เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถยึดอาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตายได้ จึงต้องสันนิษฐานให้เป็นคุณกับจำเลยว่า อาวุธปืนที่ใช้ยิงผู้ตาย เป็นอาวุธปืนที่ผู้อื่นได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวความสงบเรียบร้อย ศาลฏีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ข้อสังเกต ๑.อัตราโทษที่จะลงแก่ผู้มีไว้ในความครอบครองอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตกับอาวุธปืนที่ไม่ได้รับอนุญาตมีความแตกต่างกัน
๒. หากเป็นการฟ้องว่ามีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไว้ในความครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลลงโทษโดยไม่รอการลงโทษ แต่หากได้ความว่าเป็นอาวุธปืนของบุคคลอื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนดังกล่าว ศาลลงโทษจำคุกแล้วรอการลงโทษ
๓.ปัญหาเรื่องการริบอาวุธปืน หากเป็นอาวุธปืนไม่มีทะเบียนไม่ว่าจะใช้ในการกระทำผิดหรือไม่ก็ตาม ศาลต้องริบอาวุธปืนเพราะเป็นทรัพย์ที่มีไว้เป็นความผิดตามกฎหมาย หากเป็นอาวุธปืนของผู้อื่นที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ แล้วจำเลยนำอาวุธปืนดังกล่าวมาใช้ในการกระทำความผิดยิงผู้อื่น หากเจ้าของอาวุธปืนไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด อาวุธปืนนั้นไม่สามารถริบได้ หรือหากเป็นอาวุธปืนของจำเลยที่จำเลยได้รับอนุญาตให้มีและใช้แล้วจำเลยนำมาใช้ในการกระทำผิดก็เป็นอาวุธปืนที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของนำมาใช้ในการกระทำผิดซึ่งต้องถูกริบตามกฎหมาย
๔.เมื่อไม่พบปืนที่ใช้ในการกระทำผิด ศาลตีความในทางเป็นคุณแก่จำเลยว่า เป็นอาวุธปืนของ “ผู้อื่น” ที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ ไม่ได้ตีความว่าเป็นอาวุธปืนของ “จำเลย” เพราะหากเป็นอาวุธปืนของจำเลยที่จำเลยใช้ในการกระทำผิดแล้วศาลต้องริบอาวุธปืนนั้น เมื่อตีความว่าเป็นปืนของ “คนอื่น “ แล้วหากไม่ได้ความว่าผู้เป็นเจ้าของรู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลยแล้ว ศาลไม่สามารถริบอาวุธปืนดังกล่าวได้ หรือหากศาลริบอาวุธปืนดังกล่าว เจ้าของสามารถร้องขอคืนอาวุธปืนของกลางได้ภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา
๕.การที่ศาลตีความว่า เมื่อไม่สามารถยึดอาวุธปืนของกลางได้ต้องตีความเป็นคุณกับจำเลยว่า เป็นอาวุธปืนที่มีทะเบียน ย่อมมีผลตามข้อสังเกตที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
๖.ปัญหาว่าอาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนหรือไม่เป็นปัญหาเกี่ยวความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลสามารถยกขึ้นเองได่ แม้ไม่มีผู้ใดยกขึ้น และเมื่อยกขึ้นแล้วศาลย่อมสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงโทษของจำเลยเสียใหม่ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น