๑.การที่ธนาคารออกบัตรเอทีเอ็มออกแบบให้ด้านหลังบัตรเอทีเอ็มมีช่องให้เจ้าของบัตรลงลายมือชื่อไว้ นอกจากมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวเจ้าของบัตร ยังอาจมีวัตถุประสงค์อื่นๆด้วย การที่จำเลยลงลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมลงในบัตรเอทีเอ็ม แม้ลายมือชื่อจะไม่ใช่สาระสำคัญของบัตรเอทีเอ็ม ก็ตาม แต่การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวหลังบัตรเอทีเอ็ม น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔,๒๖๕ คำพิพากษาฏีกา ๓๘๗๓/๒๕๕๑
๒. นำใบถอนเงินของธนาคารมากรอกโดยเขียนชื่อ เขียนเลขที่บัญชี จำนวนเงิน และลงลายมือชื่อปลอมในช่องผู้รับเงินและช่องผู้ถอนเงิน แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารซึ่งหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงจึงจ่ายเงินไป ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของบัญชี ธนาคาร และพนักงานธนาคาร เป็นการปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม คำพิพากษาฏีกา ๑๐๓๘๕/๒๕๔๖
๓.นำใบถอนเงินธนาคารมาทำเครื่องหมายขีดขวางที่ช่องบัญชีออมทรัพย์ เขียนชื่อ ก. ในช่องชื่อบัญชี เขียนข้อความระบุสาขา เลขที่บัญชี ลงลายมือชื่อปลอมของ ก. ในช่องผู้ถอนเงินและในช่องผู้รับเงิน ไปยื่นต่อพนักงานธนาคารซึ่งหลงเชื่อว่าเป็นคำขอถอนเงินที่แท้จริง เป็นการปลอมเอกสารขึ้นทั้งฉบับ เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ก่อให้เกิดความเสียหายต่อ ก. และพนักงานธนาคาร เป็นการปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมทั้งฉบับ ไม่ใช่เป็นการปลอมเอกสารธรรมดาตามที่จำเลยฏีกา เพราะใบคำขอถอนเงิน เป็นหลักฐานแสดงว่า ก. ได้ขอถอนเงินจากบัญชีออมทรัพย์ของตน ย่อมเป็นเอกสารอันก่อให้เกิดสิทธิ์ในการรับเงินจากธนาคาร จึงเป็นเอกสารสิทธิ์ การกระทำจำเลยจึงเป็นการปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม คำพิพากษาฏีกา ๑๗๐๕/๒๕๔๖
ข้อสังเกต ๑.บัตรเอทีเอ็ม เป็นวัตถุที่ธนาคารผู้ออกบัตรให้แก่ลูกค้าผู้มีสิทธิ์ใช้โดยระบุชื่อลูกค้าผู้ใช้เอาไว้แน่นอนโดยให้บัตรเอทีเอ็มดังกล่าวเกี่ยวข้องกับบัญชีเงินฝากของลูกค้า ด้วยการบันทึกข้อมูลหรือรหัสไว้ด้วยการประยุกต์ด้วยวิธีการอิเล็คตรอนไฟฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ด้วยวิธีการทางแม่เหล็กให้ปรากฏความหมาย ตัวเลขรหัส หมายเลขบัตร ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและที่ไม่เห็นด้วยตราเปล่า โดยมีการมอบรหัส หมายเลขบัญชีของสมุดเงินฝากที่ยึดโยงกับบัตรเอทีเอ็ม โดยธนาคารผู้ออกบัตรให้สิทธิ์แก่ลูกค้าในการถอนเงินโดยธนาคารไม่ได้ออกเอกสารหรือวัตถุอื่นใดให้ในการถอนเงิน โดยข้อมูลเงินฝากในธนาคารเกี่ยวข้องข้อมูลทางอิเล็คทรอนิคในบัตรเอทีเอ็มเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าธนาคาร ธนาคารผู้ออกบัตรและข้อมูลอีเล็คทรอนิค โดยมีวัตถุประสงค์ระบุตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของบัตรเอทีเอ็ม บัตรเอทีเอ็มจึงเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ตาม ป.อ. มาตรา ๑(๑๔)
๒.การที่ธนาคารออกบัตรเอทีเอ็มออกแบบให้ด้านหลังบัตรเอทีเอ็มมีช่องให้เจ้าของบัตรลงลายมือชื่อไว้ นอกจากมีวัตถุประสงค์เพื่อระบุตัวเจ้าของบัตรโดยเมื่อมารับบัตรเอทีเอ็ม เจ้าหน้าที่ธนาคารจะให้ลูกค้าธนาคารลงลายมือชื่อด้านหลั
งบัตรเอทีเอ็มต่อหน้าเจ้าหน้าที่ธนาคารเพื่อยืนยันตัวบุคคลที่เป็นเจ้าของบัตรเอทีเอ็ม และ ยังอาจมีวัตถุประสงค์อื่นๆด้วย การที่จำเลยลงลายมือชื่อปลอมของโจทก์ร่วมลงในบัตรเอทีเอ็ม แม้ลายมือชื่อจะไม่ใช่สาระสำคัญของบัตรเอทีเอ็มและไม่ใช่สาระสำคัญในการกดเงินจากบัตรเอทีเอ็มก็ตาม เพราะการกดเงินจากธนาคารโดยใช้บัตรเอทีเอ็มไม่ต้องลงลายมือชื่อเจ้าของบัตรในการกดถอนเงินแต่อย่างใดแต่อย่างใด ก็ตาม แต่การปลอมลายมือชื่อดังกล่าวหลังบัตรเอทีเอ็ม น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วม(ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารผู้เป็นเจ้าของบัตรเอทีเอ็ม)และธนาคารผู้ออกบัตร เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดรวมทั้งธนาคารผู้ออกบัตรเอทีเอ็มหลงเชื่อว่าโจทก์ร่วมได้ลงลายมือชื่อเป็นเอกสารที่แท้จริงในบัตรเอทีเอ็ม หากจำเลยทำให้บัตรเอทีเอ็มดังกล่าวชำรุดแล้ว นำบัตรเอทีเอ็มดังกล่าวไปขอทำบัตรเอทีเอ็มใหม่ เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นลายมือชื่อด้านหลังบัตรเอทีเอ็มเทียบกับลายมือชื่อของจำเลยแล้วย่อมเชื่อว่าผู้ต้องหาเป็นเจ้าของบัตรเอทีเอ็มที่แท้จริง เมื่อบัตรเอทีเอ็มดังกล่าวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในสมุดบัญชีเงินฝากได้เป็นการก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิ์ในการถอนเงินจากบัญชีธนาคารโดยผ่านทางบัตรเอทีเอ็ม บัตรเอทีเอ็มจึงเป็นเอกสารสิทธิ์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมลายมือชื่อในบัตรเอทีเอ็ม โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมและธนาคารผู้ออกบัตร จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๔,๒๖๕
๓.การที่ผู้ต้องหาลงลายมือชื่อของผู้ต้องหาด้านหลังบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหาย จึงเป็นการปลอมลายมือชื่อผู้เสียหาย ก่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าผู้ต้องหาเป็น เจ้าของบัตรเอทีเอ็มดังกล่าว เมื่อบัตรเอทีเอ็มเป็นบัตรอิเล็คทรอนิก การกระทำของผู้ต้องหาจึงเป็นการทำบัตรอีเล็คทรอนิคปลอมแต่บางส่วน โดยประการที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของบัญชีเงินฝากและ, ธนาคารที่ออกบัตรเอทีเอ็มที่อาจต้องชดใช้เงินที่ถูกผู้ต้องหาถอนไป ผู้อื่นหรือประชาชน โดยกระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดรวมทั้งธนาคารผู้ออกบัตรหลงเชื่อว่าเป็นบัตรอิเล็คทรอนิคอันแท้จริง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการกดเงินจากบัตรเอทีเอ็มเอาเงินในบัญชีของผู้เสียหายไป จึงเป็นการปลอมบัตรอิเล็คทรอนิคตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๙/๑ การที่ผู้ต้องหาครอบครองบัตรเอทีเอ็มไว้ย่อมเป็นการมีไว้เพื่อใช้บัตรอิเล็คทรอนิคที่มีการปลอมโดยรู้ว่าเป็นบัตรเอทีเอ็มที่มีการปลอมลายมือชื่อเจ้าของบัญชี ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๙/ ๔ และหากผู้ต้องหาได้นำบัตรเอทีเอ็มดังกล่าวไปกดถอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายแล้วย่อมเป็นการใช้บัตรอิเล็คทรอนิคของผู้อื่นโดยไม่ชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของบัญชี และธนาคารผู้ออกบัตรเอทีเอ็มโดยเป็นการกระทำต่อบัตรอิเล็คทรอนิคที่ใช้เบิกถอนเงินสด ตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๙/๕,๒๖๙/๖,๒๖๙/๗
๔.การกระทำของผู้ต้องหาตามข้อสังเกตที่ ข้อ ๒และข้อ ๓ เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน ผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๙/๔และ ๒๖๙/๗ ซึ่งเป็นบทหนัก โดยความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม ป.อ. มาตรา ๒๖๘ ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ปลอมซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่ ๖ เดือน ถึง ๕ ปี แต่ความผิดฐานมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอีเล็คทรอนิคปลอมระวางโทษจำคุก ๑ ปี ถึง ๗ ปี เมื่อเป็นบัตรที่ใช้ในการถอนเงินระวางโทษเพิ่มขึ้นอีกกึ่งหนึ่งจึงระวางโทษจำคุก ๑ ปี ๖เดือนถึง ๑๐ ปี ๖ เดือน จึงมีอัตราโทษสูงกว่าความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม เมื่อเป็นการกระทำกรรมเดียวครั้งเดียว กระทำไปโดยมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกันคือกระทำเพื่อปลอมบัตรเอทีเอ็มเพื่อนำไปกดเงิน จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฏหมายหลายบทต้องลงโทษตามบทหนัก
๕.ผู้เสียหายที่สามารถดำเนินคดีกับจำเลยที่ลงลายมือชื่อปลอมลงในบัตรเอทีเอ็มคือ เจ้าของบัตรเอทีเอ็มที่แท้จริง ธนาคารผู้ออกบัตรเอทีเอ็ม
