ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"คนวิกลจริตพกปืนขอพบนายกรัฐมนตรี "

ผู้ต้องหานำรถยนต์ส่วนบุคคลจอดหน้าบ้านพักนายกรัฐมนตรีแล้วไปบอกสิบตำรวจตรี ก. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยว่า ต้องการขอพบนายกรัฐมนตรีเพื่อขอความช่วยเหลือ เนื่องจากมีคนจะทำร้ายผู้ต้องหาและครอบครัว พร้อมมอบอาวุธปืนขนาด .๓๘ ที่ผู้ต้องหาได้รับอณุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน พร้อมกระสุน ๕ นัดในลูกโม่ และกระสุนอีก ๑๐ นัดในกระเป๋าใส่กระสุนปืนมอบให้ จากการตรวจผู้ต้องหา แพทย์สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ยืนยันผลการตรวจผู้ต้องหาว่า ป่วยเป็นจิตเภทชนิดหวาดระแวง มีระดับรุนแรงมาก มีภาวะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น เนื่องจากมีความหลงผิดหวาดระแวงว่าตนถูกปองร้าย และเริ่มพกอาวุธปืน เนื่องจากมีความผิดปกติทางจิตในระดับรุนแรงมากถึงขั้นไม่รับรู้ความเจ็บป่วยทางจิตของตนเองถึงขั้นวิกลจริตต่อสู้คดีไม่ได้ เห็นควรขอศาลยกเลิกการประกันตัวและมีคำสั่งให้ตรวจประเมินรักษา ซึ่งความเห็นของแพทย์รับฟังได้ว่า ในขณะเกิดเหตุผู้ต้องหามีอาการป่วยทางจิตอย้่างรุนแรง ไม่รับรู้อาการเจ็บป่วยของตนเองจนถึงขั้นวิกลจริต ต้องได้รับการรักษา ซึ่งอาการจิตรุนแรงถึงขั้นวิกลจริตแล้ว การที่ผู้ต้องหาพาอาวุธปืนของกลางพร้อมกระสุนปืนติดตัวไปขอความช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรีตามอาการป่วยทางจิตอย่างรุนแรง เป็นกากรกระทำในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง จึงไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาข้อหาพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุอันควรและเร่งด่วนตามพฤติการณ์ ตามพรบ.อาวุธปืนฯ และยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยเปิดเผยโดยไม่มีเหตุอันควรตาม ป.อ. มาตรา ๓๗๑ เพราะคดีขาดอายุความ ชี้ขาดความเห็นแย้ง ๓๔๔/๒๕๕๒
ข้อสังเกต ๑.มีรายงานจากแพทย์ว่าผู้ต้องหาป่วยเป็นจิตเภท ในอาการรุนแรง ไม่สามารถรับรู้อาการของตนจนถึงขั้นวิกลจริต โดยมีความหวาดระแวงว่าถูกปองร้ายจึงต้องพกอาวุธปืนติดตัว และไปขอความช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรี มองได้ว่าขาดเจตนาในการพกพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะ เจตนาเพียงจะนำปืนติดตัวไปเพื่อป้องกันตัวและไปขอความช่วยเหลือจากนายกรัฐมนตรีโดยตนเองหลงผิดว่าจะมีคนมาทำร้าย และในขณะเดียวกันก็กระทำผิดในขณะจิตบกพร่องมีโรคจิต
๒.เมื่อได้ความว่าผู้ต้องหากระทำผิดในขณะมีจิตบกพร่อง ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ป.ว.อ. มาตรา ๑๔ วรรค ๒ ให้งดการสอบสวน การพิจารณาไว้จนกว่าผู้นั้นจะหายจากวิกลจริตและสามารถต่อสู้คดีได้ จึงต้องมีคำร้องขอให้ศาลยกเลิกการประกันตัวและมีคำสั่งให้แพทย์ตรวจรักษา
๓.เมื่อได้รับผลยืนยันจากแพทย์ว่าจำเลยเป็นคนวิกลจริตในขณะกระทำผิด การกระทำผู้ต้องหาจึงไม่ต้องรับโทษตามกฏหมาย( ป.อ. มาตรา ๖๕) อัยการสูงสุดจึงมีคำสั่งชี้ขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอณุญาตโดยไม่มีเหตุอันควร ตามพรบ.อาวุธปืนฯ มาตรา ๘ทวิ วรรคหนึ่ง , ๗๒ทวิที่แก้ไขแล้ว ส่วนความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยเปิดเผยโดยไม่มีเหตุอันควร ตาม ป.อ. มาตรา ๓๗๑ ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษและเป็นบทเบาซึ่งระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐๐ บาท มีอายุความ ๑ ปี ตาม ป.อ. มาตรา ๙๕(๕) ซึ่งขาดอายุความไปแล้ว สิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไป จึงยุติการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในข้อหาดังกล่าว
๔.สังเกตนะครับใช้คำว่า " ยุติการดำเนินคดี" เนื่องจากคดีขาดอายุความ ไม่ได้ใช้คำว่า " สั่งไม่ฟ้อง เพราะคดีขาดอายุความ"
๕.อาวุธปืนเป็นอาวุธปืนที่ผู้ต้องหาได้รับใบอนุญาตให้มีและใช้ เพียงแต่ไม่ได้รับใบอนุญาตให้พกพาเท่านั้น อาวุธปืนดังกล่าวจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดหรือมีไว้เป็นความผิดตามกฏหมาย (ป.อ. มาตรา ๓๓(๑))จึงไม่อาจริบอาวุธปืนกล่าวได้ แม้ความผิดฐานพาอาวุธตาม ป.อ. มาตรา ๓๗๑ ให้ศาลมีอำนาจริบอาวุธปืนได้ แต่เมือความผิดฐานนี้ซึ่งเป็นความผิดลหุโทษและได้ขาดอายุความไปแล้ว สิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับไป อัยการสูงสุดมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีกับความผิดฐานนี้แล้ว จึงไม่อาจุนำบทบัญญัตในความผิดที่ถูกยุติการดำเนินคดีไปแล้วมาใช้ในการริบอาวุธปืนตามมาตรานี้ได้ จึงต้องจัดการอาวุธปืนของกลางตาม ประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ คือคืนของกลางแก่เจ้าของ (สังเกตนะครับว่าไม่ได้ใช้คำว่า "คืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ" แต่ใช้คำว่า " ให้จัดการอาวุธปืนของกลางตาม ประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๕ )

ไม่มีความคิดเห็น: