ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2559

“รับฟังพยานหลักฐาน”

๑.ตำรวจขอร่วมประเวณีกับหญิงโสเภณีเพื่อพิสูจน์ว่ามีการค้าประเวณีในที่เกิดเหตุจริง แล้วหญิงโสเภณียอมร่วมประเวณีและรับเงินจากตำรวจ เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยชอบ คำพิพากษาฏีกา ๑๑๖๓/๒๕๑๘
๒.ถ้อยคำสายลับที่ไม่ได้เป็นผู้ต้องหารับฟังได้ คำพิพากษาฏีกา ๗๑๕/๒๕๒๐
๓.การใช้สายลับเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยไม่ชอบด้วยประการอื่น การใช้สายลับเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่เข้าข้อห้ามการอ้างเป็นพยานตามกฎหมาย คำพิพากษาฏีกา ๘๑๘๗/๒๕๔๓
๔.ตำรวจขอซื้อสุราที่ผิดกฏหมาย จำเลยส่งสุราที่ผิดกฎหมายและรับเงินไป ก็ให้สัญญาณตำรวจเข้าจับกุม ศาลรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าจำเลยจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ คำพิพากษาฏีกา ๖๙๖/๒๔๗๖
๕.ตำรวจปลอมตัวขอซื้อสลากกินรวบจากจำเลย การปลอมตัวไปซื้อสลากกินรวบเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานอย่างหนึ่งตามที่มีผู้แจ้งไว้ คำพิพากษาฏีกา ๒๓๐/๒๕๐๔
๖.ผู้ใหญ่บ้านแนะนำจำเลยให้รับสารภาพจะได้กันไว้เป็นพยาน จำเลยจึงรับสารภาพและนำเจ้าพนักงานไปค้นเอาของกลางได้ แม้คำรับสารภาพจะรับฟังไม่ได้ แต่ก็ยังมีพยานยืนยันสองคน ทั้งจำเลยได้นำค้นของกลางเป็นรพยานวัตถุ จึงไม่มีข้อสงสัย และรับฟังได้โดยสนิทใจว่าจำเลยกระทำผิด คำพิพากษาฏีกา ๕๐๐/๒๔๗๔
๗.ความผิดฐานรับของโจร เจ้าพนักงานค้นของกลางได้ที่บ้านจำเลย แต่ไม่ได้ทำบันทึกลายละเอียดแห่งการค้นและสิ่งของที่ค้นได้ แต่ก็มีพยานหลักฐานอื่นรับฟังได้ว่า จับของกลางได้ที่บ้านจำเลย ย่อมรับฟังลงโทษฐานรับของโจรได้ คำพิพากษาฏีกา ๘๓๗/๒๔๘๓
ข้อสังเกต ๑.การกระทำความผิดตามกฎหมายหรือไม่กับประเด็นเรื่องการแสวงหาพยานหลักฐานเพื่อนำมาลงโทษตามกฎหมายแม้การแสวงหาพยานหลักฐานอาจไม่ถูกต้องตามกฏหมายนั้น เป็นคนละเรื่องกัน อยู่ที่เจตนารมณ์ว่าต้องการรักษาตัวบทกฎหมายโดยเคร่งครัดโดยไม่คำนึงว่าผู้ต้องหากระทำความผิดหรือไม่ต้องการมุ่งเน้นแต่จะรักษากฏหมายเท่านั้น หรือต้องการปราบอาชญากรรม หากต้องการรักษาตัวบทกฏหมายโดยเคร่งครัดการกระทำบางอย่างที่เป็นการเอาเปรียบผู้ต้องหาหรือเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมาย เช่น การแอบดักฟังโทรศัพท์ การใช้กุญแจผีไขเข้าบ้านผู้ต้องหาเพื่อหาพยานหลักฐาน การหยิบฉวยทรัพย์ผู้ต้องหาบางอย่างไปโดยไม่มีอำนาจยึด การแอบติดตั้งกล่องดักฟังเสียงและบันทึกภาพ หรือการแอบเอาเครื่องดักฟังเสียง เพื่อหาพยานหลักฐาน ก็ไม่อาจนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ปัญหาจึงอยู่ที่ว่าต้องการเอาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษหรือต้องการรักษาตัวบทกฎหมายที่เป็นเพียงแผ่นกระดาษที่คนเขียนขึ้นมาและสามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ใครออกกฏหมายใดก็มักเขียนกฏหมายเอื้อประโยชน์ให้แก่ตนเองและหมู่คณะของตนเอง หรือเขียนกฎหมายขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงานของตัวเองหรือเพื่อเพิ่มอำนาจให้ตนเอง ปัญหาจึงอยู่ที่จะรักษาตัวบทกฎหมายไว้แล้วปล่อยให้คนกระทำความผิดลอยนวลไปกระทำความผิดกับคนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ หรือจะฉีกตัวบทกฎหมายเพื่ออำนวยความเป็นธรรมและเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ
๒.ดังนั้นการแสวงหาพยานหลักฐานบางอย่าง บางทีอาจดูเหมือนเอาเปรียบผู้ต้องหา แต่เพื่อการรักษากฎหมายและรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมืองบางครั้ง การหาพยานหลักฐานในความผิดฐานค้าประเวณี การที่ตำรวจขอร่วมประเวณีกับหญิงโสเภณีเพื่อพิสูจน์ว่ามีการค้าประเวณีในที่เกิดเหตุจริง แล้วหญิงโสเภณียอมร่วมประเวณีและรับเงินจากตำรวจ เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยชอบ หรือการใช้สายลับในการล่อซื้อ ถ้อยคำสายลับที่ไม่ได้เป็นผู้ต้องหารับฟังได้ เพราะหากสายลับเป็นผู้ต้องหาด้วย สาบลับอาจไม่ได้มีการล่อซื้อจริงหรือมีการล่อซื้อจริง แต่สายลับให้การเกินความจริงโดยให้การปรักปรำผู้ต้องหาอื่นเพื่อปิดบังการกระทำความผิดของตนก็ได้ การใช้สายลับเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานอย่างหนึ่ง ซึ่งหากการใช้สายลับไม่ใช่เรื่องจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยไม่ชอบด้วยประการอื่นก็ย่อมรับฟังได้ตาม ป.ว.อ. มาตรา ๒๒๖ การใช้สายลับเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของจำเลย ไม่เป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของจำเลย ไม่เป็นการแสวงหาหลักฐานโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ ไม่เข้าข้อห้ามการอ้างเป็นพยานตามกฎหมาย จึงรับฟังลงโทษจำเลยได้ ดังนั้นการที่ตำรวจขอซื้อสุราที่ผิดกฏหมาย จำเลยส่งสุราที่ผิดกฎหมายและรับเงินไป ก็ให้สัญญาณตำรวจเข้าจับกุม ศาลจึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าจำเลยจำหน่ายสุราโดยไม่ได้รับอนุญาตได้ หรือการที่ตำรวจปลอมตัวขอซื้อสลากกินรวบจากจำเลย การปลอมตัวไปซื้อสลากกินรวบเป็นการแสวงหาพยานหลักฐานอย่างหนึ่งตามที่มีผู้แจ้งไว้ หาใช่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใดไม่
๓.การที่.ผู้ใหญ่บ้านแนะนำจำเลยให้รับสารภาพจะได้กันไว้เป็นพยาน จำเลยจึงรับสารภาพและนำเจ้าพนักงานไปค้นเอาของกลางได้ แม้คำรับสารภาพจะรับฟังไม่ได้ เพราะไม่ได้เป็นการรับสารภาพด้วยความเต็มใจ แต่เป็นการรับสารภาพเพราะมีคำมั่นสัญญาว่าจะไม่ถูกดำเนินคดีแต่จะถูกกันไว้เพื่อเป็นพยาน ป.ว.อ. มาตรา ๒๒๖ หาใช่รับสารภาพด้วยความเต็มใจไม่ แม้คำพยานในส่วนนี้จะรับฟังไม่ได้ตามกฏหมาย แต่ก็ยังมีพยานบุคคลอีกสองคนยืนยันการกระทำความผิด ทั้งจำเลยได้นำค้นของกลางเป็นพยานวัตถุ จึงไม่มีข้อสงสัย และรับฟังได้โดยสนิทใจว่าจำเลยกระทำผิด ในทางกลับกันหากมีเพียงคำรับสารภาพที่รับสารภาพเพราะหวังว่าตนเองจะไม่ถูกดำเนินคดีโดยไม่มีพยานปากอื่นยืนยันการกระทำผิดของจำเลยและไม่พบของกลางตามที่จำเลยนำค้นแล้วเพียงเช่นนี้ ศาลย่อมไม่ลงโทษจำเลยตามคำซัดทอดดังกล่าวมารับฟังลงโทษจำเลยได้ เพราะอาจให้การซัดทอดเพื่อปกปิดการกระทำผิดของตนเองและอาจให้การเกินเลยไปจากความเป็นจริง เพราะมีการให้คำมั่นสัญญาที่จะไม่ต้องถูกดำเนินคดีหากให้การรับสารภาพ เพราะในคำรับสารภาพไม่ใช่มีเพียงรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดเท่านั้น แต่ยังมีลายละเอียดความเป็นมาของการกระทำผิดด้วยซึ่งอาจซัดทอดว่ายังมีผู้ต้องหาอื่นร่วมกระทำผิดด้วยเพื่อปกปิดการกระทำผิดของตนเองและตอบแทนจากการที่ไม่ต้องถูกดำเนินคดีหรือตอบแทนที่รับสารภาพแล้วจะถูกกันเป็นพยานก็ได้
๔.ในความผิดฐานรับของโจร การที่เจ้าพนักงานค้นของกลางได้ที่บ้านจำเลย แต่ไม่ได้ทำบันทึกลายละเอียดแห่งการค้นและสิ่งของที่ค้นได้เป็นการไม่ปฏิบัติตาม ป.ว.อ. มาตรา ๑๐๒.๑๐๓ ที่บัญญัติให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจค้นทำบันทึกรายละเอียดแห่งการค้น และสิ่งของที่ค้นได้ โดยต้องอ่านบันทึกดังกล่าวให้ผู้ครอบครองสถานที่ บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา จำเลย ผู้แทน หรือพยานฟัง แล้วให้บุคคลนั้นลงลายมือชื่อรับรองไว้ ก็เป็นเพียงการไม่ปฏิบัติตามกฏหมายว่าเมื่อตรวจค้นแล้วต้องทำบันทึกมีลายละเอียดอย่างไร แม้ไม่ได้ทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็เป็นคนละประเด็นกับว่าจำเลยกระทำผิดตามกฎหมายหรือไม่อย่างไร การที่จะคำนึงเพียงต้องทำให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้เท่านั้นโดยไม่มองความเป็นจริงในสังคมว่าเป็นอย่างไร ผู้ต้องหาทำผิดจริงหรือไม่อย่างไรแล้ว ย่อมเป็นการยึดถือกระดาษที่เป็นตัวบทกฎหมายมากกว่าที่จะต้องการปราบปรามอาชญากรรม แม้ไม่ทำถูกต้องตามกฏหมายแต่ก็ยังมีพยานหลักฐานอื่นรับฟังได้ว่า จับของกลางได้ที่บ้านจำเลยเมื่อทรัพย์ที่สูญหายจากการกระทำความผิดอาญาในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์มาอยู่ในความครอบครองของจำเลยก็ต้องรับฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยเป็นคนกระทำผิด ย่อมรับฟังลงโทษฐานรับของโจรได้เพราะเมื่อของกลางที่ถูกกระทำความผิดทางอาญาในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์อยู่ในความครอบครองของจำเลย ซึ่งอาจเกิดจากการซ้อนเร็น การช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการอื่นในทรัพย์ที่เกิดจากการกระทำความผิดทางอาญาในความผิดที่เกี่ยวกับทรัพย์ จึงเชื่อหรือน่าเชื่อว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานรับของโจรซึ่งศาลสามารถลงโทษได้

ไม่มีความคิดเห็น: