ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“ไม่ยอมออกและไม่จ่ายค่าเช่า" “ฟ้องเท็จต้องมีเจตนา”

การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ นอกจากจะเอาความเท็จฟ้องผู้อื่นต่อศาลว่ากระทำผิดอาญา ผู้กระทำต้องมีเจตนากระทำผิดด้วย เอกสาร ล ๑ที่โจทก์ทำและนำไปปิดที่หน้าบ้านโจทก์ ซึ่งบุคคลอื่นที่ผ่านไปสามารถพบเห็นได้โดยง่ายมีข้อความว่า “ ป. ผู้เช่าบ้านนาง ก ภรรยาโจทก์ถูกฟ้องขับไล่ถูกฟ้องขับไล่ทนละอายไม่ได้ ได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่น แต่จำเลย มารดากับน้องของจำเลยบริวารของ ป. ยังอยู่โดยไม่ยอมจ่ายค่าเช่า และจำเลยได้นำป้ายชื่อและอาชีพของตนไปติดที่ฝาบ้านโดยเปิดเผยแสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่า “ เช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลทำให้จำเลยเชื่อว่า โจทก์ใส่ความจำเลยต่อบุคคลที่สามโดยการโฆษณาด้วยเอกสารว่า แม้ผู้เช่ายอมออกจากบ้านไปแล้ว จำเลยซึ่งเป็นบริวารยังดื้อดึงอาศัยอยู่ในบ้านเช่าโดยลำพังโดยไม่จ่ายค่าเช่าให้ผู้ให้เช่า ทั้งยังเอาป้ายชื่อและอาชีพจำเลยไปติดไว้แสดงเจตนาครอบครองบ้านเช่า เป็นการกระทำที่ทำให้จำเลยเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง และตามเอกสาร ล๑ ก็เป็นหนังสือของโจทก์ถึงจำเลยโดยตรง ข้อความที่ว่า ป. ผู้เช่าได้ออกจากบ้านเช่าไปอยู่ที่อื่นแล้วก็มีความหมายอยู่ในตัว ว่า ป. ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเช่าอีกต่อไป ผู้ที่ต้องรับผิดชำระค่าเช่าคือคนที่อยู่ในบ้านเช่า ซึ่งก็คือ จำเลย ทั้งจำเลยได้แนบเอกสาร ล ๑ เป็นเอกสารท้ายฟ้องคดีอาญาที่กล่าวหาว่าโจทก์ฟ้องเท็จด้วย จำเลยจึงไมได้บรรยายคดีหมิ่นประมาทโดยการบิดเบือนข้อเท็จจริง พฤติการณ์ไม่พอฟังว่าจำเลยมีเจตนาฟ้องเท็จ คำพิพากษาฏีกา ๔๘๙/๒๕๓๙
ข้อสังเกต ๑.สัญญาเช่าสิ้นสุดผู้เช่าไม่ยอมออกจากบ้านเช่าผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่าให้ออกไปจากบ้านเช่า ซึ่งรวมทั้งบริวารผู้เช่าด้วยที่ต้องออกไปจากบ้านเช่า การที่โจทก์นำประกาศไปปิดที่บ้านเช่าซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถมองเห็นข้อความที่โจทก์ปิดไว้ว่า “ ผู้เช่าถูกฟ้องขับไล่ทนความละอายไม่ไหวจึงได้ย้ายออกไป แต่จำเลยซึ่งเป็นบริวารผู้เช่าพร้อมมารดาและน้องจำเลยไม่ยอมออกจากบ้านเช่ายังคงอยู่ต่อไปโดยไม่ชำระค่าเช่า และยังเอาป้ายชื่อจำเลยมาติดที่บ้านพร้อมแสดงอาชีพของตนไว้ด้วย” จำเลยเข้าใจว่า โจทก์ต้องการประจานให้จำเลยได้รับความอับอาย การกระทำของโจทก์หมิ่นประมาทใส่ความจำเลยด้วยการโฆษณาให้คนผ่านบ้านเช่าทราบว่า จำเลย มารดาและน้องซึ่งเป็นบริวารผู้เช่าไม่ยอมออกจากบ้านที่เช่าทั้งที่ผู้เช่าได้ออกจากบ้านเช่าไปแล้วโดยไม่ยอมจ่ายค่าเช่า เท่ากับอ้างว่า จำเลยเป็นคนไม่ดีเขาฟ้องขับไล่ผู้เช่าจนผู้เช่ายอมออกจากบ้านเช่าไปแล้วแต่จำเลยก็ไม่ยอมออก ไม่ยอมปฏิบัติตามที่กฏหมายบัญญัติไว้และไม่ยอมจ่ายค่าเช่า อาศัยอยู่ฟรีเอาเปรียบผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่ก็ไม่ยอมออก การไม่ยอมจ่ายค่าเช่าแสดงว่าจำเลยมีปัญหาเรื่องการเงินที่ไม่สามารถชำระค่าเช่าได้หรือจำเลยมีความสามารถที่จะชำระค่าเช่าได้แต่ไม่ชำระค่าเช่าอัน เป็นการเอาเปรียบผู้ให้เช่าทั้งยังเอาป้ายชื่อและอาชีพมาปิดแสดงให้เห็นว่า จำเลยสามารถชำระค่าเช่าได้โดยมีอาชีพที่มั่นคง การที่โจทก์นำประกาศดังกล่าวมาปิดที่บ้านเช่าซึ่งคนที่ผ่านไปมาสามารถพบเห็นได้ เป็นการประจานจำเลยด้วยข้อความหมิ่นประมาทจำเลยด้วยการโฆษณา เพราะทำให้ผู้พบเห็นคิดว่าจำเลยมีปัญหาทางการเงินไม่สามารถชำระค่าเช่าได้หรือแม้มีเงินสามารถชำระค่าเช่าได้แต่ก็ไม่ยอมชำระเป็นการเอาเปรียบโจทก์ ทำให้คนที่ผ่านไปมาพบเห็นเหตุการณ์ ดูถูกดูหมิ่น จำเลย ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย จำเลยจึงมาฟ้องโจทก์ว่าโจทก์หมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โจทก์จึงฟ้องจำเลยกลับว่า จำเลยฟ้องเท็จ ซึ่งการจะเป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ ต้องเป็นการฟ้องเท็จในคดีอาญา ไม่ใช่การฟ้องเท็จในคดีแพ่ง และการฟ้องเท็จในคดีอาญาต้องเป็นการฟ้องเท็จในการกระทำความผิดทางอาญาหรือความผิดทางอาญาที่ทำให้ต้องรับโทษสูงขึ้น การที่จะเป็นความผิดนั้นต้องปรากฏว่า ต้องเอาข้อความเป็นเท็จมาฟ้อง และข้อความที่เอามาฟ้องนั้นผู้ฟ้องต้องมีเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลในการฟ้องเท็จนั้นด้วย หากเป็นเพียงความเข้าใจโดยสุจริตว่าตนเองถูกกระทำความผิดทางอาญาจึงได้มาฟ้องศาลดังนี้จะถือว่ากระทำความผิดฐานฟ้องเท็จไม่ได้ ในคดีนี้จำเลยเข้าใจว่าโจทก์หมิ่นประมาทจำเลยด้วยการโฆษณาด้วยการปิดประกาศข้อความที่หน้าบ้านเช่าทำให้คนที่อ่านเข้าใจว่าจำเลยมีปัญหาทางการเงินไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าได้หรือจำเลยสามารถจ่ายค่าเช่าได้แต่มีเจตนาจะไม่ชำระค่าเช่าอันเป็นการเอาเปรียบโจทก์ เมื่อจำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าตนถูกโจทก์กระทำการละเมิดกฎหมายทางอาญาแก่ตนจึงได้นำคดีขึ้นสู่ศาลด้วยการฟ้องคดีต่อศาล เช่นนี้แล้วจะถือว่า จำเลยเอาความเท็จมาฟ้องต่อศาลไม่ได้เพราะจำเลยไม่ได้มีเจตนานำความเท็จมาฟ้องต่อศาล แต่สิ่งที่จำเลยนำมาฟ้องต่อศาลเพราะเข้าใจว่าโจทก์หมิ่นประมาทตนจึงใช้สิทธิ์ตามกฏหมายเพื่อจะป้องกันสิทธิ์ของตนตามกฎหมายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงยังไม่มีความผิดฐานฟ้องเท็จแต่อย่างใด นั้นก็คือหากไม่มีเจตนาในนำความเท็จมาฟ้องแล้ว การกระทำย่อมไม่เป็นความผิดฐานฟ้องเท็จ

ไม่มีความคิดเห็น: