ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559

"นำรถยนต์พร้อมคู่มือจดทะเบียนรถประกันการกู้เงิน"

ผู้ต้องหาที่ ๑,ที่ ๒ นำรถยนต์พร้อมคู่มือจดทะเบียนรถยนต์ที่มีผู้ต้องหาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์พร้อมชุดโอนลอยที่ผู้ต้องหาที่ ๓ลงชื่อโอนลอยไว้มาค้ำประกันเงินกู้ ๑,๔๕๐,๐๐๐บาท กับผู้เสียหายโดยมีเงื่อนไขว่าหากไม่ชำระหนี้ภายในกำหนดให้ผู้เสียหายนำรถไปจดทะเบียนโอนเป็นของผู้เสียหาย ครั้นถึงกำหนดวันชำระหนี้ ผู้ต้องหาที่ ๓ ไปขอใบแทนคู่มือจดทะเบียนรถคันดังกล่าวอ้างฉบับเดิมสูญหาย หลังจากนั้น ๒ วัน ผู้ต้องหาที่ ๑ ที่ ๒ ไปขอรถคืนจากผู้เสียหายอ้างว่าจะนำไปให้ลูกค้าดู หากขายได้จะนำเงินมาให้ หากขายไม่ได้จะนำรถมาคืน ผู้เสียหายหลงเชื่อได้มอบรถให้ไป แต่ผู้ต้องหาที่ ๑ ไม่ได้เอาไปให้ลูกค้าดู แต่นำไปจำนำกับนาย ต. ต่อมามีการโอนกรรมสิทธิ์รถให้แก่นาง ม. มารดาผู้ต้องหาที่ ๓ แล้วโอนให้บริษัท ง.โดยมีผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ครอบครอง แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาทั้งสามร่วมกันวางแผนหลอกลวงผู้เสียหายให้มอบเงิน ๑,๔๕๐,๐๐๐บาท โดยเจตนาไม่ปฏิบัติตามสัญญากู้มาแต่้ต้น แม้ต่อมาผู้ต้องหาที่ ๑จะยอมมอบรถคืนให้ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่สามารถโอนเปป็นชื่อผู้เสียหาย และมีการฟ้องร้องเรื่องกรรมสิทธิ์รถยนต์อยู่ ชี้ขาดฟ้องผู้ต้องหาทั้งสามฐานร่วมกันฉ้อโกง ขอให้ผู้ต้องหาทั้งสามร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย ชี้ขาดความเห็นแย้ง ๕๐๐/๒๕๕๑
ข้อสังเกต ๑.การนำรถพร้อมคู่มือจดทะเบียนรถและมีการโอนลอยรถเพื่อประกันหนี้เงินกู้ ลักษณะดังกล่าวเมื่อมีการส่งมอบรถซึ่งเป็นสังหาริมทรัพย์แก่ผู้เสียหายเพื่อประกันการชำระหนี้เงินกู้ จึงมีลักษณะเป็นการจำนำแต่เมื่อไม่มีการทำสัญญาจึงไม่ใช่การจำนำ เพราะตาม ป.พ.พ. มาตรา ๗๔๗่ การจำนำคือ " สัญญา"ที่ผู้จำนำส่งมอบทรัพย์ที่จำนำให้แก่ผู้รับจำนำเพื่อประกันการชำระหนี้ เมื่อไม่มีการทำสัญญากันไว้จึงไม่ใช่การจำนำ และไม่ใช่การค้ำประกันเพราะการค้ำประกันคือการที่บุคคลมาประกันหนี้ ไม่ใช่เอาทรัพย์มาประกันหนี้ เมื่อไม่ใช่การจำนำซึ่งต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือให้ชำระหนี้ก่อนหากไม่ชำระหนี้จึงนำทรัพย์ที่จำนำออกขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้ แต่คดีนี้มีการตกลงกันว่าหากไม่ชำระหนี้เงินกู้ให้ผู้เสียหายนำรถคันดังกล่าวไปจดทะเบียนเป็นชื่อของผู้เสียหายได้ หากเป็นการจำนำแล้วข้อตกลงดังกล่าวเป็นการไม่ดำเนินการตามที่กฏหมายกำหนด ข้อตกลงนี้น่าตกเป็นโมฆะเพราะการบังัคับจำนำต้องมีหนังสือบอกกล่าวให้มาชำระหนี้ก่อน หากไม่ชำระหนี้จึงมีสิทธิ์ฟ้องบังคับจำนำด้วยการขายทอดตลาด เป็นกฏหมายเกี่ยวความสงบเรียบร้อย การตกลงยกเว้นกฏหมายดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะ แต่กรณีนี้ไม่ใช่การจำนำเพราะไม่ได้ทำสัญญาส่งมอบรถเพื่อประกันการชำระหนี้ไว้ ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่น่ามีผลบังคับใช้ได้ ทั้งรถยนต์ที่ผู้เสียหายรับไว้ก็ไม่มีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์เกี่ยวกับรถที่ครอบครอง จึงไม่เกิดสิทธิ์ยึดหน่วงในรถดังกล่าว ผู้เสียหายจึงไม่น่ามีสิทธิ์ยึดหน่วง คงมีสิทธิ์เพียงบังคับชำระหนี้เงินกู้เท่านั้น
๒.การที่ผู้ต้องหาที่ ๑ ที่ ๒ นำรถยนต์ของผู้ต้องหาที่ ๓ พร้อมคู่มือจดทะเบียนรถ ใบโอนลอยและสำเนาทะเบียนบ้านและบัตรประชาชนผู้ต้องหาที้ ๓ เป็นประกันหนี้เงินกู้ผู้เสียหาย เมื่อถึงวันครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้ ผู้ต้องหาที่ ๓ ได้ไปแจ้งว่าคู่มือจดทะเบียนรถหายเพื่อขอคู่มือจดทะเบียนรถฉบับใหม่ เป็นการแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่จดข้อความจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา ๒๖๗ ซึ่งในทางปฏิบัติการที่จะมาขอคู่มือจดทะเบียนรถแทนฉบับเดิมที่สูญหายต้องไปแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนว่าเอกสารสูญหายเพื่อนำหลักฐานมาแจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ขนส่ง จึงเป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จ(ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ)ต่อเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่จดข้อความให้จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ(ประจำวันของตำรวจ) ตาม ป.อ. มาตรา ๑๓๗และ ๒๖๗ อีกกรรม
๓.ผู้เสียหายไม่ได้เป็นเจ้าหนี้ผู้รับจำนำของผู้ต้องหาทั้งสาม การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสามจึงไม่เป็นความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตาม ป.อ. มาตรา ๓๔๙และ๓๕๐ได้
๔. ต่อมาอีก ๒ วันผู้ต้องหาที่ ๑ และที่ ๒ ขอรถคืนจากผู้เสียหายอ้างว่า จะนำไปให้ลูกค้าดูหากขายได้จะนำเงินมามอบให้ หากขายไม่ได้จะนำรถมาคืนให้ แต่กลับนำรถไปจำนำกับนาย ต. แล้วมีการโอนรถให้มารดาผู้ต้องหาที่ ๓ ซึ่งได้โอนต่อให้บริษัท ง. โดยมีผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ครอบครอง แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาทั้งสามมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกโดยมีเจตนาร่วมกันแต่แรกที่จะหลอกเอาเงินผู้เสียหายโดยทำทีว่าขอกู้เงินผู้เสียหายเอารถมาเป็นประกันการชำระหนี้ โดยในใจจริงไม่มีเจตนาที่จะกู้และชำระหนี้เงินกู้มาแต่แรก การกระทำดังกล่าวเป็นเพียงแผนการที่เอาเงินผู้เสียหายเท่านั้นว่าต้องการกู้เงินพร้อมมอบรถประกันการชำระหนี้ จนผู้เสียหายหลงเชื่อยอมมอบเงินให้ผู้ต้องหาที่ ๑,ที่ ๒ ไป พฤติการณ์ที่ผู้ต้องหาที่ื่ ๓ ไปแจ้งว่าคู่มือจดทะเบียนรถหายเพื่อขอออกใบแทนคู่มือจดทะเบียนรถ โดยผู้ต้องหาที่ ๑ที่ ๒ หลอกเอารถจากผู้เสียหายว่าจะเอาไปให้ลูกค้าดูหากขายได้ก็จะเอาเงินให้ผู้เสียหาย หากขายไม่ได้จะนำรถมาคืน แต่กลับนำไปจำนำกับบุคคลอื่นและโอนกรรมสทธิ์ให้มารดาผู้ต้องหาที่ ๓ แล้วโอนให้บริษัท ง.โดยมีผู้ต้องหาที่ ๑ เป็นผู้ครอบครอง แสดงให้เห็นถึงเจตนาทุจริตของผู้ต้องหาทั้งสาม ที่ต้องการแสวงหาผลประโยชน์อันมิควรได้โดยชอบด้วยกฏหมาย การกระทำของผู้ต้องหาทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกง
๕.การที่ยอมมอบรถให้ผู้เสียหายเมื่อความผิดเกิดแล้ว ไม่ทำให้การกระทำที่เป็นความผิดไม่เป็นความผิดแต่อย่างใดไม่

ไม่มีความคิดเห็น: