ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559

“นักเรียนนักเลง”

๑.จำเลยกับ ต. ตกลงกันว่า หากพบนักศึกษาต่างสถาบันให้แย่งเสื้อของสถาบันนั้นมาให้ได้แม้ไม่มีข้อความใดปรากฏว่าจำเลยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ และพฤติการณ์ไม่มีเจตนาเช่นนั้น จำเลยไม่ได้กล่าวอ้างไว้ ตรงกันข้ามจำเลยกลับนำชี้ที่เกิดเหตุแสดงท่าทางให้เจ้าหน้าที่ตำรวจถ่ายภาพประกอบคำรับสารภาพหลังจากรับทราบข้อกล่าวหาชิงทรัพย์ ชั้นพิจารณาจำเลยก็ไม่เคยยกประเด็นเรื่องขาดเจตนาลักทรัพย์มาต่อสู้ คำรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยนั้น เชื่อว่ากระทำด้วยความสมัครใจตามความเป็นจริง เพราะจำเลยถูกจับกุมทันทีทันใดหลังที่เกิดเหตุ จึงไม่อาจคิดหาข้อแก้ตัวเพื่อหลีกเลี่ยงความผิด ทั้งตามพฤติการณ์ที่จำเลยจับเสื้อช๊อปของผู้เสียหายไว้ในขณะที่พูดขอเสื้อ ครั้นถูกปฏิเสธจำเลยจึงล้วงมีดคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อผู้เสียหายถูกเพื่อนจำเลยต่อย จำเลยก็เข้าต่อยผู้เสียหายจนได้เสื้อช๊อปของผู้เสียหาย เข้าลักษณะเป็นการคุกคามขู่เข็ญให้กลัวจะเกิดอันตรายแก่กาย หากผู้เสียหายไม่ยอมตามที่จำเลยต้องการ ผู้เสียหายถอดเสื้อให้จำเลยเพราะกลัวจะถูกทำร้ายอีก ไม่ใช่ให้ทรัพย์ไปด้วยความสมัครใจ แต่ให้ไปเพราะอยู่ใต้อำนาจบังคับของจำเลย จำเลยได้ไปซึ่งเสื้อช๊อปแล้วก็หยุดขู่เข็ญ พร้อมลงจากรถโดยสารคันเกิดเหตุ แสดงจำเลยประสงค์ต่อเสื้อช๊อปเป็นสำคัญ ข้ออ้างว่าทำไปเพื่อแสดงความกล้าและความกล้าให้รุ่นพี่เห็น เป็นเพียงมูลเหตุจูงใจชักนำให้จำเลยกระทำผิด ไม่มีผลให้จำเลยพ้นความรับผิดได้ คำพิพากษาฏีกา ๕๐๗/๒๕๔๓
๒.จำเลยกับพวกขึ้นไปบนรถโดยสารประจำทาง บังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายถอดเสื้อฝึกงานและแหวนรุ่นซึ่งทำมีราคาเล็กน้อย จำเลยกับพวกกระทำไปเป็นการแสดงอำนาจบาดใหญ่ด้วยความคึกคะนองเพื่อให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นนักศึกษาต่างสถาบันซึ่งมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสถาบันของจำเลยเห็นว่าเป็นคนเก่งพอที่จะรังแกคนได้ตามวิสัยวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อให้ได้ประโยชน์แห่งทรัพย์ ไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องมาจึงลงโทษตามที่พิจารณาได้ความ ส่วนเสื้อและแหวนจำเลยไม่มีสิทธิ์ยึดถือต้องคืนแก่ผู้เสียหาย หลังจากถอดเสื้อและแหวนแล้ว กลุ่มเพื่อนจำเลยสามคนได้ชกต่อยผู้เสียหาย จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายในระยะหนึ่งฟุต แต่ผู้เสียหายยกขาและแขนปิดไว้กระสุนปืนถูกกระดุมเสื้อที่เป็นเหล็กเป็นเหตุให้ไม่ถูกอวัยวะสำคัญ ถือยิงโดยมีเจตนาฆ่าแต่การกระทำไม่บรรลุผล ผิดตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๘๐,๓๗๑ คำพิพากษาฏีกา ๒๗๕๓/๒๕๓๙
๓.ขณะที่รถประจำทางที่ผู้เสียหายทั้งสองนั่งติดสัญญาณไฟแดง จำเลยที่ ๓ วิ่งเข้ามาถามผู้เสียหายทั้งสองว่า เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ท หรือเปล่า ขณะเดียวกันจำเลยที่ ๒ วิ่งขึ้นไปบนรถใช้มีดสะปาต้าฟันที่แขนซ้ายผู้เสียหายที่ ๑ บาดเจ็บ และใช้มีดจี้เอาเสื้อฝึกงาน ๑ ตัว นาฬิกาข้อมือ ๑ เรือนไป พวกของจำเลยทั้งสามขึ้นไปล้วงกระเป๋าเงิน ๑ ใบพร้อมเงินสด ๑๐ บาทไป จำเลยที่ ๑ ขึ้นไปกระชากสร้อยคอทองคำ ๑ เส้น จากคอผู้เสียหายที่ ๒ แม้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กระทำต่อผู้เสียหายในคราวเดียวกัน แต่ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ กับพวก ไม่ได้สมคบ ร่วมรู้ความคิดอันมีลักษณะประสงค์ต่อทรัพย์เพียงแต่พวกจำเลยทั้งสามชวนไปตีพวกนักศึกษาวิทยาลัย ท ลักษณะที่จำเลยที่ ๓ แยกไปสอบถามผู้เสียหายทั้งสองน่าเป็นความคึกคะนองและพาลหาเรื่องหาใช่แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ กระชากสร้อยคอผู้เสียหายที่ ๒ เป็นลักษณะถือโอกาสเป็นส่วนตัวลำพังผู้เดียว การกระทำจำเลยที่ ๑ เป็นวิ่งราวทรัพย์ ปอ มาตรา ๓๓๖ วรรคแรก พวกจำเลยถือโอกาสขณะนั้นนำทรัพย์ผู้เสียหายไปโดยพละการ ไม่ได้ร่วมคิด จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ไม่มีความผิดปล้นทรัพย์ คำพิพากษาฏีกา ๔๗๖/๒๕๓๕
ข้อสังเกต ๑.ข้อเท็จจริงในคำพิพากษาฏีกาเหมือนหรือคล้ายกันแต่ศาลพิพากษาไปคนละทางกัน อยู่ที่ว่าศาลเชื่อว่ามีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ด้วยหรือไม่หรือเป็นเพียงการแสดงเจตนาอวดอำนาจบาดใหญ่เท่านั้น
๒.ในคำพิพากษาฏีกาแรกที่จำเลย ต่อสู้ว่าไม่มีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ แต่ทำไปด้วยความคึกคะนองต้องการแสดงความกล้าอวดเพื่อนหรือรุ่นพี่และให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนหรือรุ่นพี่ก็ตามเป็นการสู้คดีในแนวคำพิพากษาฏีกาข้อที่ ๒ และ ๓เพื่อให้ไม่ต้องรับผิดฐานปล้นทรัพย์หรือชิงทรัพย์ แต่ในคำพิพากษาฏีกาแรกเห็นว่าการต่อสู้ว่าไม่มีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ แต่ทำไปด้วยความคึกคะนองต้องการแสดงความกล้าอวดเพื่อนหรือรุ่นพี่และให้ได้รับการยอมรับจากเพื่อนหรือรุ่นพี่ก็ตามป็นเพียงมูลเหตุจูงใจชักนำให้จำเลยกระทำผิด ไม่มีผลให้จำเลยพ้นความรับผิดได้ จำเลยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะบังคับเอาเสื้อของผู้เสียหายมาอยู่กับตนได้ การบังคับดังกล่าวเป็นการแย่งการครอบครองเสื้อของผู้เสียหายโดยเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์อันไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฏหมายสำหรับจำเลยแล้วโดย การได้ไปซึ่งเสื้อเป็นประโยชน์ในทางโอ้อวดแสดงถึงความสามารถที่สามารถแย่งเสื้อจากโรงเรียนคู่แข่งได้ การกระทำดังกล่าวเมื่อมีการใช้กำลังประทุษร้ายด้วยจึงเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์แล้ว
๓.การที่ศาลฏีกาพิจารณาว่า จำเลยไม่ต่อสู้เรื่องขาดเจตนาลักทรัพย์มาแต่แรก แสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาแต่แรกที่จะกระทำความผิดเรื่องลักทรัพย์ นั้นมองได้สองนัยยะ นัยยะแรกทนายตั้งรูปเรื่องคดีมาไม่ดี คิดว่ายังไงจำเลยจะนำสืบอย่างไงก็ได้ มักได้รับความปราณีจากศาล หรืออีกนัยยะหนึ่ง จำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับทรัพย์อยู่แล้วจึงไม่ได้ต่อสู้ว่าไม่มีเจตนาลักทรัพย์
๔..ศาลเชื่อในคำรับชั้นจับกุมและสอบสวน ปกติคำรับสารภาพชั้นจับกุม ปวอ มาตรา ๘๔ วรรคท้าย ห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน คงรับฟังได้เฉพาะถ้อยคำอื่นที่ไม่ใช่คำรับสารภาพในชั้นจับกุม และจะรับฟังได้ก็ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิ์แก่ผู้ถูกจับตาม ปวอ มาตรา ๘๔วรรคแรก,๘๓วรรคสองแล้วเท่านั้น แต่เนื่องจากคำพิพากษาฏีกานี้ตัดสินก่อนมีการแก้ปวอ มาตรา ๘๔ จึงเป็นกรณีๆไปว่าบันทึกการจับกุมมีพิรุธหรือไม่ น่าเชื่อถือได้มากน้อยเพียงใดเพื่อนำไปประกอบพยานหลักฐานอื่น โดยผู้จับกุมไม่เคยรู้จักไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนที่จะมาปรักปรำใส่ร้ายจำเลย จำเลยไม่เคยต่อสู้ว่าถูกทำร้ายให้รับสารภาพ ไม่มีร่องรอยบาดแผลที่เนื้อตัว ไม่ได้ฟ้องร้องหรือร้องเรียนผู้จับกุมว่าทำร้ายร่างกายให้รับสารภาพหรือกระทำการโดยไม่ชอบด้วยประการอื่น เหล่านี้จึงทำให้น่าเชื่อว่าบันทึกการจับกุมได้กระทำไปโดยถูกต้องตามอำนาจหน้าที่
๕..การถูกจับกุมทันทีทันใดหลังเกิดเหตุ คำให้การที่ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้จับกุมแทบไม่มีเวลาคิดปรุงแต่งข้อเท็จจริงหรือได้รับการเสี้ยมสอนจากบุคคลอื่นโดยเฉพาะนักกฎหมายที่เซี้ยมว่าต้องให้การแบบนั้นแบบนี้เพื่อประโยชน์ในการต่อสู้คดี ดังนั้นคำให้การที่ให้การทันทีทันใดในชั้นจับกุมโดยไม่มีโอกาสปรึกษาใครและเป็นคำให้การหลังเกิดเหตุใหม่ๆจึงน่าเชื่อว่าให้การตามความเป็นจริง
๖. การพูด “ ขอเสื้อ” นั้นไม่ได้หมายความว่าเป็นการขอกันตามปกติประเพณีนิยมทั่วไป ทั้งจำเลยเองก็ไม่รู้จักกับผู้เสียหาย ไม่มีความสนิทสนมกันที่จะสามารถเอ๋ยปากขอเสื้อที่ผู้เสียหายใส่ได้ อีกทั้งสถาบันของจำเลยและของผู้เสียหายก็ไม่ถูกกันมีเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำ คำว่า “ ขอเสื้อ” นี้ จึงไม่ได้หมายความว่า เป็นการขอโดยให้ผู้เสียหายสมัครใจให้ แต่เป็นการพูดในทำนองบังคับข่มขู่ให้มอบเสื้อให้มากกว่า หากไม่ยอมมอบให้อาจถูกประทุษร้าย อีกทั้งการขอเสื้อเป็นไปในลักษณะเป็นการข่มขู่โดยจำเลยจับเสื้อช๊อปของผู้เสียหายไว้ในขณะที่พูดขอเสื้อ ครั้นถูกปฏิเสธจำเลยจึงล้วงมีดคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อผู้เสียหายถูกเพื่อนจำเลยต่อย จำเลยก็เข้าต่อยผู้เสียหายจนได้เสื้อช๊อปของผู้เสียหาย แสดงให้เห็นเจตนาจำเลยที่ต้องการแย่งการครอบครองเสื้อจากผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายไม่ยินยอมก็ใช้กำลังประทุษร้ายจนได้เสื้อมา
๗.ปกติมีดคัตเตอร์ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพแต่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการตัดวัสดุต่างๆใช้ในชีวิตประจำวันหรือใช้ในการเรียน การฝึกงานทางศิลปะหรือทางการช่าง แต่เมื่อจำเลยล้วงมีดคัตเตอร์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อขู่บังคับเอาเสื้อจากผู้เสียหาย มีดคัตเตอร์ซึ่งไม่ใช่อาวุธโดยสภาพแต่ได้ใช้หรือเจตนาใช้ประทุษร้ายร่างกายสาหัสอย่างอาวุธ คัตเตอร์จึงเป็นอาวุธตาม ปอ มาตรา ๑(๕)
๘เมื่อจำเลยกับพวก.ได้ไปซึ่งเสื้อช๊อปแล้วก็หยุดขู่เข็ญ พร้อมลงจากรถโดยสารคันเกิดเหตุ แสดงว่ามีเจตนาประสงค์ต่อเสื้อช๊อปเป็นสำคัญมากกว่าการต้องการข่มขู่ให้ผู้เสียหายกลัวหรือเป็นการอวดอำนาจว่ามีอยู่เหนือผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยกับพวกจึงเป็นการร่วมกันลักทรัพย์โดยมีอาวุธโดยร่วมกันกระทำความผิดร่วมกันตั้งแต่สองคน จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธตาม ปอ มาตรา ๓๓๙วรรคสองประกอบมาตรา ๓๓๕
๙.ส่วนในคำพิพากษาฏีกาข้อที่สองนั้น เมื่อจำเลยกับพวกขึ้นไปบนรถโดยสารประจำทางได้ บังคับขู่เข็ญให้ผู้เสียหายถอดเสื้อฝึกงานและแหวนรุ่นซึ่งทำมีราคาเล็กน้อย ศาลฏีกาไปมองว่าตัวทรัพย์มีราคาเล็กน้อยเป็นแหวนรุ่นได้ไปก็แทบเอาไปทำประโยชน์อะไรไม่ได้ขายก็ไม่ได้ราคา ศาลนำกรณีนี้ไปพิจารณาจนเห็นว่าการกระทำของ จำเลยกับพวกกระทำไปเป็นการแสดงอำนาจบาดใหญ่ด้วยความคึกคะนองเพื่อให้ผู้เสียหายซึ่งเป็นนักศึกษาต่างสถาบันซึ่งมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับสถาบันของจำเลยเห็นว่าเป็นคนเก่งพอที่จะรังแกคนได้ตามวิสัยวัยรุ่นที่มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ไม่ได้มุ่งหวังเพื่อให้ได้ประโยชน์แห่งทรัพย์ ไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ แต่เป็นความผิดต่อเสรีภาพซึ่งเป็นส่วนหนึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้องมาจึงลงโทษตามที่พิจารณาได้ความ ด้วยความเคารพในคำพิพากษาฏีกา การกระทำของจำเลยจะประสงค์ต่อทรัพย์หรือไม่เป็นเจตนาที่รู้ในใจของจำเลยเพียงคนเดียว แต่จำเลยย่อมทราบดีว่าจำเลยไม่มีอำนาจแย่งการครอบครองเสื้อของคนอื่นมาอยู่ในความครอบครองของตนเองจะอ้างว่าไม่ประสงค์ต่อทรัพย์ แค่ต้องการอวดว่าตนมีอำนาจเหนือกว่าน่าจะไม่ใช่ ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์แล้ว
๑๐. ส่วนเสื้อและแหวนจำเลยไม่มีสิทธิ์ยึดถือต้องคืนแก่ผู้เสียหายตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๖ และปวอ มาตรา ๔๓
๑๑ หลังจากถอดเสื้อและแหวนแล้ว กลุ่มเพื่อนจำเลยสามคนได้ชกต่อยผู้เสียหาย จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายในระยะหนึ่งฟุต แต่ผู้เสียหายยกขาและแขนปิดไว้กระสุนปืนถูกกระดุมเสื้อที่เป็นเหล็กเป็นเหตุให้ไม่ถูกอวัยวะสำคัญ อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรงเมื่อเล็งยิงไปที่ผู้เสียหายแล้วถือว่ามีเจตนาฆ่าผู้เสียหายแล้วจะด้วยเจตนาประสงค์ต่อผลหรือเล็งเห็นผลก็ตาม โดยจำเลยลงมือกระทำการไปตลอดแล้วแต่การกระทำไม่บรรลุผลเพราะผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย การกระทำดังกล่าวจึง เป็นความผิดฐานพยายามฆ่า มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันสมควรตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๘๐,๓๗๑ พรบ.อาวุธปืนฯมาตรา ๗,๘ทวิ,๗๒,๗๒ทวิ
๑๒.หากไม่ตอบในฐานความผิดฐาน มีอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันสมควรตามพรบ.อาวุธปืนฯมาตรา ๗,๘ทวิ,๗๒,๗๒ทวิ และ ปอ มาตรา ๓๗๑ คะแนนย่อมขาดหายไป จึงไม่แปลกที่บางคนบอกทำข้อสอบได้ตอบตรงตามฏีกาแต่ทำไมสอบไม่ได้
๑๓.ศาลฏีกาพิจารณาว่า ฟ้องในความผิดฐานหนึ่ง(ฐานปล้นทรัพย์)ทางพิจารณาได้ความว่าเป็นความผิดอีกฐานหนึ่ง(ฐานกระทำผิดต่อเสรีภาพ)ซึ่งความผิดฐานนี้เป็นองค์ประกอบของความผิดฐานปล้นทรัพย์ตามที่ฟ้องมา เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยหลงต่อสู้ในฟ้องที่ผิดไป ศาลสามารถลงโทษในความผิดตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ปวอ มาตรา ๑๙๒วรรคสามได้
๑๔.สำหรับคำพิพากษาฏีกาเรื่องที่สาม ขณะที่รถประจำทางที่ผู้เสียหายทั้งสองนั่งติดสัญญาณไฟแดง จำเลยที่ ๓ วิ่งเข้ามาถามผู้เสียหายทั้งสองว่า เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ท หรือเปล่า ในขณะที่จำเลยที่ ๒ วิ่งขึ้นไปบนรถใช้มีดสะปาต้าฟันที่แขนซ้ายผู้เสียหายที่ ๑ บาดเจ็บ และใช้มีดจี้เอาเสื้อฝึกงาน นาฬิกาข้อมือ ไป พวกของจำเลยทั้งสามขึ้นไปล้วงกระเป๋าเงิน พร้อมเงินสด ๑๐ บาทไป จำเลยที่ ๑ ขึ้นไปกระชากสร้อยคอทองคำ ๑ เส้น จากคอผู้เสียหายที่ ๒ แม้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กระทำต่อผู้เสียหายในคราวเดียวกัน แต่ก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ที่ ๓ กับพวก ไม่ได้สมคบ ร่วมรู้ความคิดอันมีลักษณะประสงค์ต่อทรัพย์เพียงแต่พวกจำเลยทั้งสามชวนไปตีพวกนักศึกษาวิทยาลัย ท ลักษณะที่จำเลยที่ ๓ แยกไปสอบถามผู้เสียหายทั้งสองน่าเป็นความคึกคะนองและพาลหาเรื่องหาใช่แบ่งหน้าที่กันทำเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยที่ ๑ กระชากสร้อยคอผู้เสียหายที่ ๒ เป็นลักษณะถือโอกาสเป็นส่วนตัวลำพังผู้เดียว การกระทำจำเลยที่ ๑ เป็นวิ่งราวทรัพย์ ปอ มาตรา ๓๓๖ วรรคแรก พวกจำเลยถือโอกาสขณะนั้นนำทรัพย์ผู้เสียหายไปโดยพละการ ไม่ได้ร่วมคิด จำเลยที่ ๑ ที่ ๓ ไม่มีความผิดปล้นทรัพย์ ด้วยความเครารพในคำพิพากษาศาลฏีกาในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า เมื่อจำเลยกับพวกขึ้นมาบนรถก็ใช้อาวุธเข้าทำร้ายและเอาทรัพย์สินของผู้เสียหายไปทันที ไม่น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งหมดจะไม่รู้หรือตกลงกันก่อนในการประทุษร้ายต่อทรัพย์ผู้เสียหาย น่าเชื่อว่ามีการตกลงกันแต่แรกแล้วว่า หากพบนักศึกษาที่มหาวิทยาลัย ท ให้เข้าทำร้ายและแย่งชิงทรัพย์ของผู้เสียหายไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อฝึกงานต้องเอามาให้ได้ การสอบถามว่าเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ท หรือไม่ก็น่าเพื่อจะได้ทำไม่ผิดตัว แต่ศาลฏีกาคงมองไปว่าหากมีเจตนาประทุษร้ายต่อทรัพย์ทำไมเมื่อขึ้นมาบนรถโดยสารประจำทางซึ่งมีคนอยู่มากทำไมไม่แย่งเอาทรัพย์จากผู้โดยสารคนอื่นบ้าง ศาลฏีกาอาจมองที่ประเด็นนี้ก็ได้และอาจมองว่าเอาเงินไปเพียง ๑๐ บาท หากจะทำการปล้นหากปล้นผู้โดยสารคนอื่นน่าจะได้เงินมากกว่านี้ก็ได้ เป็นเรื่องการฟังข้อเท็จจริงว่ามีเจตนาเพียงข่มขู่ดูหมิ่นสถาบันอื่นด้วยการเอาเสื้อหรือเครื่องหมายสถาบันนั้นมา หรือมีเจตนาปล้นทรัพย์ หากจำเลยไม่มีเจตนาประสงค์ต่อทรัพย์ก็เอาไปเพียงเสื้อฝึกงานตัวเดียวก็พอ ไม่มีความจำเป็นต้องเอาทรัพย์อื่นไปด้วย หากไม่ตกลงกันมาแต่แรกแล้วเมื่อเข้าทำร้ายจะเอาทรัพย์ไปด้วยหรอ หากตกลงกันเพียงต้องการทำร้ายเมื่อพบผู้เสียหายก็น่าที่จะตรงเข้าทำร้ายโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์อื่น แต่ข้อเท็จจริงที่ได้ต่างคนต่างเข้าทำร้ายต่างคนต่างหยิบฉวยทรัพย์ผู้เสียหายไป เป็นความเห็นส่วนตัวครับ เมื่อศาลฏีกาตัดสินแล้วก็เคารพในคำพิพากษาฏีกา

ไม่มีความคิดเห็น: