ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559

“ค่าเสียหายที่ศาลไม่ให้”

๑.ค่าใช้จ่ายในการทวงหนี้ คำพิพากษาฏีกา ๖๙๑/-๒๕๑๑
๒.ค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดี คำพิพากษาฏีกา ๒๘๐/๒๔๙๐
๓.ค่าฤชธรรมเนียมในการฟ้องคดี คำพิพากษาฏีกา ๑๐๘๘/๒๕๓๐
๔.ค่าขาดรายได้จากการฉายภาพยนตร์เร่เมื่อรถที่ซื้อถูกยึดไป คำพิพากษาฏีกา ๒๑๙ฅ๙/๒๕๑๔
๕.กู้เงินเพื่อไปซื้อทรัพย์ ดอกเบี้ยที่เกิดไม่สามารถเรียกได้ แม้ผู้ขายทรัพย์ผิดนัดไม่ส่งมอบทรัพย์ก็ตาม คำพิพากษาฏีกา ๙๑๒/๒๕๑๔
๖.ทำสัญญาโอนสิทธิ์การเช่าโดยมีค่าตอบแทน ผู้โอนหวังว่าจะได้เงินจากผู้รับโอนจึงไปทำสัญญาซื้อขายที่ดินและอาคาร แต่ผู้รับโอนไม่ชำระเงินตามสัญญา ผู้โอนไม่มีเงินไปชำระค่าซื้อที่ดินและอาคารจึงถูกริบมัดจำ การถูกริบมัดจำไม่ใช่ผลโดยตรงจากการผิดสัญญาของผู้รับโอน จึงไม่ใช่ค่าเสียหายตามปกติ และผู้รับโอนก็ไม่อาจคาดเห็นหรือควรคาดเห็นได้ จึงไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดจากพฤติการณ์พิเศษด้วย คำพิพากษาฏีกา ๑๗๒๒/๒๕๑๕
๗.ผิดสัญญาไม่ซื้อทรัพย์จากผู้ขาย เป็นเหตุให้ผู้ขายไม่ได้ซื้อทรัพย์จากบุคคลภายนอกมาขายต่อให้ผู้ซื้อ จึงถูกริบมัดจำ หากผู้ขายคาดเห็นได้ล่วงหน้าว่าผู้ขายจะถูกริบมัดจำ ผู้ซื้อต้องรับผิดชดใช้เงินมัดจำให้ผู้ขาย คำพิพากษาฏีกา ๗๘๘/๒๔๙๙
๘.ผู้ซื้อนำสืบไมได้ว่า การถูกปรับเกิดจากการผิดสัญญาของผู้ขายโดยตรง ผู้ขายไม่ต้องรับผิด คำพิพากษาฏีกา ๑๐๗/๒๔๘๖
๙.ค่าปรับที่ผู้ซื้อต้องชำระแก่บุคคลภายนอก เป็นผลโดยตรงของการผิดสัญญาที่ไม่ใช่ค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ เมื่อค่าปรับนั้นไม่เกินควร คำพิพากษาฏีกา๔๙/-๒๕๐๙
๑๐.ถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจเป็นดุลพินิจและอำนาจพนักงานสอบสวน ไม่ใช่ผลโดยตรงจาสกการกระของจำเลย การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๖๔๗๔/๒๕๓๔
๑๑.รถโจทก์ถูกรถจำเลยชนขวางอยู่กลางถนนแล้วถูกรถคนอื่นชนซ้ำ แม้ความเสียหายเพิ่มขึ้น ก็เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย จำเลยต้องรับผิด คำพิพากษาฏีกา ๓๐๐๙/๒๕๖๒๘๗
๑๒.ค่าเช่ารถในระหว่างซ่อม โจทก์ต้องจ่ายให้ผู้ให้เช่าเป็นเงินลงทุนของโจทก์ที่จะทำให้เกิดรายได้ขึ้น ไม่ว่าจะมีเหตุละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม โจทก์ต้องจ่ายอยู่แล้ว ค่าเช่ารถจึงไม่ใช่ค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากกากรทำละเมิดของจำเลย คำพิพากษาฏีกา ๒๖๘๕/๒๕๓๔
ข้อสังเกต๑.ค่าใช้จ่ายในการทวงหนี้ .ค่าใช้จ่ายในการฟ้องคดี .ค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องคดี เป็นความเสียหายที่ไม่มีความสัมพันธ์กับเหตุ คือเป็นค่าเสียหายที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการไม่ชำระหนี้เสียทีเดียว คือไม่ใช่ “ค่าเสียหายโดยตรง”จากการที่ไม่ชำระหนี้นั้นเอง ด้วยความเครารพในคำพิพากษาศาลฏีกา ผมเห็นว่าหากชำระหนี้ตรงตามสัญญาก็ไม่มีเหตุที่ต้องทวงถาม และเมื่อทวงถามแล้วชำระหนี้ก็ไม่มีเหตุที่ต้องฟ้องคดี เมื่อไม่ฟ้องคดีก็ไม่มีเหตุที่ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องคดีแต่อย่างใด ซึ่งการใช้สิทธิ์เรียกร้องให้ชำระหนี้ซึ่งก็คือการใช้สิทธิ์ทางศาลต้องกระทำโดยการยื่นฟ้องต่อศาลตามปพพ. มาตรา ๒๑๔และ ปวพ. มาตรา ๕๕ ดังนั้นค่าใช้จ่ายดังกล่าวน่าเป็นผลโดยตรงที่เกิดจากการไม่ชำระหนี้ แต่เมื่อศาลฏีกาวินิจฉัยแบบนี้ก็เครารพในคำวินิจฉัย
๒.ค่าขาดรายได้จากการฉายภาพยนตร์เร่เมื่อรถที่ซื้อถูกยึดไป เมื่อรถถูกยึดไปจึงไม่มีรถที่จะสามารถนำภาพยนตร์เร่ไปฉายได้ แต่การที่รถถูกยึดไปไม่สามารถนำภาพยนตร์ไปฉายได้นั้นไม่ใช่ความเสียหายโดยตรงจากการที่ทำการยึดรถ ต้องย้อนถามว่าเหตุใดรถจึงถูกยึด การยึดนั้นมีกฎหมายรองรับหรือให้อำนาจในการยึดหรือไม่อย่างไร หากยึดโดยถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่าจะมีผลทำให้ไม่มีรถนำภาพยนตร์เร่ไปฉายก็ตาม ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ใช่ผลโดยตรงจากการยึด ค่าเสียหายในส่วนนี้จึงไม่สามารถเรียกได้
๓.ดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้เงินเพื่อไปซื้อทรัพย์เป็นเรื่องตามปกติที่การกู้ยืมเงินย่อมมีการเรียกดอกเบี้ยกัน แม้ว่าการกู้ยืมเงินเพื่อนำไปซื้อทรัพย์ โดยหวังว่าจะได้รับมอบทรัพย์เพื่อจะนำไปขายต่อเพื่อเอากำไรอีกทีหนึ่งก็ตาม ดอกเบี้ยที่เกิดไม่ใช่ความเสียหายตามปกติที่คู่กรณีจะคาดเห็นหรือควรคาดเห็นได้ จึงไม่สามารถเรียกดอกเบี้ยได้ แม้ผู้ขายทรัพย์ผิดนัดไม่ส่งมอบทรัพย์ก็ตาม แต่หากผู้ซื้อได้แจ้งให้ผู้ขายทราบว่าต้องส่งมอบทรัพย์ให้ตรงตามกำหนดในสัญญาเพราะตนไปกู้เงินมาซื้อทรัพย์ เมื่อได้ทรัพย์มาแล้วจะได้นำทรัพย์ไปขายเพื่อชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย หากแจ้งแล้วผู้ขายยังไม่ส่งมอบทรัพย์ให้ตรงตามสัญญาเป็นเหตุให้ผู้กู้ไม่สามารถนำสินค้าไปขายเพื่อนำเงินมาชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย หากเป็นดังนี้ผู้ขายต้องรับผิด
๔.ทำสัญญาโอนสิทธิ์การเช่าโดยมีค่าตอบแทน ผู้โอนหวังว่าจะได้เงินจากผู้รับโอนจึงไปทำสัญญาซื้อขายที่ดินและอาคาร แต่ผู้รับโอนไม่ชำระเงินตามสัญญา ผู้โอนไม่มีเงินไปชำระค่าซื้อที่ดินและอาคารจึงถูกริบมัดจำ การถูกริบมัดจำไม่ใช่ผลโดยตรงจากการผิดสัญญาของผู้รับโอน จึงไม่ใช่ค่าเสียหายตามปกติ และผู้รับโอนก็ไม่อาจคาดเห็นหรือควรคาดเห็นได้ จึงไม่ใช่ค่าเสียหายอันเกิดจากพฤติการณ์พิเศษด้วย แต่หากแจ้งให้ผู้รับโอนทราบว่าตนต้องนำเงินจากผู้รับโอนไปซื้อที่ดินและอาคารอีกที ซึ่งหากไม่ได้เงินก้อนนี้ก็จะไม่มีเงินชำระราคาซึ่งตนจะถูกริบมัดจำ หากได้แจ้งแล้วผู้รับโอนยังไม่ยอมจ่ายเงิน ผู้รับโอนต้องรับผิด
๕.ผิดสัญญาไม่ซื้อทรัพย์จากผู้ขาย เป็นเหตุให้ผู้ขายไม่ได้ซื้อทรัพย์จากบุคคลภายนอกมาขายต่อ จึงถูกริบมัดจำ หากผู้ขายคาดเห็นได้ล่วงหน้าว่าผู้ขายจะถูกริบมัดจำ ผู้ซื้อต้องรับผิดชดใช้เงินมัดจำให้ผู้ขาย แต่หากไม่ทราบเรื่องดังกล่าวก็ไม่ต้องรับผิดในมัดจำที่ถูกริบ
๖.ผู้ซื้อนำสืบไมได้ว่า การถูกปรับเกิดจากการผิดสัญญาของผู้ขายโดยตรง ผู้ขายไม่ต้องรับผิด
๗.ค่าปรับที่ผู้ซื้อต้องชำระแก่บุคคลภายนอก เป็นผลโดยตรงของการผิดสัญญาที่ไม่ใช่ค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุ เมื่อค่าปรับนั้นไม่เกินควร
๘..การที่ถูกจับแล้วจะถูกควบคุมตัวที่สถานีตำรวจหรือไม่นั้นเป็นดุลพินิจและอำนาจพนักงานสอบสวนว่าจะควบคุมตัวหรือจะอนุญาตให้ประกันตัวไปโดยมีหลักประกันหรือไม่มีหลักประกันหรือมีบุคคลมาประกันตัว เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนว่าจะดำเนินการอย่างไร ไม่ใช่ทุกคดีพนักงานสอบสวนจะควบคุมตัวผู้ต้องหาทุกคดีก็หาไม่ การถูกควบคุมตัวเป็นไปตามบทบัญญัติที่กฎหมายให้อำนาจพนักงานสอบสวนไว้กรณีที่ผู้ต้องหาไม่ประกันตัวจึงต้องถูกควบคุมตัวเพื่อกันการหลบหนีเป็นไปตามกฎหมายกระบวนการพิจารณาทางอาญา จึง ไม่ใช่ผลโดยตรงจากการกระของจำเลย การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์
๙.รถโจทก์ถูกรถจำเลยชนขวางอยู่กลางถนนแล้วถูกรถคนอื่นชนซ้ำ แม้ความเสียหายเพิ่มขึ้น ก็เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย จำเลยต้องรับผิด เพราะเมื่อรถถูกชนแล้วจอดขวางถนนไม่ได้ถูกเข็นไว้ข้างทาง รถที่ผ่านไปมามีโอกาสชนได้สูง คาดหมายได้ว่ารถที่ถูกชนอยู่บนถนนอาจถูกรถที่ผ่านไปมาชนซ้ำอีกได้ การที่มีรถวิ่งมาชนซ้ำจึงเป็นผลโดยตรงจากการที่รถถูกชนขว้างถนน คนที่ขับรถชนในครั้งแรกจึงต้องรับผิดในความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพราะเป็นผลโดยตรงที่ไม่ไกลเกินเหตุแต่อย่างใด
๑๐.ค่าเช่ารถในระหว่างซ่อม โจทก์ต้องจ่ายให้ผู้ให้เช่าเป็นเงินลงทุนของโจทก์ที่จะทำให้เกิดรายได้ขึ้น ไม่ว่าจะมีเหตุละเมิดเกิดขึ้นหรือไม่ก็ตาม โจทก์ต้องจ่ายอยู่แล้ว ค่าเช่ารถจึงไม่ใช่ค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดจากกากรทำละเมิดของจำเลย เพราะแม้ไม่มีอุบัติเหตุก็ต้องจ่ายค่าเช่าอยู่แล้ว การจ่ายค่าเช่าจึงไม่ใช่ผลโดยตรงมาจากการที่รถถูกชนแต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น: