๑ศาลฏีกาเคยวินิจฉัยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นหนี้เงินคือ
๑.๑หนี้ค่าภาษีอากรที่ต้องจ่ายแก่รัฐ คำพิพากษาฏีกา ๖๔/๒๕๒๐
๑.๒.ภาษีอากรที่เรียกเก็บและต้องจ่ายคืนแก่ราษฏร คำพิพากษาฏีกา ๑๒๗๔/๒๔๙๗, ๑๕๕๐/๒๕๒๒
๑.๓.เงินที่ต้องจ่ายคืนเป็นบำเหน็จคนงาน คำพิพากษาฏีกา ๑๙๓๓/๒๕๒๘
๑.๔.เงินมัดจำที่ต้องคืน คำพิพากษาฏีกา ๒๒๔๐/๒๕๒๓
๑.๕.เงินเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนและศาลสั่งลด คำพิพากษาฏีกา ๑๗๗๔/๒๕๐๐
๒.มูลหนี้ตามเช็ค คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค คำพิพากษาฏีกา ๙๐๑/๒๕๐๕,๔๖๘๖/๒๕๓๖
๓.ในกรณีที่วันถึงกำหนดหรือวันผิดนัดไม่ปรากฏ ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง คำพิพากษาฏีกา ๑๗๒/๒๕๐๑,๒๒๕/๒๕๐๔,๑๓๐๔/๒๕๑๔,๘๐๒/๒๕๑๙,๑๙๓๓/๒๕๒๘,๕๑๓๒/๒๕๓๒
๔.แต่มีคำพิพากษาฏีกาอีกกลุ่มเห็นว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่มีคำพิพากษา คำพิพากษาฏีกา ๓๙๗๘/๒๕๓๓,๔๖๑๓/๒๕๓๓
๕.พรบ.ศุลกากรกำหนดให้ผู้มีสิทธิ์รับเงินอากรส่วนที่ที่ชำระเกินคืน ได้ดอกเบี้ยร้อยละ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ชำระอากร คำพิพากษาฏีกา ๑๓๘/๒๕๓๐
๕.ศาลสั่งให้เพิกถอนการโอนทรัพย์ของลูกหนี้ผู้ล้มละลาย หากโอนไม่ได้ให้ใช้ราคาและดอกเบี้ยนั้นก่อนที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนต้องถือว่าการโอนนั้นเป็นไปโดยชอบ ผู้รับโอนจึงต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนมิใช่วันที่มีคำขอให้เพิกถอนการโอน คำพิพากษาศาลฏีกา ๓๕/๒๕๓๕,๕๓/๒๕๓๕,๓๕๖๙/๒๕๓๕
ข้อสังเกต ๑. “หนี้เงิน” ไม่หมายเฉพาะหนี้เงินกู้ยืมเท่านั้นแต่รวมถึงหนี้ทุกชนิดที่ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ด้วยการส่งมอบเงิน ไม่ว่าเป็นหนี้ตามสัญญาซื้อขายที่ต้องมีการชำระราคา หรือในกรณี จ้างทำของที่ลูกจ้างหรือผู้รับจ้างมีสิทธิ์ได้เงินตอบแทนการที่ตนทำกิจการงานอย่างหนึ่งอย่างใดให้ หรือกรณีการชำระหนี้ตามสัญญาประกัน ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเบี้ยประกันหรือการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจ้างแรงงาน หรือแม้แต่เป็นหนี้หนี้ค่าภาษีอากรที่ต้องจ่ายแก่รัฐ ภาษีอากรที่เรียกเก็บและต้องจ่ายคืนแก่ราษฏร เงินที่ต้องจ่ายคืนเป็นบำเหน็จคนงาน. เงินมัดจำที่ต้องคืนหรือ.เงินเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนและศาลสั่งลด เป็นต้น เหล่านี้ถือเป็น “หนี้เงิน” เมื่อมีกรณีที่จำเป็นต้องเสียดอกเบี้ย แต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญาหรือไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ตาม ปพพ มาตรา ๗ และเมื่อเป็น “หนี้เงิน” แล้ว ปพพ มาตรา ๒๒๔ บัญญัติให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี หากเจ้าหนี้สามารถเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านี้โดยอาศัยเหตุอื่นอันชอบด้วยกฏหมาย ก็คงเป็นไปตามนั้น เช่น ในการกู้ยืมเงินกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตามปพพ มาตรา ๖๕๔ โดยหากดอกเบี้ยกู้ยืมเงินสูงเกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี กฎหมายให้ลดลงมาเป็นร้อยละ ๑๕ ต่อปี
๒.หนี้เงินอันจะต้องเสียดอกเบี้ยห้ามไม่ให้เรียกดอกเบี้ยในระหว่างที่เจ้าหนี้ผิดนัด ปพพ มาตรา ๒๒๑ แต่หากเป็นกรณีลูกหนี้ผิดนัด เจ้าหนี้สามารถเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี หากเจ้าหนี้สามารถเรียกดอกเบี้ยมากกว่านี้โดยอาศัยเหตุอื่นอันชอบด้วยกฎหมาย ก็ให้เสียดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าว ปพพ มาตรา ๒๒๔ แต่อย่างไรก็ดีกฎหมายห้ามไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ผิดนัด ปพพ มาตรา ๒๒๔ วรรคสอง
๓.หนี้ค่าภาษีอากรที่ต้องจ่ายแก่รัฐ เมื่อมีรายได้ตามเกณท์ที่ต้องเสียภาษี หรือภาษีอากรที่เรียกเก็บและต้องจ่ายคืนแก่ราษฏรในกรณีที่ราษฏร์ยื่นเสียภาษีไว้เกินกว่าที่กฏหมายกำหนด หรือในกรณีหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งมักเกิดกับข้าราชการที่หน่วยงานได้หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ โดยไม่ทราบว่าผู้มีหน้าที่เสียภาษี สามารถหักค่าใช้จ่ายหักค่าลดหย่อนเท่าไหร่ หากนำค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนมารวมคำนวณภาษีแล้วทำให้ต้องเสียภาษีน้อยกว่าที่ถูกหักไป ก็สามารถยื่นคำร้องขอคืนภาษีได้ โดยเมื่อมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อคำนวณรวมแล้วใน ๑ ปี หักภาษี ณ ที่จ่ายเกินไปกว่าที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นเรื่องที่กรมสรรพกรต้องคืนเงินส่วนที่เกินให้แก่ผู้เสียภาษี หรือ.เงินที่ต้องจ่ายคืนเป็นบำเหน็จคนงาน หรือเงินมัดจำที่ต้องคืน ในกรณีที่ฝ่ายที่รับมัดจำไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งที่ฝ่ายนั้นต้องรับผิด หรือให้จัดเอาเป็นเงินบางส่วนในการชำระหนี้ เมื่อไม่มีการชำระหนี้จึงต้องคืนเงินมัดจำ ตาม ปพพ มาตรา ๓๗๘ หรือ.เงินเบี้ยปรับที่ลูกหนี้สัญญาต่อเจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจำนวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ชำระหนี้ หรือการชำระหนี้ไม่ถูกต้องแท้จริง ไม่ชำระหนี้ให้ถูกต้องตรงตามสมควร หากเบี้ยปรับดังกล่าวสูงเกินส่วนแล้วศาลสั่งลดได้ตามปพพ มาตรา ๓๘๓ โดยศาลต้องพิเคราะห์ถึง ทางได้เสียโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่พิเคราะห์เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินเท่านั้น หนี้เหล่านี้เป็นหนี้ที่ลูกหนี้ต้องชำระหนี้ด้วยการส่งมอบเงิน หนี้เหล่านี้จึงเป็น “ หนี้เงิน” เมื่อเป็นหนี้เงินและเป็นกรณีที่จำเป็นต้องเสียดอกเบี้ย แต่ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ในสัญญาหรือไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ตาม ปพพ มาตรา ๗ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเป็น “ หนี้เงิน” ปพพ มาตรา ๒๒๔ บัญญัติติให้คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี หากเจ้าหนี้สามารถเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านี้โดยอาศัยเหตุอื่นอันชอบด้วยกฏหมาย ก็คงเป็นไปตามนั้น
๓.ดอกเบี้ย เป็นค่าเสียหายที่กฎหมายกำหนดเอาไว้ให้เจ้าหนี้ กรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาหรือโดยบทบัญญัติกฏหมาย เช่นกู้ยืมเงินโดยไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ว่าจะต้องคืนเมื่อไหร่ เมื่อไม่สามารถอนุมาณจากพฤติการณ์ทั้งปวงได้ว่ากู้ยืมเงินไปทำอะไร เจ้าหนี้ย่อมเรียกให้ชำระหนี้ได้โดยพลันตาม ปพพ มาตรา ๒๐๓ หรือกรณีกำหนดวันชำระตามปฏิทิน ลูกหนี้ไม่ชำระภายในกำหนด ลูกหนี้ตกเป็นผู้ผิดนัดโดยเจ้าหนี้ไม่ต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้ก่อน ตาม ปพพ มาตรา ๒๐๔วรรคสอง ส่วนหนี้ละเมิดถือผิดนัดนับแต่วันทำละเมิด ปพพ มาตรา ๒๐๖
๔.ดอกเบี้ยเริ่มคิดได้นับแต่เวลาที่ลูกหนี้ผิดนัด โดยวันที่ผิดนัดเป็นวันที่เริ่มคิดดอกเบี้ย ดังนั้นในกรณีที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค สามารถเรียกดอกเบี้ยได้นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คซึ่งถือว่าเป็นวันที่ผิดนัด ไม่ใช่เริ่มคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ลงในเช็คเพราะวันที่ลงในเช็คนั้นยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าสามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้หรือไม่ จึงจะถือว่าเป็นวันถึงกำหนดในการใช้เงินตามเช็คไม่ได้ และจะถือว่ามีการผิดนัดนับแต่วันที่ลงในเช็คหาได้ไม่ ดังนั้นหากจะให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ลงในเช็คย่อมไม่เป็นธรรมแก่ลูกหนี้ จึงต้องคิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค
๕.หรือแม้แต่ในคดีอาญาในความผิดเกี่ยวกับการใช้เงินตามเช็คฯ ความผิดเกิดเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค ไม่ใช่เริ่มนับแต่วันที่ลงในเช็คเพราะยังไม่เป็นที่แน่นอนว่าธนาคารจะปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คหรือไม่อย่างไร ความผิดตามพรบ.เช็คฯ เป็นความผิดที่เกิดจากการออกเช็คแล้วจำนวนเงินไม่พอชำหนี้ตามเช็คหรือออกเช็คโดยเจตนาไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค แม้ว่าในขณะออกเช็คอาจไม่มีเงินในบัญชีหรือเงินในบัญชีติดลบจากการกู้เบิกเงินเกินบัญชีก็ตาม ดูเผินๆคิดว่าน่าเป็นความผิดแล้วเพราะขณะออกเช็คไม่มีเงินในบัญชี แต่ก็ไม่เป็นที่แน่นอนว่าวันถึงกำหนดที่ลงในเช็ค ผู้สั่งจ่ายอาจหาเงินเข้าบัญชีและมีเงินพอชำระหนี้ตามเช็คได้ ดังนั้นความผิดจึงเกิดก็ต่อเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คโดยดูในวันถึงกำหนดที่ลงในเช็ค โดยไม่สนใจว่าในวันที่สั่งจ่ายเช็คจะมีเงินอยู่หรือไม่อย่างไร ในส่วนที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์จะบรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คเมื่อใด ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเมื่อไหร่ โดยถือว่าในช่วงวันเวลาที่ออกเช็คถึงวันเวลาที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเป็นการกระทำคาบเกี่ยวกัน โดยสถานที่จำเลยกระทำความผิดคือสถานที่ออกเช็คเกี่ยวเนื่องกับท้องที่ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คซึ่งเป็นเรื่องคาบเกี่ยวว่าพนักงานสอบสวนคนใดมีอำนาจในการสอบสวนหรือไม่อย่างไร แต่หากเป็นราษฏร์ฟ้องกันเองคงต้องบรรยายท้องที่เกิดเหตุคือท้องที่ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค
๖.ในกรณีที่วันถึงกำหนดหรือวันผิดนัดไม่ปรากฏ ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้อง ซึ่งในความเป็นจริงแล้ววันถึงกำหนดหรือวันผิดนัดต้องเกิดก่อนการฟ้องคดีแน่นอนจึงมีการฟ้องคดีขึ้นมา หากหนี้ยังไม่ถึงกำหนดหรือยังไม่มีการผิดนัดก็ไม่มีเหตุอะไรที่ต้องมาฟ้องคดี แต่เมื่อไม่สามารถทราบแน่ชัดว่าวันใดเป็นวันถึงกำหนดหรือวันใดเป็นวันผิดนัด ศาลมักให้ถือเอาวันฟ้องเป็นการติดตามทวงถามและสมควรได้ดอกเบี้ยเริ่มนับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป
๔.แต่ก็มีคำพิพากษาฏีกาอีกกลุ่มทีเห็นว่าควรให้นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ด้วยความเครารพในคำพิพากษาฏีกาที่เห็นว่า ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันที่มีคำพิพากษา หากเป็นกรณีต่อสู้คดีกันจนถึงชั้นฏีกาใช้เวลาในการต่อสู้กันหลายปี หากจะให้นับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ศาลฏีกามีคำพิพากษาซึ่งถือเป็นคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจะมีผลเป็นอย่างไรแก่เจ้าหนี้ลูกหนี้หรือไม่อย่างไร ดอกเบี้ยที่คิดในเวลาที่ศาลชั้นต้นพิพากษากับดอกเบี้ยที่คิดเมื่อศาลฏีกาพิพากษาจำนวนเงินที่ได้รับย่อมแตกต่างกัน เมื่อมีความแตกต่างกัน เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบแก่กัน ทั้งการอุทธรณ์ฏีกาก็ไม่เป็นเหตุแห่งการทุเลาการบังคับคดีแต่อย่างไร ตามปวพ มาตรา ๒๓๑ แม้ว่าจะบังคับคดีไปตามคำพิพากษาของศาลล่าง แต่หากศาลสูง(ศาลฏีกา)วินิจฉัยอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น หากจะต้องคืนต้นเงินหรือดอกเบี้ยก็นำบทบัญญัติเรื่องลาภมิควรได้มาใช้บังคับได้ ในความเห็นส่วนตัวเห็นส่วนตัวเห็นว่าน่าที่จะบังคับคดีและเรียกดอกเบี้ยได้นับแต่วันที่เริ่มต้นมีการฟ้องคดี (หากไม่ปรากฎชัดว่าจะเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันไหน) ซึ่งจริงๆแล้ว เมื่อมีการผิดนัดมีการผิดนัดก่อนฟ้องเสียด้วยซ้ำไป ดังนั้นการให้เรียกดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจึงเป็นทางสายกลางมากกว่าการให้คิดดอกเบี้ยนับแต่วันมีคำพิพากาษา
๕.ศาลสั่งให้เพิกถอนการโอนทรัพย์ของลูกหนี้ผู้ล้มละลาย หากโอนไม่ได้ให้ใช้ราคาและดอกเบี้ยนั้นก่อนที่ศาลมีคำสั่งเพิกถอนต้องถือว่าการโอนนั้นเป็นไปโดยชอบ ผู้รับโอนจึงต้องชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่มีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนมิใช่วันที่มีคำขอให้เพิกถอนการโอน ตามคำพิพากษานี้เทียบได้กับการฟ้องคดีตามคำพิพากษาฏีกากลุ่มหลังที่ไม่ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่” วันฟ้อง” ซึ่งเทียบได้กับการไม่ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่ “วันขอให้เพิกถอนการโอน” แต่ให้คิดดอกเบี้ยนับแต่ “วันที่มีคำพิพากษา” หรือ “วันที่ให้เพิกถอนการโอน”
๖.หากมีกฎหมายกำหนดไว้เป็นพิเศษ เช่นพรบ.ศุลกากรกำหนดให้ผู้มีสิทธิ์รับเงินอากรส่วนที่ที่ชำระเกินคืน ได้ดอกเบี้ยร้อยละ๗.๕ ต่อปีนับแต่วันที่ชำระอากร ก็เป็นไปตามกฎหมายพิเศษนั้น ไม่นำ ปพพ มาใช้บังคับเพราะมีบทเฉพาะแล้วจึงไม่นำ ปพพ ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปมาใช้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น