์ติดพันหญิงอื่นจะขอหย่าขาดกับจำเลย ระหว่างที่ขอหย่า โจทก์กล่าวคำอาฆาตตลอดจนทำร้ายร่างกายจำเลยหลายครั้งถึงขั้นทุบตีกันเลือดสาด จำเลยพยายามอดทนอดกลั้นจะรอมชอม แต่ไม่สามารถทำได้ จึงขอให้ความเป็นธรรมกับจำเลยด้วย เนื่องจากเหตุที่จำเลยร้องเรียนโจทก์ไปติดพันหญิงอื่นฐานชู้สาวและออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น ๖ เดือน โดยไม่กลับไปอยู่กับจำเลยอีก อันเป็นเหตุให้จำเลยหึงหวงและจำเป็นต้องป้องกันไม่ให้โจทก์ไปมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับหญิงอื่นอันเป็นเหตุให้โจทก์ทอดทิ้งจำเลยและบุตรได้ การร้องเรียนดังกล่าวเท่ากับขอให้ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนโจทก์ให้สำนึกในการกระทำอันอาจจะก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ครอบครัว และในหนังสือร้องเรียนดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าขอให้ดำเนินการทางวินัยแก่โจทก์อย่างไร การกระทำของจำเลยยังถือไม่ได้ว่า เป็นการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์อย่างร้ายแรง เมื่อพิจารณาถึงสภาพ ฐานะ ความเป็นอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยามาคำนึงประกอบแล้ว การกระทำยังไม่ถึงขนาดที่เกิดความเดือดร้อนเกินควรต่อโจทก์แต่อย่างใด ไม่มีเหตุที่จะให้หย่าขาด คำพิพากษาฏีกา ๗๖๖/๒๕๒๖
ข้อสังเกต ๑. กรณีคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่จะเป็นสามีภรรยาอีกฝ่ายฟ้องหย่าได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๕๑๖(๖) ซึ่งตามพจนนานุกรมฉบับราชบัณทิตย์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้นิยามคำว่า “ ปฏิปักษ์” หมายความถึง ฝ่ายตรงกันข้าม ข้าศึกศัตรูที่ตรงกันข้าม ซึ่งในที่นี้น่าจะหมายความถึงการไม่ปฏิบัติกันตามที่คู่สามีภรรยาโดยทั่วไปกระทำกัน เช่น แยกกันนอน ไม่ร่วมประเวณีกัน ไม่ทานข้าวด้วยทั้งที่อยู่ในบ้านเดียวกัน อยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่พูดคุยกัน ต่างคนต่างหาอาหารทานเอง ไม่ให้เงินภรรยาใช้ ไปไหนมาไหนด้วยกันกินข้าวโต๊ะเดียวกันต่างคนต่างจ่าย หรือแอบไปจดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น หรือแอบไปแต่งงานหรือผูกข้อไม้ข้อมือกับหญิงอื่น ซึ่งการทำตัวเป็นปรปักษ์ต้องทำตัวอย่างร้ายแรงถึงกันถึงขนาดไม่สามารถอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาได้ จึงจะเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ ตัวอย่างที่ศาลฏีกาเคยตัดสินว่ากระทำการเป็นปฏิปักษ์ร้ายแรงหรือไม่เช่น
๑.๑การที่สามีไม่ถือภริยาเป็นภริยา แต่มีฐานะเป็นเพียงนางบำเรอ คำพิพากษาฏีกา ๑๘๑๔/๒๔๙๒ ......คือเห็นความสำคัญของภริยาเมื่อต้องการร่วมประเวณีด้วยเท่านั้น พอหมดความต้องการภริยาก็ไม่มีความหมาย เป็นเหมือนทาสหรือนางบำเรอเวลามีความต้องการ
๑.๒ทุบตีด่าถึงโคตรพ่อโคตรแม่ของภรรยา และไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น คำพิพากษาฏีกา ๑๖๓๗/๒๕๒๐........การด่าบรรพบุรุษของอีกฝ่ายคือการไม่ให้เกียรติ์คู่สมรส การที่จะอยู่ร่วมกันต่อไปก็ยากที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ ทั้งยังไปมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นด้วยแล้วก็ยากที่ภริยาจะให้อภัยและยินยอม เป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงเป็นเหตุฟ้องหย่าได้
๑.๓ทำร้ายร่างกาย ด่า ขับไล่ เอาปัสสาวะรดสามี คำพิพากษาฏีกา ๒๖๑/๒๔๙๑.............การทำร้ายร่างกายขับไล่ออกจากบ้านและเอาปัสสาวะรดสามี ถือเป็นการไม่ให้เกียรติสามี เป็นการกระทำการเป็นปฏิปักษ์อย่างร้ายแรงต่อการเป็นสามีภรรยา ยากที่จะอยู่ด้วยกันต่อไปได้ เป็นเหตุฟ้องหย่า
๑.๔ลำพังเพียงพูดขู่ว่าจะให้จิ๊กโก๋ลากตัวกลับบ้าน ยังไม่เป็นเหตุฟ้องหย่าได้. คำพิพากษาฏีกา ๒๐๙๒/๒๕๑๙............. ลำพังที่ภรรยาไม่ยอมกลับบ้านบอกยังไงก็ไม่ยอมกลับบ้านจึงพูดขู่ว่าหากไม่กลับบ้านจะให้จิ๊กโก๋ลากกลับบ้าน เพียงเท่านี้ยังไม่ถือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา แต่หากบอกว่าหากไม่ยอมกลับบ้านจะให้จิ๊กโก๋ลากตัวไปรุมโทรมในป่าหญ้าข้างทาง แล้วถือเป็นคำพูดที่ไม่ให้เกียรติ์ และไม่ได้ถือว่าภริยาเป็นภริยาเพราะคงไม่มีสามีคนไหนยอมให้ชายอื่นหลายคนนำตัวภริยาไปรุมโทรมขมขืน หากเป็นดังนี้ถือเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์อย่างร้ายแรง ฟ้องหย่าได้
๑.๕ภริยาไม่ยอมไปอยู่ต่างอำเภอกับสามี ที่อยู่ต่างอำเภอ แต่สามีก็มาหาเดือนละ ๒ ครั้ง หลับนอนด้วยกัน คำพิพากษาฏีกา ๒๒๒๔/๒๕๒๒.............การที่ภริยาไม่ยอมย้ายตามสามีไปอยู่อีกอำเภอหนึ่งจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม กลัวลำบาก หรืออยากอยู่กับพ่อแม่ หรือเป็นหวงสมบัติ ทรัพย์สินอื่นหรือไร่นาก็ตาม แต่การที่สามียังไปมาหาสู่กันและมีการร่วมประเวณีกัน ยังถือว่ามีการกระทำที่เป็นสามีภรรยากันอยู่ การแยกกันอยู่เพียงนี้ยังไม่ถึงกับกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน ไม่เป็นเหตุฟ้องหย่าได้
๑.๖ ไม่ยอมอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับโจทก์ แยกมาอยู่กับมารดา เป็นการไม่ช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน เป็นปฏิปักษ์ต่อการต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง เมื่อคำนึงถึงสภาพฐานะความเป็นอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภริยาแล้วเห็นว่าเป็นที่เดือดร้อนเกินควรเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๖๙๒/๒๕๒๔................การที่ฝ่ายหญิงหนีมาอยู่กับมารดาถือไม่ได้ทำหน้าที่ภริยาซึ่งต้องมีการอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกันกับสามีโดยสามีอาจให้เงินภรรยาใช้ ช่วยทำงานในบ้านและในขณะเดียวกันภรรยาก็ต้องอุปการระเลี้ยงดูช่วยเหลือสามีในการทำอย่างหาเก็บกวาดบ้าน เลี้ยงดูบุตร ทำอาหารให้สามีทาน ซักผ้ากวาดบ้าน แต่การหนีไปอยู่กับมารดาถือเป็นยการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์กับการเป็นสามีภรรยากันอย่างร้ายแรงเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ ในสมัยโบราณผู้ชายเป็นทหารออกรบ ผู้หญิงอยู่กับบ้านเป็นแม่บ้าน เป็นการแบ่งหน้าที่กันทำแม้แต่ที่จังหวัดน่านมีจารึกไว้ที่วัดภูมิมินทร์ว่าย่าม่านใช้ผมเช็ดเท้าให้ปู่ม่านก่อนนอน ซึ่งแสดงให้เห็นรากเง้าของวัฒนธรรมไทยที่ทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชายต่างต้องอุปการะเลี้ยงดูซึ่งกันและกัน หากไม่ทำหน้าที่นี้ถือเป็นการกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันแล้ว
๑๗. การที่สามีไปติดหญิงอื่นไม่ยอมกลับบ้าน ทำร้ายร่างกายทุบตี ภริยามีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในครอบครัว จึงร้องเรียนไปที่ผู้บังคับบัญชาถึงการกระทำของสามีเพียงเท่านี้ยังไม่ถือว่าเป็นการกระทำที่เป็นปรปักษ์ต่อความเป็นอยู่ในการเป็นสามีภริยา เพราะในการร้องเรียนก็ไม่ได้ร้องเพื่อให้สอบวินัยของฝ่ายชายน่าเป็นเพียงให้ผู้บังคับบัญชาว่ากล่าวตักเตือนและชี้ทางสว่างให้เท่านั้น เพราะการที่ข้าราชการมีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายยอยู่แล้ว ไปมีสัมพันธ์ทางชู้สาวกับภริยาอื่น แล้วไม่สนในครอบครัวจนภริยาต้องร้องเรียนไปยังผู้บังคับบัญชายังไม่ถึงขนาดที่ทำตัวเป็นปริปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา ไม่เป็นเหตุฟ้องหย่า คำพิพากษาฏีกา ๗๖๖/๒๕๒๖

ไม่มีความคิดเห็น: