ผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นพนักงานบริษัทผู้เสียหายซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิต ผู้ต้องหาที่ ๒ ถึง ๔ เป็นทีมงานผู้ต้องหาที่ ๑ ผู้ต้องหาที่ ๑ แจ้งแก่ลุกค้าว่า หากทำประกันชีวิตผ่านผู้ต้องหาที่ ๑ ในปีแรกไม่ต้องชำระเบี้ยประกัน แต่หากจะต่อกรมธรรม์ลูกค้าต้องชำระเบี้ยประกันในปีต่อไปเอง หากไม่ชำระกรมธรรม์ก็จะถูกยกเลิก มีคนหลงเชื่อมาทำประกัน ๘ ราย โดยผู้ต้องหาที่ ๑ ชำระเบี้ยประกันแทนผู้เสียหายทั้งแปดในปีแรกเป็นเงิน ๑๕๒,๖๗๐ บาทให้แก่บริษัทผู้เสียหาย บริษัทจ่ายค่านายหน้าให้ผู้ต้องหาทั้งสี่ตามข้อตกลงเป็นเงิน ๖๑,๐๐๐บาท ต่อมาบริษัททราบความจริงจึงยกเลิกกรมธรรม์และคืนเงินเบี้ยประกันในปีแรกให้แก่ลุกค้าทั้งแปดรายแล้วมาแจ้งความดำเนินคดี เห็นได้ว่าบริษัทผู้เสียหายออกกรมธรรม์ประกันชีวิตให้แก่ลูกค้าทั้งแปดรายและจ่ายค่านายหน้าให้กับผู้ต้องหาที่ ๑ นั้นไม่ได้เกิดจากการหลอกลวงของผู้ต้องหาที่ ๑ แต่เป็นไปตามสัญญาและข้อบังคับระหว่างผู้เสียหายกับลูกค้าทั้งแปดคน ทั้งการที่บริษัทยกเลิกกรมธรรม์และคืนเบี้ยประกันให้ลูกค้าก็ไม่ได้เกิดจากการกระทำของผู้ต้องหาที่ ๑ อันจะแสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาที่ ๑ มีเจตนาฉ้อโกงค่านายหน้า ทั้งผู้ต้องหาที่ ๑ ก็ยังต้องคืนเงินค่านายหน้าดังกล่าวให้ผู้เสียหายเพาะเหตุยกเลิกกรมธรรม์ กรณีดังกล่าวรับฟังได้เพียงผู้ต้องหาที่ ๑ มีเจตนาสร้างผลงานในการหาลูกค้าโดยใช้วิธีจูงใจลุกค้าเกี่ยวกับเบี้ยประกันภัยในปีแรก ไม่พอฟังว่ามีเจตนาฉ้อโกง ชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานฉ้อโกง ชี้ขาดความเห็นแย้ง๑๔๕/๒๕๕๑
ข้อสังเกต ๑.การประกันชีวิต นั้น ไม่มีข้อบังคับว่าลูกค้าต้องจ่ายเงินเอง การที่มีบุคคลอื่นมาชำระเบี้ยประกันแทนจึงไม่น่าเป็นเรื่องแปลก ผู้เสียหายต้องการเพียงให้มีบุคคลมาทำประกันเท่านั้น เมื่อมีคนมาทำประกันสมตามความประสงค์ของผู้เสียหายแล้วใครจะจ่ายเบี้ยประกันก็ไม่น่าเป็นเรื่องแปลก ทั้งบริษัทผู้เสียหายก็ไม่อาจคาดหมายได้ว่าในปีต่อๆมา ลุกค้าจะมาทำประกันกับตนหรื่อไม่
๒.การจ่ายค่านายหน้าเป็นไปตามข้อตกลงที่สามารถหาคนมาประกันเท่านั้น เมื่อมีคนมาประกันชีวิตกับผู้เสียหาย ไม่ว่าผู้ต้องหาจะเป็นผู้ชำระค่าเบี้ยประกันหรือลูกค้าจะเป็นผู้ชำระเบี้ยประกันก็ไม่สำคัญ เมื่อมีการประกันตามเงื่อนไขที่ผู้เสียหายตกลงกับผู้ต้องหาแล้ว ผู้เสียหายก็มีหน้าที่ต้องชำระค่านายหน้าแก่ผู้ต้องหา กรณีดังกล่าวจะถือว่าผู้ต้องหาหลอกผู้เสียหายเพื่อให้ได้มาซึ่งเงินค่านายหน้าไม่ได้
๓.การยกเลิกการประกันชีวิตและคืนเบี้ยประกันให้ลุกค้า ก็ไม่ได้เกิดจากการกระทำของผู้ต้องหาที่ ๑ อันจะทำให้ผู้เสียหายขาดรายได้จากการประกันดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ แต่การกระทำดังกล่าวเกิดจากผู้เสียหายเองที่ยกเลิกการประกันชีวิตและคืนเงินให้ลุกค้า ในกรณีดังกล่าวหากลูกค้าประสงค์จะประกันต่อหรือขอทำประกันชีวิตใหม่ก็ย่อมทำได้ แต่ลูกค้าก็หาได้ทำดังกล่าวไม่ แสดงให้เห็นว่าลูกค้าไม่มีเจตนาที่จะทำประกันชีวิตกับบริษัทผู้เสียหายแต่อย่างใด
๔.กรณีเป็นเรื่องผู้ต้องหายอมจ่ายเงินส่วนตัวซื้อประกันเพื่อให้ได้ผลงานเท่านั้น แม้จะต้องออกเงินตนไปก็ตามและได้คืนมาบางส่วน(ค่านายหน้า)ก็ตาม การกระทำดังกล่าวจึงไม่ใช่การหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังกล่าวได้ไปซึ่งเงินของผู้เสียหายไม่ จึงไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น