ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“รบกวนขัดขวางการวิทยุคมนาคม”

๑.ความผิดฐานลักทรัพย์และร่วมกันจงใจทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม เป็นอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวที่ห้ามพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนหากไม่มีการร้องทุกข์ตาม เมื่อมีความผิดอาญาเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าเกิดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐ ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดให้พนักงานสอบสวนเพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำผิดอาญาทั้งปวง ตาม ปวอ มาตรา ๑๘,๑๒๑วรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะมีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษกระทำผิดหรือไม่ การสอบสวนของพนักงานสอบสวน รวมทั้งการที่พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจึงเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว
ความผิดที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์และทำให้เกิดการรบกวนขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยกับพวกนำโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หมายเลขประจำเครื่องมาปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่เป็นหมายเลขประจำเครื่องของผู้เสียหายซึ่งได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย แม้จำเลยกับพวกจะกระทำที่บริษัทของจำเลย แต่ผลการกระทำเกิดที่โทรศัพท์มือถือผู้เสียหายทำให้โทรศัพท์มือถือผู้เสียหายถูกรบกวน เป็นความผิดต่อเนื่องที่กระทำต่อเนื่องกันระหว่างท้องที่บริษัทจำเลยตั้งอยู่กับท้องที่ซึ่งผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้องซึ่งอยู่ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไทมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนกระทำไปโดยชอบ พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้อง
โทรศัพท์มือถือซื้อจากบริษัทจำเลยผ่านทาง ม. เป็นโทษศัพท์ที่คนของบริษัทจำเลยทำการลักลอบปรับเปลี่ยนสัญญาณความถี่เป็นช่องสัญญาณโทรศัพท์หมายเลขของผู้เสียหาย ถือได้ว่าเป็นการรบกวนและขัดขวางการใช้โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายอันเป็นความผิดตามพรบ.วิทยุคมนาคมฯ มาตรา ๒๖ เมื่อพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมว่าร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม จำเลยให้การรับสารภาพ แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่หรือถอดระหัสโทรศัพท์ของผู้เสียหาย ก็ฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือสมรู้ร่วมคิดอันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมประกอบธุรกิจอันไม่ชอบ คำพิพากษาฏีกา ๗๘๑/๒๕๔๓
ข้อสังเกต ๑. ความผิดต่อส่วนตัวผู้เสียหายต้องแจ้งความร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวนโดยกล่าวหาต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งมีอำนาจในการสอบสวน ว่ามีผู้กระทำความผิดเกิดขึ้น จะรู้ตัวผู้กระทำผิดหรือไม่ก็ตาม ซึ่งได้กระทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้เสียหาย และการร้องทุกข์นั้นมีเจตนาที่จะให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษตามกฎหมาย ไม่ใช่เพียงแจ้งความไว้เป็นหลักฐาน หรือแจ้งความไว้ก่อนหากอีกฝ่ายไม่มาร้าวรานก็ไม่ประสงค์ดำเนินคดี แต่ต้องเป็นการแจ้งความต่อเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจในการสอบสวนเพื่อเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษตามกฏหมาย ปวอ มาตรา ๑(๗)และต้องแจ้งความร้องทุกข์ภายในเวลา ๓ เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตาม ปอ มาตรา ๙๖ มิเช่นนั้นขาดอายุความร้องทุกข์ สิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ปวอ มาตรา ๓๙(๖) แม้จะแจ้งความร้องทุกข์ภายใน ๓ เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิด แต่หากการรู้ดังกล่าวล่วงเลยกำหนดอายุความในการฟ้องคดีตาม ปอ มาตรา ๙๕แล้วแม้จะยังอยู่ภายใน ๓ เดือนนับแต่รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำผิดก็ตาม คดีก็เป็นอันขาดอายุความตาม ปวอ มาตรา ๓๙(๖) เช่นกัน นั้นก็คืออายุความตาม ปอ มาตรา ๙๖ อยู่ภายใต้บทบัญญัติในปอ มาตรา ๙๕ ที่ต้องดำเนินการฟ้องร้องภายในกำหนดอายุความใน ปอ มาตรา ๙๕ ด้วย เมื่อมีการแจ้งความร้องทุกข์ตามระเบียบพนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจในการสอบสวนได้ พนักงานอัยการจึงมีอำนาจในการฟ้องคดีได้ ปวอ มาตรา ๑๒๔,๑๒๐
๒.แต่สำหรับความผิดที่เป็นความผิดอาญาแผ่นดินซึ่งเป็นความผิดที่ยอมความไม่ได้ นั้น เมื่อมีความผิดอาญาเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าเกิดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐ ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดให้พนักงานสอบสวนเพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำผิดอาญาทั้งปวง ตาม ปวอ มาตรา ๑๘,๑๒๑วรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะมีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษกระทำผิดหรือไม่ การสอบสวนของพนักงานสอบสวน รวมทั้งการที่พนักงานอัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมจึงเป็นการกระทำโดยชอบแล้ว แม้จะไม่มีผู้มาแจ้งความร้องทุกข์ก็ตาม เพราะเมื่อเป็นความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดิน พนักงานสอบสวนย่อมมีอำนาจในการสอบสวนได้ตาม ปวอ มาตรา ๑๒๑ วรรคแรก เมื่อพนักงานสอบสวนในเขตท้องที่ความผิดเกิด อ้างว่าเกิด เชื่อว่าเกิดได้กระทำการสอบสวนในเขตท้องที่อำนาจของตนแล้วย่อมมีอำนาจในการสรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาได้ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๐ ถึงมาตรา๑๔๒
๓. เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้ว หากเห็นว่าสำนวนการสอบสวนบกพร่องหรือการสอบสวนยังไม่สิ้นกระแสความ พนักงานอัยการย่อมมีอำนาจในการสั่งตามที่เห็นสมควร โดยให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติม หรือส่งพยานมาให้พนักงานอัยการซักถาม ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๓ววรค สอง (ก) ดังนั้นแม้ในความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดินที่ไม่ได้มีผู้ใดแจ้งความกล่าวโทษไว้ก็ตาม แต่เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฏหมายแล้วส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ พนักงานอัยการย่อมมีอำนาจในการสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมโดยให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเองหรือส่งพยานมาให้พนักงานอัยการซักถาม โดยให้พนักงานสอบสวนมานั่งฟังและลงลายมือชื่อในบันทึกคำพยานที่พนักงานอัยการสอบพยานก็ได้
๔.โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบมือถือ เป็นเครื่องรับส่งวิทยุคมนาคมตามความในพรบ.วิทยุคมนาคม ฯ มาตรา ๔ และ ๖ ซึ่งโทรศัพท์ไร้สายใช้ในกิจการส่วนบุคคลจะมีคลื่นความถี่ระหว่าง ๑๙๐๐ ถึง ๑๙๐๖ เมกะเฮิรตช์ กำลังส่งไม่เกิน ๑๐ มิลลิวัตต์ จึงจะได้รับการยกเว้นที่ไม่ต้องได้รับใบอนุญาตให้มีหรือใช้เครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าว หากมีคลื่นความถี่หรือกำลังส่งเกินกว่านี้การมีไว้ในครอบครอง หรือใช้ นำเข้า หรือค้าซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมดังกล่าวต้องได้รับอนุญาต ไม่งั้นเป็นความผิดตามพรบ.วิทยุคมนาคมได้ แม้จะเป็นเครื่องที่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้ได้แล้วหรือไม่ได้รับอนุญาตก็ตาม หากไปกระทำการใดๆอันเป็นการขัดขวางรบกวนการใช้คลื่นความถี่ของเครื่องวิทยุคมนาคมหรือวิทยุของข่ายสื่อสารอื่นที่ได้รับอนุญาต ก็จะเป็นความผิดตามกฏหมายและถูกระงับใช้คลื่นความถี่ดังกล่าวได้
๕.ความผิดฐานกระทำการใดๆอันเป็นการขัดขวางรบกวนการใช้คลื่นความถี่ของเครื่องวิทยุคมนาคมหรือวิทยุของข่ายสื่อสารอื่นที่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวเพราะในบทกฎหมายดังกล่าวไม่อนุญาตให้ยอมความในความผิดดังกล่าวได้ ดังนั้นเมื่อมีความผิดอาญาแผ่นดินเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าเกิดและก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชนหรือหน่วยงานของรัฐ ย่อมเป็นหน้าที่โดยตรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดให้พนักงานสอบสวนเพื่อเอาความผิดแก่ผู้กระทำผิดอาญาทั้งปวง ตาม ปวอ มาตรา ๑๘,๑๒๑วรรคหนึ่ง ไม่ว่าจะมีผู้เสียหายร้องทุกข์หรือมีผู้กล่าวโทษกระทำผิดหรือไม่
๖.ความผิดที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์และทำให้เกิดการรบกวนขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม โดยกล่าวอ้างว่า จำเลยกับพวกนำโทรศัพท์มือถือที่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้หมายเลขประจำเครื่องมาปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่เป็นหมายเลขประจำเครื่องของผู้เสียหายซึ่งได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย แม้จำเลยกับพวกจะกระทำที่บริษัทของจำเลย แต่ผลการกระทำเกิดที่โทรศัพท์มือถือผู้เสียหายทำให้โทรศัพท์มือถือผู้เสียหายถูกรบกวน เป็นความผิดต่อที่ส่วนหนึ่งกระทำในท้องที่หนึ่ง แต่อีกส่วนหนึ่งในอีกท้องที่หนึ่ง ระหว่างท้องที่บริษัทจำเลยตั้งอยู่กับท้องที่ซึ่งผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้องซึ่งอยู่ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลพญาไท โดยเป็นความผิดต่อเนื่องกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่างๆเกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไทมีอำนาจสอบสวนได้ตาม ปวอ มาตรา ๑๙(๒)(๓) โดยความผิดที่กระทำเป็นความผิดที่กระทำในท้องที่หนึ่งคือกระทำในท้องที่ที่บริษัทจำเลยตั้งอยู่ และความผิดอีกส่วนหนึ่งเกิดในอีกท้องที่โดยเป็นความผิดต่อเนื่องที่กระทำในท้องที่ต่างๆกันตั้งแต่หนึ่งท้องที่ขึ้นไป คือเกิดขึ้นในท้องที่ที่บริษัทจำเลยและในท้องที่ที่ผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้อง ดังนั้น พนักงานสอบสวน ทั้งสองมีอำนาจในการสอบสวนได้ตาม ปวอ มาตรา ๑๘ วรรคสอง เมื่อสถานีตำรวจนครบาลพญาไทเป็นท้องที่ที่ ผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้อง ดังนั้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลพญาไทซึ่งเป็นท้องที่ที่ผู้เสียหายนำโทรศัพท์มือถือไปใช้แล้วเกิดขัดข้อง จึงมีอำนาจในการสอบสวนได้ การสอบสวนกระทำไปโดยชอบด้วยกฏหมาย พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้อง
๗.แม้ความผิดฐานร่วมกันจงใจกระทำให้เกิดการรบกวนหรือขัดขวางต่อการวิทยุคมนาคม โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยเป็นผู้ใช้เครื่องมือปรับเปลี่ยนช่องสัญญาณความถี่หรือถอดระหัสโทรศัพท์ของผู้เสียหาย แต่เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพโดยชอบด้วยกฎหมายประกอบแนวทางในการสืบสวนสอบสวนจนสามารถจับกุมจำเลยได้ ก็พอฟังได้ว่าจำเลยมีส่วนรู้เห็นเป็นใจหรือสมรู้ร่วมคิดอันมีลักษณะเป็นตัวการร่วมประกอบธุรกิจอันไม่ชอบ

ไม่มีความคิดเห็น: