ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“ความผิดเกี่ยวพันกัน”

๑.แม้ความผิดฐานเสพกัญชาจะอยู่ในอำนาจศาลแขวงและเป็นความผิดคนละกรรมกับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ความผิดทั้งสองฐานนี้ได้กระทำลงโดยผู้กระทำความผิดคนเดียวกัน และเป็นความผิดเกี่ยวพันกัน จึงเป็นกรณีความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกัน โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานเสพกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมกับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตต่อศาลจังหวัดได้โดยไม่ต้องขอผัดฟ้องจำเลยตามพรบ.จัดตั้งศาลแขวงฯ คำพิพากษาฏีกาที่ ๓๒๙๘/๒๕๓๒
๒. แม้ความผิดตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษกับความผิดตามพรบ.คนเข้าเมือง จะเป็นความผิดที่แยกฟ้องแต่ละกรรมต่างกัน โดยความผิดตามพรบ.คนเข้าเมืองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงก็ตาม แต่ก็ได้กระทำความผิดคนเดียวกันและเป็นความผิดที่เกี่ยวพันกัน จึงเป็นความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันซึ่งจะฟ้องทุกเรื่องต่อศาลที่มีอำนาจชำระในความผิดที่มีอัตราโทษสูงกว่าก็ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในความผิดตามพรบ.คนเข้าเมืองงพร้อมควงามผิดตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษโดยไม่ต้องขอฝากขังจำเลย คำพิพากษาฏีกา ๓๕๘๔/๒๕๓๒,๑๙๗๘/๒๕๔๒
ข้อสังเกต ๑.ความผิดที่ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคือ ความผิดทางอาญาที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือ คดีการไต่สวนชันสูตรพลิกศพ ดังนั้นในบางฐานความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี แต่โทษปรับเกินกว่า ๖๐,๐๐๐ บาท ก็ไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา แม้อัตราโทษจำคุกอยู่ในอำนาจศาลแขวงก็ตามแต่โทษปรับเกินอำนาจศาลแขวง ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจที่จะรับคดีนั้นไว้วินิจฉัย
๒.ความผิดบางฐานแม้โทษปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาทอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงก็ตาม แต่กฏหมายกำหนดโทษปรับตามจำนวนราคาทรัพย์ที่กระทำผิดหรือค่าอากรที่ต้องเสีย เช่น ตามพรบ.ยาสูบฯ ให้ปรับ ๑๐ เท่าของอัตราค่าแสตมป์ยาสูบที่ต้องปิดและเพิ่มอีกสิบเท่า ซึ่งหากค่าปรับและเงินเพิ่มดังกล่าวเกินกว่า ๖๐,๐๐๐ บาทไม่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา แต่หากไม่เกิน ๖๐,๐๐๐ บาทก็อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา
๓.ความผิดฐานเสพกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตมีอัตราโทษจำคุกไม่ถึง ๓ ปี ปรับไม่เกิน ๖๐,๐๐๐บาทจึงอยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะจะพิจารณาพิพากษา แต่ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีอัตราโทษจำคุกเกินกว่า ๓ ปีปรับเกินกว่า ๖๐,๐๐๐ บาท จึงไม่อยู่ในอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษาคดีได้ โจทก์จึงสามารถฟ้องในความผิดฐานเสพกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตพร้อมไปกับความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในศาลจังหวัดได้ เพราะเป็นความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันโดยเป็นความผิดหลายฐานได้กระทำโดยคนๆเดียวกัน ตาม ปวอ. มาตรา ๒๔(๑)นั้นเอง ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลตั้งแต่สองศาลขึ้นไปมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี โดยทั้งศาลจังหวัดและศาลแขวงต่างมีอำนาจพิจารณาพิพากษาในความผิดฐานเสพกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ เมื่อสองศาลต่างมีอำนาจที่จะพิจารณาและพิพากษาในความผิดดังกล่าว แต่ในความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีอัตราโทษเกินอำนาจศาลแขวงที่จะพิจารณาพิพากษา ศาลแขวงจึงไม่มีอำนาจที่จะพิจารณาได้ เมื่อจำเลยเป็นคนเดียวกันได้กระทำความผิดหลายฐานเกี่ยวพันกัน จึงต้องฟ้องทั้งสองข้อหาต่อศาลที่มีอำนาจชำระในความผิดฐานที่มีอัตราโทษสูงกว่าคือศาลจังหวัด ตาม ปวอ. มาตรา๒๔
๔.ในเรื่องอำนาจการสอบสวนก็เช่นกัน เมื่อเป็นความผิดที่ต่อเนื่องหรือเกี่ยวพันกัน กระทำความผิดโดยคนๆเดียวกันหรือคนกลุ่มเดียวกันได้กระทำความผิดหลายกรรมต่อเนื่องกัน ในท้องที่เดียวกัน พนักงานสอบสวนในท้องที่ความผิดเกิด อ้าง หรือ เชื่อว่าเกิดในเขตท้องที่ของตนย่อมมีอำนาจในการสอบสวน และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องแยกสำนวนออกเป็นสองสำนวน โดยทำเป็นสำนวนเสพกัญชา ๑ สำนวน และสำนวนมีกัญชาอีกหนึ่งสำนวน ตามที่พนักงานสอบสวนบางคน(เน้นนะครับว่าบางคนไม่ใช่ทุกคน)กระทำการแยกออกเป็นสองสำนวนดังกล่าว เพราะการทำสำนวนของพนักงานสอบสวนได้เงินค่าทำสำนวน หากทำเป็นสำนวนเดียวคือข้อหามีและเสพกัญชาฯ ก็ได้ค่าทำสำนวนเพียงสำนวนเดียว หากทำเป็นสองสำนวนคือ สำนวนหนึ่งข้อหาเสพกัญชา อีกสำนวนเป็นข้อหามีกัญชาแล้วก็จะได้ค่าทำสำนวนสองสำนวน ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าการกระทำดังกล่าวก็ไม่ต่างจากการ...........สักเท่าใดนั้น เพราะเงินค่าทำสำนวนเอามาจากไหนมาจ่ายให้พนักงานสอบสวน การแยกสำนวนออกเป็นสองสำนวนก่อให้เกิดปัญหาเพราะอำนาจการควบคุมตัวในแต่ละข้อหาไม่เท่ากัน ข้อหาเสพกัญชาต้องฟ้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดหากฟ้องไม่ได้ต้องขอผัดฟ้องฝากขังตามพรบ.วิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงฯ ส่วนข้อหามีกัญชานั้นทำเพียงฝากขังตามกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญาเท่านั้น เมื่อข้อหาเสพกัญชาต้องรีบฟ้องโดยด่วนทำให้สำนวนมีกัญชาไว้ในความครอบครองดดยไม่ได้รับอนุญาตที่ส่งมาในภายหลังอาจไม่ได้ขอศาลนับโทษต่อก็ได้ เพราะสำนวนหนึ่งส่งพนักงานอัยการคดีแขวง ส่วนอีกสำนวนส่งอัยการจังหวัด(ในกรณีต่างจังหวัด)หรือสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี(ในกรุงเทพ) หากไม่มีการบอกให้รู้แล้ว พนักงานอัยการทั้งสองจะไม่สามารถทราบได้จึงไม่สามารถนับโทษต่อกันได้ เมื่อศาลลงโทษ โทษของความผิดทั้งสองฐานอาจทับกันซ้อนกันไม่ได้นับโทษต่อกัน ซึ่งเป็นผลดีของผู้ต้องหา
๕.เหมือนคดีการพนันที่จับผู้ต้องหาได้ ๑๐๐ คนในบ่อนการพนัน หากฟ้องผู้เล่นทั้ง ๑๐๐ รายรวมไปกับเจ้ามือหรือเจ้าสำนัก ผลที่เกิดคือเจ้ามือหรือเจ้าสำนักจะถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ แต่มีพนักงานสอบสวนบางคน(เน้นนะครับว่าบางคนไม่ใช่ทุกคน) แยกผู้เล่นเป็นสิบสำนวนสำนวนละ ๑๐ คน และแยกเจ้ามือเป็นอีกสำนวนหนึ่ง และเจ้าสำนักเป็นอีกสำนวน นอกจากได้ค่าทำสำนวนหลายสำนวนแล้วยังทำให้เจ้ามือเจ้าสำนักไม่ติดคุก เพราะหากฟ้องเจ้ามือและเจ้าสำนักพร้อมผู้เล่นการพนัน ๑๐๐ รายซึ่งถือเป็นบ่อนใหญ่แล้ว เจ้ามือ เจ้าสำนักศาลลงโทษจำคุกโดยไม่รอการลงโทษ การแยกสำนวนหลายสำนวนเพื่อต้องการผลงานทางคดีว่ามีผลงานจับกุมมาก ได้ประโยชน์ในเงินค่าทำสำนวนหลายสำนวนแทนที่จะได้ค่าทำสำนวนสำนวนเดียว และเป็นผลดีแก่เจ้าสำนักหรือเจ้ามือที่จะไม่ถูกศาลลงโทษจำคุก ซึ่งในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าการกระทำดังกล่าวก็คือการกระทำโดยเจตนาช่วยผู้กระทำความผิดที่เป็นเจ้ามือและเจ้าสำนักนั้นเอง การแยกทำหลายสำนวนเปลืองกระดาษ(หลวง)ที่มาจากภาษีอากรประชาชน เปลืองน้ำมันรถที่ต้องส่งสำนวนไม่พร้อมกันต้องมาหลายเที่ยว เสียกำลังคนทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำสำนวนมาส่ง เสียกำลังคนของพนักงานอัยการ เจ้าหน้าที่ศาลและศ่าล ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเหล่านี้ต้องมาทำงานหลายรอบแทนที่จะทำงานเพียงรอบเดียว ในความเห็นส่วนตัวเพื่อกันการทุจริตทางเทคนิคของพนักงานสอบสวนบางคน(เน้นนะครับว่าบางคน) จึง เห็นควรยกเลิกเงินทำสำนวนของพนักงานสอบสวน เหมือนควรยกเลิกเงินส่วนแบ่งจากคดีจราจรเช่นกัน เงินค่าปรับจะได้เข้าหลวงร้อยเปอร์เซ็นต์เพื่อนำมาพัฒนาประเทศ
๖.ในกรณีดังกล่าวแม้ความผิดฐานเสพกัญชาต้องฟ้องภายในเวลาที่กฎหมายกำหนดและหากฟ้องไม่ทันตามกำหนดต้องขอผัดฟ้องต่อศาลไม่งั้นไม่สามารถฟ้องได้เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอัยการสูงสุดอนุญาตให้ฟ้อง แต่อย่างไรก็ดีการที่พนักงานอัยการฟ้องผู้ต้องหาในความผิดฐานมีและเสพกัญชาไปพร้อมกันทำให้ไม่ต้องขอผัดฟ้องในความผิดฐานเสพกัญชาแต่อย่างใด เพราะความผิดทั้งสองฐานเป็นความผิดเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกันอยู่ การที่จะเสพกัญชาได้ต้องมีกัญชาไว้ในความครอบครองก่อนจึงจะสามารถเสพได้ ความผิดทั้งสองฐานนี้จึงเป็นความผิดที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกันนั้นเอง
๗.มีพนักงานสอบสวนบางคน(เน้นนะครับว่าบางคน ไม่ใช่ทุกคน) เถียงอัยการว่าพบผู้ต้องหากำลังเสพกัญชาจึงดำเนินคดีเฉพาะข้อหาเสพกัญชาแต่ไม่ได้ดำเนินคดีฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อยากทราบว่า หากไม่มีกัญชาไว้ในความครอบครองแล้วเอาที่ไหนมาเสพ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตก่อน หากมีไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่ไม่นำมาเสพก็เป็นความผิดเฉพาะข้อหามีกัญชาไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น หากนำมาเสพเมื่อไหร่ก็เป็นความผิดฐานเสพกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกฐานหนึ่ง
๗.ความผิดตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษกับความผิดตามพรบ.คนเข้าเมือง แม้พนักงานอัยการโจทก์จะแยกฟ้องแต่ละกรรมต่างกันเป็นข้อ ๑ ก.(ฟ้องในความผิดตามพรบ.คนเข้าเมืองว่าลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรไทยและอยู่ในราชอาณาจักรไทยดดยไม่ได้รับอนุญาต)และฟ้องตาม ข้อ ๑ (ฟ้องในความผิดตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษว่าจำเลยมียาเสพติดให้โทษไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต) ก็ตาม โดยความผิดตามพรบ.คนเข้าเมืองอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแขวงในขณะที่ความผิดตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลจังหวัด แต่ความผิดทั้งสองฐานดังกล่าวก็ได้กระทำความผิดคนเดียวกันและเป็นความผิดที่เกี่ยวพันกัน จึงเป็นความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกันซึ่งจะฟ้องทุกเรื่องต่อศาลที่มีอำนาจชำระในความผิดที่มีอัตราโทษสูงกว่าก็ได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในความผิดตามพรบ.คนเข้าเมืองพร้อมความผิดตามพรบ.ยาเสพติดให้โทษโดยไม่ต้องขอผัดฟ้องฝากขังจำเลยในข้อหาตามพรบ.คนเข้าเมือง

ไม่มีความคิดเห็น: