การเรียกดอกเบี้ยทบต้นคิดได้เฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ไม่ได้ผิดนัด หากลูกหนี้ผิดนัดจะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย คำพิพากษาฏีกา ๑๘๘๗/๒๕๑๖,๑๒๙๑/๒๕๑๒,๕๕๔/๒๕๑๓,๑๑๒๒/๒๕๑๔,๑๓๓๙/๒๕๑๖,๒๔๙๑/๒๕๒๒
.ข้อสังเกต ๑.หนี้เงินให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี หากเจ้าหนี้สามารถเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่านั้นโดยอาศัยเหตุอื่นอันชอบด้วยกฏหมาย ก็ให้ส่งดอกเบี้ยไปตามนั้น ห้ามไม่ให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ผิดนัด ปพพ มาตรา ๒๒๔ และหนี้เงินอันจะต้องเสียดอกเบี้ย จะคิดดอกเบี้ยในระหว่างที่ “ เจ้าหนี้” ผิดนัดหาได้ไม่ ปพพ มาตรา ๒๒๑
๒.ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย คือ การที่เอาดอกเบี้ยมาทบกับต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยในต้นเงินใหม่นั้น ซึ่งหนี้เงินที่เกิดจากการใช้บัตรเครดิตน่าจะเป็นวิธีการที่มีการใช้วิธีการดังกล่าว ซึ่งเป็นกรณีที่เอาดอกเบี้ยมารวมเป็นต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยในต้นเงินใหม่เป็นดอกเบี้ยใหม่ซ้อนดอกเบี้ยเก่าที่รวมอยู่ในต้นเงิน
๓.ปพพ มาตรา ๒๒๔ ใช้คำว่า “ ดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย” แต่ใน ปพพ มาตรา ๖๕๕ เรื่องกู้ยืมเงิน ใช้คำว่า “ ดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ” ..............ให้เอาดอกเบี้ยนั้นทบเข้ากับต้นเงิน” แล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบกันก็ได้ นั้นก็คือใน ปพพ มาตรา ๖๕๕ ใช้คำว่า “ ดอกเบี้ยในจำนวนเงินที่ทบกัน” ซึ่งการ” การคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระ” ก็คือ การเอาดอกเบี้ยมาทบกับต้นเงินแล้วคิดดอกเบี้ยในจำนวนที่ทบเข้าด้วยกัน ซึ่งเป็นการรวมเอาดอกเบี้ยเข้ากับต้นเงินแล้วถือเป็นเงินต้น จึงเป็นการคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยหรือคิดดอกเบี้ยในดอกเบี้ยที่ค้างชำระนั้นเอง
๔.ดอกเบี้ยที่เกิดมีอยู่ ๒ อัน คือดอกเบี้ยตามที่ระบุไว้ในสัญญาและดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด เช่น ทำสัญญากู้คิดดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี เจ้าหนี้มีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่ในขณะเดียวกันเมื่อลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ย่อมต้องเสียดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีในระหว่างเวลาที่ผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้ ตาม ปพพ มาตรา ๒๒๔ ซึ่งทางปฏิบัติแล้วเจ้าหนี้คงใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีในการฟ้องร้องมากกว่าที่จะเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี มีนักกฏหมายบางคนเห็นว่ากรณีนี้น่าจะเรียกดอกเบี้ยนับแต่วันทำสัญญาถึงวันครบกำหนดในสัญญาคิดดอกเบี้ยร้อยละ๑๕ ต่อปีตามสัญญากู้ และนับแต่วันครบกำหนดในสัญญาแล้วไม่ชำระหนี้ถือผิดนัดคิดดอกเบี้ยอีกตัวคือร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ตามบทบัญญัติกฎหมาย( ปพพ มาตรา ๒๒๔) ไม่ใช่ต้องชำระหนี้ร้อยละ๑๕ต่อปีนับแต่วันทำสัญญากู้ถึงวันชำระเสร็จ แต่ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าบทบัญญัติในปพพ มาตรา ๖๕๔เป็นบทบัญญัติเฉพาะใช้กับการกู้ยืมเงิน ส่วน ปพพ มาตรา๒๒๔ เป็นบททั่วไปใช้กับหนี้เงินที่ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน จึงต้องเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีตามที่กำหนดไว้ในสัญญา ไม่ใช่เรียกดอกเบี้ยร้อยละ๑๕ต่อปีนับแต่วันทำสัญญาถึงวันครบกำหนดในสัญญา และหลังจากวันครบกำหนดในสัญญาเรียกดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีจนกว่าจะชำระเสร็จตามสัญญา
๕.นักกฎหมายบางคนเห็นว่า กรณีที่จะใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในการกู้ยืมเงินน่าเป็นกรณีที่กำหนดดอกเบี้ยในสัญญากู้ต่ำกว่าร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีเช่นร้อยละ ๕ ต่อปี เมื่อผิดนัดไม่ชำระหนี้เงินกู้จึงมาเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี ซึ่งฝ่ายลูกหนี้คงต่อสู้ว่าจะเรียกดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดกึ่งตามกฏหมายไม่ได้เพราะในสัญญาระบุชัดว่าให้เรียกดอกเบี้ยได้เพียงร้อยละ ๕ ต่อปี ดอกเบี้ยน่าจะแยกเป็นสองส่วนคือเมื่อกำหนดวันชำระหนี้ต้องคิดดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราร้อยละ๕ตามที่ระบุไว้ในสัญญากู้นับแต่วันทำสัญญากู้ถึงวันกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้ และนับแต่วันครบกำหนดในสัญญากู้ที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ถือลูกหนี้ผิดนัดจึงต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีนับแต่วันครบกำหนดในสัญญากู้ไปจนถึงวันชำระเสร็จ แต่ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าบทบัญญัติในปพพ มาตรา ๖๕๔เป็นบทบัญญัติเฉพาะใช้กับการกู้ยืมเงิน ส่วน ปพพ มาตรา๒๒๔ เป็นบททั่วไปใช้กับหนี้เงินที่ไม่ใช่การกู้ยืมเงิน เมื่อเป็นเรื่องการกู้ยืมเงินกันจึงต้องคิดดอกเบี้ยตามที่ปรากฏในสัญญากู้ยืมร้อยละ ๕ ต่อปี หาใช่มาคิดดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดกึ่งในระหว่างเวลาที่ผิดนัดรวมกับดอกเบี้ยตามสัญญากู้ที่เริ่มนับจากวันทำสัญญากู้มาถึงวันถึงกำหนดชำระ เป็นความเห็นส่วนตัว
๖.”ผิดนัดไม่ชำระหนี้” นั้นเกิดได้ในกรณีที่
๖.๑ หนี้ที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้หรืออนุมานจากพฤติการณ์ทั้งปวงไม่ได้ว่าจะถึงกำหนดชำระเมื่อใด เจ้าหนี้สามารถเรียกให้ชำระหนี้ได้ “โดยพลัน” และลูกหนี้ก็สามารถชำระหนี้ได้โดยพลันเช่นกัน ปพพ มาตรา ๒๐๓ เช่น “ หนี้เงินกู้" เมื”อไม่กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้และไม่สามารถอนุมานได้ว่ากู้เอาไปทำอะไร ดังนี้แล้ว เจ้าหนี้เรียกให้ชำระหนี้ได้ทันทีที่กู้และลูกหนี้สามารถชำระหนี้ได้ทันทีเช่นกัน หนี้บางอย่างแม้ไม่กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แต่สามารถอนุมานว่าหนี้ถึงกำหนดเมื่อไหร่ก็เป็นไปตามที่อนุมานหนี้ เช่น ยืมควายไปไถ่นาก็น่าจะยืมไปไม่เกินกำหนดระยะเวลาทำนา ยืมหนังสือไปดูตอนสอบ เมื่อสอบเสร็จก็คาดหมายได้น่าต้องนำมาคืน กรณีเหล่านี้เป็นหนี้ที่อนุมานหรือคาดหมายได้ว่า หนี้ดังกล่าวถึงกำหนดชำระเมื่อใด
๖.๒หนี้ที่ถึงกำหนดชำระแล้ว เมื่อมีหนังสือเตือนแล้วไม่ชำระ ถือผิดหนี้นับแต่วันที่เขาเตือน การเตือนให้เตือนเป็นหนังสือ เตือนเพื่อให้เขาชำระหนี้ มีคำพิพากษาฏีกาหลายฉบับวินิจฉัยว่า ให้ถือว่าผิดนัดนับแต่วันฟ้องมีสิทธิ์เรียกดอกเบี้ยได้นับแต่วันฟ้อง )(คำพิพากษาฏีกา ๑๗๒/๒๕๐๑,๒๒๕/๒๕๐๔,๑๓๐๔/๒๕๑๔,๘๐๒/๒๕๑๙,๑๙๓๓/๒๕๒๘,๕๑๓๒/๒๕๓๒) และมีคำพิพากษาฏีกาอีกกลุ่มหนึ่งวินิจฉัยว่า “ให้เรียกดอกเบี้ยได้นับแต่วันที่มีคำพิพากษา “ คำพิพากษาฏีกา ๓๙๗๘/๒๕๓๓,๔๖๑๓/๒๕๓๓)
๖.๓ หนี้ที่กำหนดเวลาชำระไว้ตามปฏิทินเช่นวันที่ ๓๐ ธค๕๙ นั้นคือวันที่กำหนดเวลาชำระแน่นอนตามวันในปฏิทิน เมื่อถึงวันครบกำหนด ถือว่าเป็น “ ผู้ผิดนัดโดยไม่ต้องเตือน”
๖.๔ ในกรณีที่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าก่อนการชำระหนี้โดยต้องให้เวลาตามสมควรเพื่อให้ลูกหนี้ชำระหนี้ โดยวันบอกกล่าวดังกล่าวอาจคำนวณได้ตามปฏิทินนับแต่วันบอกกล่าว ปพพ มาตรา ๒๐๔วรรคสองตอนท้าย ต้องบอกกล่าวให้ชำระหนี้พร้อมกำหนดวันที่ต้องชำระหนี้ตามสมควร หากไม่ชำระถือผิดนัด
๖.๕ตราบใดการชำระหนี้ยังทำไม่ได้ เพราะพฤติการณ์อันใดที่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิด ตราบนั้นถือว่าลูกหนี้ผิดนัดไม่ได้ ปพพ มาตรา ๒๐๕ เมื่อยังไม่ผิดนัดจึงไม่อาจเรียกดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ผิดนัดร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีตาม ปพพ มาตรา ๒๒๔ได้
๖.๖หนี้มูลละเมิดถือผิดนัดนับแต่วันที่ทำละเมิด ปพพ มาตรา ๒๐๖
๔..การเรียกดอกเบี้ยทบต้นคิดได้เฉพาะกรณีที่ลูกหนี้ไม่ได้ผิดนัด หากลูกหนี้ผิดนัดจะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ เป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย (ปพพ มาตรา ๒๒๔วรรคสอง) อีกทั้งเมื่อลูกหนี้ผิดนัดหากเป็นหนี้เงิน” แล้ว ลูกหนี้ต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างเวลาที่ผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปีอยู่แล้วตาม ปพพ มาตรา ๒๒๔วรรคแรก ดังนั้นหากลูกหนี้ผิดนัดแล้วให้คิดดอกเบี้ยได้อีกก็เป็นการคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยโดยดอกเบี้ยตัวแรกเป็นดอกเบี้ยที่ต้องเสียในระหว่างเวลาที่ผิดนัดในอัตราร้อยละเจ็ดกึ่งต่อปี แล้วนำดอกเบี้ยพร้อมต้นเงินมารวมกันเพื่อคิดดอกเบี้ยอีกในระหว่างที่ผิดนัดกลายเป็นดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยแล้ว เป็นการต้องห้ามตาม ปพพ มาตรา ๒๒๔ วรรคสอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น