ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“ฝ่าไฟแดง ผลโดยตรง”

จำเลยที่ ๒ ขับรถมาตามถนนพหลโยธินจากสามแยกเกษตรมุ่งหน้าไปทางลาดพร้าว เมื่อถึงสี่แยกพหลโยธินตัดถนนรัชดาภิเษกไฟจราจรเป็นสีแดง จำเลยที่ ๒ ขับรถเคลื่อนอย่างช้าๆ ฝ่าฝืนสัญญาจราจรสีแดงเข้าไปในสี่แยกจนเลยเส้นสีขาวที่กำหนดให้รถหยุด ๑๐ เมตร เกือบถึงกลางสี่แยก รถจำเลยที่ ๒ ขวางทางรถจำเลยที่ ๑ ซึ่งแล่นมาด้วยความเร็วจากถนนรัชดาภิเษกขึ้นไปในสี่แยก จำเลยที่ ๑ ห้ามล้อและหักหลบ รถเฉี่ยวชนรถจำเลยที่ ๒ เสียหลักไปทางขวาไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรในถนนรัชดาภิเษกด้านที่มาจากลาดพร้าวและชนผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยที่ ๒ ขับรถด้วยความประมาทเป็นเหตุโดยตรงให้รถจำเลยที่ ๑เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ ๒ และชนผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส คำพิพากษาฏีกา ๒๒๑๒/๒๕๓๒

