ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"บัตรประชาชนปลอม"

ผู้ต้องหาที่ ๑ ชื่อ ป. แสดงตนว่าชื่อนาย ส.โดยมีบัตรประจำตัวประชาชนปลอมชื่อนาย ส.ยืนยันตัวและใช้หนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนาย ส. มาหลอกลวงกู้ยืมเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐บาท โดยมีผู้ต้องหาที่ ๓ ที่ ๔ ร่วมอยู่ด้วย หลังจากนั้นผู้ต้องหาที่ ๑ที่ ๒ มาขอกู้เงินเพิ่ม ๕๐๐,๐๐๐ บาท แต่ผู้เสียหายทราบว่าผู้ต้องหาที่ ๑ ไม่ใช่นาย ส. จึงไม่ให้กู้เงิน เห็นได้ว่าตามพฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาที่ ๓มีอาชีพรับจ้าง แต่กลับแสดงตัวต่อผู้เสียหายว่าเป็นทหารชั้นสัญญาบัตร ผู้ต้องหาที่ ๔ อ้างว่าเป็นหลานนาย ส. เจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ซึ่งเป็นเท็จ น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาที่ ๓ ที่ ๔สมคิดวางแผนร่วมกับผู้ต้องหาที่ ๑ในการทำบัตรประชาชนปลอมและใช้ในการฉ้อโกงผู้เสียหาย ส่วนในวันที่ผู้ต้องหาที่ ๑ ที่ ๒ ไปขอกู้เงินเพิ่มโดยใช้หลักฐานเดิมและผู้ต้องหาที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันเพิ่ม โดยผู้ต้องหาที่ ๓ เป็นผู้นัดหมาย รับฟังได้ว่าผู้ต้องหาที่ ๑, ที่ ๒ และที่ ๓ มีเจตนาฉ้้อโกงผู้เสียหาย แต่กระทำการไปไม่ตลอด และผู้ต้องหาที่ ๑ ที่ ๒เท่านั้นที่ใช้บัตรประชาชนปลอม ดังนั้นในวันแรกจึงเป็นความผิดสำเร็จ ส่วนการฉ้อโกงที่ขอกู้เงินเพิ่มเป็นเพียงการพยายามฉ้อโกง ต่างกรรมต่างวาระกัน ชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาที่๓ ที่ ๔ ฐานร่วมกับผู้ต้องหาที่ ๑ ฐานฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นร่วมกันปลอมเอกสารราชการบัตรประจำตัวประชาชน ใช้หรือแสดงเอกสารราชการบัตรประจำตัวประชาชนปลอม ให้ผู้ต้องหาที่ ๓ที่ ๔คืนเงินที่ฉ้อโกงแก่ผู้เสียหายจำนวน ๑,๐๐๐,๐๐๐บาท ชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๒ ที่ ๓ ใช้อำนาจอัยการสูงสุดสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑ ฐานร่วมกันพยายามฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น และชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๒ กับใช้อำนาจอัยการสูงสุดสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑ ฐานร่วมกันใช้หรือแสดงเอกสารราชการบัตรประชาชนปลอม(การกระทำในการกู้เงิน ๕๐๐,๐๐๐บาท) ชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๒ที่ ๓กับใช้อำนาจอัยการสูงสุดไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑ ฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและร่วมกันปลอมเอกสารราชการบัตรประชาชน(การกระทำในการกู้เงิน๕๐๐,๐๐๐บาท) ชี้ขาดความเห็นแย้ง๙๘/๒๕๕๒
ข้อสังเกต ๑. การแสดงตนว่าตนเป็นบุคคลอื่นแล้วมาขอกู้เงินแม้จะมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้เป็นสำคัญ ผู้ให้กู้ก็ไม่สามารถนำไปฟ้องนาย ส ตัวจริงได้ เพราะไม่ใช่ผู้ที่ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไว้ ทั้งผู้ต้องหาที่ลงลายมือชื่อเป็นผู้กู้ไม่ได้ลงลายมือชื่อของตนเองอันแท้จริง แต่ไปลงลายมือชื่อของคนอื่นคือนาย ส.ที่ตนอ้างว่าเป็นตัวเอง โดยไม่มีเจตนาที่จะทำการการกู้ยืมเงินกันจริงๆเป็นเพียงแผนการที่จะหลอกเอาเงินจากผู้เสียหายเท่านั้น การกู้ยืมดังกล่าวจึงเป็นการฉ้อโกง ไม่ใช่เป็นเรื่องความรับผิดทางแพ่ง
๒.ผู้ต้องหาที่ ๑ แสดงตนว่าชื่อนาย ส. อันเป้นความเท็จ ผู้ต้องหาที่ ๓ มีอาขีพรับจ้างบอกว่ารับราชการทหาร ผู้ต้องหาที่ ๔ อ้างเป็นหลานนาย ส. ซึ่งเป็นความเท็จ การแสดงตนของผู้ต้องหาที่ ๑ ที่แสดงตนว่าเป็นคนอื่นเป็นการฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่นโดยมีผู้ต้องหาที่ ๓ ที่.๔มาด้วยพร้อมมีบัตรประจำตัวปลอมของผู้ต้องหาที ๑ ถือว่ามีเจตนาร่วมกันในการฉ้อโกงผู้เสียหายด้วยการแสดงตนว่าเป็นบุคคลอื่น น่าเชื่อว่าทั้งสามคนร่วมกันปลอมบัตรประชาชนปลอมเพื่อนำมาหลอกกู้ยืมเงินผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดตามกฏหมายจึงสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑,๓,๔ ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงด้วยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น(ในเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐บาท) ปลอมและใช้เอกสาราชการปลอม
๒.การที่ผู้ต้องหาที่ ๓ อ้างว่าเป็นทหาร ผู้ต้องหาที่ ๔ อ้างว่าเป็นหลาน นาย ส. ไม่ใช่เป็นการแสดงตนเป็นบุคคลอื่นเพียงแต่หลอกฐานะของตนว่ามีตำแหน่งหน้าที่ใดเท่านั้น
๓.ส่วนการขอกู้เงินครั้งที่ ๒จำนวน ๕๐๐,๐๐๐ู้บาท ผู้ต้องหาที่ ๓ เป็นคนนัดหมาย ผู้ต้องหาที่ ๒ ยอมเป็นคนค้ำประกันในการกู้เงินของผู้ต้องหาที่ ๑ เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมให้กู้เพราะรู้ว่าผู้ต้องหาที่ ๑ ไม่ใช่นาย ส. จึงเป็นความผิดฐานพยายาม จึงมีคำสั่งฟ้องและใช้อำนาจอัยการสูงสุดฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑,๒,๓ฐานร่วมกันพยายามฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑,ที่ ๒ ฐานใช้เอกสารราชการปลอม
๔.เมื่อการขอกู้เงินครั้งที่ ๒ เป็นความผิดฐานพยายาม จึงชี้ขาดสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑,ที่ ๒และที่ ๓ฐานร่วมกันฉ้อโกงโดยการแสดงตนอื่นและร่วมกันปลอมเอกสารราชการปลอม

ไม่มีความคิดเห็น: