หมวด 6 ความผิดฐานรับของโจร
มาตรา 357 ผู้ใดช่วยซ่อนเร้น
ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด
ซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด ถ้าความผิดนั้นเข้าลักษณะลักทรัพย์
วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก
หรือเจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน รับของโจร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น
ได้กระทำเพื่อค้ากำไร หรือได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา
335
(10) ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงสองหมื่นบาท
ถ้าการกระทำความผิดฐานรับของโจรนั้น
ได้กระทำต่อทรัพย์อันได้มาโดยการลักทรัพย์ตามมาตรา 335 ทวิ การชิงทรัพย์ตามมาตรา 339 ทวิ หรือการปล้นทรัพย์ตามมาตรา
340 ทวิ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท
-
การช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย
ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำ หรือรับไว้โดยประการใด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1000/2492 การรับของโจร ไม่จำต้องรับไว้จากคนร้ายที่ลักมาโดยตรง
เพียงแต่รับไว้โดยรู้ว่าทรัพย์นั้นได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย ก็มีความผิดตาม ก.ม.ลักษณะอาญา มาตรา 321
ได้.
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 680/2508 (สบฎ เน 569) มีคนเอาปืนมาจำนำ จำเลยไม่มีเงิน
จึงพาไปจำนำกับผู้อื่น โดยช่วยพูดให้เขารับจำนำ เป็นการช่วยจำหน่าย ตาม ม 357
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 239/2512 (สบฎ เน 2118) จำเลยนำรถจักรยานที่ถูกลัก "ไปฝากผู้อื่น ให้ช่วยขาย" โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้จากการทำผิด
ย่อมมีความผิดตาม ม 357
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 240/2521 รถยนต์ถูกลักที่พระนครระหว่างเวลาเย็น
คืนวันนั้นเวลา 2 นาฬิกา จำเลยขับรถคันนั้นที่อำเภอวังน้อย อยุธยา
จำเลยทิ้งรถหนีตำรวจ ระยะเวลาและสถานที่ห่างกันหลายชั่วโมงและไกล มีทางเปลี่ยนมือได้เป็นรับของโจร
ไม่ใช่ลักทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 391/2521
มีผู้บอกว่าจำเลยรู้เรื่องกระบือที่ถูกลักผู้เสียหายจึงไปหาจำเลย
จำเลยบอกว่าถ้าอยากได้กระบือให้เอาเงินมาไถ่ 2,000 บาท
จำเลยให้ผู้เสียหายทำหนังสือว่าไม่เอาเรื่อง แล้วรับค่าไถ่นำไปรับกระบือ
และมอบค่าไถ่ให้กับคนร้าย
เป็นการรู้เห็นเป็นใจเรียกค่าไถ่ช่วยจำหน่ายทรัพย์เป็นรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 690/2521 ช.คนประจำรถที่บรรทุกถุงพลาสติก
ส่งถุงพลาสติก 6 ถุงให้จำเลยรับทางท้ายรถบรรทุก เป็นการที่
ช.ลักทรัพย์สำเร็จแล้วตั้งแต่ยกถุงออกจากที่เก็บ จำเลยมิได้ร่วมลักทรัพย์ด้วย
จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 803/2521 จำเลยที่ 2
จดหมายเลขเครื่องรถจักรยานยนต์ที่ถูกชิงไปให้ผู้เสียหายดู ถ้าใช่ของผู้เสียหาย
ก็ให้เอาเงินมาไถ่ และบอกให้ตำรวจผู้จับ ไปเอารถของกลางคืนมาจากจำเลยที่ 1 ได้
เป็นการรู้เห็นเป็นใจกับคนร้ายเรียกเงินค่าไถ่รถ ช่วยจำหน่ายตาม ม.357
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 856/2530 จำเลยรู้อยู่แล้วว่า
จ.ไปลักเครื่องยนต์ของผู้เสียหายมา จำเลยช่วยพาเครื่องยนต์นั้นไป เพื่อหวังว่าจะได้ส่วนแบ่งจากการขายเครื่องยนต์ดังกล่าวจึงมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1380/2533 จำเลยได้รับซื้อและขายรถของกลาง โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่ถูกคนร้ายลัก
ถึงแม้จำเลยได้ทำในนามของบริษัท จ. จำกัด หรือบริษัท อ.จำกัด
ในฐานะที่จำเลยเป็นลูกจ้างก็ตาม ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการรับซื้อไว้ และช่วยจำหน่ายซึ่งทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2844/2535 (สบฎ เน 17) รถจักรยานยนต์ถูกลักไป ต่อมาตำรวจยึดไว้
เพราะคนร้ายขับไปชนคนบาดเจ็บ การครอบครองของตำรวจ ยังไม่ถือว่ารถจักรยานยนต์นั้น
พ้นสภาพจากทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิด
เพราะตำรวจยึดไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา จำเลย "ติดต่อ ช ผู้รับฝากจักรยานยนต์ให้นำเงินไปไถ่ในวันรุ่งขึ้น" จึงเป็นการช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ แต่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
เพราะยังอยู่ในความครอบครองของตำรวจซึ่งยึดไว้ในคดีอื่น ผิดตาม ม 357
ว 1 + ม 81
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 6152/2540
ช.ทำสัญญาเช่ารถพิพาทกับผู้เสียหายโดยมีข้อสัญญาว่าผู้เช่าจะต้องใช้รถยนต์ที่เช่าภายในเขตจังหวัดภูเก็ตเท่านั้น
แต่พฤติการณ์ที่ ช. ครอบครองรถที่เช่าแล้วจงใจไม่ส่งคืนเป็นเวลา 10 วัน
โดยมิได้แจ้งเหตุที่ไม่ส่งรถคืนให้แก่ผู้เสียหายทราบ
ทั้งได้ขับออกนอกเขตจังหวัดภูเก็ตไปไกลถึงอำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจีนบุรี
ใกล้กับประเทศกัมพูชา จึงชี้ให้เห็นว่า ช. มีเจตนายักยอกทรัพย์แล้ว / การที่เจ้าพนักงานตำรวจสามารถไปพบรถยนต์จี๊ปได้ตามที่จำเลยทั้งสองพาไป
แสดงว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้รู้ที่ซ่อนเร้นทรัพย์ของผู้เสียหาย
แห่งที่เก็บรถอยู่ห่างบ้านจำเลยที่ 1 ประมาณ 3 ถึง 4 กิโลเมตร
อีกทั้งได้ถอดแผ่นป้ายทะเบียนด้านหน้าและด้านหลังออกพฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองมีเจตนาช่วยซ่อนเร้น
ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียหรือรับไว้โดยประการใด
ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานยักยอกทรัพย์แม้ต่อมาผู้เสียหายจะได้ถอนคำร้องทุกข์ให้
ช. ผู้กระทำผิดฐานยักยอกทรัพย์ทำให้สิทธินำคดีอาญาฐานยักยอกทรัพย์มาฟ้องระงับไปตาม
ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) ก็ตาม จำเลยทั้งสองก็ยังคงมีความผิดฐานรับของโจร
-
กรณีไม่เป็นความผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 706/2499 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าไก่ของกลางของผู้เสียหายได้หายไป ต่อมาจับได้จากจำเลย
จำเลยได้ไก่นี้มาโดยขณะที่กลับจากไร่ส่องไฟ เห็นผู้ร้ายอุ้มไก่คนร้ายตกใจทิ้งไก่ จำเลยเก็บไก่นั้นมาเลี้ยงไว้โดยเพื่อประโยชน์ของเจ้าของเอง
ดังนี้จำเลยขาดเถยยจิตเป็นโจร ทั้งไม่ต้องด้วยความหมายของคำว่า "รับไว้ด้วยประการใด ๆ " ตาม ม.321 (2) ยังไม่เป็นผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2359/2525 จำเลยที่
1 รับกระบือไว้จากคนร้าย โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา
แล้วนำไปขาย และรับชำระราคา ส่วนจำเลยที่ 2 ซึ่งช่วยจูงกระบือ
เดินทางไปกับจำเลยที่ 1 ตามคำขอร้อง
ถือไม่ได้ว่าร่วมครอบครอง ช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่ายกระบือ การกระทำของจำเลยที่ 2
จึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 4283/2528 จำเลยทั้งสองติดตามไปพบกระบือของผู้เสียหายที่ถูกลักไป
แต่ไม่นำมาให้ผู้เสียหาย หรือบอกให้ผู้เสียหายทราบตามที่ขอให้ช่วย
เป็นเพียงปกปิดความจริงที่ควรบอกให้ผู้เสียหายทราบ
เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองได้รับกระบือไว้จากคนร้าย
หรือเอากระบือที่พบไปไว้ที่อื่นก่อน หรือร่วมรู้กับคนร้ายมาเรียกค่าไถ่กระบือจากผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร (ไม่แจ้งผู้เสียหาย โดยไม่มีหน้าที่เฉพาะ
ไม่เป็นงดเว้น และไม่มีการกระทำอันเป็นองค์ประกอบภายนอก)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2652/2543 ความผิดฐานรับของโจรตาม
ป.อ. มาตรา 357วรรคหนึ่ง จะเป็นความผิด
ก็ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังที่การกระทำความผิดในการได้ทรัพย์มานั้นสำเร็จไปแล้ว
ม. กับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก โดยหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วม
เมื่อโจทก์ร่วมมาที่บ้าน ม. เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายและให้วางมัดจำ ม.
กลับชักชวนโจทก์ร่วมให้ร่วมกับ ม. เล่นการพนันกับพวกของ
ม.โจทก์ร่วมเล่นการพนันเสีย การติดต่อขอซื้อที่ดินและการเล่นการพนัน
จึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ ม. กับพวกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงเอาเงินของโจทก์ร่วม
และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ ม. กับพวกได้ไปซึ่งเงินจากโจทก์ร่วม
กับเงินที่โจทก์ร่วมให้ จ. โอนมาให้แก่จำเลย แสดงว่าจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของ
ม. หาใช่เข้าไปเกี่ยวข้องภายหลัง ม. ได้เงินมาแล้วไม่
จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
-
ทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 330/2499 อันจะเป็นความผิดฐานรับของโจรนั้นต้องประกอบด้วยองค์สำคัญว่า ของซึ่งได้รับไว้เป็นของที่ได้มาด้วยการกระทำผิดต่อ
ก.ม.เมื่อทางพิจารณาไม่ได้ความว่ากระบือของกลางเป็นของที่ได้มาจากการกระทำผิด
ก.ม.คือถูกลักมาดังฟ้องแล้ว ก็ย่อมลงโทษจำเลยฐานรับของโจรหาได้ไม่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 415/2535 ทรัพย์ของโจทก์ถูกจำเลยที่
1 ที่ 2 ลักไป จำเลยทั้งสองได้ขายทรัพย์นั้น และมอบเงินที่ได้ให้จำเลยที่ 3 ที่ 4
แต่คดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 ที่ 4 ได้รับเงินไว้ โดยรู้ว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้มาจากการขายทรัพย์ของโจทก์ที่ถูกลักไป ทั้งไม่ถือว่าเงินนั้นเป็นของโจทก์
เพราะไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด การกระทำของจำเลยที่ 3 ที่ 4
จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินดังกล่าวคืนจากจำเลยที่ 3
ที่ 4
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2844/2535
รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายลักไป และได้ถูกเจ้าพนักงานอำเภอยึดไว้เป็นของกลาง
ในคืนที่รถจักรยานยนต์หาย
เนื่องจากคนร้ายขับรถจักรยานยนต์ไปชนคนได้รับบาดเจ็บแล้วทิ้งไป
โดยเจ้าพนักงานตำรวจไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ของกลางพ้นสภาพจากทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด
การที่จำเลยไปติดต่อ ช. ให้นำเงินไปไถ่ในวันรุ่งขึ้นนั้น เข้าลักษณะเป็นการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ซึ่งยังเป็นทรัพย์ที่อยู่ในสภาพที่ถูกลักมา
โดยรู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นของร้าย จึงเป็นความผิดฐานรับของโจร
แต่เนื่องจากการช่วยจำหน่ายของจำเลยนั้น ไม่มีทางที่จะบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการพยายามกระทำความผิดฐานรับของโจรที่ไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2727/2537 รังนกในถ้ำตามเกาะ เป็นทรัพย์ไม่มีเจ้าของ
บุคคลใดก็อาจได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์โดยเข้ามายึดถือเอา แม้ อ.
ได้รับอนุญาตผูกขาดจากรัฐให้เก็บรังนกบนเกาะได้ อ. ก็มีสิทธิเพียงว่าถ้าประสงค์จะเก็บรังนกที่ผูกขาด
ก็เข้าเก็บเอาได้ ไม่ต้องมีการหวงห้ามเหมือนบุคคลผู้ไม่ได้รับอนุญาต แต่
อ.จะมีกรรมสิทธิได้ในรังนกนั้น จะต้องมีการเข้ายึดถือเอาอีกชั้นหนึ่งก่อนตาม
ป.พ.พ.มาตรา 1318 เมื่อมีบุคคลอื่นเข้าไปเก็บรับนกจำนวน 0.5 กิโลกรัมโดยที่
อ.ยังมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในรังนกดังกล่าว การเก็บรังนกนั้น
จึงยังไม่เป็นการลักทรัพย์ของ
อ.จำเลยเป็นผู้ครอบครองรังนกนั้นก็ไม่มีความผิดฐานรับของโจร
เพราะรังนกไม่ใช่ทรัพย์ที่ถูกลักมา จึงขาดองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5599/2541 จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ
เขียนข้อความลงในใบสั่งจ่ายน้ำมัน ทั้งๆ ที่ทราบว่าตนไม่มีอำนาจกระทำได้
จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
การที่จำเลยนำเอกสารปลอมไปยื่นต่อพนักงานของสถานีน้ำมัน
เพื่อประโยชน์ในการเติมน้ำมันใส่รถยนต์ของจำเลย จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมด้วย
เอกสารใบสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
เป็นเอกสารซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจผู้ทำหน้าที่พลขับ จะต้องกรอกข้อความให้ชัดเจน
ว่าเติมน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อใช้ในราชการใด จำนวนเท่าใด จึงเป็นการทำขึ้นในหน้าที่
อันเป็นเอกสารราชการตาม ป.อ. มาตรา 1 (8) การกระทำของจำเลย
จึงเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารราชการ และใช้เอกสารราชการปลอม
ใบสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงที่ถูกลักไป ต่อมาตกอยู่ในความครอบครองของจำเลย
เมื่อจำเลยนำไปกรอกข้อความ เพื่อใช้สิทธิเติมน้ำมัน
ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยทราบว่าใบสั่งจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงดังกล่าว
ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2608/2548 แม้ขณะที่ ก. กับ จ. เอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป จะไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
เนื่องจากได้รับความยินยอมจากผู้เสียหาย แต่ ก. กับ จ.
มีหน้าที่ต้องนำรถจักรยานยนต์มาคืนผู้เสียหาย การที่ ก. กับ จ. ไม่นำมาคืน
ผู้เสียหาย กลับนำไปขายให้แก่จำเลยทั้งที่ไม่ใช่ของตน ถือได้ว่า ก. กับ จ.
มีเจตนาเบียดบังเอารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายโดยทุจริตอันเป็นความผิดฐานยักยอก เมื่อจำเลยรับซื้อไว้ในราคาเพียง
800 บาท ต่ำกว่าราคาแท้จริง 7,000 บาท
มาก โดยไม่ประสงค์ตรวจสอบเสียก่อนว่าคู่มือจดทะเบียนรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวมีชื่อ
ก. กับ จ. เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือไม่ ย่อมเป็นการผิดวิสัยของบุคคลโดยทั่วไป เชื่อว่าจำเลยรับซื้อไว้โดยรู้อยู่แล้วว่ารถจักรยานยนต์ที่
ก. กับ จ. นำมาขายได้มาจากการกระทำความผิดอาญาฐานยักยอก ดังนั้น ไม่ว่าการที่
ก. กับ จ. ได้รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ หรือยักยอก การกระทำของจำเลยถือว่าครบองค์ประกอบความผิดฐานรับของโจร
ตาม ป.อ. มาตรา 357 วรรคแรก แล้ว
-
การรับของโจร ต่อจากผู้รับของโจร ผิดข้อหารับของโจรเช่นเดียวกัน
-
คำพิพากษาฎีกาที่
624/2543 (จำเลยที่ 3 รับของโจรมา
แล้วขายให้แก่จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 ขายให้แก่จำเลยที่ 1 / คดีมีเฉพาะจำเลยที่ 3
ฎีกา แต่จำเลยที่ 2 ผิดรับของโจรเช่นกัน) เวลาเกิดเหตุมีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป
แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่า จำเลยที่ 3 นำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปขายให้จำเลยที่
2 ก็ตาม แต่จากพยานแวดล้อมกรณีที่โจทก์นำสืบ คือสิบตำรวจตรี
ว.ผู้สืบสวนจับกุมจำเลยที่ 1 ได้พร้อมรถจักรยานยนต์ของกลางของผู้เสียหายที่ถูกแปลงสภาพให้ผิดไปจากเดิมที่บ้านจำเลยที่
1 เมื่อทราบจากจำเลยที่ 1 ว่ารับซื้อรถของกลางจากจำเลยที่
2 สิบตำรวจตรี ว. ก็ติดตามจับกุมจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 ให้การว่ารับซื้อรถของกลางมาจากจำเลยที่
3 และเมื่อสิบตำรวจตรี ว.ตามไปจับกุมจำเลยที่ 3 ได้จำเลยที่ 3 ก็ยอมรับสารภาพอีกว่ารับซื้อรถของกลางมาจากผู้มีชื่อ
จึงเห็นได้ว่าการที่สิบตำรวจตรี ว. สามารถติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมรถจักรยานยนต์ของกลาง
นอกจากจะอาศัยข้อมูลการสืบสวนทางหนึ่ง แล้วยังได้อาศัยข้อมูลจากจำเลยแต่ละคนเป็นอย่างมากอีกต่างหาก
พยานโจทก์จึงไม่ใช่มีเพียงคำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3
เท่านั้นแต่ยังมีคำเบิกความของสิบตำรวจตรี ว.มาประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่
3 อีกด้วยจึงเป็นพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยที่
3ได้กระทำความผิดฐานรับของโจรรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย / ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาเกิดเหตุมีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป
คงมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่า
จำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดฐานรับของโจรหรือไม่
โจทก์มีสิบตำรวจตรีวิโรจน์ มะยมหิน เป็นพยานเบิกความว่า ได้สืบทราบว่าจำเลยที่ 1
มีพฤติการณ์นำรถจักรยานยนต์ที่ถูกลักมาดัดแปลง จึงนำหมายค้นไปตรวจค้นที่บ้านของจำเลยที่
1 พบรถจักรยานยนต์ 1 คัน
หมายเลขทะเบียน อ่างทอง ง-6677 และอะไหล่รถจักรยานยนต์คันนี้มีการแก้ไขหมายเลขตัวถัง
จึงได้ยึดรถจักรยานยนต์และอะไหล่ดังกล่าวเป็นของกลางพร้อมทั้งแจ้งข้อหาแก่จำเลยที่
1 ว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรปลอมและใช้เอกสารปลอม
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพว่าซื้อรถจักรยานยนต์มาจากจำเลยที่
2 ในราคา 7,000 บาท โดยทราบว่าเป็นรถที่ถูกลักมา
แล้วนำชิ้นส่วนมาดัดแปลงแก้ไขหมายเลขตัวถังใหม่เพื่อให้ตรงกับเลขตัวถังของรถตนสิบตำรวจตรีวิโรจน์กับพวกติดตามจับกุมจำเลยที่
2 ได้ แจ้งข้อหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรว่าซื้อรถจักรยานยนต์มาจากจำเลยที่ 3 และได้ขายต่อให้จำเลยที่ 1 สิบตำรวจตรีวิโรจน์กับพวกจึงไปติดตามจับกุมจำเลยที่
3 ได้ และแจ้งข้อหาว่าลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยที่ 3
ให้การรับสารภาพฐานรับของโจรว่าได้ซื้อรถจักรยานยนต์มาจากนายน้อยในราคา
3,000 บาท โดยทราบว่ารถดังกล่าวถูกลักมาจากศรีอรุณแมนชั่น
ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี เจ้าพนักงานตำรวจจึงติดตามไปพบผู้เสียหายซึ่งพักอยู่ที่ศรีอรุณแมนชั่น
ทราบว่าเมื่อรถจักรยานยนต์หายไป ผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองลพบุรี
เห็นว่า สิบตำรวจตรีวิโรจน์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอบ้านแพรก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ขณะเกิดเหตุได้รับราชการอยู่ที่ศูนย์ป้องกันการโจรกรรมรถยนต์และรถจักรยานยนต์ตำรวจภาค
1 กรุงเทพมหานคร ไม่เคยรู้จักกับผู้เสียหายซึ่งพักอยู่ที่ศรีอรุณแมนชั่น
อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี คนละจังหวัดกัน ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่สิบตำรวจตรีวิโรจน์จะได้ข้อมูลจากผู้เสียหาย
ก่อนที่จะไปสืบจับคนร้าย ประกอบกับผู้เสียหายเบิกความสอดคล้องกับพยานปากนี้ว่า หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่
1 และยึดรถจักรยานยนต์กับอะไหล่รถจักรยานยนต์ของกลางได้แล้ว ผู้เสียหายไปดูของกลางที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอไชโย
จังหวัดอ่างทอง ผู้เสียหายจำได้ว่ารถคันของกลางมีรอยตำหนิ และมีการขูดลบหมายเลขตัวถังเดิม
ซึ่งตรงกับหมายเลขตัวถังรถของผู้เสียหาย แล้วตอกหมายเลขตัวถังใหม่ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ตรงกับข้อมูลที่สิบตำรวจตรีวิโรจน์ยืนยันว่าได้จากจำเลยที่
1 จึงน่าเชื่อว่าสิบตำรวจตรีวิโรจน์ได้ข้อมูลจากจำเลยที่ 1
ว่าได้ซื้อรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจากจำเลยที่ 2 แล้วนำสืบเชื่อมโยงไปถึงจำเลยที่ 3 ที่ซื้อรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจากนายน้อย
แล้วได้นำรถมาขายให้จำเลยที่ 2 ในราคาที่ถูกกว่าปกติ
โดยทราบว่าเป็นรถที่ถูกลักมาจากจังหวัดลพบุรี แสดงให้เห็นว่าหากจำเลยทั้งสามไม่รับสารภาพตามความเป็นจริง
สิบตำรวจตรีวิโรจน์ไม่มีทางที่จะสืบต่อไป จนพบผู้เสียหายซึ่งอยู่คนละจังหวัด ทั้งคำรับสารภาพชั้นจับกุม
ก็เชื่อมโยงกันอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นขั้นเป็นตอน เริ่มตั้งแต่คนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปจากศรีอรุณแมนชั่น
จนไปขายให้จำเลยที่ 1 แล้วนำไปดัดแปลงเป็นรถของจำเลยที่ 1
สิบตำรวจตรีวิโรจน์ไม่รู้จักจำเลยที่ 3 มาก่อน
ไม่มีสาเหตุที่จะปรักปรำจำเลยที่ 3 ให้ต้องรับโทษเชื่อว่าสิบตำรวจตรีวิโรจน์เบิกความไปตามความเป็นจริง
และหากจำเลยที่ 2 ไม่รับสารภาพชั้นจับกุม ก็คงไม่สามารถนำไปสู่การจับกุมจำเลยที่
3 ได้ เมื่อจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุม
ก็สามารถเชื่อมโยงไปสู่แหล่งที่มาของสถานที่ลักทรัพย์ คือศรีอรุณแมนชั่น และได้พบตัวผู้เสียหาย
โดยผู้เสียหายตามไปตรวจสอบรถจักรยานยนต์ของกลาง และยืนยันว่าเป็นของตนจริงดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพชั้นจับกุมด้วยความสมัครใจเช่นกัน
ที่จำเลยที่ 3 ฎีกาว่า
สิบตำรวจตรีวิโรจน์เบิกความในชั้นศาลว่า ชั้นจับกุมจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์ แต่ในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย ป.จ.2
(ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา) ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพฐานรับของโจร จึงเป็นการแตกต่างกันในสาระสำคัญนั้น เห็นว่าข้อแตกต่างดังกล่าวหาใช่ข้อสาระสำคัญแห่งคดีไม่
ดังนั้น แม้คดีนี้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยที่ 3 นำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไปขายให้จำเลยที่ 2 ก็ตาม
แต่จากพยานแวดล้อมกรณีที่โจทก์นำสืบ คือสิบตำรวจตรีวิโรจน์ผู้สืบสวนจับกุมจำเลยที่
1 ได้พร้อมรถจักรยานยนต์ของกลางของผู้เสียหายที่ถูกแปลงสภาพให้ผิดไปจากเดิม
ที่บ้านจำเลยที่ 1 เมื่อทราบจากจำเลยที่ 1ว่ารับซื้อรถของกลางจากจำเลยที่ 2 สิบตำรวจตรีวิโรจน์ก็ติดตามจับกุมจำเลยที่
2 ได้จำเลยที่ 2 ก็ให้การว่ารับซื้อรถของกลางมาจากจำเลยที่
3 และเมื่อสิบตำรวจตรีวิโรจน์ตามไปจับกุมจำเลยที่ 3 ได้ จำเลยที่ 3 ก็ยอมรับสารภาพอีกว่ารับซื้อรถของกลางมาจากนายน้อย
จึงเห็นได้ว่าการที่สิบตำรวจตรีวิโรจน์สามารถติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมรถจักรยานยนต์ของกลาง
นอกจากจะอาศัยข้อมูลจากการสืบสวนทางหนึ่งแล้วยังได้อาศัยข้อมูลจากจำเลยแต่ละคนเป็นอย่างมากอีกต่างหาก
พยานโจทก์จึงไม่ใช่มีเพียงคำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3
เท่านั้นแต่ยังมีคำเบิกความของสิบตำรวจตรีวิโรจน์มาประกอบคำรับสารภาพของจำเลยที่
3 อีกด้วย
จึงเป็นพยานหลักฐานเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 3 ได้กระทำความผิดฐานรับของโจรรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย
-
ความรับผิดในความผิดหลัก และความผิดฐานรับของโจร
-
& ผู้ร่วมกระทำผิดในความผิดเกี่ยวกับทรัพย์อันเป็นการได้ทรัพย์นั้น
ไม่ต้องรับผิดฐานรับของโจรอีก
-
&
บางกรณี อาจเข้าลักษณะเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ 2 ข้อหาได้ เช่น Ø ผู้ต้องหา K
เอาทรัพย์ที่รับฝากไว้จากบุคคลหนึ่ง
ไปหลอกขายให้แก่อีกบุคคลหนึ่ง = ผู้ต้องหา K
ยักยอกทรัพย์
และฉ้อโกง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1264/2513 โจทก์ฟ้องว่า
จำเลยรับข้าวเปลือกไว้จากผู้อื่นโดยรู้ว่าเป็นของร้ายอันได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้น
ถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องครบองค์ความผิดฐานรับของโจรชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา
158(5) แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องที่เคลือบคลุม / ข้อเท็จจริงฟังว่า
จำเลยใช้ผู้อื่นไปลักทรัพย์หรือฉ้อโกงนั้น ถือว่าจำเลยเป็นตัวการด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 83 ดังนั้น เมื่อจำเลยรับทรัพย์นั้นจากผู้ที่จำเลยใช้
ถือว่าเป็นการรับทรัพย์ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากกรรมอันเดียวกับความผิดฐานลักทรัพย์หรือฉ้อโกง
ที่จำเลยเป็นผู้ใช้นั้นเอง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
357
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1881/2517 ความผิดฐานฉ้อโกง
เป็นเรื่องที่ผู้กระทำผิดได้ทรัพย์ด้วยการหลอกลวง
แต่ความผิดฐานรับของโจรทรัพย์ที่ได้มาด้วยการฉ้อโกงนั้น
ผู้รับของโจรไม่ได้ไปหลอกลวงด้วย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 325/2520 จำเลยร่วมกับพวกปล้นทรัพย์
รุ่งขึ้นจำเลยจูงกระบือที่ปล้นไปนั้น การจูงกระบือในวันรุ่งขึ้น
ไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรขึ้นใหม่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 690/2521 ช.คนประจำรถที่บรรทุกถุงพลาสติก ส่งถุงพลาสติก
6 ถุงให้จำเลยรับทางท้ายรถบรรทุก เป็นการที่
ช.ลักทรัพย์สำเร็จแล้วตั้งแต่ยกถุงออกจากที่เก็บ จำเลยมิได้ร่วมลักทรัพย์ด้วย
จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2652/2543 ความผิดฐานรับของโจรตาม
ป.อ. มาตรา 357วรรคหนึ่ง จะเป็นความผิด
ก็ต่อเมื่อได้กระทำภายหลังที่การกระทำความผิดในการได้ทรัพย์มานั้นสำเร็จไปแล้ว
ม. กับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรก โดยหลอกลวงว่าจะซื้อที่ดินจากโจทก์ร่วม
เมื่อโจทก์ร่วมมาที่บ้าน ม. เพื่อทำสัญญาจะซื้อจะขายและให้วางมัดจำ ม. กลับชักชวนโจทก์ร่วมให้ร่วมกับ
ม. เล่นการพนันกับพวกของ ม.โจทก์ร่วมเล่นการพนันเสีย
การติดต่อขอซื้อที่ดินและการเล่นการพนัน จึงเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ ม.
กับพวกสร้างขึ้นเพื่อหลอกลวงเอาเงินของโจทก์ร่วม และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้ ม.
กับพวกได้ไปซึ่งเงินจากโจทก์ร่วม กับเงินที่โจทก์ร่วมให้ จ. โอนมาให้แก่จำเลย
แสดงว่าจำเลยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดฐานฉ้อโกงของ ม.
หาใช่เข้าไปเกี่ยวข้องภายหลัง ม. ได้เงินมาแล้วไม่
จำเลยจึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
-
เจตนา
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1010/2506 จำเลยที่ 2
รับของโจรกระบือจากบุคคลที่ลักมาแล้วขายให้จำเลยที่ 1 หากจำเลยที่ 1
รับซื้อไว้โดยรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเป็นกระบือของคนร้าย ก็มีความผิดฐานรับของโจรได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 265/2507
ในความผิดฐานรับของโจรนั้น จะเกิดเป็นความผิดขึ้นในขณะที่จำเลยได้รับทรัพย์นั้นไว้
โดยรู้อยู่ว่าเป็นของได้มาจากการกระทำผิด
ไม่ใช่เป็นความผิดขณะที่ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 657/2519
การที่ผู้เสียหายให้จำเลยไปช่วยสืบหา
และไถ่ทรัพย์ที่อยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายซึ่งถูกคนร้ายลักเอาไป
จำเลยจึงไปไถ่ทรัพย์ดังกล่าวคืนมาให้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิด
จำเลยไม่มีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1276/2530
การซื้อขายวิทยุติดรถยนต์ของกลาง ได้กระทำกันโดยเปิดเผย และจำเลยรับซื้อของกลางไว้
โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยจึงไม่มีความผิด
เพราะขาดองค์ประกอบที่จะเป็นความผิดฐานรับของโจร
-
ภาระการพิสูจน์
การรับฟังพยานหลักฐานในคดีรับของโจร และพฤติการณ์ที่แสดงเจตนา
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1214/2519 การที่จะค้นหาเจตนาของจำเลยว่ารับทรัพย์ของกลางไว้
โดยรู้หรือไม่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดนั้น
เป็นการยากที่โจทก์จะนำสืบด้วยประจักษ์พยานได้
จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลกรณีแวดล้อม
และพิรุธแห่งการกระทำเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลย
เมื่อจำเลยให้การในชั้นจับกุม ในชั้นสอบสวน และนำสืบในชั้นศาลแตกต่างกัน
ไม่อยู่กับร่องกับรอย จำเลยรู้ว่าถูกเปลี่ยนยี่ห้อ
แสดงให้เห็นว่าจำเลยรับทรัพย์ของกลางไว้ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่คนร้ายได้มาจากการกระทำผิด
ผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1723/2526 คนร้ายลักพระแสงกระบี่ของพระบรมรูปทรงม้า
ไปขายจำเลยที่ร้านซึ่งได้รับอนุญาตให้ค้าของเก่า
โบราณวัตถุหรือศิลปวัตถุในเวลาค้าขายตามปกติ เป็นการกระทำตามปกติในธุรกิจการค้า แม้รับซื้อไว้ในราคาถูก
และไม่ลงรายการการซื้อในบัญชีแสดงรายการโบราณวัตถุและศิลปวัตถุ
แต่จำเลยมิได้เก็บพระแสงกระบี่ไว้ในลักษณะปิดบังซ่อนเร้น
ถือไม่ได้ว่าจำเลยรับซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยไม่มีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3079/2529 จำเลยสวมเสื้อของผู้เสียหาย ในเวลาใกล้ชิดกับที่เสื้อถูกคนร้ายลักไป
บ้านจำเลยอยู่ใกล้สถานที่ที่ทรัพย์ถูกลัก ดังนี้
การแสดงว่าจำเลยได้รับเสื้อของผู้เสียหายซึ่งเป็นทรัพย์อันได้มา
โดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2093/2529 จำเลยมีอาชีพซ่อมรถจักรยานยนต์
ได้นำรถจักรยานยนต์ผู้เสียหายซึ่งถูกชิงทรัพย์ไปจำนำ โดยมิได้นำทะเบียนรถไปแสดง เมื่อถูกกล่าวหา
ก็อ้างแต่เพียงว่าเป็นรถของ ส.โดยมิได้นำตัว ส.มาสืบ
ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยได้ช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย
โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำผิดอันเป็นความผิดฐานรับของโจร
แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์ตาม ป.อ.ม.339 ก็ลงโทษฐานรับของโจรตาม
ม.357 ได้ตาม ป.ว.อ. ม.192
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5701/2531 มีคนร้ายลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายไป
วันเกิดเหตุจำเลยเข้ามานั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ดังกล่าวซึ่งจอดอยู่แล้วไขกุญแจรถ
เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจแสดงตัวจำเลยทิ้งรถวิ่งหนี
แสดงว่าจำเลยรู้ว่ารถจักรยานยนต์ดังกล่าวเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์
การที่จำเลยนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์แล้วไขกุญแจรถ
เป็นการเข้ายึดถือครอบครองรถจักรยานยนต์
เมื่อจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยย่อมมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1203/2533 เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์ของกลางที่ถูกปล้นไปได้จาก
ส.ต่อมา ส.เป็นพยานโจทก์เบิกความว่า
จำเลยเป็นผู้ขับรถยนต์ของกลางมาบอกขายให้โดยมอบให้ไปทดลองขับ และมอบสัญญาเช่าซื้อให้ไว้ด้วย ในเมื่อ
ส.รู้จักกับจำเลยมาก่อนเกิดเหตุและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน จึงเชื่อว่า
ส.เบิกความไปตามความจริงโดยมิได้ปรักปรำจำเลย แม้ความจริงจะปรากฏว่า
ส.ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีในข้อหากระทำผิดร่วมกับจำเลย
คำเบิกความของ
ส.จะเข้าลักษณะเป็นคำซัดทอดของผู้ที่ถูกล่าวหาของผู้ต้องหาว่ากระทำผิดด้วยกัน
การที่จะเชื่อคำพยานได้หรือไม่นั้นย่อมแล้วแต่เหตุผลที่พยานเบิกความ เมื่อรถยนต์ของกลางที่จำเลยบอกขายให้
ส.มีป้ายทะเบียนปลอม สีรถถูกเปลี่ยนจากสีครีมมาเป็นสีแดง
หมายเลขประจำตัวถังและหมายเลขประจำเครื่องยนต์ถูกขูดลบออกและตอกหมายเลขใหม่ให้ตรงกับสีรถหมายเลขประจำตัวถังและหมายเลขประจำเครื่องยนต์ของจำเลยที่เช่าซื้อมา
พยานแวดล้อมจึงฟังได้ว่า
จำเลยได้รับรถยนต์ของกลางไว้แล้วช่วยจำหน่าย หรือช่วยพาไปเสีย
โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานปล้นทรัพย์
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1928/2534 จำเลยรับซื้อสินค้าไว้ โดยไม่มีพฤติการณ์ใด
ส่อให้เห็นว่าเป็นการรับซื้อไว้โดยรู้ว่าเป็นสินค้าที่ ร.ฉ้อโกงมาจากโจทก์ร่วม เป็นการซื้อไว้โดยสุจริต
ย่อมไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5621/2534 คดีเกี่ยวกับรับของโจรนั้น
โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าจำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาจากการกระทำความผิด
มิใช่เพียงแต่คิดหรือเห็นว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองทรัพย์แล้ว
ต้องให้จำเลยนำสืบแก้ตัวว่าไม่รู้ว่าเป็นของร้าย
การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 1
ได้ขณะเอาลูกกุญแจไปไขจะติดเครื่องขับรถจักรยานยนต์ของ
ม.ซึ่งมีหน้าปัดวัดความเร็วอันเป็นชิ้นส่วนหนึ่งของรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่ถูกลักไปติดอยู่
เพียงเท่านี้จะฟังว่าจำเลยที่ 1
ครอบครองจักรยานยนต์ของกลางโดยรู้แล้วว่ามีของผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิดหาได้ไม่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 57/2535 การที่จำเลยที่ 4
อ้างว่าเช่าซื้อรถยนต์ต่อจากผู้เช่าซื้อเดิมโดยชำระเงินดาวน์ให้ จ. ทันที เป็นเงินถึง 20,000 บาท ทั้ง ๆ
ที่ยังไม่รู้ว่าใครเป็นคนเช่าซื้อและใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง
ทั้งยังไม่ทราบว่าคู่สัญญาเดิมจะยอมให้จำเลยที่ 4 เข้าเป็นผู้เช่าซื้อแทนหรือไม่ เป็นการผิดปกติวิสัยที่คนทั่วไปจะทำกัน
ไม่มีเหตุผลให้รับฟังได้ นอกจากนั้นในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 4ก็ให้การว่า
เป็นการซื้อขายไม่ใช่เช่าซื้อ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่
4ซื้อรถยนต์ของผู้เสียหายจากจำเลยที่ 1 ในราคาเพียง 20,000 บาท / จำเลยที่ 4
รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์คันที่ถูกปล้นราคาที่แท้จริง เป็นจำนวนเท่าใด
และรับซื้อไว้ในราคาที่ถูกกว่ากันมาก เป็นการชี้ให้เห็นว่าน่าจะซื้อไว้โดยสุจริต
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 400/2535 จำเลยที่ 1
เป็นผู้บอกให้จำเลยที่ 2 ไปซื้อของกลางที่ถูกยึดในครั้งแรก
แล้วนำไปขายนำเงินมาแบ่ง และจำเลยที่ 1 ยังเป็นผู้เดินนำจำเลยที่ 2 เข้าไปในป่าละเมาะบริเวณที่ของกลางซุกซ่อนอยู่
และก้มลงหยิบเฟืองเกียร์ของกลางจึงถูกจับกุม พฤติการณ์ดังกล่าวจำเลยที่ 1
ย่อมทราบมาก่อนว่า ของกลางเป็นของร้ายที่ซุกซ่อนไว้ จำเลยที่ 1
มีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 429/2535
จำเลยรับซื้อกระบือไว้ เมื่อเจ้าพนักงานตำรวจมาสอบถามจำเลยไม่บอกเจ้าพนักงานตำรวจว่าตนเองเป็นผู้ซื้อกระบือไว้และปิดบังผู้ขายแต่กลับนำเจ้าพนักงานตำรวจติดตามหากระบิดไปในที่ต่าง
ๆ เป็นการกระทำที่ส่อถึงเจตนาที่ไม่สุจริตของจำเลย ประกอบการซื้อขาย
ไม่มีการพูดถึงตั๋วพิมพ์รูปพรรณว่ามีถูกต้องตรงกันหรือไม่
และใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง
ซึ่งเป็นการผิดวิสัยของจำเลยซึ่งมีอาชีพรับซื้อขายกระบือเป็นประจำ
แม้ต่อมาภายหลังจำเลยจะนำกระบือที่ซื้อไปเลี้ยงในที่เปิดเผย
และเวลากลางคืนก็นำมาผูกไว้ที่บ้านซึ่งอยู่ติดถนน
เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ของจำเลยก็ตาม แต่ก็ปรากฏว่าจำเลยนำไปเลี้ยง
และเก็บไว้รวมกับกระบือตัวอื่น ๆ ของจำเลยอีกถึง 4 ตัว
ย่อมทำให้ผู้พบเหตุเข้าใจได้ว่ากระบือทั้งหมดเป็นของจำเลย
ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ดังกล่าวฟังได้ว่า
จำเลยรับซื้อกระบือไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 193/2538
คำเบิกความของพยานโจทก์ไม่สามารถยืนยันว่า
จำเลยได้รับไว้ซึ่งทรัพย์สินของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักมาอย่างไร และจำเลยทราบหรือไม่
ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการลักทรัพย์
พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่สามารถฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 21/2539 จำเลยที่ 2
ครอบครองรถยนต์กระบะของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป แล้วนำไปขายให้จำเลยที่ 1
แต่จำเลยที่ 2 กลับปฏิเสธว่าไม่ได้ขาย โดยไม่ยอมเปิดเผยความจริงว่าจำเลยที่ 2
ได้รถยนต์คันดังกล่าวมาด้วยวิธีใด เป็นการผิดปกติวิสัย ทั้งไม่มีหลักฐานเอกสารใด ๆ
ในการได้รถยนต์นั้นมา เชื่อว่าจำเลยที่ 2 ได้รถยนต์มาโดยรู้ว่าถูกคนร้ายลักมา
จึงมีความผิดฐานรับของโจร ส่วนจำเลยที่ 1 นั้นซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากจำเลยที่ 2
ตามราคาท้องตลาดและได้แสดงความบริสุทธิ์ตั้งแต่แรก โดยแจ้งความจริงแก่จ่าสิบตำรวจ
จ. ในทันทีที่เข้าสอบถาม อีกทั้งยังใช้รถอย่างเปิดเผย โดยไม่ปรากฏว่ามีการเปลี่ยนแปลงสภาพรถ
เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ไม่รู้ว่าเป็นรถที่ถูกคนร้ายลักมา ส่วนที่จำเลยที่ 1
ไม่ได้ทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเรียกเอาเอกสารหลักฐานใด ๆ จากจำเลยที่ 2
จนกระทั่งถูกจับ คงเป็นเพราะเชื่อถือจำเลยที่ 2
ซึ่งเป็นคู่เขยว่าเมื่อผ่อนชำระราคาครบถ้วนแล้ว จำเลยที่ 2 ก็จะโอนทะเบียนรถให้
รวมทั้งจำเลยที่ 2 จะต่อทะเบียนรถประจำปีให้ด้วย ไม่พอถือเป็นข้อพิรุธ จำเลยที่ 1
จึงไม่มีความผิดฐานรับของโจร แม้จำเลยที่ 1
มิได้ฎีกา แต่เมื่อฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1
กระทำความผิดและเป็นข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันกับจำเลยที่ 2 ซึ่งฎีกา
ศาลฎีกาจึงมีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 1
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 590/2539 ความผิดฐานรับของโจรนั้น
เป็นการยากที่จะนำสืบด้วยประจักษ์พยาน จึงจำเป็นต้องอาศัยเหตุผลจากกรณีแวดล้อม
และพิรุธแห่งการกระทำ จำเลยที่ 1 ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด่านทหารไทยและทหารกัมพูชา
แล้วพาคนร้ายนำรถยนต์บรรทุกสิบล้อข้ามแดนไปขายในประเทศกัมพูชา
โดยไม่มีการจดทะเบียน และต้องจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่ด่าน ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1
รู้อยู่แล้วว่ารถยนต์บรรทุกสิบล้อที่จำเลยที่ 1 ช่วยพาไปจำหน่ายนั้น เป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดการกระทำของจำเลยที่
1 จึงเป็นความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 673/2540 เจ้าพนักงานตำรวจพบชิ้นส่วนอะไหล่รถจักรยานยนต์ของกลางวางอย่างเปิดเผย
ในร้านซ่อมรถจักรยานยนต์ของจำเลย
โดยมิได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพของกลางดังกล่าวเลย ทั้งจำเลยยังมีบิลเงินสดที่แสดงว่าจำเลยรับของกลางไว้เพื่อทำการซ่อม
ซึ่งเป็นฉบับซึ่งแทรกอยู่กับใบเสร็จฉบับอื่นจึงยากที่จำเลยจะทำเพิ่มเติมได้
พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยรับของกลางไว้โดยไม่รู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5439/2540 จำเลยที่ 1
ประกอบกิจการหล่อโลหะและหล่อพระพุทธรูปมานานถึง 20 ปี
น่าจะรู้ว่าพระของกลางเป็นรูปหล่อโลหะเก่า ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5
เนื้อโลหะเก่า มีลักษณะแตกต่างจากโลหะที่หล่อใหม่อย่างเห็นได้ชัด
ข้ออ้างของจำเลยที่ 1 ที่ว่านำไปทาน้ำยาฝังดิน เพื่อให้เกิดสนิม
ทำให้ดูเป็นของเก่า จึงฟังไม่ขึ้น ทั้งเมื่อพิเคราะห์ถึงพระของกลางมีราคาถึง
300,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 รับซื้อไว้ในราคาเพียง 15,000 บาท และจำเลยที่ 1
ไม่สามารถนำตัวผู้ขายมาเบิกความต่อศาล สนับสนุนข้อต่อสู้ของตนได้
พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 รับซื้อพระของกลางไว้
โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ จำเลยที่ 1
มีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 7206/2540
เด็กหญิง อ. มีนิสัยชอบลักขโมยซึ่งจำเลยก็ทราบดี
บ้านผู้เสียหายก็อยู่ใกล้บ้านจำเลยเด็กหญิง อ. ไปมาหาสู่บ้านจำเลยบ่อย ๆ
จำเลยจึงน่าจะทราบความเป็นไปในบ้านผู้เสียหายจากเด็กหญิง อ. เมื่อเด็กหญิง อ.
ลักสุราต่างประเทศจากบ้านผู้เสียหายได้ก็น่าจะนำไปขายให้คนบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งล้วนแต่เป็นญาติกันจำเลยควรจะทราบดีว่าสุราต่างประเทศ
ไม่ใช่ของเด็กหญิง อ. แน่นอน การที่เด็กหญิง
อ. เบิกความว่าได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายไปขายแก่จำเลย 5 ขวด
แม้จะเป็นการซัดทอด แต่ก็มีพยานอื่นและเหตุผลประกอบ จึงรับฟังได้เชื่อได้ว่าจำเลยได้รับซื้อสุราต่างประเทศที่เด็กหญิง
อ. ลักมาจากบ้านผู้เสียหายโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าที่เด็กหญิง
อ.เบิกความว่าได้ลักสุราต่างประเทศของผู้เสียหายมาขายแก่จำเลยตามที่จำเลยบอก จำเลย
จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับเด็กหญิง อ.
ต้องถือว่าจำเลยรับสุราต่างประเทศจากเด็กหญิง อ. เป็นผลสืบเนื่องมาจากการลักทรัพย์ที่จำเลยเป็นผู้ใช้
จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานรับของโจรนั้นได้ความว่า
คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานรับของโจร
เมื่อข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบรับฟังลงโทษในความผิดตามที่โจทก์ฟ้องได้แล้ว
ศาลก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานอื่นซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้ลงโทษอีกหรือไม่
คดีไม่มีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยได้ร่วมกระทำความผิดฐานเป็นผู้ใช้หรือเป็นตัวการร่วมกันลักทรัพย์กับเด็กหญิง
อ. หรือไม่ จำเลยเป็นหญิงแม่บ้าน ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน
จำเลยรับซื้อสุราต่างประเทศเพื่อต้องการจะมีไว้บริโภคในราคาถูกเท่านั้น
อีกทั้งเป็นการกระทำผิดในระหว่างวงศ์ญาติ ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่สู้ร้ายแรงนัก
จึงสมควรรอการลงโทษให้จำเลย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 187/2541
รถยนต์กระบะของกลางมีสภาพเป็นรถใหม่ผู้เสียหายซื้อมาก่อนเกิดเหตุ 5 เดือน ราคา
335,000 บาท แต่ขณะที่จำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลาง ปรากฏว่าไม่มีกุญแจ
และบริวารกุญแจไขประตู และกุญแจสตาร์ทชำรุด ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ป้ายวงกลม
และหลักฐานการทำประกันภัยก็ไม่มีที่รถ ในชั้นจับกุมและสอบสวน
จำเลยให้การรับสารภาพว่า ได้รับซื้อรถยนต์กระบะของกลางไว้ในราคา 80,000 บาท ดังนี้
ตามพฤติการณ์พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่าจำเลยรับซื้อรถยนต์กระบะของกลาง
โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 427/2541 จำเลยที่ 2
มีบ้านอยู่ใกล้กับบ่อเลี้ยงปลาของผู้เสียหายและทราบดีว่า ป.
เป็นคนเฝ้าบ่อปลาให้กับผู้เสียหาย ดังนั้นการที่ ป. นำปลาดุกเลี้ยงจำนวนมากถึง 42
กิโลกรัมมาขายให้แก่จำเลยที่ 2 ในเวลาวิกาลประมาณ 4 นาฬิกา
และขายในราคาต่ำเพียงกิโลกรัมละ 8 บาท ในขณะที่จำเลยที่ 2
สามารถนำไปขายต่อได้ถึงกิโลกรัมละ 22 บาท เช่นนี้ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจำเลยที่
2 ทราบว่า ป. ลักปลาดุกเลี้ยงของผู้เสียหายมา การที่จำเลยที่ 2 รับซื้อไว้
ผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 6771/2542 อาวุธปืนของกลางเป็นอาวุธปืนมีทะเบียน
ผู้ที่จะครอบครองได้จะต้องเป็นผู้ที่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนดังกล่าวเท่านั้น
ดังนั้น แม้ผู้เสียหายซึ่งเป็นเจ้าของและเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้มี
และใช้อาวุธปืนดังกล่าว
จะนำอาวุธปืนนั้นไปจำนำไว้กับจำเลยเองก็ไม่สามารถกระทำได้เพราะจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนดังกล่าว
หากจำเลยยอมรับจำนำไว้ แม้โดยสุจริต ก็เป็นการไม่บังควร
เพราะเป็นการเสี่ยงต่อการถูกจับกุมดำเนินคดี
การที่จำเลยอ้างว่ารับจำนำอาวุธปืนของกลาง ซึ่งถูกคนร้ายลักไปไว้จาก ต.
ซึ่งมีอายุเพียง 16 ปี และไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน
โดยมิได้ขอดูหลักฐานใบอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนของบิดา ต.
และรับจำนำไว้ในราคาเพียง 3,500 บาท ทั้งที่จำเลยนำไปขายต่อยังได้ราคาถึง 10,000
บาท แสดงว่าจำเลยรับจำนำไว้ในราคาที่ต่ำผิดปกติและมีพิรุธ
ทั้งอาวุธปืนดังกล่าวมีร่องรอยการขูดลบหมายเลขทะเบียน ไม่สามารถอ่านได้
แสดงว่าอาวุธปืนดังกล่าวถูกเปลี่ยนมือไป ในลักษณะที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
จึงมีการขูดลบหมายเลขทะเบียน เพื่อทำลายหลักฐาน
ส่อให้เห็นว่าจำเลยรับอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวไว้
โดยหารู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิด จำเลยจึงมีความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 426/2543 จำเลยกับ ช.
รู้จักมักคุ้นกันดี ถึงขั้นไปเที่ยวและดื่มสุราด้วยกัน ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่าต้องรู้การเป็นอยู่ของกันและกันได้ดีว่ามีฐานะอย่างไร
กับบ้านที่ ช. พาจำเลยไปซ่อมรถจักรยานยนต์ ก็เป็นบ้านร้างกลางทุ่งห่างชุมชน
ทั้งรถจักรยานยนต์ที่จำเลยซ่อมก็มีสภาพใหม่
ไม่ปรากฏร่องรอยบุบสลายให้เห็นว่าต้องมีการซ่อมแซมตัวถัง อะไหล่ที่วางบนพื้นห้องในบ้านร้าง
ล้วนเป็นอะไหล่ประกอบตัวถังมีสภาพเป็นของใช้แล้วทั้งสิ้น
ปุถุชนทั่วไปเมื่อเห็นก็จะรู้ทันทีว่า
ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องซ่อมแซมอุปกรณ์ตัวถังรถ เชื่อว่าจำเลยรู้ว่ามีเหตุผิดปกติเกิดขึ้นเกี่ยวกับอะไหล่ที่กำลังเปลี่ยนอยู่นั้น
การที่จำเลยเข้ายึดถืออะไหล่รถจักรยานยนต์ดังกล่าว เพื่อนำมาเปลี่ยนใส่รถจักรยานยนต์ตามความประสงค์ของ
ช. ถือได้ว่าจำเลยได้รับไว้ซึ่งอะไหล่รถจักรยานยนต์ อันได้มาโดยการกระทำความผิดลักษณะลักทรัพย์
เป็นความผิดฐานรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 8481/2544 แม้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจะเคยมีความเห็นว่าไม่ควรดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสี่
แต่ความเห็นของพนักงานสอบสวนกองปราบปรามดังกล่าวยังไม่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีดังที่บัญญัติไว้ใน
ป.วิ.อ. มาตรา 145,
146 ดังนั้นจึงไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 147
ที่ห้ามมิให้มีการสอบสวนเกี่ยวกับบุคคลนั้นในเรื่องเดียวกันนั้นอีกเว้นแต่จะได้พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดีซึ่งน่าจะทำให้ศาลลงโทษผู้ต้องหานั้นได้
/ คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสอง เป็นการอนุมานย่อมรับฟังได้ ถ้ามีเหตุผลอื่นประกอบ
ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 3
มาประกอบการพิจารณาของศาล
จึงสามารถนำมาประกอบในการพิจารณาความน่าเชื่อถือของพยานโจทก์ได้ / ทรัพย์สินของกลางเป็นทรัพย์สินที่มีลักษณะพิเศษ
เช่น นาฬิกามีรูปเป็นหัวงู
บางชิ้นมีรูปชาวอิสลามอยู่ที่หน้าปัดเป็นของที่มีราคาแพง
และไม่มีจำหน่ายในท้องตลาด จำเลยที่ 4 มีอาชีพเป็นพ่อค้าขายเครื่องประดับประเภทเพชร
พลอยเงิน ทอง นาก และนาฬิกา ได้รับใบอนุญาตให้ค้าของเก่า จำเลยที่ 4
ซื้อทรัพย์สินของกลางทั้ง 16 รายการ มาจากจำเลยที่ 3 เป็นมูลค่านับสิบล้านบาท
แสดงว่าจำเลยที่ 4 ย่อมทราบดีว่าทรัพย์สินของกลางทั้ง 16 รายการ
เป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูง และหาซื้อไม่ได้ในท้องตลาดทั่วไป
และในฐานะดังกล่าวจำเลยที่ 4 ย่อมทราบดีว่าทรัพย์สินของกลางทั้ง 16 รายการ
ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย พฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 4
ทราบว่าทรัพย์สินของกลางทั้ง 16 รายการ ที่จำเลยที่ 4 รับซื้อไว้จากจำเลยที่ 3
เป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์
-
การขอคืนทรัพย์ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1151/2512 (สบฎ เน 2119) จำเลยรับของโจรเป็นอาวุธปืน
ถูกจับได้พร้อมเงิน 17,000 บาท
จำเลยให้การว่าเป็นเงินที่ได้จากการขายปืนเพียง 5,800 บาท
ที่เหลือเป็นเงินส่วนตัว ส่วนเงินขายปืน ไม่ติดใจโต้แย้ง
แม้เป็นเงินที่ได้จากการขายปืน ก็ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ถูกคนร้ายลักไป
แต่เป็นเงินที่ผู้ซื้อปืนชำระราคาปืน ฉะนั้นต้องคืนผู้เสียหาย
เท่าจำนวนที่จำเลยพอใจคืน
จากนั้นโจทก์ต้องบังคับคดีตามคำพิพากษาเอาส่วนที่เหลือต่อไป
-
ประเด็นตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 209/2515 ความผิดฐานรับของโจรจะเกิดขึ้นได้
ก็ต่อเมื่อมีการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ฯลฯ เกิดขึ้นแล้ว / โจทก์บรรยายฟ้องว่า
จำเลยร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายเมื่อ วันที่ 23 พฤศจิกายน 2511
และร่วมกันรับเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไประหว่างวันที่ 23 - 29
มิถุนายน 2511 เป็นการกล่าวหาว่าจำเลยร่วมกันกระทำผิดฐานรับของโจร
ในขณะที่การกระทำผิดฐานลักทรัพย์ยังไม่เกิดขึ้น
การกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ
ก็ลงโทษไม่ได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 4102/35
คดีอาญาโจทก์มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อพิสูจน์ความผิดของจำเลย
เมื่อนำสืบมารับฟังไม่ได้ว่าจำเลยรับจำนำอาวุธปืนของผู้เสียหายไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกลักมา
คดีก็รับฟังลงโทษจำเลยฐานรับของโจรไม่ได้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 287/2540 คดีเกี่ยวกับความผิดฐานรับของโจรนั้น
ข้อสำคัญโจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่า จำเลยรับทรัพย์ไว้โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินอันได้มาโดยการกระทำความผิด
กรณีของจำเลย
เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมายืนยันให้เห็นว่าจำเลยได้รับรถจักรยานยนต์
ซึ่งเป็นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักเอาไปไว้ โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์อันได้มาโดยการกระทำความผิด
จะอาศัยพฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายมาจากบ้านของ ส.
โดยคิดหรือคาดคะเนเอาว่าจำเลยได้ครอบครอง หรือช่วยจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย
แล้วฟังประกอบบันทึกการตรวจยึดว่าจำเลยมีรถจักรยานยนต์ อันเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำความผิดนั้นหาได้ไม่
-
ขั้นตระเตรียมการ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5058/2533 หลังจากจำเลยที่ 1 ที่ 2
รับซื้อกระบือของกลางจากคนร้ายที่ลักมาแล้ว จำเลยที่ 3 ได้ร่วมปรึกษากับจำเลยที่ 1
ที่ 2 ว่าจะหาเงินให้ผู้ขายอย่างไร เอากระบือไปขายที่ไหน
เมื่อขายได้แล้วจะนำกำไรมาแบ่งกันวันต่อมา จำเลยที่ 1 ที่ 2 พาจำเลยที่ 3
ไปดูกระบือที่ผูกซ่อนไว้จึงถูกจับกุม ยังถือไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 ลงมือกระทำผิด
เป็นเพียงการตระเตรียมที่จะร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2
เท่านั้นการกระทำของจำเลยที่ 3 จึงยังไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร
-
ประเด็นความผิดสำเร็จ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 265/2507
ในความผิดฐานรับของโจรนั้น จะเกิดเป็นความผิดขึ้นในขณะที่จำเลยได้รับทรัพย์นั้นไว้
โดยรู้อยู่ว่าเป็นของได้มาจากการกระทำผิด
ไม่ใช่เป็นความผิดขณะที่ครอบครองทรัพย์นั้นอยู่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2177/2520 รับเช็คซึ่งถูกลักไปไว้แล้วนำไปเบิกเงินที่ธนาคาร
แต่เบิกไม่ได้ เพราะถูกอายัดไว้ เป็นรับของโจรสำเร็จ ไม่ใช่พยายามรับของโจร
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1609/2522 จำเลยอยู่ที่ปากถ้ำที่เกิดเหตุ
เจ้าพนักงานพบคนร้ายมีกระบือผูกอยู่ในถ้ำ จำเลยเพียงแต่ดูกระบือตั้งใจจะซื้อ ยังไม่ตกลงซื้อก็ถูกจับ
ยังไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร (ยังไม่ถึงขั้นลงมือกระทำผิด)
-
ประเด็นเรื่องกรรมเดียว หลายกรรม
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2006/2511 คนร้ายลักทรัพย์ 2
คราว แต่จำเลยรับของโจรทรัพย์ที่ถูกลักทั้งสองคราวนั้น ในคราวเดียวกัน
เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยฐานรับของโจร ทรัพย์ที่ถูกลักคราวหนึ่ง
จนศาลพิพากษาลงโทษคดีถึงที่สุดแล้ว
โจทก์จะมาฟ้องจำเลยฐานรับของโจรทรัพย์ที่ถูกลักอีกคราวหนึ่งมิได้ เป็นฟ้องซ้ำ
-
ประเด็นเรื่องรอการลงโทษ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 6510/2541
ความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดที่มีส่วนสนับสนุนก่อให้เกิดอาชญากรรมอื่น ๆ
ติดตามมาอีกมากมาย จึงเป็นเรื่องร้ายแรง สมควรที่จะปราบปรามอย่างเด็ดขาด
อีกทั้งทรัพย์ที่จำเลยรับของโจรเป็นรถจักรยานยนต์ซึ่งมีราคาสูง
การไม่รอการลงโทษแก่จำเลยจึงเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 7242/2541 การที่เจ้าพนักงานตำรวจติดตามค้นหารถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่หายไปทั้งคัน
แต่ไปพบชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์ของรถจักรยานยนต์ดังกล่าวได้ที่บ้านจำเลยที่ 2
ในลักษณะถอดเป็นชิ้นส่วน โดยจำเลยทั้งสองรับว่าซื้อไว้เพราะราคาถูก
พฤติการณ์ดังกล่าว จึงเป็นการส่งเสริมให้มีการลักรถจักรยานยนต์มากยิ่งขึ้น และเป็นการช่วยปิดบังการกระทำผิด
เพราะเมื่อรถจักรยานยนต์ของกลางถูกถอดแยกออกเป็นชิ้นส่วนแล้วนำไปขายเช่นนี้
เจ้าพนักงานตำรวจย่อมยากที่จะติดตามจับกุมผู้กระทำผิดได้ จึงสมควรลงโทษสถานหนัก
เพื่อปรามมิให้การกระทำผิดเช่นนี้แพร่หลายต่อไป และไม่ควรรอการลงโทษให้จำเลยทั้งสอง
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 357
-
(ขส เน 2510/ 1) สามีลักทรัพย์ของภรรยา ม 334
+ ไม่ต้องรับโทษ ตาม ม 71 / คนรับซื้อทรัพย์ไว้
ผิดฐานรับของโจรตาม ม 357
-
(ขส เน 2511/ 2) นายชวน ลักสร้อยของนายจอน
ไปจำนำไว้กับนายแดง แดงไม่รับไว้ เพราะรู้ว่าลักของนายจอนมา จึงแนะนำและพานายชวนให้ไปจำนำไว้กับนายนิ่ม
โดยช่วยพูดให้นายนิ่มรับจำนำ นายแดงผิดฐานใด / แดงไม่รับจำนำ
โดยรู้ว่าเป็นทรัพย์ที่ลักมา แต่พาไปจำนำกับคนอื่น / แดงผิด
ม 357 เพราะเป็นการช่วยจำหน่ายสายสร้อยที่นายชวนลักมา ฎ 680/2508
-
(ขส เน 2512/ 3) สามีแกะ “สร้อยของมารดาภรรยา”
ไปจากคอของภรรยา ผิดลักทรัพย์ ม 334 ไม่ได้รับยกเว้นโทษตาม
ม 71 เพราะเป็นทรัพย์ของ “มารดาภรรยา”
/ นายแกะเห็นเหตุการณ์ตลอด ขับรถพาสามีหนี
นายแกะไม่ผิดฐานสนับสนุนให้ลักทรัพย์ ม 334+86 เพราะเป็นช่วยเหลือหลังจากความผิดลักทรัพย์สำเร็จแล้ว
ไม่ใช่ช่วยเหลือก่อนหรือขณะทำผิด จึงไม่เป็นการสนับสนุน แต่นายแกะผิด ม 189
ฐานช่วยผู้กระทำผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ โดยประการใด
เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม และ ฐานรับของโจร ตาม ม 357 โดยการที่ได้ช่วยพาเอาทรัพย์ที่ลักนั้นไปเสีย
-
(ขส เน 2512/ 7) สามีหยิบแหวนของภรรยา ไปให้สาวใช้ /
สามีผิด ม 334 แต่ไม่ต้องรับโทษ ตาม ม 71
/ สาวใช้ผิด ม 357
-
(ขส เน 2512/ 8) นายดำลักไก่มาแกงกิน นายดีกินแกงด้วย
ทั้งที่รู้ว่าลักมา / นายดี ไม่ผิดฐานรับของโจรตาม ม 357
เพราะทรัพย์ที่ลักคือไก่ เปลี่ยนสภาพเป็นแกงไก่แล้ว
แกงไก่จึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยการกระทำผิด
-
(ขส เน 2512/ 10) นายเหลืองลักโค
จากใต้ถุนเรือนนายแดง นายแดงตามไปทัน จับโคได้ นำไปฝากนายเขียว
แล้วติดตามคนร้ายต่อไป นายเขียวเป็นพวกนายเหลือง จึงบอกนายเหลือว่ารับฝากโคไว้
และให้โคแก่นายเหลือง นายเหลืองเอาโคนั้นไปขายเสีย นายเหลืองและเขียวผิดฐานใด /
นายเหลืองลักโคจากใต้ถุนเรือน
ซึ่งเป็นบริเวณของที่ซึ่งใช้เป็นที่อยู่อาศัย ตาม ม 1 (4) ผิดฐานลักทรัพย์ในเคหสถาน
ตาม ม 335 (8) / นายเขียวแอบนำไปให้นายเหลือง นายเขียว
ผิดฐานยักยอก ม 352 ว 1 / นายแดงได้โคคืนมาแล้ว
นายเหลืองรับโคจากนายเขียวซึ่งยักยอกไว้ เป็นความผิดฐานรับของโจร ตาม ม 357
อีกระทงหนึ่ง
-
(ขส พ 2531/ 8) ผู้ใช้ให้คนร้ายไปลักทรัพย์ ผิด ม 335
(1) (8) + 84 การรับทรัพย์ ไม่ผิด ม 357 อีก ฎ
1264/2513 และการรับคนร้ายกลับหลังลักทรัพย์ ไม่ผิด ม 86
เพราะการลักทรัพย์สำเร็จไปแล้ว / ภรรยาผู้ใช้
ไม่รู้ว่าทรัพย์ถูกลักมา ถือว่าสำคัญผิดว่าเป็นทรัพย์สินหาย การเก็บเอาไว้ ผิด ม 352
ว 2 + 62 ฎ 34/2503 ไม่ผิด
ม 357 เพราะไม่รู้ว่าทรัพย์ถูกลักมา / คนช่วยเอาทรัพย์ไปซ่อน
หลบตำรวจ ผิด ม 357 + 184 แต่เป็นการช่วยมารดา เข้า ม 193
ศาลจะไม่ลงโทษตาม ม 184 ก็ได้ (แต่ต้องลงโทษ ม 357)
-
(ขส อ 2542/ 6) สินสมรส ชื่อของสามี คดีฟ้องหย่า
ศาลพิพากษาให้แบ่งที่ดิน สามีขายไป ผิด ม 352 + 187 + 90 / คนแนะนำให้ขายและซื้อเอาไว้
ผิด ม 352 + 187 + 86 (น่าจะ ม 84 เพราะแนะนำแล้ว
สามีขาย โดยไม่ปรากฏว่าสามีมีเจตนาตั้งแต่ต้น และเกลื่อนกลืนเป็นตัวการ ม 83
เพราะได้ร่วมมือในการที่สามีขายทรัพย์ ด้วยการรับซื้อเอาไว้เอง)
+ 357 + 90 / เมียน้อยรับเงินจากสามีโดยรู้ข้อเท็จจริงเรื่องการยักย้ายถ่ายโอนทรัพย์
ไม่ผิด ม 357วรรค 1 เพราะเงินที่ได้
ไม่ใช่ทรัพย์ที่ได้มาโดยตรง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น