ข้อสังเกต ๑. เมื่อผู้ขับขี่รถยนต์เห็นสัญญาณไฟจราจรสีแดงผู้ขับขี่ต้องหยุดรถ หลังเส้นให้รถหยุด หากฝ่าฝืนมีความผิดตามพรบ.จราจรทางบกฯ มาตรา ๒๒(๒),๑๕๒ ระวางโทษปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท
๒.ผู้ขับขี่รถในทางเดินรถที่มีสัญญาณจราจรไฟสีแดงหรือไฟสีเขียวติดตั้งไว้เหนือช่องทางเดินรถ เมื่อสัญญาณจราจรไฟสีแดงที่ทำเป็นรูปกากบาทเฉียงอยู่เหนือช่องทางเดินรถใด ห้ามไม่ให้ผู้ขับขี่ขับรถในช่องทางเดินรถนั้น หากฝ่าฝืนรับโทษตาม พรบ.จราจรทางบกฯ มาตรา ๒๓(๑),๑๕๒ ปรับไม่เกิน ๖,๐๐๐ บาท
๓.ทฤษฏีผลโดยตรง หากไม่ทำผลไม่เกิด เมื่อผลเกิดถือผลเกิดจากการกระทำของจำเลย จำเลยต้องรับผิด
๔.การที่จำเลยที่ ๒ เห็นสัญญาณไฟจราจรสีแดง จำเลยที่ ๒ มีหน้าที่ต้องหยุดรถ หลังเส้นสีขาวให้รถหยุด การที่จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมหยุดรถหลังเส้นสีขาวให้รถหยุด แต่กลับขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรสีแดงด้วยความเร็วช้าๆเคลื่อนเข้าไปกลางสี่แยกเลยเส้นสีขาวให้รถหยุด ๑๐ เมตร เกือบถึงกลางสี่แยก เป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของบุคคลอื่น อันเป็นการฝ่าฝืนพรบ.จราจรทางบกฯซึ่งเป็นกฎหมายมุ่งคุ้มครองและยังความปลอดภัยแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะผู้ขับขี่เช่นจำเลยที่ ๒ จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยที่ ๒ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ด้วยการหยุดรถหลังเส้นสีขาวให้หยุดรถเมื่อเห็นสัญญาณไฟจราจรสีแดง แต่จำเลยที่ ๒ หาได้ใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นไม่ การที่จำเลยที่ ๒ ขับรถฝ่าไฟแดงเข้าไปในสี่แยก โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของคนอื่น จึงเป็นการขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังจนเป็นเหตุให้รถของจำเลยที่ ๑ ซึ่งขับรถเข้ามาในสี่แยกด้วยความเร็วเฉี่ยวชนและยังเสียหลักไปชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจราจรไฟเขียวในถนนรัชดาภิเษกและชนบุคคลอื่นได้รับอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส การที่รถจำเลยที่ ๑ เฉี่ยวชนรถจำเลยที่ ๒ จึงเป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลยที่ ๒ ขับรถฝ่าสัญญาณจราจรไฟแดง หากจำเลยที่ ๒ ไม่ขับรถฝ่าสัญญาณไฟจราจรสีแดง รถจำเลยที่ ๑ คงไม่เฉี่ยวชนรถของจำเลยที่ ๒ แล้วเสียหลักไปชนรถคันอื่นและบุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บแก่กายและบาดเจ็บสาหัส เมื่อผลเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในผลที่เกิด การกระทำของจำเลยที่ ๒ เป็นความผิดฐานขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของคนอื่น ฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจรสีแดงโดยไม่ยอมหยุดรถหลังเส้นสีขาวที่กำหนดให้หยุดรถ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บสาหัส ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย และทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย ตาม พรบ.จราจรทางบกฯ มาตรา ๒๒(๒),. ๔๓(๔)(๘),๑๕๒,๑๕๗,๑๖๐วรรคสาม ป.อ. มาตรา ๓๐๐,๓๙๐
๕.. จำเลยที่ ๑ เมื่อจะขับรถผ่านทางร่วมทางแยกซึ่งมีสัญญาณไฟจราจรกำกับอยู่ แม้จะได้รับสัญญาณไฟจราจรสีเขียวให้รถวิ่งผ่านไปได้ก็ตาม แต่จำเลยที่ ๑ ผู้ขับขี่รถผ่านทางร่วมแยกต้องลดความเร็วของรถ ตาม พรบ.จราจรทางบกฯ มาตรา ๗๐,๑๔๘ และขับรถด้วยความระมัดระวังโดยต้องให้สิทธิ์แก่คนเดินทางเท้าในทางข้ามหรือรถที่มาทางขวาก่อน(ตามพรบ.จราจรทางบกฯ มาตรา ๒๒(๔))โดยผู้ขับขี่รถที่จะขับรถตรงไปต้องเข้าอยู่ในช่องทางเดินรถที่มีเครื่องหมายไฟจราจรไฟเขียวแสดงให้ขับรถตรงไปได้โดยตรงเข้าอยู่ในช่องทางเดินรถดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้นมีเครื่องหมายไฟจาราจรสีเขียวแสดงให้ปฏิบัติตาม และต้องดูว่าทางร่วมแยกนั้นมีรถกีดขวางอยู่หรือไม่อย่างไร หากเห็นว่าปลอดภัยจึงค่อยขับรถผ่านทางร่วมแยกหรือสี่แยกดังกล่าวไปด้วยการขับรถด้วยความเร็วต่ำ การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถฝ่าสี่แยกด้วยความเร็วแม้จะได้รับสัญญาณไฟสีเขียวก็ตาม แต่ก็ต้องขับรถด้วยความระมัดระวังและลดความเร็วของรถลง โดยขับรถด้วยความเร็วต่ำ ทั้งเมื่อรถจะผ่านทางร่วมแยกแม้จะได้รับสัญญาณไฟจราจรสีเขียวปรากฏอยู่ข้างหน้า แต่หากในทางร่วมแยกมีรถหยุดขวางอยู่จนไม่สามารถผ่านทางร่วมแยกได้ ผู้ขับขี่ต้องหยุดรถหลังเส้นให้หยุดจนกว่าจะสามารถเคลื่อนรถผ่านทางร่วมแยกไปได้ เพื่อป้องกันการเฉียวชนบุคคลหรือรถคันอื่นที่อาจขับฝ่าฝืนสัญญาณไฟสัญญาณจราจรสีแดง การที่จำเลยที่ ๑ ขับรถเข้าไปในสี่แยกด้วยความเร็ว จึงเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือเดือดร้อนของคนอื่น ทั้งที่เห็นอยู่แล้วว่ามีรถจำเลยที่ ๒ ขวางอยู่กลางสี่แยก ถือว่าจำเลยที่ ๑ ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเคือดร้อนของผู้อื่น โดยขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะผู้ขับขี่เช่นจำเลยที่ ๑ จักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยที่ ๑ อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้โดยเมื่อเห็นรถจำเลยที่ ๒ ขับฝ่าสัญญาณไฟจราจรสีแดงเข้ามากลางสีแยก จำเลยที่ ๑ มีหน้าที่ต้องจอดรถหน้าเส้นขาวให้หยุดเพื่อให้รถของจำเลยที่ ๒ ผ่านไปก่อน เมื่อเห็นว่าปลอดภัยจึงค่อยขับรถเข้าไปในสี่แยกด้วยความเร็วต่ำเพื่อป้องกันการเฉี่ยวชนและจำเลยที่ ๑ ก็อาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ และด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังเป็นเหตุให้รถของจำเลยที่ ๑ เฉียวชนกับรถของจำเลยที่ ๒ และยังไปเฉียวชนรถที่จอดรอสัญญาณไฟจาราจรไฟเขียวและเฉียวชนบุคคลอื่นได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายและได้รับอันตรายสาหัส ตาม พรบ.จราจรทางบก ฯ มาตรา ๔๓(๔)(๘),๗๐,๗๑(๓),๑๔๘,๑๕๗,๑๖๐ ป.อ. มาตรา ๓๐๐,๓๙๐
๖.จำเลยที่๑ และจำเลยที่ ๒ ต่างกระทำการโดยประมาท ซึ่งค่าเสียหายในทางแพ่ง หนี้อันจะต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนเพียงใด ต้องอาศัยพฤติการณ์เป็นประมาณว่าฝ่ายไหนก่อให้เกิดความเสียหายยิ่งหย่อนกว่ากัน ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๒๒๓,๔๔๒

ไม่มีความคิดเห็น: