คดีนี้ เริ่มต้นจากการที่จำเลยมีฐานะเป็นทนายความ ได้ยักยอกเงินของโจทก์ไปจำนวนหนึ่ง จนกระทั่งมีการฟ้องดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหา "ยักยอก" ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ หรือความผิดต่อส่วนตัว ตาม ป.อ. มาตรา 356
ในระหว่างพิจารณาคดีอาญา โจทก์และจำเลยได้ตกลงยอมความกันทั้งในทางแพ่งและทางอาญา คือ หากจำเลยนำเงินมาคืนตามจำนวนที่ตกลงภายในกำหนดเวลาแล้ว จะถอนฟ้องคดีอาญา และไม่ติดใจเรียกร้องใดๆ จากจำเลยอีก แต่จำเลยกลับไม่ปฏิบัติตามที่ตกลงกับโจทก์อย่างครบถ้วน จนพ้นกำหนดเวลาที่จะให้นำเงินมาชำระคืนเช่นนี้ เห็นว่า สัญญาที่คู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันเป็น "การยอมความกันในคดีความผิดต่อส่วนตัว " โดยมีเงื่อนไข ฉะนั้น สิทธินำคคีอาญามาฟ้องของโจทก์จะระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) ก็ต่อเมื่อจำเลยนำเงินมาคืนจนครบตามจำนวนและภายในกำหนดเวลาที่ตกลงกันไว้ จึงจะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในข้อหาดังกล่าวระงับไปทันที โดยไม่จำเป็นต้องถอนฟ้องต่อศาลอีกต่อไปก็ได้
แต่เมื่อจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ข้อตกลงเกี่ยวกับการยอมความจึงสิ้นสุดลง ศาลจึงต้องดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป #แม้จำเลยจะนำเงินมาคืนจนครบจำนวนภายหลังแล้วก็ตาม #ก็เป็นเพียงการบรรเทาความเสียหายในทางแพ่งเท่านั้น #ไม่ถือเป็นการทำตามที่ตกลงกันไว้แต่แรกอันจะทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับอีกแต่อย่างใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น