๖..การที่นำใบถอนเงินของธนาคารมากรอกโดยเขียนชื่อ เขียนเลขที่บัญชี จำนวนเงิน และลงลายมือชื่อปลอมในช่องผู้รับเงินและช่องผู้ถอนเงิน แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ธนาคารซึ่งหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงจึงจ่ายเงินไป ใบถอนเงินดังกล่าวเป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อ เปลี่ยนแปลงสิทธิ์ที่มีเงินฝากในบัญชีที่จะต้องถูกถอนออกไปตามจำนวนเงินที่ถอน ใบถอนเงินดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิ์ เมื่อการกระทำดังกล่าว ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของบัญชี ธนาคาร และพนักงานธนาคารที่อาจต้องชดใช้เงินคืนให้เจ้าของบัญชี การกระทำของผู้ต้องหาจึง เป็นการปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม
๗.ในความคิดเห็นส่วนตัวเห็นว่า การที่ผู้ต้องหาปลอมลายมือชื่อของลูกค้าธนาคารแล้วไปถอนเงินจากพนักงานธนาคาร ย่อมเป็นการกระทำโดยทุจริตแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายด้วยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่นคือแสดงตนเป็นเจ้าของบุญชีเงินฝาก อันเป็นการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สินคือเงินฝากจากธนาคารซึ่งเป็นของลูกค้าธนาคาร การกระทำของผู้ต้องหาจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่นตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๑,๓๔๒(๑) แล้ว เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท นอกจากเป็นความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมแล้วยังเป็นความผิดฐานฉ้อโกงด้วยการแสดงตนว่าเป็นบุคคลอื่น จึงต้องลงโทษตามบทหนัก เมื่อความผิดฐานฉ้อโกงมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๕ ปี แต่ไม่มีระวางโทษขั้นต่ำไว้ในขณะที่ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอม ซึ่ง ป.อ. มาตรา ๒๖๘ ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ซึ่งมีระวางโทษขั้นต่ำ ๖ เดือน มีระวางโทษขั้นสูง ๕ ปี จึงต้องถือว่าความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์มีระวางโทษสูงกว่าความผิดฐานฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่น จึงต้องลงโทษตามความผิดฐานนี้ แต่การที่ต้องฟ้องฐานฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นบุคคลอื่นไปด้วยเพื่อที่เวลาพนักงานอัยการยื่นฟ้องจะได้ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาเงินที่ถูกถอนไปได้ตาม ป.ว.อ. มาตรา ๔๓
๘.การที่เจ้าหน้าที่ธนาคารจ่ายเงินไป หากไม่ตรวจสอบให้ดีว่าลายมือชื่อในสมุดคู่ฝากตรงกับลายมือชื่อในใบขอถอนเงินหรือไม่ ไม่ขอดูบัตรประชาชนจากผู้มาขอถอนเงินก่อนว่าเป็นบุคคลเดียวกับเจ้าของบัญชีหรือไม่อย่างไรถือเป็นการจ่ายเงินไปโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ต้องรับผิดชอบในจำนวนเงินที่จ่ายไป หากเจ้าของบัญชีไม่ได้รับการชดใช้เงินคืนจากจำเลย พนักงานธนาคารและธนาคารต้องร่วมรับผิด ส่วนเมื่อจ่ายให้ผู้เสียหายไปแล้วจะสามารถสวมสิทธิ์ของผู้เสียหายไปไล่เบี้ยเอากับจำเลยได้หรือไม่เพียงใดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง และในขณะเดียวกันผู้เสียหายก็ไม่สามารถรับเงินสองต่อคือจากจำเลยและจากธนาคารและพนักงานธนาคารไปพร้อมกันได้ หากรับมาทั้งสองทางพร้อมกันทั้งจากจำเลยและจากธนาคารและเจ้าหน้าที่ธนาคารก็เป็นการรับเงินโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เป็นทางให้บุคคลอื่นเสียเปรียบเป็นเรื่องลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๐๖ จึงต้องคืนเงินแก่ธนาคารและพนักงานธนาคาร
๙.ลูกค้าที่ถูกถอนเงินไปจากบัญชี ธนาคารที่จ่ายเงินไป และพนักงานที่ได้จ่ายเงินไป เป็นบุคคลที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลย บุคคลดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีกับจำเลยในความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมได้ตาม ป.ว.อ. มาตรา ๒(๔)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น