มาตรา 342 ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง
ผู้กระทำ
(1)
แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ
(2)
อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก
หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-
มาตรา 342 (1) การแสดงตนเป็นคนอื่น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 122/2506
ไม่ได้แสดงตนเป็นคนอื่น “เพียงแสดงฐานะของตนเองเป็นเท็จ” ไม่เป็นความผิดตามมาตรา 342 (1) ไม่ได้หลอกลวงประชาชน
หากแต่หลอกลวงผู้เสียหายผู้เดียว เป็นความผิดตามมาตรา 341 ไม่ใช่มาตรา 343 วรรคต้น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1067/2507 จำเลยลงลายมือชื่อปลอมลงในตั๋วแลกเงิน เป็นการกระทำส่วนหนึ่ง
เพื่อให้เอกสารนั้นสมบูรณ์ครบถ้วน ผิดตามมาตรา 266 (4) แต่การลงลายมือชื่อปลอม
ก็เพื่อให้ได้ไปซึ่งทรัพย์สิน เป็นการกระทำส่วนหนึ่งในความผิดฐานฉ้อโกง มาตรา 342
(1) เป็นกรรมเดียว แต่ไม่ผิด มาตรา 264
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2239/2522
ใช้เอกสารใบทะเบียนรถยนต์ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน
หลอกลวงโดยแสดงเป็นผู้มีชื่อในบัตรประชาชน ขายรถยนต์แก่ผู้เสียหาย เป็นการใช้เอกสารปลอมฉ้อโกงโดยหลอกว่าเป็นคนอื่นตาม
ป.อ.ม.268, 341, 342 ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 268 บทหนักกรรมเดียว
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3462/2537 กรมธรรม์ประกันภัยได้ระบุข้อยกเว้นความรับผิดของจำเลย
ผู้รับประกันภัยไว้ว่า การประกันภัยนี้ไม่คุ้มครองความเสียหาย หรือสูญหายอันเกิดจากการลักทรัพย์หรือยักยอก
และการที่คนร้ายอ้างว่าชื่อส.และ พ. ไปขอเช่ารถยนต์คันที่จำเลยรับประกันไว้จากบ.
ซึ่ง บ. เช่าซื้อมาจากโจทก์และระบุ ให้โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์โดยใช้บัตรประจำตัวประชาชนและใบอนุญาตขับรถยนต์ปลอมแสดงต่อ
บ. บ.ตกลงให้เช่า แต่เมื่อได้รับรถยนต์คันดังกล่าวไปจาก
บ.แล้วคนร้ายไม่นำมาคืนนั้น เป็นพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าคนร้ายมีเจตนาทุจริต
คิดหลอกลวง บ.ให้ส่งมอบรถยนต์แก่คนร้ายมาตั้งแต่ต้นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าคนร้ายดังกล่าวเป็นบุคคล
ที่มีชื่อและภูมิลำเนาตามเอกสารปลอมมีความประสงค์จะเช่ารถยนต์ บ.หลงเชื่อว่าเป็นความจริง จึงยินยอมส่งมอบรถยนต์ให้แก่คนร้ายไป ความจริงคนร้ายแสดงตนเป็นบุคคลอื่นและไม่มีความประสงค์จะเช่ารถยนต์แต่อย่างใด การกระทำของคนร้าย เป็นความผิดฐานฉ้อโกง หาใช่ความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอกอันจะเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวข้างต้นไม่
จำเลยต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์
-
คำพิพากษาฎีกาที่
20/2546 การที่จำเลยนำ น.ส.3 ก. ที่ระบุชื่อ ส. และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของ ส. ซึ่งเลอะเลือนมองเห็นไม่ชัดเจนมาแสดงต่อผู้เสียหายเพื่อขอกู้ยืมเงิน
ทำให้ผู้เสียหาย หลงเชื่อว่าจำเลยคือ ส. เจ้าของที่ดินตาม น.ส.3 ก. ที่แท้จริง จึงตกลงให้จำเลยกู้ยืมเงินไปนั้น
เป็นความผิดฐานฉ้อโกงผู้อื่นโดยการแสดงตนเป็นคนอื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
342(1)
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1895/2546
การปลอมเอกสารไม่จำต้องมีเอกสารที่แท้จริงอยู่ก่อน และไม่ต้องทำให้เหมือนของจริงก็เป็นเอกสารปลอมได้
จำเลยที่
2 กับพวกหลอกลวง ต. ว่า จำเลยที่ 2 คือ ย. เจ้าของรถยนต์บรรทุก มีความประสงค์จะขายรถยนต์คันดังกล่าว ต. ตกลงรับซื้อไว้ และทำสัญญาซื้อขายรถยนต์กัน โดยพวกของจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อ ย. ในช่องผู้ขายในสัญญาดังกล่าว มอบให้
ต. ยึดถือไว้ การกระทำของจำเลยที่ 2 กับพวกมีเจตนาทุจริต
เพื่อให้ได้เงินจาก ต. และไม่ให้ ต. ใช้สัญญาซื้อขายรถยนต์นั้นเป็นหลักฐานฟ้องร้องเรียกเงินคืน
ทำให้ ต. ได้รับความเสียหาย จำเลยที่ 2 กับพวก จึงมีความผิดฐานร่วมกันปลอมหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์อันเป็นเอกสารสิทธิ
เมื่อจำเลยที่ 2 กับพวกได้มอบหนังสือสัญญาซื้อขายรถยนต์นั้นให้
ต. ยึดถือไว้ จำเลยที่ 2 กับพวกจึงมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอมอีกกระทงหนึ่ง
รวมทั้งมีความผิดฐานฉ้อโกงด้วย Ø ความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมโดยจำเลยที่ 2 กับพวกเป็นผู้ปลอมเอกสารเอง ต้องลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมแต่กระทงเดียว และความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิปลอม
กับความผิดฐานฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารสิทธิปลอม ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 90 ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
แม้ไม่มีคู่ความ ฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา 225 ประกอบด้วย มาตรา 195 วรรคสอง
-
มาตรา 342 (2) การอาศัยความเบาปัญญา หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3839/2526 นอกจากจะได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงโจทก์
โดยอาศัยความโง่เขลาเบาปัญญา และความอ่อนแอแห่งจิตของโจทก์แล้ว
โจทก์ยังบรรยายข้อความที่จำเลยหลอกลวงโจทก์อีกว่า
เหล็กไหลสามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บที่โจทก์กำลังเป็นอยู่นั้น ให้หายขาดได้ ซึ่งพอเป็นที่เข้าใจได้ว่า
ความอ่อนแอแห่งจิตของโจทก์ เนื่องมาจากความเจ็บป่วย และคำว่าโง่เขลาเบาปัญญา
ก็แสดงอยู่ว่าโจทก์นั้นถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อได้ง่ายกว่าคนมีจิตปกติ
ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ตาม ป.อ.ม.342 (2) และ ป.ว.อ.ม.158 (5) แล้ว
มาตรา 343 ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา 341 ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ “ต่อประชาชน”
หรือด้วยการปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี
หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก
ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา 342 อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย
ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี
และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท
-
"ประชาชน"
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 587-588/2511
บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำการหลอกลวงผู้มีชื่อตามฟ้อง และราษฎรอื่นอีกหลายคนถือว่าเข้าองค์ประกอบความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 แล้ว
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 97/2518 จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการบริษัทจำเลยที่ 2 ได้จัดสรรที่ดินในนามของจำเลยที่
2 ให้ประชาชนเช่าซื้อ แต่ที่ดินนั้นมิใช่ที่ดินที่จำเลยที่
2 มีกรรมสิทธิ์ตามที่จำเลยโฆษณาชี้ชวนแก่ประชาชน
และจำเลยไม่สามารถจะโอนขายที่ดินนั้นได้ การกระทำของจำเลย จึงเป็นการหลอกลวงโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ประชาชน
โดยเจตนาทุจริตผู้เสียหายทำสัญญาเช่าซื้อกับบริษัทจำเลยที่ 2 ได้ชำระเงินผ่อนไปบ้างแล้วบริษัทจำเลยที่ 2 ก็ปิดที่ทำการไม่มีคนมาทำงาน แม้จะได้ความว่ามีผู้สั่งจองโดยยังไม่ชำระเงินราว
10 ราย มีผู้ซื้อที่ดินเพียง 2 ราย คือ อ. กับผู้เสียหายและมีแต่ผู้เสียหาย
เพียงรายเดียวที่ร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยการกระทำของจำเลย ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 343
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2593/2521 จำเลยมิใช่แพทย์ รักษาคนป่วยโดยเรียกเงินคนละ 59 บาท
วิธีรักษา ไม่ใช่วิธีตามวิชาแพทย์แผนโบราณ หรือปัจจุบัน
เป็นการแสดงเท็จต่อประชาชนว่าสามารถรักษาให้หายจากโรคได้ เป็นความผิดตาม ป.อ.ม.343 จำเลยใช้เข็มแทงเนื้อที่โป่งทำให้น้ำเลี้ยงสมองไหลออกไม่หยุด
ทำให้เด็กตาย เป็นผลโดยตรง เป็นความผิดตาม ม.291 อีกกระทงหนึ่ง
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 709/2523 คำว่า ประชาชน
หมายถึงบรรดาพลเมือง ซึ่งมีความหมายถึงชาวเมืองทั้งหลาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งหกหลอกลวงโจทก์และประชาชนที่เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 4
ประมาณ 30 คน จึงเป็นการหลอกลวงเฉพาะบุคคลที่เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 4
ซึ่งมีจำนวนมากเท่านั้น มิใช่เป็นการหลอกลวงประชาชนโดยทั่วไป ฟ้องโจทก์ไม่มีมูลตาม
ป.อ.ม.343
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3660/2527
การแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ.ม.343
ไม่ถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงมากหรือน้อยเป็นหลัก แต่ถือเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเป็นสำคัญ
เมื่อจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายและบุคคลอื่น ๆ
ในท้องที่หลายจังหวัดให้มาสมัครไปทำงานต่างประเทศกับจำเลย
โดยรับรองว่ามีงานให้ทำและจะได้ไปทำงานเร็ว
เป็นเหตุให้ผู้เสียหายเชื่อมาสมัครงานและชำระเงินให้ แต่จำเลยไม่สามารถจัดส่งไปทำงาน
และไม่ยอมคืนเงินแก่ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยเป็นการฉ้อโกงประชาชนตาม ม. 343
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2486/2528
จำเลยประกาศรับสมัครคนงาน ไปทำงานต่างประเทศ จนผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งรวม 7 คน
หลงเชื่อไปสมัคร จำเลยกับพวกรับเงินผู้เสียหายไว้เป็นจำนวนมาก แต่ผู้เสียหายไม่ได้ทำงานยังต่างประเทศ
ถือได้ว่าจำเลยโดยทุจริตหลอกลวงประชาชน
รวมทั้งผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
และโดยการหลอกลวงได้ไปซึ่งทรัพย์สิน จำเลยจึงมีความผิดตาม ป.อ. ม.343
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 563/2531 (สบฎ เน 179) จำเลยโฆษณาหลอกลวงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยรามคำแหง
เพื่อขายข้อสอบที่จำเลยเขียนขึ้นเอง
เพื่อให้นักศึกษาที่ซื้อข้อสอบจากจำเลยหลงเชื่อว่าเป็นข้อสอบจริงที่จะออกสอบ
การกระทำของจำเลยไม่เป็นการหลอกลวงประชาชนทั่วไป จึงไม่มีความผิดตาม มาตรา 343
คงมีความผิดตามมาตรา 341 เท่านั้น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1497/2531 จำเลยหลอกลวงชวนโจทก์ร่วมทั้งสามไปทำงานต่างประเทศ
เนื่องจากการหลอกลวงของจำเลย
โจทก์ร่วมทั้งสามได้จ่ายเงินให้จำเลยการหลอกลวงของจำเลย
มิได้มีลักษณะเป็นการประกาศโฆษณาแก่บุคคลทั่ว ๆ
ไปว่าจำเลยสามารถจัดหางานในต่างประเทศให้บุคคลทั่ว ๆ ไปที่ต้องการทำ
จำเลยเพียงแต่พูดชวนโจทก์ร่วมทั้งสาม
ให้ไปทำงานในต่างประเทศเท่านั้นการกระทำของจำเลย
จึงยังไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343
คงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความกันได้
เมื่อคดีขาดอายุความสิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(6)
พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมทั้งสาม
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 คำขอส่วนแพ่งของโจทก์ร่วม
ที่ขอถือเอาตามคำฟ้องของพนักงานอัยการโจทก์ ก็ย่อมตกไปด้วย ศาลไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยคืนเงินแก่โจทก์ร่วม
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1663/2535
จำเลยมีเจตนาหลอกลวงบุคคลทั่วไป โดยไม่จำกัดตัวผู้ถูกหลอกลวงว่าเป็นผู้ใด
จำเลยมีเจตนาหลอกลวงทุกคนที่ทราบเรื่อง แล้วมาสมัครงานกับจำเลยและพวก
โดยมิได้มีเจตนาที่จะหลอกลวงเฉพาะผู้เสียหายบางคนที่จำเลยเป็นผู้ชักชวนให้ไปทำงานที่ประเทศอังกฤษเท่านั้น
การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานร่วมอันฉ้อโกงประชาชน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 3307/2535
จำเลยทั้งสองเป็นครู รู้จักหรือเป็นที่รู้จักของบุคคลในหมู่บ้าน
หรือท้องถิ่นเดียวกันเป็นอย่างดี นับถือศาสนาคริสต์ด้วยกัน ปฏิบัติศาสนกิจที่โบสถ์เดียวกัน
ดังนั้น การที่จำเลยทั้งสองโฆษณาต่อบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งรู้จักจำเลยเป็นอย่างดี
หาใช่โฆษณาต่อบุคคลทั่วไปโดยไม่จำกัดว่าเป็นบุคคลใดไม่ การโฆษณาของจำเลยทั้งสอง
ยังไม่เป็นการโฆษณาต่อประชาชน อันเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน ตาม ป.อ.มาตรา 343
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 5292/2540 (สบฎ เน ) การแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน
ตาม ป.อ. มาตรา
343 ไม่ได้ถือเอาจำนวนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงว่ามากหรือน้อย
แต่ถือเอาเจตนาแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเป็นสำคัญ
จำเลยแสดงข้อความอันเป็นเท็จแก่ผู้เสียหายบางคน แล้วมีการบอกต่อกันไปเป็นทอด ๆ
เป็นการฉ้อโกงประชาชน
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 135/2547 จำเลยกับพวกได้ก่อตั้งบริษัท
ด.
ขึ้น
และได้โฆษณาทางหนังสือพิมพ์ประกาศแพร่ข่าวชักชวนประชาชนว่าบริษัท ด. เป็นบริษัทที่มั่นคงประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
ต้องการรับสมัครพนักงานหรือบุคลากรเพิ่มหลายตำแหน่ง
และโฆษณาชักชวนให้บุคคลทั่วไปนำเงินมาลงทุนในธุรกิจรูปแบบใหม่กับบริษัทซึ่งให้ผลตอบแทนสูง
ซึ่งความจริงแล้วบริษัท ด. ไม่ได้ประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ
และไม่ได้เป็นตัวแทนซื้อขายสินค้าที่ประเทศญี่ปุ่นหรือประเทศฟิลิปปินส์
เมื่อการลงข่าวประกาศทางหนังสือพิมพ์ ก. เป็นความเท็จโดยทุจริตของบริษัท
ด. เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ที่ได้อ่านข่าวหลงเชื่อ
จึงไปติดต่อและมอบเงินให้จำเลยกับพวก การกระทำของจำเลยกับพวกสำหรับผู้เสียหายที่ 2
จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
-
ประเด็นเปรียบเทียบ กรรมเดียว -
หลายกรรม
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1570/2532
คดีฉ้อโกงประชาชนข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ค.
พวกของจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายคนละวันเวลากัน
แต่สถานที่เกิดเหตุเป็นที่เดียวกันหรือบริเวณเดียวกันดังนั้น
ถือว่าจำเลยกับพวกได้หลอกลวงพวกผู้เสียหายในเวลาเดียวกัน แม้พวกผู้เสียหายหลงเชื่อ
มาชำระให้ ค. หรือจำเลยในภายหลังในวันเวลาที่ไม่ตรงกัน
ก็ไม่เป็นการกระทำผิดหลายกรรม เพราะการรับเงินเป็นผลที่เกิดจากการกระทำ
หาใช่การกระทำขึ้นใหม่ไม่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 870/2549 การโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชน
หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป อันจะทำให้เป็นความผิดสำเร็จฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
ไม่จำเป็นที่จำเลยที่ 1 จะต้องกระทำการดังกล่าวต่อผู้เสียหายแต่ละคนด้วยตนเอง ตั้งแต่ต้นทุกครั้ง
เป็นคราว ๆ ไป เพียงแต่จำเลยที่ 1 แสดงข้อความดังกล่าวให้ปรากฏแก่ผู้เสียหาย แม้เพียงบางคน
แต่เป็นผลให้ประชาชนหลงเชื่อ และนำเงินมาให้จำเลยที่ 1 กู้ยืม ก็ถือว่าเป็นการกระทำความผิดแล้ว
ข้อสำคัญที่ทำให้ความผิดสำเร็จอยู่ที่ในการนั้น เป็นเหตุให้ตนหรือบุคคลใดได้เงินกู้ยืมไปจากผู้ถูกหลอกลวง
ดังนั้นการที่ผู้เสียหายแต่ละคนนำเงินมาให้กู้ยืมและจำเลยที่ 1 รับไว้ ถือว่าเป็นความผิดสำเร็จสำหรับผู้เสียหายแต่ละคน
จึงเป็นความผิดหลายกรรมตามจำนวนผู้เสียหาย
-
"การฉ้อโกงประชาชน"
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 340/2512 (สบฎ เน 2117) จำเลยวางแผนประกาศทางหนังสือพิมพ์รายวัน
เปิดรับสมัครบุคคลมาทำงานกับบริษัท เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อมาสมัครทำงาน
โดยวางอัตราค่าจ้างเงินเดือนสูง
วางระเบียบให้ต้องซื้อหุ้นอย่างน้อยหนึ่งหุ้นเป็นเงิน 900 บาท
บริษัทตั้งขึ้นแล้ว
จำเลยก็มิได้ดำเนินกิจการค้าดังวัตถุประสงค์แต่อย่างใด
สินค้าในบริษัทก็ไม่มีธุรกิจที่จะมอบหมายให้ผู้สมัครรับจ้างปฏิบัติก็ไม่มี
ถือได้ว่าจำเลยก่อตั้งบริษัท
ดำเนินการด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชนเพื่อหลอกลวงประชาชน
จึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 /
เมื่อผู้เสียหายคนหนึ่งฟ้องคดีเกี่ยวกับการฉ้อโกงของจำเลยดังกล่าวแล้ว
โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกงผู้เสียหายคนอื่นในกรณีนี้อีกได้ เพราะผู้เสียหายเป็นคนละคนต่างถูกหลอกลวงคนละวันคนละเวลา
จำนวนเงินที่ถูกหลอกแตกต่างกันตำแหน่งงานที่จะจ้างผู้เสียหายไม่เหมือนกัน
จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ มิใช่เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวกัน
และหาเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแรกไม่
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1929/2514 จำเลยวางแผนร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงประชาชน
โดยแอบอ้างว่าจำเลยที่ 1 ได้รับโควต้าสลากกินแบ่งเป็นจำนวนพันๆ เล่ม
ซึ่งความจริงจำเลยมีโควต้าเพียงเล็กน้อยและจำเลยได้ไปซื้อสลากกินแบ่งจากที่ต่างๆ
มาด้วยราคาสูงกว่าที่นำมาจำหน่ายให้แก่ประชาชน โดยยอมขาดทุน ซึ่งไม่ใช่วิสัยการค้าที่จะทำได้โดยสุจริต
แต่เพื่อเป็นอุบายหลอกลวงล่อให้มีผู้มาลงทุนกับจำเลยเป็นจำนวนมากแล้วจำเลยที่ 1
ก็หลบหนีไป การกระทำของจำเลยถือว่าเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343
แห่งประมวลกฎหมายอาญา
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 97/2518
ผู้จัดการบริษัทจำกัดโฆษณาหลอกขายที่ดินแก่ประชาชน
แม้มีผู้สั่งจองโดยยังไม่ชำระเงิน มีผู้ซื้อเพียงรายเดียวที่แจ้งความร้องทุกข์
ก็เป็นความผิดตามมาตรา 343 บริษัทจำกัดมีความผิดตามมาตรานี้
ซึ่งศาลลงโทษปรับบริษัท และจำคุกผู้จัดการ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1612-1613/2518
ผู้จัดการบริษัท โฆษณาให้คนสมัครเข้าเป็นสมาชิก เสียค่าบริการคนละ 200 บาท
สมทบทุนอีก 300 บาท มีสิทธิกู้เงินได้คนละ 2,500 บาท
แสดงว่าไม่พอให้สมาชิกกู้ได้ทั่วตามสิทธิของสมาชิก เป็นแผนการณ์ฉ้อโกงประชาชนตาม
ป.อ.ม. 343 ผู้ที่เข้าเป็นสมาชิกเป็นผู้เสียหาย ผู้แทนนิติบุคคลที่ลงมือกระทำ
ถ้ามิใช่ความผิดเฉพาะตัว ต้องมีความผิดเป็นส่วนตัวด้วย
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 2593/2521 (สบฎ เน 5632) จำเลยไม่ใช่แพทย์ รักษาคนป่วย
โดยเรียกเงิน 59 บาท วิธีรักษาไม่ใช่วิธีทางการแพทย์
เป็นการแสดงเท็จต่อประชาชนว่าสามารถรักษาให้หายจากโรคได้ ผิด ม 343 จำเลยใช้เข็มแทงเนื้อ ทำให้น้ำเลี้ยงสมองไหลออกไม่หยุด ทำให้เด็กตาย "เป็นผลโดยตรง" มีผิดความ ม 291 อีกระทงหนึ่ง
-
คำชี้ขาดความเห็นแย้งที่ 73/2537
ผู้ต้องหาประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน
รู้ดีอยู่แล้วว่าฐานะการเงินของตนไม่ดีพอ ที่จะจัดหาตั๋วเครื่องบินมาให้ลูกค้าได้
แต่กลับปกปิดความจริง แล้วยังบังอาจรับเงินจากลูกค้า
พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่ามีเจตนาฉ้อโกงมาแต่แรกแล้ว
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 343
-
(ขส อ 2530/ 1) แต่งเป็นพระ หลอกว่าเป็นเจ้าอาวาสวัดโบสถ์ เพื่อเอาเงินบริจาค จากชาวบ้าน
ผิด ม 208 คนร่วมหลอกเป็นตัวการ ม 208 ด้วย
(ฎ 3699-3739/2541
(สบฎ สต 53) ไม่ใช่พระอุปัชฌาย์ แต่บวชให้คนอื่น และมอบเครื่องแต่งกาย ผิด ม
208+86 คนถูกบวช ไม่มีสิทธิ ผิด ม 208) / + ม 343 ว 1 + 83 + 343 ว 2
แสดงตนเป็นคนอื่น (ม 342 (1))
มาตรา 344 ผู้ใดโดยทุจริต
หลอกลวงบุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไป “ให้ประกอบการงาน”
อย่างใดๆ ให้แก่ตนหรือให้แก่บุคคลที่สาม โดย
“จะไม่ใช้” ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างแก่บุคคลเหล่านั้น “ต่ำกว่าที่ตกลงกัน” ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1953/2506
ความผิดตาม มาตรา 344 ต้องได้ความว่าจำเลยมีเจตนาทุจริต
ในขณะที่ตกลงจะให้ผู้เสียหายประกอบการงานให้แก่ตน โดยเจตนาจะไม่ใช้ค่าแรงงานฯ
หากไม่ได้ความว่ามีเจตนาทุจริตในขณะที่จะตกลงกัน แต่มีเหตุขัดข้องเกิดขึ้นแก่จำเลย
ทำให้จำเลยไม่อาจใช้ค่าแรงงานหรือค่าจ้างได้ตามที่ตกลงกันไว้
ก็เป็นเพียงการผิดสัญญาในทางแพ่งเท่านั้น
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1051/2510 (สบฎ เน 1537) มาตรา 343 ลงโทษผู้หลอกลวง
"ประชาชน" ฟ้องว่าหลอก ช
กับพวก 10 คน ไม่ได้ฟ้องว่าหลอกลวงประชาชน ผิด มาตรา 341
เท่านั้น / ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 344 ผู้หลอกลวงต้องประสงค์ต่อผล
คือ การทำงานของผู้ที่ถูกหลอกให้ประกอบการงานให้แก่ตน
หรือบุคคลที่สามโดยจะไม่ใช้ค่าแรงงาน ฯลฯ เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยหลอก
เพื่อให้ส่งเงินเท่านั้น ไม่ได้หลอกให้ทำงาน จึงไม่ใช่เป็นการกระทำ
เพื่อประสงค์ต่อผล ตามมาตรา 344
จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรานี้
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 4279/2539
บริษัทมีเจตนาเพียงจะเรียกเก็บเงินประกันการทำงานจากประชาชนผู้มาสมัครงาน โดยมีเจตนาแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับตัวกรรมการของบริษัทเอง
หรือเพื่อบริษัทอันเป็นการกระทำโดยทุจริตโดยประกาศหลอกลวงให้ประชาชนมาสมัครงานด้วยแสดงข้อความเท็จว่าให้สมัครเข้ามาทำงาน
แต่บริษัทหามีงานให้ทำไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ในฐานะกรรมการบริหารงานของบริษัทย่อมจะต้องทราบดีอยู่แล้วว่าบริษัทไม่มีงานให้ทำ
แต่ก็ยังร่วมดำเนินการรับสมัครบุคคลเข้าทำงานตลอดมาเป็นการปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชนและในการรับสมัครบุคคลเข้าทำงานดังกล่าวเป็นเหตุทำให้บริษัทกับกรรมการของบริษัทได้ไปซึ่งเงินประกันการทำงานจากผู้สมัคร
การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 วรรคแรก / การที่บริษัทได้รับผู้เสียหายเข้าทำงานแล้วได้ให้ ผู้เสียหายซื้อหุ้นคนละ
30 หุ้น เป็นเงิน 3,000 บาท มี ลักษณะเป็นการรับเข้าร่วมลงทุนและได้มีการจ่าย
ผลประโยชน์ตอบแทนแก่ผู้เสียหายโดยให้เงินปันผลหรือเงิน ค่าครองชีพเดือนละ135
บาท จึงเข้าลักษณะการกู้ยืมเงิน ตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
พ.ศ.2527 มาตรา 3 เมื่อบริษัทจัดให้มีผู้รับเงินในการรับสมัครงานที่มิชอบ หรือจ่ายหรือตกลงหรือจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้เสียหายซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้กู้ยืมเงินตามพระราชกำหนดดังกล่าว
และในการกู้เงินดังกล่าวได้มีการให้ผลประโยชน์ตอบแทนเดือนละ 135 บาท หรือคิดเป็นอัตราถึงร้อยละ 54 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตาม
กฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินจะพึงจ่ายได้จึงเข้ากรณีเป็นการกระทำผิดตามมาตรา
5 แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 เมื่อจำเลยที่ 1 และที่
2 เป็นผู้ร่วมรับเงินที่ ผู้เสียหายได้นำมาเข้าร่วมลงทุนเพื่อให้ผลประโยชน์
ตอบแทนดังกล่าว จึงมีความผิดตามพระราชกำหนด การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มาตรา 5 / ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 344 ผู้หลอกลวงต้องประสงค์ต่อผล คือการทำงานของผู้ถูกหลอกลวงให้ประกอบการงานให้แก่ตนหรือบุคคลที่สาม
โดยจะไม่ใช้ค่าแรงงาน หรือโดยจะใช้ค่าแรงงานต่ำกว่าที่ตกลงกัน การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ได้ กระทำในนามของบริษัท โดยอ้างว่ามีงานให้ทำก็ดี การรับผู้เสียหายเข้าทำงานก็ดี
การคืนเงินประกันการ ทำงานเมื่อครบกำหนด 6 เดือน แล้วก็ดี ล้วนเป็นอุบาย
ทุจริตคิดตั้งเรื่องขึ้นเพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้หลงเชื่อ และมอบเงินให้ แสดงว่าจำเลยที่
1 และที่ 2 หลอกลวง ผู้เสียหายให้ส่งมอบเงินแก่จำเลยที่
1 และที่ 2 เท่านั้น มิได้มีเจตนาหลอกลวงเพื่อมิให้มาทำงาน
เพราะความจริง แล้วไม่มีงานให้ทำ ที่จำเลยที่ 1 และที่
2 จัดให้มีการทำงานในช่วงแรก ๆ และจ่ายเงินเดือนให้ก็เป็นวิธีการในการหลอกลวงอย่างหนึ่ง
ซึ่งต่อมาภายหลังก็ไม่มีงานให้ทำและไม่จ่ายเงินเดือนให้ กรณีจึงมิให้เป็นการกระทำ เพื่อประสงค์ต่อผลตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 344 ไม่มีความผิดตามมาตรานี้
-
ตัวอย่างประเด็นข้อสอบเก่า มาตรา 344
-
(ขส เน 2510/ 3) นายเชิด จ้างคน 10 คน ให้ถมดิน เมื่อถมเสร็จ นายเชิดจึงรู้ว่ามีเงินไม่พอจ่ายค่าจ้าง
ขอจ่ายให้ 5 คน เต็มจำนวนที่ตกลง และขอจ่ายให้อีก 5 คน คนละครึ่งเดียว นายเชิด ไม่ผิด ม 344 เพราะไม่ได้หลอกตั้งแต่แรก
และไม่ทำโดยทุจริต
มาตรา 345 ผู้ใด สั่งซื้อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม
หรือเข้าอยู่ในโรงแรม โดยรู้ว่าตนไม่สามารถชำระเงินค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม
หรือค่าอยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน
หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1686/2505 ม.345
เป็นเรื่องสั่งซื้อและบริโภคอาหารด้วย และเป็นการกระทำต่อเนื่องกันในเวลานั้น
การที่ไปติดต่อตกลงสั่งอาหารล่วงหน้าหลายวัน
โดยให้นำอาหารไปเลี้ยงในสถานที่อีกแห่งหนึ่ง เมื่อไม่ชำระราคา
ก็เป็นเรื่องผิดสัญญาในทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดตาม ม.345
-
คำพิพากษาฎีกาที่ 1077/2511 มาตรา 345
หมายความว่า การสั่งซื้ออาหารหรือเครื่องดื่มมาบริโภคนั้น
เป็นที่เข้าใจว่าจะชำระราคาให้
เมื่อได้บริโภคเสร็จแล้วในเวลาและสถานการค้าของผู้ขาย ถ้านำสินค้าไปที่บ้านของผู้ซื้อและว่าจะชำระเงินให้ภายหลัง
ซึ่งผู้ขายก็ยินยอมเป็นการซื้อของเชื่อ ไม่ผิดมาตรา 345
มาตรา 346 ผู้ใด
เพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม “ชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่ายโดยเสียเปรียบ” ซึ่งทรัพย์สิน
โดยอาศัยเหตุที่ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอ หรือเป็นเด็กเบาปัญญา และไม่สามารถเข้าใจตามควรซึ่งสารสำคัญแห่งการกระทำของตน
จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี
หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 347 ผู้ใดเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้รับประโยชน์จากการประกันวินาศภัย
แกล้งทำให้เกิดเสียหายแก่ทรัพย์สิน “อันเป็นวัตถุที่เอาประกันภัย”
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท
หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา
348 ความผิดในหมวดนี้
นอกจากความผิดตามมาตรา 343 เป็นความผิดอันยอมความได้
-
ข้อหารือ (ที่ อส 17/25155 ลว 8 พย 2537)
(อัยการนิเทศ 2538 เล่ม 57 ฉบับ 1 น 193) กรณีผู้แทนนิติบุคคลที่เป็นองค์กร
หรือหน่วยงานของรัฐ ไม่ยอมร้องทุกข์ ในความผิดฐานฉ้อโกงที่กระทำต่อนิติบุคคล ทรัพย์สินของนิติบุคคลดังกล่าว
ถือว่าเป็นทรัพย์สินของส่วนรวม จึงไม่เป็นความผิดต่อส่วนตัว การดำเนินคดีกับผู้ฉ้อโกง
สามารถกระทำได้โดยมิพักต้องมีการร้องทุกข์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น