ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

มาตรา ๙๐ - ๙๑ ต่อ

- ความผิดเกี่ยวกับเพศ และความผิดต่อเสรีภาพ

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1730/2506 จำเลยฉุดคร่าผู้เสียหายจากทางเดิน นำเข้าป่าข้างทางห่างทางเดิน 7-8 วา แล้วร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายในป่านั้น เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน / มาตรา 281 ไม่ใช่บทลงโทษ ไม่จำต้องยกขึ้นปรับบทลงโทษจำเลย

- ýþ คำพิพากษาฎีกาที่ 51/2517 จำเลยฉุดคร่าหญิงไป แล้วข่มขืนกระทำชำเรา เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 และ 310 กระทงหนึ่ง กับเป็นความผิดตามมาตรา 276 อีกกระทงหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1111/2519 (สบฎ เน 5053) จำเลยบีบคอ ฉุดหญิงอายุ 17 ปี จากทางเดินเข้าไปในป่า ห่าง 10 วา แล้วข่มขืนชำเรา เป็นความผิด ตาม ปอ 284 กระทงหนึ่ง และ ม 276 อีกกระทงหนึ่ง (เทียบ ฎ 1610/2538 ผิด ต่อเนื่องวาระเดียวกันเป็นกรรมเดียว)

- คำพิพากษาฎีกาที่ 398/2520 การกระทำครั้งเดียวคราวเดียว หากผู้กระทำมีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกัน ก็เป็นความผิดหลายกระทง และแม้มีเจตนาอย่างเดียวกัน แต่ประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานต่างกัน ก็เป็นความผิดหลายกระทง จำเลยพรากเด็กหญิงไปจากบิดามารดา เพื่อการอนาจาร เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ. มาตรา 284 กับมาตรา 317

- คำพิพากษาฎีกาที่ 333/2521 อุ้มกอดพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร เป็นกรรมเดียวผิด ป.อ.ม.284 อันเป็นบทเฉพาะ ไม่ต้องยก ม.278 ขึ้นปรับบทลงโทษอีก

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1464/2521 พาหญิงอายุ 16 ปี ไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นเจตนาอย่างเดียว

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3095/2526 การบุกรุกเข้าไปในบ้านในเวลากลางคืน แล้วฉุดคร่าผู้เยาว์พาหนีไปเพื่อการอนาจาร ในลักษณะเป็นการพรากผู้เยาว์ด้วยนั้น มิใช่การกระทำ เพราะการบุกรุกเข้าไป โดยมีเจตนาประสงค์ต่อผล คือการฉุดคร่าผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ได้กระทำขึ้นในคราวเดียวกัน พร้อมกันจึงเป็นกรรมเดียวกัน ซึ่งเป็นความผิดตาม ป.อ.ม. 365, 284 กรรมหนึ่ง และเป็นการพรากผู้เยาว์ตาม ม. 318 อีกกรรมหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2010/2528 จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่เข็ญ และใช้กำลังฉุดผู้เสียหายจากในซอยให้ขึ้นรถยนต์แล้วพาไปถึงโรงแรม แต่ผู้เสียหายหนีออกมาได้ การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียววาระเดียว โดยมีเจตนาเพียงอย่างเดียวคือ การพาผู้เสียหารไปเพื่อการอนาจารเท่านั้น แต่โดยลักษณะของการกระทำ คือการบังคับพาเอาตัวผู้เสียหายจากที่แห่งหนึ่งไปยังที่อีกแห่งหนึ่งเช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดตาม ม.309 และ ม.310 อยู่ในตัว การกระทำผิดของจำเลยในส่วนนี้ จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตาม ป.อ. ม.90 คือ ม.248

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3888/2528 จำเลยร่วมกับพวกหน่วงเหนี่ยวกักขัง และบังคับขู่เข็ญผู้เสียหายทั้งสี่ให้ค้าประเวณี ย่อมเป็นความผิดตาม ป.อ. ม.310 วรรคแรกกระทงหนึ่งและความผิดตาม ม.283 วรรคแรกอีกกระทงหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 5410/2531 การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปขายให้แก่ จ.ซึ่งเป็นเจ้าของสถานการค้าประเวณีเพื่อให้ผู้เสียหายค้าประเวณี ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดฐานเพื่อให้สำเร็จความใคร่ของผู้อื่นเป็นธุระจัดหา ล่อไปหรือชักพาไปเพื่อการอนาจารซึ่งเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี โดยใช้อุบายหลอกลวงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสาม ฐานหนึ่งแล้ว และขณะเดียวกัน การที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปเสียจากมารดาของผู้เสียหาย จำเลยก็มีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นความผิดฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีไปเสียจากอำนาจปกครองของมารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจารตามมาตรา 317 วรรคสามอีกฐานหนึ่งต่างหากจากความผิดตาม มาตรา 283 วรรคสาม มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน Ø ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 กับพระราชบัญญัติ ปรามการค้าประเวณี พ.. 2503 มาตรา 8 จำเลยกระทำเพียงครั้งเดียว และเกิดผลเดียวกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว

- þ คำพิพากษาฎีกาที่ 4453/2533 จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เป็นประจำตลอดมา เพียงแต่การข่มขืนกระทำชำเราห่างกัน 3-4 วัน ต่อครั้งเท่านั้น จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว

- คำพิพากษาฎีกาที่ 4760/2533 การที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสอง ในความผิดฐานพรากผู้เยาว์กับฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง ว่าเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษฐานพรากผู้เยาว์บทหนักนั้น ยังไม่ถูกต้อง เนื่องจากกรณีเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2945/2535 (สบฎ เน 28) จำเลยหลอกลวงผู้เสียหายว่าจะพาไปส่งที่ศาลากลางจังหวัด เมื่อผู้เสียหายเชื่อตามคำหลอกลวง จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปอีกที่หนึ่งแล้วกระทำอนาจารผู้เสียหาย เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจารซึ่งเป็นความประสงค์มาตั้งแต่แรก จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องโดยไม่ขาดตอน การกระทำของจำเลย จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.. มาตรา 90

- คำพิพากษาฎีกาที่ 799/2537 คำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ที่โจทก์ไม่ได้ตัวมาเบิกความในชั้นศาล อาจรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ได้ จำเลยพาผู้เสียหาย 5 คนไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟอาหาร และจำเลยบังคับให้ผู้เสียหายทั้ง 5 คน ร่วมประเวณีกับแขกที่มารับประทานอาหา เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะ ถือได้ว่าจำเลยเจตนาจะให้เกิดผลต่างกรรมกัน จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 283 วรรคแรก รวม 5 กระทง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1131/2537 จำเลย พยายามข่มขืน มาตรา 277 + 80 ” และ พรากผู้เสียหาย มาตรา 317ซึ่งกระทำในคราวเดียวกัน อันเป็นความผิดต่อ ผู้เสียหาย กับ มารดาผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลต่างหากจากกัน เป็นความผิดหลายกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1610/2538 ( ฎ สต ) จำเลย พาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร มาตรา 283 + 284แล้ว ข่มขืน มาตรา 276และ หน่วงเหนี่ยวกักขัง มาตรา 310ผู้เสียหาย การกระทำทั้งสามตอนเชื่อมโยงในวาระเดียวกัน มีเจตนาเพียงต้องการข่มขืน เป็นความผิดกรรมเดียว

- คำพิพากษาฎีกาที่ 244/2538 จำเลยพาผู้เสียหายไป อ้างว่าจะไปส่งบ้าน แต่กลับพาไป ข่มขืน มาตรา 276ถือว่าความผิดฐาน พรากผู้เยาว์ ไปเพื่ออนาจาร มาตรา 318สำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายไป การข่มขืนกระทำชำเรา จึงเป็นความผิดต่างกรรม โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318, 276, 91 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก, 318 วรรคสาม ให้เรียงกระทงลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยเป็นนักเรียน อายุ 18 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ลงโทษข้อหาข่มขืนกระทำชำเรา จำคุก 2 ปี ข้อหาพรากผู้เยาว์ จำคุก 2 ปี รวมจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2277/2539 เมื่อจำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร สำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายแล้ว แม้จำเลยจะยังไม่ได้กระทำการข่มขืนกระทำชำเราก็ตาม การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราหลังจากนั้น จึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งซึ่งต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย การกระทำของจำเลย จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันเป็น 2 กระทง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 822/2540 (สบฎ สต 69) ความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร กับความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา เป็นความผิดต่างกรรมกัน แต่เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาว่าเป็นกรรมเดียว และโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้เพิ่มโทษ ศาลฎีกาไม่อาจเพิ่มโทษให้ได้

- คำพิพากษาฎีกาที่ 5278/2540 การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 277 วรรคแรก นั้น คือผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตนก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ดังนั้น จึงไม่ต้องคำนึงถึงว่าการกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปีนั้น เด็กหญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอม การกระทำความผิดของจำเลย คือเจตนาข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายเป็นประจำตลอดมา โดยข่มขืนกระทำชำเราทุกวันติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน รวม 5 ครั้ง จึงเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันจากเจตนาเดิมนั่นเอง การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว หาใช่ต่างกรรกัน ตามการกระทำที่ผู้เสียหายยินยอมและไม่ยินยอม ดังฎีกาของโจทก์ไม่

- คำพิพากษาฎีกาที่ 6441/2540 โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบท หลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ เมื่อวันเดือนใดไม่ปรากฏชัด .. 2536 กับเมื่อวันที่ 15 และ 16 มีนาคม 2537 เวลากลางวัน จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงทิพย์วรรณ แสนสุข ผู้เสียหาย อายุ 11 ปีเศษ ยังไม่เกิน 13 ปี ซึ่งมิใช่ภริยาของตน โดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ รวม 5 ครั้ง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, 91” จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายในปี 2536 รวม 3 ครั้ง และในปี 2537 รวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้ง จำเลยมิได้ควบคุมหรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้เพื่อกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไป ผู้เสียหายคงอยู่ที่บ้านและไปโรงเรียนตามปกติ แสดงให้เห็นว่าหลังเกิดเหตุแต่ละครั้ง ผู้เสียหายได้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยแล้ว แม้จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายครั้งที่สองห่างจากครั้งแรกประมาณ 2 ถึง 3 วัน ครั้งที่สาม ห่างจากครั้งที่สองเพียง 1 วัน และครั้งที่ห้าห่างจากครั้งที่สี่เพียง 1 วัน การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายคนละวันต่างวาระกัน และมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน จำเลยกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 5 ครั้ง เป็นความผิดรวม 5 กระทง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3767/2541 จำเลยขับรถแท็กซี่พาผู้เสียหาย ไปถึงปากทางเข้าหมู่บ้านการเคหะบางพลี ผู้เสียหายบอกจำเลยให้ขับรถไปส่งในหมู่บ้าน แต่จำเลยกลับขับรถเลยไปโดยพูดกับผู้เสียหายว่า ขอควงผู้เสียหายไปเที่ยวบางแสน เมื่อจำเลยขับรถไปถึงบริเวณหน้าวัดหอมศีล จำเลยเลี้ยวรถกลับมุ่งไปทางกรุงเทพมหานคร และไปจอดอยู่ริมทางหน้าวัดหอมศีล ซึ่งอยู่เลยทางเข้าหมู่บ้านการเคหะบางพลีประมาณ 10 กิโลเมตร ระหว่างนั้นจำเลยได้ดึงตัวผู้เสียหายไปจูบแก้มรวม 3 ครั้ง และพูดขอให้ผู้เสียหายยอมเป็นภริยา การกระทำของจำเลยที่ไม่ยอมเลี้ยวรถเข้าไปส่งผู้เสียหายที่หมู่บ้านการเคหะบางพลี และขับรถเลยไปเพื่อจะกระทำอนาจารผู้เสียหาย เป็นการพรากผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ดูแล โดยผู้เสียหายไม่เต็มใจไปด้วย จึงเป็นความผิดสำเร็จตาม ป.อ. มาตรา 318 วรรคสามแล้ว หลังจากนั้นจำเลยได้พาผู้เสียหายไปไกลอีกถึง 10 กิโลเมตร จำเลยจึงได้กระทำอนาจารผู้เสียหายซึ่งเป็นการกระทำความผิด ตาม ป.อ. มาตรา 278 อีก การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นการกระทำต่างกรรมกับความผิดตามมาตรา 318 วรรคสาม ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี จำคุก 1 ปี ฐานพรากผู้เยาว์กว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากผู้ปกครองผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 4 ปี ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปี จำคุก 6 เดือน รวมกับโทษจำคุก 3 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นจำคุก 3 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เฉพาะเรื่องโทษ อันเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 6792/2542 จำเลยกระทำอนาจารแก่ผู้เสียหายรวม 4 ครั้ง และการกระทำชำเราผู้เสียหายรวม 2 ครั้ง หลังจากกระทำความผิดในแต่ละครั้งแล้ว จำเลยมิได้ควบคุม หรือหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เสียหายไว้ เพื่อกระทำอนาจาร หรือกระทำชำเราผู้เสียหายในครั้งต่อไปอีก ผู้เสียหายกลับไปที่บ้านและมาโรงเรียนตามปกติ ผู้เสียหาย จึงพ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้งไปแล้ว แม้ว่าในแต่ละครั้ง จำเลยจะกระทำไปโดยมีเจตนากระทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย หรือกระทำชำเราผู้เสียหายเหมือนกันก็ตาม การกระทำความผิดของจำเลยในแต่ละครั้ง จึงเป็นการกระทำต่อผู้เสียหายโดยมีเจตนาต่างกัน และมิได้เป็นการกระทำต่อเนื่องกันแต่อย่างใด หากแต่การกระทำในแต่ละครั้ง เป็นการกระทำที่จำเลยเกิดมีเจตนาขึ้นใหม่ในทุกครั้งที่ลงมือกระทำ มิใช่เจตนาเดิม การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 635/2543 บิดามารดาผู้เสียหายนำผู้เสียหายไปฝากให้ อ. ป้าของผู้เสียหายช่วยดูแลแทน เนื่องจากต้องไปรับจ้างทำงานที่กรุงเทพมหานคร วันเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. เพื่อไปส่งที่บ้าน อ.แต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราที่ป่าข้างทาง โดยที่ผู้เสียหายมิได้รักใคร่ และยินยอมร่วมประเวณีด้วย จึงเป็นการพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควร เพื่อการอนาจาร โดยไม่ต้องคำนึงว่าจำเลยจะมีภริยาและบุตรหรือไม่ จำเลยมีความมุ่งหมายที่จะกระทำชำเราผู้เสียหาย เมื่อจำเลยขับรถจักรยานยนต์ไปรับผู้เสียหายจากบ้าน ส. ไปเพื่อการอนาจาร เป็นการกระทำความผิดสำเร็จ ในข้อหาพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจารสำเร็จไปตอนหนึ่งแล้ว เมื่อจำเลยพาผู้เสียหายไปถึงที่เกิดเหตุ แล้วลงมือกระทำชำเรา จึงเป็นการกระทำกรรมใหม่ อันเป็นความผิดขึ้นอีก แยกต่างหากจากการพรากเด็ก จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 415/2550 อาญา หลายกรรมต่างกัน ข่มขืนกระทำชำเรา พาหญิงไปเพื่อการอนาจาร หน่วงเหนี่ยวกักขัง มาตรา 91, 276 วรรคแรก, 284 วรรคแรก, 310 วรรคแรก การกระทำที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงในวาระเดียวกันแม้จะมีเจตนาอย่างเดียวกันแต่หากประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานย่อมเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารและหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ก่อนข่มขืนกระทำชำเรา เป็นการแสดงเจตนาส่วนหนึ่งของจำเลย โดยมีเหตุจูงใจที่จะนำตัวผู้เสียหายไปกักขังไว้เพื่อข่มขืนกระทำชำเรา จึงเป็นการกระทำความผิดฐานพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและหน่วงเหนี่ยวกักขังตาม ป.อ. มาตรา 284 วรรคแรกและมาตรา 310 วรรคแรก กระทงหนึ่ง เมื่อจำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตาม ป.อ. มาตรา 276 วรรคแรก อีกกระทงหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ป.อ.มาตรา 91


- ความผิดต่อชีวิตและร่างกาย

- คำพิพากษาฎีกาที่ 91/2510 ขณะที่ตำรวจเข้าจับกุมและแย่งปืนกับจำเลยที่ 1 อยู่นั้น จำเลยที่ 2 เข้าช่วยแย่งปืนจากตำรวจ เมื่อตำรวจจับจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 2 ได้ร้องบอกให้จำเลยที่ 1 ขว้างระเบิดมือใส่ตำรวจ ดังนี้จำเลยที่ 2 มีความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานกระทงหนึ่ง และใช้ให้ฆ่าเจ้าพนักงานอีกกระทงหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1429/2515 จำเลยเอายาฆ่าแมลงให้บุตร 2 คนกิน ด้วยเจตนาแต่ประการเดียวว่าต้องการให้ลูก ๆ และตนเองตายไปเสียพร้อม ๆ กันให้พ้นความทุกข์ยาก หาได้มีเจตนาที่อยากจะได้เห็นลูก ๆ ต้องตายแยกเป็นคน ๆ ไปไม่ บุตรคนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งแพทย์รักษาทันการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว แต่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1807/2515 จำเลยร่วมกันใช้ปืนยิงเป็น 2 ชุด ชุดแรกยิง 3 นัดติดๆ กัน กระสุนปืนถูกผู้ตายซึ่งยืนตรงบันไดร้าน ตกลงไปข้างล่างถึงแก่ความตาย ต่อมา 1 อึดใจ จำเลยร่วมกันยิงอีกชุดหนึ่ง 10 กว่านัด โดยหมายยิงพวกผู้เสียหายที่พื้นดิน กระสุนปืนถูกพวกผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยดังนี้มิใช่กรรมเดียว แต่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกันในวาระที่กระทำ คือยิงผู้ตายบนร้าน กับยิงผู้เสียหายที่พื้นดิน เป็นคนละคราว ต้องลงโทษจำเลยในกระทงความผิดหลายกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 840/2518 จำเลยยิง ม.2 นัด นัดหนึ่งถูก ม.ไม่ตาย อีกนัดหนึ่งพลาดไปถูก พ. ตาย เป็นความผิดตาม มาตรา 288, 60 กับ มาตรา 288, 80 อีกบทหนึ่งลงโทษตาม ม.288, 60 ซึ่งเป็นบทหนัก

- คำพิพากษาฎีกาที่ 172/2526 จำเลยใช้มีดแทงภรรยาขณะกำลังอุ้มบุตร แม้มีดจะถูกบุตรด้วย ก็เป็นการแทงเพื่อเจตนาฆ่าภรรยาเท่านั้น จึงเป็นความผิดกรรมเดียว (กรณีเช่นนี้ แยกเจตนาได้ เจตนาฆ่าภรรยา เป็นเจตนาประสงค์ต่อผล ส่วนที่มีดถูกบุตรนั้น เป็นเจตนาย่อมเล็งเห็นผลได้)

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1559/2526 ขณะที่ ส. กับน้องชายจำเลยกำลังทะเลาะวิวาท และต่างคนต่างเตะถีบกันอยู่นั้น จำเลยได้ใช้ปืนยิง ส. ล้มลง จากนั้นจำเลยวิ่งไปหา พ. ซึ่งยืนดูอยู่ห่างออกไปประมาณ 1 วาเศษ ใช้ปืนตบตรีศีรษะ พ. และยิงที่บริเวณศีรษะอีก 1 นัด พ. ล้มลง จำเลยวิ่งกลับไปยิง ส. อีก 2 - 3 นัดโจทก์ร่วม ซึ่งเป็นมารดา พ. และเป็นแม่ยายของ ส. เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จึงได้วิ่งหนีไปจากที่เกิดเหตุ จำเลยวิ่งตามและยิงโจทก์ร่วม 1 นัด แต่กระสุนปืนไม่ถูก เมื่อโจทก์ร่วมล้มลง จำเลยวิ่งไล่ไปทันใช้ปืนตีศีรษะโจทก์ร่วม ส่วน ส. และ พ. ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เพราะบาดแผลที่จำเลยยิง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำ ต่างกรรมต่างวาระกัน กรณีต้องด้วย ป.อ. มาตรา 91

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3363/2526 จำเลยแทงผู้เสียหายหลายครั้งติด ๆ กัน ครั้งแรก แทงถูกที่ด้านหลังบริเวณหัวไหล่ผู้เสียหายล้มลง พอลุกขึ้น จำเลยก็แทงที่ใต้รักแร้ซ้ายซึ่งเป็นบริเวณใกล้หัวใจ เมื่อมีดหักจำเลยยังใช้ส่วนที่เหลือแทงบริเวณหลังอีก 3 ครั้งมีดมีความยาวทั้งด้ามและตัวมีดถึง 9 นิ้วเป็นมีดปอกผลไม้มีปลายแหลมสามารถใช้เป็นอาวุธทำร้ายร่างกายถึงตายได้ ดังนี้ จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย จำเลยใช้มีดจี้ขู่บังคับจับแขนผู้เสียหายลากลงบันได เมื่อผู้เสียหายขัดขืนและร้องให้คนช่วย จำเลยจึงใช้มีดแทง โดยมีเจตนาขึ้นใหม่ เพื่อจะฆ่าผู้เสียหายอันเป็นการปกปิดการกระทำของจำเลย หรือให้การกระทำของจำเลยบรรลุผล ตามที่จำเลยมีเจตนามาแต่แรก ว่าจะเอาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร การกระทำความผิดของจำเลยมีเจตนาคนละตอน จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน หาใช่เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทไม่

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1623/2527 จำเลยใช้ขวดตีผู้เสียหายขณะนอนหลับ จนได้รับอันตรายแก่กาย ผู้เสียหายพยายามลุกขึ้นนั่ง จำเลยเตะจนล้มลง เมื่อผู้เสียหายพยายามจะลุกขึ้นนั่งอีก จำเลยก็พูดว่า จะสู้หรือ แล้วใช้ปืนยิงผู้เสียหายดังนี้ จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย / จำเลยเพิ่งมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหลังจากทำร้ายผู้เสียหาย จนได้รับอันตรายแก่กายแล้ว เพราะเข้าใจว่าผู้เสียหายจะลุกขึ้นมาต่อสู้ จึงเป็นการกระทำอันเป็นความผิดสองกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1863/2527 จำเลยและ ป.โกรธแค้น ม.ที่ฆ่าเพื่อนของจำเลยตาย จึงถือปืนไปถามหา ม.ต่อ ส.และ ย. โดยมิได้มีเจตนาจะฆ่า ส.และ ย.มาก่อนเลย ครั้นไม่พบ จำเลยก็ยิงและไล่ตามยิง ส. ส่วน ป. ยิงและไล่ตามยิง ย. ต่อมาอีกเล็กน้อย เมื่อ ป.ยิง ย.ขณะที่จำเลยอยู่ด้วย จำเลยก็มิได้ยิง ย. ดังนี้ ส่อเจตนาของจำเลยและ ป.ว่าต่างคนต่างยิง ส. และ ย.เป็นเจตนาที่ต่างเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ จำเลยมิได้มีเจตนาร่วมกัน ป.ฆ่า ย.จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า ย. อีกกรรมหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2028/2530 ขณะที่จำเลยใช้ไขควงแทง ป. ผู้เสียหาย ส. ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งเข้าช่วยเหลือขัดขวาง จำเลยได้ใช้ไขควงนั้นแทง ส. อีก เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายทั้งสองคนละครั้งกัน เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1325/2531 ผู้ตายหยอดเหรียญที่ตู้เพลงในร้านอาหาร แต่เพลงไม่ดัง เพราะจำเลยทั้งสองกับ ว. และ อ. พวกของจำเลยถอดปลั๊กตู้เพลงออก ผู้ตายจึงขอเงินคืน แล้วเกิดเรื่องกันโดย ว. ใช้มีดแทงผู้ตายหลายครั้งจำเลยที่ 1 กับ อ.ใช้ขวดสุราตี ส่วนจำเลยที่ 2 ใช้เก้าอี้ตีผู้ตาย ผู้เสียหายเข้าไปห้าม ก็ถูกทำร้ายสลบอยู่ในร้านอาหาร เมื่อผู้ตายหนีออกจากร้านอาหารจำเลยทั้งสอง และ อ.ไล่ ตามและตะโกนว่าฆ่ามันให้ตาย และยังได้ตามมาทำร้ายผู้ตายห่างจากที่เกิดเหตุครั้งแรกประมาณ 3 เส้น จนผู้ตายถึงแก่ความตาย แล้วจำเลยทั้งสองยังกลับมาทำร้ายผู้เสียหายซึ่งนอนสลบอยู่อีก ดังนี้ การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดฐานร่วมกับผู้อื่นฆ่าผู้ตาย และทำร้ายร่างกายผู้เสียหายรวม 2 กรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1867/2531 การที่จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายพวกผู้เสียหาย โจทก์มีเจตนาทำร้ายพวกผู้เสียหายทุกคน ไม่ได้แบ่งแยกว่าเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียว แม้จะมีการกระทำหลายหนและต่อหลายบุคคล ก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดกรรมเดียว

- คำพิพากษาฎีกาที่ 880/2537 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสอง 2 ชุด ชุดแรกยิง 3 นัดติด ๆ กันกระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 1 นัด ผู้เสียหายที่ 1 ล้มลง ผู้เสียหายที่ 2 เข้าไปประคองผู้เสียหายที่ 1 จำเลยยิงผู้เสียหายที่ 2 ในชุดหลังอีก 3 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 2 เพียง 1 นัด แสดงว่าการยิงปืนแต่ละชุดความประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลย ได้แยกออกจากกันว่าการยิงชุดใด จำเลยยิงผู้เสียหายคนใด เจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง ในขณะลงมือกระทำความผิด จึงแยกออกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3931/2539 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายรวม 4 นัดนัดแรกยิงผู้เสียหายที่ 1 เพราะผู้เสียหายที่ 1 ต่อว่าจำเลยที่นำเอาอาวุธปืนออกมาขู่ ครั้นผู้เสียหายที่ 2 ส่งเสียงร้องหวีด เพราะตกใจที่เห็นจำเลยยิงผู้เสียหายที่ 1 จำเลยก็ยิงผู้เสียหายที่ 2 เป็นนัดที่ 2 เมื่อผู้ตายยกมือไหว้ และขอร้องจำเลยอย่ายิง จำเลยก็ยิงผู้ตายเป็นนัดที่ 3 ก่อนไปจำเลยเห็นผู้เสียหายที่ 2 ที่ถูกยิงยังไม่ตาย จึงได้ยิงซ้ำอีก 1 นัด แสดงว่าการยิงปืนแต่ละนัดตามประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่าการยิงนัดใดจำเลยยิงผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าผู้เสียหายทั้งสองและผู้ตายในขณะลงมือกระทำผิด จึงแยกออกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงมิใช่กรรมเดียว แต่เป็นการกระทำหลายกรรมต่างกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1185/2543 ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม มาตรา 288, 371, 376 พระราบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง,72 วรรคสาม,72 ทวิ วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 8143/2543 ขณะที่จำเลยเข้าฟันผู้เสียหายทั้งสองนั้น ก็มีพวกของผู้เสียหายยืนอยู่ต่างหาก โดยไม่ได้นั่งรวมอยู่บนจักรยานยนต์กับผู้เสียหายทั้งสอง เสร็จจากฟันผู้เสียหายทั้งสองแล้ว จำเลยก็วิ่งหนีไป โดยไม่ได้เข้าทำร้ายพวกของผู้เสียหายทั้งสอง ทั้งที่ไม่ปรากฏผู้เข้าขัดขวาง แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่ามุ่งประสงค์จะทำร้ายเฉพาะผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น ผู้เสียหายทั้งสองนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์คนละคัน จำเลยฟันผู้เสียหายที่ 1 ก่อน แล้วจึงตรงเข้าฟันผู้เสียหายที่ 2 แสดงว่าในการฟันของจำเลยแต่ละครั้งความประสงค์ และจุดมุ่งหมายในการฟันของจำเลยได้แยกออกจากกันว่าฟันครั้งใด จำเลยประสงค์จะฟันผู้เสียหายคนใด “มิใช่ฟันในขณะที่มีการชุลมุนกัน” เจตนาในการทำร้ายผู้เสียหายทั้งสอง ขณะจำเลยลงมือกระทำความผิด จึงแยกออกจากกันได้ ความต้องการให้ผู้เสียหายทั้งสองได้รับบาดเจ็บแม้จะเกิดขึ้นในใจของจำเลยพร้อม ๆ กัน และต่อเนื่องกับการลงมือกระทำความผิด ก็มิใช่เจตนาในขณะที่จำเลยลงมือกระทำความผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 8152/2544 การที่จำเลยมีเจตนาจะฆ่าผู้เสียหายทั้งสองเพราะมีสาเหตุโกรธเคืองเนื่องจากโต้เถียงกันเกี่ยวกับเรื่องค่าแรงโดยจำเลยเป็นช่างไม้ได้รับค่าแรงน้อยกว่าผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นช่างทาสี แล้วจำเลยได้ใช้ขวานฟันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองในทันทีทันใดในเวลาต่อเนื่องกัน การที่จะทำร้ายใครก่อนหลังย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะจำเลยไม่สามารถใช้ขวานฟันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองคนพร้อมกันทีเดียวได้ แต่เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่าจำเลยประสงค์จะทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองในคราวเดียวกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาจะทำร้ายเฉพาะผู้เสียหายที่ 1 แล้วเพิ่มเจตนาทำร้ายผู้เสียหายที่ 2 อีกคนหนึ่งในภายหลังเช่นนี้แม้จะมีการกระทำหลายหนและต่อบุคคลหลายคนก็อยู่ภายในเจตนาอันนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2879/2546 จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองในขณะเดียวกันโดยไม่ได้แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกัน แม้จะมีการกระทำต่อผู้เสียหายสองคนด้วยกัน ก็อยู่ภายในเจตนาอันเดียวกันนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวก จึงเป็นความผิดกรรมเดียว หาใช่สองกรรมไม่

- คำพิพากษาฎีกาที่ 817/2548 จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนขู่บังคับให้ผู้ตายขึ้นรถยนต์กระบะไปกับจำเลยกับพวก อันเป็นการหน่วงเหนี่ยวกักขังทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เมื่อถึงที่เปลี่ยวจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์ผู้ตายโดยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย แสดงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขับผู้ตายเพื่อความสะดวกแก่การชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายในขณะที่การชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายยังไม่ขาดตอนจากกัน อันเป็นส่วนหนึ่งของการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายโดยใช้อาวุธปืน และฐานฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิด เพื่อจะเอาและเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่จำเลยกับพวกได้กระทำความผิด เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดที่ได้กระทำนั้นเอง จึงมิใช่เป็นความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้ตายอีกกรรมหนึ่งต่างหาก

๑.ใช้ปืนยิงคนหลายคนโดยมีเจตนาแยกกระทำเป็นรายคน เป็นการกระทำหลายกรรม

-ฎ.๕๙๒๙/๒๕๓๔ จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ล. ๒ นัด และยิง น. ๑ นัด เป็นเหตุให้ ล. กับ น.ตาย โดยจำเลยยิงในเวลาต่อเนื่องกัน แสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัด ความประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่ากระสุนนัดใด จำเลยยิงผู้ตายคนใด เจตนาฆาผูตายทั้งสองในขณะกระทำความผิดจึงแยกออกจากกันได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม

-ฎ.๑๖๓๑/๒๕๒๒ จำเลยยิง พ. ๒ นัด แล้วเจตนายิง ส.และ ก.ซึ่งเดินตาม พ.มาด้วยอีก กระสุนปืนถูก พ.ตาย ส.ถูกยิง ๒ นัด เป็นอันตรายสาหัส กระสุน ๑ นัด เฉียด ก.ไป ดังนี้ จำเลยผิดฐานฆ่าคนกรรมหนึ่ง ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นอีก ๒ กรรม

-ฎ.๒๐๒๘/๒๕๓๐ จำเลยใช้ไขควงแทงผู้เสียหาย เมื่อป.ผู้เสียหายขัดขวาง จำเลยก็แทง ป.เป็นการกระทำคนละครั้ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

-ฎ.๑๑๗๙/๒๕๒๗ จำเลยใช้มีดเหน็บวิ่งไล่ฟัน พ. แต่ พ.วิ่งหนีทัน เมือ ด.เข้าดขวาง จำเลยฟัน ด. ดังนี้การกระทำของจำเลยแยกเป็น ๒ กรรม คือพยายามทำร้ายร่างกาย พ.กรรมหนึ่ง และทำร้ายร่างกาย ด.อีกกรรมหนึ่ง

-ฎ.๙๔๖/๒๕๓๒ จำเลยใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมที่ ๑ ถูกที่หน้าผากขวาบาดเจ็บสาหัส จำเลยจะฟันซำ โจทก์ร่วมที่ ๒ ยกมือขึ้นรับจึงถูกฟันที่นิ้วมือ เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ ๒ ได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยกระทำโดยบันดาลโทสะ ผิด ๒๙๕ และ ๒๙๗ ประกอบ ๗๒ แต่การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

๒.เจตนาฆาหรือทำร้ายผู้อืนหลายคนในคราวเดียวกันโดยไม่ได้แยกว่าใครเป็นใคร เป็นกรรมเดียว

-ฎ.๑๖๖๘/๒๕๒๑ จำเลยมีเจตนาจะฆ่านาง พ. นาง ย.เพราะโกรธเคืองกัน จำเลยยิงนาง พ.กับนาง ย.ขณะนั่งซ้อนท้าย จยย.คันเดียวกันมา แม้จะฟังว่าจำเลยยิงนาง พ.กับนาง ย.๒-๓ นัดก็ตาม ก็เป็นการยิงเพื่อเจตนาฆ่านาง พ. นาง ย.ให้ตายในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

-ฎ.๖๙๑/๒๕๔๑ จำเลยวางแผนฆ่าตัวเองและบุตรทั้งสามโดยนำยาฆ่าแมลงผสมข้าวให้ผู้ตายทั้งสามกิน เมื่อผู้ตายทั้งสามไม่กิน จำเลยใช้เหล็กชะแลงตีผู้ตายทั้งสามและเผาตัวเองเพื่อให้ถึงแก่ความตายพร้อมกันนั้นเป็นการกระทำโดยไตร่ตรองไว้ก่อนแล้ว และจำเลยมีเจตนาเดียวคือต้องการให้ผู้ตายทั้งสามและจำเลยถึงแก่ความตายพร้อมกัน จึงเป็นความผิดกรรมเดียว

-ฎ.๒๘๗๙/๒๕๔๖ จำเลที่ ๒ กับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองโดยไมได้แบ่งแยกว่าใครเป็นใคร ลักษณะของเจตนาในการกระทำความผิดเป็นอันเดียวกัน แม้จะมีการกระทำต่อผู้เสียหายสองคนด้วยกันก็อยูในเจตนาอันเดียวกันนั้น การที่จำเลยที่ ๒กับพวก ร่วมกันทำร้าย ส.เป็นเหตุให้สาหัส และทำร้าย ป.รับอันตรายแก่กายในขณะเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

-ฎ.๓๗๔๖/๒๕๔๖ โจทก์ฟ้องว่าเมื่อ ๒๐ ธ.ค.๔๓ กลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยใช้ไม้ตีผู้เสียหายที่ ๑ ที่ศีรษะและลำตัวเป็นเหตุให้รับอันตรายแก่กายและใช้ไม้ดังกล่าวตีผู้เสียหายที่ ๒ บริเวณใบหน้าเป็นเหตุให้สาหัส แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องให้เข้าใจว่าจำเลยทำผิดหลายกรรมและจำเลยรับสารภาพ แต่ฟ้องโจทก์ระบุวันเวลากระทำผิดทั้งสองฐาน เป็นวันเวลาเดียวกันและกระทำติดต่อขณะเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

-ฎ.๓๓๙๘/๒๕๒๙ ทำร้ายแล้วไม่ตาย ย้อนกลับไปทำร้ายอีกในเวลาใกล้เคียงต่อเนื่องกันจนตายเป็นกรรมเดียว

-ฎ.๑๒๘๑/๒๕๔๖ ลักทรัพย์ผู้เสียหายทีละคน แม้เป็นเวลาต่อเนื่องใกล้ชิดกัน เป็นความผิดหลายกรรม

-ฎ.๖๖๗๔/๒๕๓๑ รับของโจรทรัพย์หลายสิ่งซึ่งเป็นของเจ้าของหลายคนในคราวเดียวกัน เป็นกรรมเดียว

-ฎ.๒๖๘๔/๒๕๓๑ ปลอมเอกสารเพื่อนำเอาเป็นหลักฐานฉ้อโกงทรัพย์ผู้อื่นดังนี้เป็นกรรมเดียวกัน

-ฎ.๕๖๘๔/๒๕๔๖ ลักบัตรเอทีเอ็มไปเบิกถอนเงินในวันเวลาและสถานที่ต่างๆกันหลายจังหวัด เพราะมีข้อจำกัดไม่สามารถถอนเงินคร้งเดียวได้หมด แต่ก็เกิดจากเจตนาเดียวกันที่จะถอนเงินห้ได้มากที่สุดในครั้งนั้น จึงถอนเงินต่อเนื่องกันไป เป็นกรรมเดียว

-ฎ.๒๒๖๘/๒๕๓๐ ออกเช็หลายฉบับในคราวเดียวเป็นหลายกรรม

-ฎ.๔๓๐๒/๒๕๔๕ พาไปเพื่ออนาจาร ตาม ม.๒๘๔ กับข่มขืน ตาม ม.๒๗๖ เป็น ๒ กรรม

-ฎ.๒๕๕๒/๒๕๓๓ พาไปเพื่ออนาจาร ตา ม.๒๘๔ กับพรากตาม ม.๓๑๗ แม้ทำคราวเดียวกัน ก็เป็นหลายกรรม

- ฎ.๗๔/๒๕๔๑ ฐานเสพวัตถุออกฤทธิ์กับฐานเป็นผู้ขับขี่เสพวัตถุออกฤทธิ์ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

-ฎ.๒๕๑๑/๒๕๔๕ มีเฮโรอีนกับยาบ้าในครอบครองในวาระเดียวกัน เป็นกรรมเดียวผิดหลายบท เพราะเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ เหมือนกัน


- ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์

- คำพิพากษาฎีกาที่ 570/2499 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษและเพิ่มโทษตาม ก..อาญา ม.73 แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าจะต้องเพิ่มโทษจำเลยตาม ม.72 ศาลก็เพิ่มโทษจำเลยตาม ม.72 ได้ไม่เป็นการเกินคำขอ / จำเลยทำการชิงทรัพย์และได้ทำให้ทรัพย์ของเจ้าของทรัพย์เสียหายด้วย เมื่อปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเกิดขึ้นในสถานที่เดียวกันในเวลาติดต่อเนื่องกันด้วยเจตนามุ่งหวังในทรัพย์ไม่ขาดตอนกันเช่นนี้การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดหลายบท ไม่ใช่หลายกะทง.

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1356-1521/2501 ยักยอกเงินค่าขายสุราหลายรายต่อเนื่องกันมา ไม่ใช่กรรมเดียว แต่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน / ศาลแขวงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีอาญาตาม ม. 352 จำคุกเรียงกระทงสำนวนละ 15 วัน รวม 166 สำนวนกว่า 6 เดือนก็ได้

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1307/2520 บุกรุกเข้าไปในเคหสถาน ใช้มีดที่ติดตัวไปแทงและฟันประตูหน้าต่างและบ้านเสียหาย จำเลยรับสารภาพตามฟ้องที่บรรยายว่าหลายกรรมต่างกัน เป็นความผิดที่แยกจากกันได้ ผิด ม.358 และ 365 เรียงกระทงลงโทษ โดยไม่ต้องอ้าง ม.364 อีก

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3662/2528 จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันปิดถนนปล้นรถยนต์ที่ผ่านมา ตามพฤติการณ์นั้นเมื่อปล้นผู้โดยสารบนรถยนต์คันใดเสร็จแล้ว จึงได้ปล้นผู้โดยสารบนรถคันต่อ ๆ ไปที่ผ่านมาใหม่จนครบ 4 คัน จึงเป็นการกระทำต่างกรรมกัน หาใช่เป็นกรรมเดียวกันไม่

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1398/2530 จำเลยหลอกลวงและได้ไปซึ่งทรัพย์ตามที่หลอกลวงจากผู้เสียหาย อันเป็นความผิดสำเร็จฐานฉ้อโกงตาม มาตรา 341 แล้วในวันต่อมาจึงได้ออกเช็คมอบให้ผู้เสียหาย เพื่อเป็นการชำระหนี้โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คซึ่ง ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่างหากจากการกระทำอันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงในตอนต้น เมื่อธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2497 มาตรา 3 อีกกรรมหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 614/2535 (สบฎ เน 30) จำเลยที่ 2 ลักแบบพิมพ์เช็ค แล้วปลอมเช็ค (ร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยให้จำเลยที่ 1 ลงชื่อ) และใช้เช็คปลอม (นำไปเบิกเงิน) เป็นความผิดต่างกรรมกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1567/2535 (สบฎ เน 32) จำเลยเป็นพนักงานของธนาคาร ก. ลักเอกบัตรเงินสดทันใจ เอ.ที.เอ็ม ของธนาคาร ก. นายจ้างแล้วนำไปเข้าเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติของธนาคาร ก. กดเบิกเงินไปจำนวน 5,000 บาท แม้จำเลยจะมีความประสงค์เพื่อเอาบัตรเงินสดทันใจ เอ.ที.เอ็ม. ที่ลักมาไปกดเบิกเงินจากเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติแต่ทรัพย์ที่จำเลยลักไปจากธนาคาร ก. นายจ้างเป็นคนละประเภทกัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระกัน แยกกระทงลงโทษจำเลยได้ การกระทำผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2248/2537 แม้วันเวลากระทำผิด ลักษณะของความผิดและผู้เสียหายจะแตกต่างกัน แต่การที่จำเลยลักสมุดคู่ฝากเงินธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด สาขาทุ่งสงของ ว. ไปแล้ว ปลอมลายมือชื่อของ ว. ลงในใบถอนเงินของธนาคารดังกล่าว และนำสมุดคู่ฝากเงินพร้อมทั้งใบถอนเงินไปแสดงต่อพนักงานของธนาคารและได้รับเงินจำนวน 6,400 บาทไป เป็นการกระทำที่มีเจตนามุ่งหมายเพื่อจะให้ได้เงินจากธนาคารเป็นหลัก ส่วนการกระทำอย่างอื่นเป็นเพียงวิธีการเพื่อที่จะให้ได้เงินไปเท่านั้น แม้การกระทำอย่างอื่นเป็นเพียงวิธีการเพื่อที่จะให้ได้เงินไปเท่านั้น แม้การกระทำนั้น ๆ จะเป็นความผิด แต่ก็เป็นกรณีการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท หาใช่เป็นเรื่องเจตนากระทำความผิดของจำเลยแตกต่างกัน ทั้งไม่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้ว่าจำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ก็เป็นการรับสารภาพว่าได้กระทำการต่าง ๆ ดังที่โจทก์ฟ้อง ส่วนที่ว่าจำเลยจะมีความผิดตามบทกฎหมายใด หรือไม่เป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาวินิจฉัย

- คำพิพากษาฎีกาที่ 9/2543 การที่จำเลยเอาบัตร เอ.ที.เอ็ม. ไปจากผู้เสียหาย แล้วนำบัตรเอ.ที.เอ็ม. ดังกล่าวไปลักเอาเงินของผู้เสียหาย โดยผ่านเครื่องฝากถอนเงินนั้น ทรัพย์ที่จำเลยลักเป็นทรัพย์คนละประเภท และเป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระ การลักเอาบัตร เอ.ที.เอ็ม. ไป กับการลักเงินจึงเป็นความผิดหลายกรรม / การที่จำเลยลักเอาบัตรเอ.ที.เอ็ม. ของผู้เสียหายไปนั้น เป็นความผิดทั้งฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตาม ป.อ. มาตรา 188 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักกว่าความผิดฐานลักทรัพย์ตามมาตรา 334 ต้องลงโทษจำเลยตามมาตรา 188 / บัตรเอ.ที.เอ็ม. ของผู้เสียหาย 2 ใบ เป็นบัตรต่างธนาคารกัน และเงินฝากของผู้เสียหายที่ถูกลักไป ก็เป็นเงินฝากในบัญชีต่างธนาคารกันด้วย เจตนาในการกระทำผิดของจำเลยจึงแยกจากกันได้ ตามความมุ่งหมายในการใช้บัตรแต่ละใบ การกระทำของจำเลยที่ใช้บัตรเอ.ที.เอ็ม. 2 ใบ ของผู้เสียหาย แล้วลักเอาเงินฝากของผู้เสียหายต่างบัญชีกัน แม้จะทำต่อเนื่องกันก็เป็นความผิดสองกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1312/2544 จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมได้รับเช็คของลูกค้าเพื่อชำระค่าสินค้าให้แก่โจทก์ร่วม แต่กลับนำเช็คนั้นไปเบิกเงินแล้วเก็บไว้เอง จึงมีความผิดฐานเอาไปเสียซึ่งเช็คอันเป็นเอกสารของโจทก์ร่วมและทำให้ไร้ประโยชน์ ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมผู้อื่นหรือประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 และฐานยักยอกเงินตามเช็คตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก

คำพิพากษาฎีกาที่ 310/2546 การที่จำเลยที่ 1 ลักเอาบัตร เอ.ที.เอ็ม.ของธนาคาร ก.ซึ่งอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหายไปนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมทราบดีว่าไม่สามารถเบิกถอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายในครั้งเดียวได้หมด เพราะมีข้อจำกัดของธนาคารเกี่ยวกับจำนวนเงินในการเบิกถอน เมื่อปรากฎว่าจำเลยที่ 1 นำบัตรดังกล่าวไปเบิกถอนเงินในวันเวลาและสถานที่ต่างๆ กันหลายจังหวัด ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ว่า ต้องการใช้บัตรนั้นเบิกถอนเงินจากบัญชีของผู้เสียหายเป็นคราว ๆ ไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดลักทรัพย์หลายกรรมต่างกัน เมื่อจำเลยที่ 1 ใช้บัตร เอ.ที.เอ็ม เบิกถอนเงิน 60 ครั้ง เป็นความผิด 60 กระทง เมื่อรวมกับความผิดฐานลักบัตรดังกล่าวอีก 1 กระทง จำเลยที่ 1 จึงมีความผิดรวม 61 กระทง จำคุกกระทงละ 2 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุก 20 ปี ตาม ป.อ.มาตรา 91 (2) (þ ต่อมาปีเดียวกัน มี ฎ.5684/2546 วินิจฉัยข้อเท็จจริงทำนองเดียวกันว่าการถอนเงินของจำเลยเกิดจากเจตนาอันเดียวกันที่จะถอนเงินให้ได้มากที่สุดในครั้งนั้น จึงถอนเงินต่อเนื่องกันไป เป็นความผิดกรรมเดียว ý หมายเหตุ ฎ.5684/2546 หาไม่มีในเวป) / ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 เป็นการกระทำผิดหลายกรรมรวม 62 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก กระทงละ 2 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้วให้จำคุก 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) ให้จำเลยที่ 1 คืนเงินจำนวน 105,530 บาท และคืนรถยนต์กับ รถจักรยานยนต์ของกลางรวมราคา 558,800 บาท แก่ผู้เสียหาย หากไม่สามารถคืน รถยนต์และรถจักรยานยนต์ของกลางได้ให้ใช้ราคาแทน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิด 2 กระทง ให้จำคุกกระทงละ 4 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 8 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี ให้ จำเลยที่ 1 คืนเงิน 664,330 บาท แก่ผู้เสียหาย ให้ยกคำขอในส่วนที่ให้คืนรถยนต์และ รถจักรยานยนต์ของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิด หลายกรรมรวม 61 กระทง จำคุกกระทงละ 4 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์ แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว ให้จำคุก 20 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(2) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 1

- คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281/2546 จำเลยใช้เหล็กทุบทำลายกระจกรถยนต์ 9 คัน ทั้งยังได้ลักทรัพย์และพยายามลักทรัพย์ในรถยนต์ทั้ง 9 คัน ด้วย แม้จำเลยอาจจะเมาสุราขาดสติเพียงครั้งเดียวและได้กระทำความผิดในคราวเดียวกัน แต่จำเลยได้กระทำต่อรถยนต์ถึง 9 คัน ซึ่งเป็นของผู้เสียหายคนละคนกัน โดยจำเลยกระทำความผิดทีละคันและคนละเวลากัน แม้จะเป็นเวลาที่ต่อเนื่องใกล้ชิดกัน แต่การกระทำความผิด ในรถยนต์แต่ละคัน ก็เป็นความผิดสำเร็จเด็ดขาดไปแล้ว และเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามที่ได้กระทำต่อรถยนต์ทุกคันมิใช่กรรมเดียว

- ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ ฉ้อโกง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 4263/2528 จำเลยกับพวกได้ร่วมกันตั้งห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยไม่ได้จดทะเบียนแล้วนำชื่อห้างไปใช้หลอกลวงเพื่อซื้อสินค้า โดยมีเจตนาไม่ชำระราคามาแต่แรก โดยครั้งแรกชำระด้วยเงินสดหรือออกเช็คชำระค่าสินค้าเรียกเก็บเงินได้ตลอด แต่ครั้งหลังถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน ผู้เสียหายได้ติดต่อกับจำเลยกับพวกออกเช็คให้ใหม่ แต่ธนาคารก็ปฏิเสธการจ่ายเงินอีก แม้จะเป็นการกระทำหลายครั้ง แต่ก็โดยมีเจตนาเดียวกันเพื่อจะฉ้อโกงผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดกรรมเดียว เมื่อการกระทำของจำเลยกับพวก ต่อผู้เสียหายแต่ละคน เป็นความผิดแต่ละกรรมการกระทำต่อผู้เสียหาร 5 คน จึงเป็นความผิด 5 กระทง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3554/2529 จำเลยชักชวน จ.และ ส.ไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียโดยอ้างว่าจะได้เงินเดือนสูง แต่ต้องจ่ายค่าบริการให้จำเลยเมื่อไปถึงมาเลเซียแล้ว กลับไม่มีงานทำตามที่กล่าวอ้าง ดังนี้ จำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกง เมื่อจำเลยพูดชักชวนหลอกลวง จ.และ ส.คนละคราว แม้ จ.หลงเชื่อ จ่ายค่าบริการส่วนของตนและของ ส.ซึ่งเป็นบุตรให้จำเลยไปคราวเดียวกัน เป็นความผิดหลายกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2457/2530 จำเลยขอกุญแจเปิดลิ้นชักโต๊ะจากผู้เสียหาย แล้วหยิบอาวุธปืนออกมาจากลิ้นชักโต๊ะขู่ผู้เสียหายให้มอบเงินให้ ดังนี้ การที่จำเลยลักอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนนั้นขู่บังคับเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น จำเลยได้กระทำโดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อทรัพย์ทั้งหมดมาแต่ต้น จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1570/2532 คดีฉ้อโกงประชาชนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ค. พวกของจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายคนละวันเวลากัน แต่สถานที่เกิดเหตุเป็นที่เดียวกันหรือบริเวณเดียวกันดังนั้น ถือว่าจำเลยกับพวกได้หลอกลวงพวกผู้เสียหายในเวลาเดียวกัน แม้พวกผู้เสียหายหลงเชื่อ มาชำระให้ ค. หรือจำเลยในภายหลังในวันเวลาที่ไม่ตรงกัน ก็ไม่เป็นการกระทำผิดหลายกรรม เพราะการรับเงินเป็นผลที่เกิดจากการกระทำ หาใช่การกระทำขึ้นใหม่ไม่

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3289/2533 จำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชนทั่วไป รวมทั้งผู้เสียหายทั้ง 47 คนต่างวันต่างเวลากัน และรับเงินจากผู้เสียหายทั้ง 47 คนแล้วการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสำเร็จ ทันทีที่รับเงินจากผู้เสียหายแต่ละคน ซึ่งจำเลยกระทำทั้งหมด 47 ครั้ง ต่างวันต่างเวลากันจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหลายกรรมต่างกัน รวม 47 กรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3986/2535 จำเลยกับพวกใช้หลักฐานปลอมหลอกลวงโจทก์ร่วม โดยอ้างว่า ว. ขอเอาประกันชีวิตต่อบริษัทโจทก์ร่วม ซึ่งความจริง ว. ตัวจริงได้ถึงแก่ความตายไปแล้ว โจทก์ร่วมหลงเชื่อจึงออกกรมธรรม์ประกันชีวิตอันเป็นเอกสารสิทธิให้ การกระทำของจำเลยมีความผิดฐานฉ้อโกงเสร็จเด็ดขาดกรรมหนึ่งแล้ว ต่อมาจำเลยกับพวกได้สร้างสถานการณ์ว่าผู้เอาประกันได้รับอุบัติเหตุถึงแก่ความตายเพื่อหลอกลวงโจทก์ร่วม แม้การกระทำครั้งหลังนี้จำเลยได้นำเอาผลของการกระทำครั้งก่อน มาเป็นส่วนประกอบ แต่การกระทำของจำเลย มีเจตนาจะทำให้ผลของการหลอกลวงทั้งสองครั้ง เกิดความเสียหายแก่โจทก์ร่วมแต่ละส่วนกัน การกระทำของจำเลยครั้งหลังนี้จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงต่างกรรมกับการกระทำครั้งแรก

- คำพิพากษาฎีกาที่ 870/2549 การโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชน หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป อันจะทำให้เป็นความผิดสำเร็จฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ไม่จำเป็นที่จำเลยที่ 1 จะต้องกระทำการดังกล่าวต่อผู้เสียหายแต่ละคนด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นทุกครั้ง เป็นคราว ๆ ไป เพียงแต่จำเลยที่ 1 แสดงข้อความดังกล่าวให้ปรากฏแก่ผู้เสียหาย แม้เพียงบางคน แต่เป็นผลให้ประชาชนหลงเชื่อ และนำเงินมาให้จำเลยที่ 1 กู้ยืม ก็ถือว่าเป็นการกระทำความผิดแล้ว ข้อสำคัญที่ทำให้ความผิดสำเร็จอยู่ที่ในการนั้น เป็นเหตุให้ตนหรือบุคคลใดได้เงินกู้ยืมไปจากผู้ถูกหลอกลวง ดังนั้นการที่ผู้เสียหายแต่ละคนนำเงินมาให้กู้ยืมและจำเลยที่ 1 รับไว้ ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จสำหรับผู้เสียหายแต่ละคน จึงเป็นความผิดหลายกรรมตามจำนวนผู้เสียหาย

- ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และเสรีภาพ

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1205/2520 ปล้นทรัพย์แล้วเอาตัวคนไปเรียกค่าไถ่ในเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ได้เงินแล้วปล่อยตัวคนมา โดยถูกทำร้ายเพียงฟกช้ำขัดยอก เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์กับเรียกค่าไถ่ตาม ม.313 คนละกระทงกัน ลงโทษน้อยลงไม่เกินกึ่งหนึ่งตาม ม.316

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2434/2527 จำเลยกับพวกเอาตัวผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวไว้ในห้องพักโรงแรม ทำให้ผู้เสียหายปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นความผิดสำเร็จกรรมหนึ่งแล้ว เมื่อขู่เข็ญข่มขืนใจผู้เสียหาย จนกระทั่งผู้เสียหายยอมให้เงิน ผิดฐานกรรโชกอีกกรรมหนึ่ง

- ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ และอาวุธ

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2457/2530 แม้จำเลยจะขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธ เป็นให้การรับสารภาพตามฟ้อง เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้วก็ตาม แต่จำเลยยังได้แถลงรับข้อเท็จจริงบางประการ จนโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานอีกต่อไปดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการรับสารภาพ เพราะจำนนต่อพยานหลักฐาน แต่ถือได้ว่าเป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ศาลชอบที่จะลดโทษให้แก่จำเลยได้ / จำเลยขอกุญแจเปิดลิ้นชักโต๊ะจากผู้เสียหาย แล้วหยิบอาวุธปืนออกมาจากลิ้นชักโต๊ะขู่ผู้เสียหายให้มอบเงินให้ ดังนี้ การที่จำเลยลักอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนนั้นขู่บังคับเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น จำเลยได้กระทำโดยมีเจตนามุ่งประสงค์ต่อทรัพย์ทั้งหมดมาแต่ต้น จึงเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว (โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 339, 340 ตรี, 91, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน .. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วเห็น ว่า การกระทำของจำเลยที่ลักเอาอาวุธปืนของผู้เสียหายในลิ้นชักและใช้อาวุธปืนนั้นขู่บังคับผู้เสียหายให้ส่งทรัพย์อื่นให้อีก จำเลยได้กระทำโดยมีเจตนาอันแท้จริงต่อผลเพียงอย่างเดียว คือมุ่งประสงค์ต่อทรัพย์ทั้งหมดมาแต่ต้น การที่จำเลยลักอาวุธปืนและชิงเอาทรัพย์อื่นของผู้เสียหายอีกจึงเป็นการกระทำในคราวเดียวกันนั้นเอง อันเป็นความผิดกรรมเดียว หาทำให้การกระทำของจำเลยในคราวเดียวกันนั้น แยกเป็นความผิดฐานลักทรัพย์กรรมหนึ่งและชิงทรัพย์อีกกรรมหนึ่ง ดังฎีกาของโจทก์ไม่ แม้โจทก์จะบรรยายแยกการกระทำความผิดดังกล่าว ของจำเลยมาในฟ้องเป็นข้อ () และข้อ () เพื่อแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน และจำเลยให้การรับสารภาพก็ตาม ศาลจะลงโทษจำเลยหลายกรรม เป็นกระทงความผิดไม่ได้...)

- คำพิพากษาฎีกาที่ 5448/2540 ความผิดฐานใช้อาวุธปืนนอกจากที่กำหนดในกฎกระทรวง ในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นหรือปล้นทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 288 หรือมาตรา 340 เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสามและความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวก ในการกระทำความผิดอย่างอื่นตาม ป.อ. มาตรา 289 ประกอบมาตรา 80 กับความผิดฐานปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนติดตัวและใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา 340 วรรคสอง, 340 ตรี เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานใช้อาวุธปืนนอกจากที่กำหนดในกฎกระทรวงตาม พ.ร.บ. อาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสาม ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแต่เพียงบทเดียวตาม ป.อ. มาตรา 90 การที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยฐานใช้อาวุธปืน นอกจากที่กำหนดในกฎกระทรวงในการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 340 กระทงหนึ่ง ฐานพยายามฆ่าผู้อื่นเพื่อความสะดวกในการกระทำความผิดอย่างอื่นกับความผิดฐานปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธปืนและใช้ยานพาหนะเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานพยายามฆ่าซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดอีกสถานหนึ่งต่างหาก จากที่ลงโทษในความผิดฐานใช้อาวุธปืนนอกจากที่กำหนดในกฎกระทรวงในการกระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นหรือปล้นทรัพย์นั้นจึงไม่ชอบด้วย ป.อ. มาตรา 90

- ความผิดฐานบุกรุก

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1307/2520 บุกรุกเข้าไปในเคหสถาน ใช้มีดที่ติดตัวไปแทง และฟันประตูหน้าต่าง และบ้านเสียหาย จำเลยรับสารภาพตามฟ้องที่บรรยายว่าหลายกรรมต่างกัน เป็นความผิดที่แยกจากกันได้ จึงเป็นความผิดตาม ป.อ. ม.358 และ 365 เรียงกระทงลงโทษ โดยไม่ต้องอ้าง ม.364 อีก

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2472/2526 ความผิดฐานบุกรุกกับวิ่งราวทรัพย์มีลักษณะแตกต่างกัน และเป็นความผิดคนละอย่างแยกออกจากกันได้ โจทก์บรรยายฟ้องแยกเป็นสองตอนว่า ตอนแรกจำเลยกับพวกบุรุกเข้าไปในตึกแถวของผู้เสียหาย โดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร แล้วตอนหลังได้วิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายไปด้วย จำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้ต้องถือว่าจำเลยกระทำผิดฐานบุกรุกและวิ่งราวทรัพย์เป็นสองกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3987/2526 จำเลยมีมีดเข้าไปถึงเตียงนอนผู้เสียหาย ในขณะที่ผู้เสียหายหลับอยู่ จำเลยไม่ทำร้ายผู้เสียหายทันที เพิ่งจะทำร้าย เมื่อผู้เสียหายดิ้นเพื่อให้พ้นจากการถูกบีบคอ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่าที่บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปทำร้ายผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกระทง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 3892/2529 จำเลยทั้งสองและพวกบุกรุกเข้าไปขับไล่ให้ผู้เสียหายออกไปจากขนำของผู้เสียหาย ครั้นผู้เสียหายขัดขืน จำเลยที่ 1 และพวก จึงใช้ปืนยิงขู่จนผู้เสียหายตกใจกลัว ออกไปจากขนำ การกระทำของจำเลยและพวก มีเจตนาขู่เข็ญเพื่อขับไล่ผู้เสียหายให้ออกไปจากขนำเป็นข้อสำคัญ จึงเป็นความผิดกรรมเดียว อันเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท คือ ป.อ. ม.365(2) และ 392 มิใช่หลายกรรมต่างกัน ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยคือ ม.365 (2)

- คำพิพากษาฎีกาที่ 678/2530 จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายเรียกให้จำเลยออกจากห้อง จำเลยกลับพังฝาห้องกระโดดหนีไป ถือได้ว่าการกระทำฐานบุกรุกสำเร็จลงแล้ว ส่วนการกระทำฐานทำให้เสียทรัพย์เป็นการกระทำขึ้นใหม่ภายหลัง ต่างเวลากัน มิได้กระทำโดยเกิดจากกรรมเดียวกัน ย่อมมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์อีกกรรมหนึ่ง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 4579/2530 การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วม แล้วดูหมิ่นโจทก์ร่วมกับชกต่อยโจทก์ร่วมกับชกต่อยโจทก์ร่วมในทันทีทันใดนั้น เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาอันแท้จริง เพื่อดูหมิ่นและทำร้ายโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 อันเป็นบทหนักที่สุด ต่อมาจำเลยฉุดแขนโจทก์ร่วมออกจากเคหสถาน ลากพาตัวไปยังถนนสาธารณะ อันเป็นการทำให้โจทก์ร่วมปราศจากเสรีภาพในร่างกาย พร้อมทั้งได้ร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายทันที ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงรังแกหรือทำให้โจทก์ร่วมเดือดร้อนรำคาญด้วยนั้น ย่อมเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับความผิดฐานทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั่นเอง การกระทำของจำเลยในตอนหลังนี้ จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 อันเป็นบทหนักที่สุด รวมเป็นความผิด 2 กระทง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 446/2535 จำเลยบุกรุกไปในที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง โดยนำรถแทรกเตอร์เข้าไปไถโค่น เผาต้นยางพาราและขนุนของโจทก์ที่ปลูกไว้ในที่ดินดังกล่าวเสียหายแล้วจำเลยได้ทำการปลูกต้นมะพร้าว ต้นยางพารา ต้นมะม่วงหิมพานต์ ลงในที่ดินดังกล่าวแทน ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นการต่อเนื่องกัน โดยจำเลยมีเจตนาถือการครอบครองที่ดินของโจทก์ และทำให้ทรัพย์สินของโจทก์ในที่ดินดังกล่าวเสียหายในคราวเดียวกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท

- คำพิพากษาฎีกาที่ 321/2535 การที่จำเลยถืออาวุธปืนบังคับให้ผู้เสียหายเปิดประตูบ้าน แล้วเข้าไปในบ้านกับผู้เสียหาย จำเลยยังไม่ได้ยิงผู้เสียหายทันที แต่เพิ่งยิงผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายไม่ยอมเข้าไปในห้องนอนกับจำเลย ตามที่จำเลยต้องการ เห็นเจตนาของจำเลยได้ว่า ที่บุกรุกเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายนั้น จำเลยมิได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปยิงผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยตอนนี้ จึงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และฐานบุกรุกรวมสองกระทง

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2725/2535 จำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินทั้งส่วนที่เป็นของโจทก์ และส่วนที่เป็นของ พ. ที่ออยู่ติดต่อกัน เป็นการกระทำความผิดคนละกรรมกัน เพราะมิใช่เป็นการกระทำครั้งเดียวกัน แต่เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องคดีของ พ.คดีถึงที่สุดแล้วก็ตามสิทธิที่จะนำคดีมาฟ้องของโจทก์หาระงับไปไม่

- คำพิพากษาฎีกาที่ 6119/2539 จำเลยนำดินเข้าไปเทไว้ในที่ดินของโจทก์ทั้งสอง แล้วใช้รถแทรกเตอร์ดันกองดินเข้าไปในที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกัน โดยดันเอากองหินและทรายของโจทก์ทั้งสองรวมไปด้วย เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียว คือดันกองดินเข้าไปในที่ดินของจำเลย โดยไม่ปรากฏว่ามีเจตนาลักทรัพย์เกิดขึ้น ก่อนเจตนาบุกรุก หรือเกิดขึ้นใหม่หลังเกิดเจตนาบุกรุก เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

- คำพิพากษาฎีกาที่ 9235/2539 (สบฎ เน /15) จำเลยบุกรุกไปในห้องเช่าเพื่อทำร้าย ผิด มาตรา 364 + 365 (2) (3) + 391 เป็น ม 90


- ความผิดตามกฎหมายพิเศษ หลายฉบับ

- ฎ 2831/2535 ความผิดฐานปลอมเครื่องหมายการค้า และผลิตอาหารปลอม ลักษณะของการกระทำผิดแยกจากกัน เมื่อมีการปลอมเครื่องหมายการค้าและนำไปใช้ ก็เป็นความผิดสำเร็จกระทงหนึ่ง เมื่อนำอาหารที่ส่วนประกอบไม่ใช่สูตรของแท้ มาปิดเครื่องหมายการค้าปลอม เพื่อให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่าเป็นอาหารสูตรของแท้ ก็เป็นความผิดฐานผลิตอาหารปลอมอีกกระทงหนึ่ง แม้ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงชื่อในคำพิพากษา อนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ ข้อเท็จจริงนั้นต้องยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์

- ความผิดตาม พรบ ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ..2534

- คำพิพากษาฎีกาที่ 4410-1/2536 ออกเช็ค หลายฉบับชำระหนี้รายเดียว ถือว่าเจตนาให้จ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับแยกจากกัน แม้ได้ลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกัน และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินวันเดียวกัน เป็นความผิดหลายกรรม / การออกเช็คเป็นการสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินตามจำนวนในเช็ค ณ วันที่ลงในเช็คนั้น ผู้ออกเช็คมีเจตนาให้จ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับแยกจากกัน เป็นคนละส่วนคนละจำนวน ความผิดเกิดขึ้นต่างหากแยกจากกันได้โดยชัดเจนเป็นการเฉพาะตัวของเช็คแต่ละฉบับ เมื่อธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ๆ แล้ว ดังนั้นการที่จำเลยออกเช็คแต่ละฉบับชำระหนี้รายเดียวกัน แม้ได้ลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินวันเดียวกัน ก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เป็นคนละกระทงความผิดแยกจากกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1865/2538 การออกเช็ค ทั้งสามฉบับของจำเลยที่ 2 เป็นเพียงการกระทำส่วนหนึ่งของการหลอกลวงโดยมีเจตนาเป็นอย่างเดียวคือเพื่อให้ได้ไปซึ่งสินค้าจากโจทก์โดยทุจริตไม่ต้องการให้มีการใช้เงินตามเช็คนั้นมาแต่ต้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท

- ประเด็นความผิดกรรมเดียว หลายกรรม กฎหมายพิเศษ

- คำพิพากษาฎีกาที่ 429-438/2506 การได้มาซึ่งที่ดินตามพระราชบัญญัติที่ดิน ในส่วนที่เกี่ยวกับคนต่างด้าวและตามประมวลกฎหมายที่ดินนั้น หาได้หมายความแต่เฉพาะการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินอย่างเดียวไม่ แต่ยังหมายถึง การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองในฐานะเจ้าของด้วย การที่คนต่างด้าวได้มาซึ่งที่ดินโดยฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าว เป็นความผิดอันเกิดขึ้นครั้งหนึ่งคราวเดียว หาใช่เป็นความผิดต่อเนื่องกันไม่ ฉะนั้น อายุความฟ้องร้องคดีจึงได้เริ่มนับหนึ่งแต่วันที่จำเลยกระทำการได้มาซึ่งที่ดินโดยฝ่าฝืนกฎหมายเป็นต้นไป

- คำพิพากษาฎีกาที่ 50/2531 ความผิดฐานมีกัญชาไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต กับความผิดฐานนำสิ่งของต้องห้ามเข้าไปในเรือนจำ เป็นความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับซึ่งอาศัยเจตนาในการกระทำผิดแตกต่างแยกจากกันได้ การที่จำเลยมีกัญชาไว้ในครอบครองและนำกัญชาดังกล่าวเข้าไปในเรือนจำ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2421/2533 ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การรับสารภาพว่า จำเลยเป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นพนันขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนและร่วมเข้าเล่นพนันกับลูกค้าผู้เข้าเล่นพนัน ดังนี้ ตามลักษณะหรือสภาพแห่งการกระทำทั้งสองกรณี คือเป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นขึ้น เพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนกรณีหนึ่ง และการร่วมเข้าเล่นพนันกับลูกค้าผู้เข้าเล่นพนันอีกกรณีหนึ่ง สามารถแยกออกจากกันได้ เป็นการกระทำต่างฐานกันและมีเจตนาคนละอันกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

- กฎหมายพิเศษ พระราชบัญญัติ ป่าสงวนแห่งชาติ

- คำพิพากษาฎีกาที่ 4023/2542 การกระทำครั้งเดียวคราวเดียว อาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกัน หรือมีเจตนาอย่างเดียวกัน แต่ประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานต่างกัน การที่จำเลยทั้งสามเข้าไปร่วมกันเลื่อยตัดทำไม้ประดู่ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. โดยได้เลื่อยตัดฟันออกจากต้นแล้วเลื่อยออกเป็นแผ่น จำนวน 97 แผ่น ปริมาตร 1.40 ลูกบาศก์เมตร ภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกันนั้น ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผล เป็นหลายกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 7992/2543 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันทำไม้ ร่วมกันเข้าทำประโยชน์โดยตั้งโรงงานแปรรูปไม้ ร่วมกันแปรรูปไม้โดยกระทำความผิดในเขตป่าสงวนแห่งชาติ และภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ และร่วมกันมีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ กับมีคำขอท้ายฟ้องให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ และ พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ เมื่อจำเลยกับพวกร่วมกันกระทำผิดตามฟ้อง การกระทำของจำเลยกับพวกย่อมเป็นความผิดต่อกฎหมายทั้งสองฉบับ ซึ่งฐานความผิดตามฟ้องเป็นความผิดที่ผู้กระทำมีเจตนาต่างกัน และเป็นการกระทำที่มุ่งประสงค์ให้มีผลต่างกรรมกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรม

- กฎหมายพิเศษ พระราชบัญญัติ สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.. 2503

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1846/2519 เขาสัตว์ป่าซึ่งติดกับรูปหัวสัตว์ทำด้วยไม้เป็นเครื่องประดับ ยังคงมีสภาพเดิม มิได้เปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุอย่างอื่น เป็นซากของสัตว์ตามบทนิยาม จำเลยมีไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2503 ม.39 ศาลริบแต่เขาสัตว์ ส่วนไม้ที่ประดิษฐ์เป็นหัวสัตว์ ไม่มีกฎหมายให้ริบ / เขาสัตว์ป่าของกลางที่จับได้จากจำเลย แม้จะเป็นเขาสัตว์ป่าที่จำเลย นำไปติดกับรูปหัวสัตว์ซึ่งประดิษฐ์ด้วยไม้สักทำเป็นเครื่องประดับแล้วก็ตาม ก็ยังมีสภาพเป็นเขาสัตว์อยู่เช่นเดิมมิได้เปลี่ยนสภาพเป็นวัตถุอย่างอื่น จึงเป็นซากของสัตว์ป่าตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 228 ข้อ 1 / จำเลยมีเขากวาง 3 คู่ เขากระทิง 1 คู่ เขาวัวแดง 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่ห้ามมิให้ผู้ใดค้าหรือมีไว้ในครอบครอง กับมีเขาละมั่ง 3 คู่เขาเลียงผา 1 คู่ อันเป็นซากของสัตว์ป่าสงวน ซึ่งมิได้อยู่ในข้อยกเว้นตามกฎหมายให้มีได้ไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดกฎหมายหลายบท

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1054/2535 ความผิดฐานมีซากสัตว์ป่าสงวนไว้ในความครอบครองตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2503 มาตรา 14 และมาตรา 38 กับฐานมีไว้ในครอบครองและค้าซึ่งซากสัตว์อื่น ซึ่งเป็นซากสัตว์ป่าคุ้มครองตามมาตรา 16 และมาตรา 40 กฎหมายแยกไว้คนละมาตราเป็นคนละฐานความผิด แสดงว่าเป็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการแยกเป็นคนละความผิดต่างกระทงกันการกระทำความผิดดังกล่าว จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ป.อ.มาตรา 91 / ส่วนความผิดฐานค้าสัตว์ป่าคุ้มครองกับฐานมีไว้ในครอบครอง และค้าสัตว์ป่าคุ้มครอง เป็นความผิดตามมาตรา 15 และมาตรา 40 บทมาตราเดียวกัน แสดงว่ากฎหมายต้องการให้เป็นความผิดในลักษณะเดียวกัน เป็นวัตถุประเภทเดียวกัน ทั้งจำเลยกระทำผิดดังกล่าวในคราวเดียวกัน การกระทำความผิดดังกล่าวจึงเป็นกรรมเดียว ผิดกฎหมายหลายบท ตาม ป.อ. มาตรา 90

- กฎหมายพิเศษ พระราชบัญญัติ อาวุธปืน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2674/2527 การมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง และการพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไปในทางสาธารณะนั้น เป็นการกระทำที่แยกต่างหากจากกันได้ จึงเป็นความผิดสองกรรม

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2219/2533 ความผิดฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานใน การปฏิบัติการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 140 วรรคสาม กับความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามมาตรา 289 (2) ประกอบ มาตรา 80 เป็นความผิดต่างกรรม กับความผิดฐานมีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนนอกจากที่ กำหนดในกฎกระทรวงที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 55,78 วรรคหนึ่ง และต่างกรรมกับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะ ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 8ทวิ วรรคหนึ่ง 72ทวิ วรรคสอง เพราะการกระทำตามความผิดดังกล่าว มีการกระทำที่แยกจากกัน เป็นแต่ละฐานความผิดได้ชัดเจนไม่เกี่ยวเนื่องกัน / ความผิดฐานมีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน นอกจากที่กำหนดในกฎกระทรวงที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ เป็นความผิดต่างกรรมกับความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้าน ทางสาธารณะ เพราะความผิดทั้งสองมีเจตนาในการกระทำผิดเป็นคนละอันแตกต่างกัน และเป็นความผิดต่างฐานกัน

- คำพิพากษาฎีกาที่ 1233/2533 การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่ง และเมื่อได้พกอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมาย ก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกระทงเป็นกระทงความผิด

- คำพิพากษาฎีกาที่ 2083/2539 การกระทำผิดของจำเลยฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งในครั้งก่อนและครั้งหลัง เป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันตลอดมา ตราบใดที่ยังคงครอบครองอาวุธปืนกระบอกเดียวกันและเครื่องกระสุนปืนรายเดียวกัน ก็เป็นการกระทำกรรมเดียวกัน เมื่อศาลพิพากษาลงโทษการกระทำในครั้งหลังแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิจะนำคดีการกระทำผิดครั้งแรกมาฟ้องอีก เป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (4) / ส่วนข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัว เป็นการกระทำต่างกรรมกัน เพราะเจตนาในการกระทำผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะในแต่ละครั้ง ย่อมเป็นความผิดในตัวของมันเอง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยได้ แม้ในคดีก่อนศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้มาแล้วก็ตาม

ไม่มีความคิดเห็น: