ผู้ต้องหาครอบครองยาเสพติดไว้เพื่อแบ่งกันเสพกับบุคคลอื่นๆ หรือร่วมกันซื้อยาเสพติดมาแล้วแบ่งกันเสพกับบุคคลอื่นๆ จะถือว่าเป็นการครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่ มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาสองแนว ด้วยกัน คือ
1.กรณีที่ผู้กระทำผิดซื้อยาเสพติดมาเพื่อเสพร่วมกันกับบุคคลอื่นๆ
หรือซื้อยาเสพติดมาให้บุคคลอื่นเสพร่วมกัน ถือเป็นการกระทำให้ยาเสพติดให้โทษแพร่กระจายไปยังบุคคลอื่นๆด้วยการ
จ่าย แจก แลกเปลี่ยน อันเป็นการจำหน่ายตาม บทนิยามของคำว่า จำหน่าย ตาม พ.ร.บ.
ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 2522 มาตรา 4 ดังนั้น การร่วมกันซื้อยาเสพติดมาแบ่งกันเสพจึงถือเป็นการครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยมีแนวคำพิพากษาฎีกาที่วินิจฉัยทำนองนี้ เช่น
3741/2553 ,2316/2544 ,2947/2543
2.ในกรณีที่ผู้กระทำผิดซื้อยาเสพติดมาเพื่อแบ่งกันเสพกับบุคคลอื่นๆ
ซึ่งบุคคลอื่นนั้นมีเจตนาจะเสพยาเสพติดกับผู้กระทำผิดมาตั้งแต่ต้น
หรือแบ่งกันเสพกับบุคคลที่ร่วมกันออกเงินเพื่อซื้อยาเสพติดมาเสพด้วยกัน ถือเป็นการมอบยาเสพติดให้ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน มิได้มีเจตนาแจก
จ่าย ขาย จำหน่าย แลกเปลี่ยน หรือให้ ให้แก่บุคคลภายนอก
จึงไม่มีความผิดฐานครอบครองเพื่อจำหน่าย เพราะคำว่าจำหน่าย
จะต้องหมายถึงการจำหน่ายให้แก่บุคคลภายนอกซึ่งมิใช่ผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน
โดยมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยเช่นนี้ เช่น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3635/2559
, 13605/2555 ,3578/2553 ,7471/2551 ,5288/2549 ,224/2549 ,4776/2545
ทั้งนี้ตามหลักการตีความกฎหมายอาญานั้น
นอกจากจะต้องตีความตามตัวอักษรแล้ว ยังต้องตีความตามเจตนารมณ์ของกฎหมายอีกด้วย
ดังจะเห็นได้ว่า แต่เดิมศาลฎีกาเคยตีความคำว่า “ผลิต” ตาม พ.ร.บ ยาเสพติดให้โทษ
พ.ศ. 2522 ซึ่งตามมาตรา 4 คำว่า “ผลิต” ให้หมายความรวมตลอดถึงการแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุด้วย
ซึ่งแต่เดิมศาลฎีกาเคยตีความเคร่งครัดตามลายลักษ์อักษรว่า การแบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุ ถือเป็นการผลิตเสมอ
ถึงแม้จะมียาเสพติดจำนวนน้อยเท่าใด
หรือถึงแม้ทำไว้เพื่อความสะดวกในการเสพยาเสพติดของตนเอง
ไม่ได้มีเจตนาเพื่อการจำหน่ายก็ถือว่าเป็นการผลิต เช่น
ถ้าผู้กระทำผิดมียาเสพติดอยู่ 2 เม็ด ทำการแบ่งบรรจุใส่หลอดกาแฟไว้ เพื่อติดตัวเอาไปเสพเอง ก็ถือเป็นการผลิต ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึงตลอดชีวิต
โดยมีคำพิพากษาศาลฎีกาที่วินิจฉัยทำนองนี้ เช่นคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2532
, 1798/2540 4183/2540 ซึ่งการตีความเช่นนี้ก่อให้เกิดผลประหลาดเป็นอย่างมาก
แต่ต่อมาศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่
ได้ตีความคำว่า “แบ่งบรรจุและรวมบรรจุ ”
โดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายมาประกอบด้วย โดย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9167/2544
วินิจฉัยว่า “
การแบ่งบรรจุยาเสพติดให้โทษเพื่อความสะดวกในการใช้หรือเสพของผู้แบ่งบรรจุเอง
มิใช่เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกแก่บุคคลทั่วไป
ไม่ใช่การแบ่งบรรจุซึ่งมีลักษณะเป็นภัยร้ายแรงต่อสังคมในทำนองเดียวกับการเพาะ ปลูก
ทำ ผสม ปรุง แปรสภาพ เปลี่ยนรูป และสังเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์
ไม่อยู่ในความหมายของคำว่า "ผลิต" ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4 จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันผลิตหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท
1 (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2544) , และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9239/2544 (โปรดดูหมายเหตุท้ายฎีกา โดยท่านศิริชัย วัฒนโยธิน)
ความเห็นของผู้เขียน
จึงมีความเห็นพ้องด้วยกับแนวคำพิพากษาศาลฎีกาแนวที่สองว่า โดยเห็นว่า
การตีความคำว่า “จำหน่าย” ตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ มาตรา 4 ย่อมจะต้องคำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายมาประกอบด้วย โดยผู้เขียนเห็นว่า การ จ่าย
แจก แลกเปลี่ยน ให้ ยาเสพติดตามมาตราดังกล่าว
จะต้องมีลักษณะเป็นการกระทำในลักษณะที่ทำให้ให้ยาเสพติดแพร่กระจายไปยังบุคคลภายนอก
มิใช่เป็นการ จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ให้
ระหว่างผู้ที่มีเจตนาร่วมกระทำผิดด้วยกันมาตั้งแต่ต้น
ตัวอย่างเช่น นาย
ก.ร่วมกันออกเงินกับเพื่อนเพื่อไปซื้อยาเสพติดมาเพื่อแบ่งกันเสพ เมื่อนาย
ก.ได้ยาเสพติดมาแล้ว ก็มอบให้กับเพื่อนเพื่อแบ่งกันเสพด้วยกัน
เช่นนี้ย่อมไม่ถือว่าการกระทำของ นาย ก. เป็นการจำหน่าย ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ
เพราะเป็นการส่งมอบยาเสพติดให้ผู้ที่ีมีเจตนาร่วมกันกระทำผิดด้วยกันมาตั้งแต่ต้น แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปว่า เพื่อนของ นาย ก.
ไม่ได้มีเจตนาเสพยาเสพติดมาตั้งแต่ต้น หรือไม่ได้ร่วมกันออกเงินซื้อยาเสพติด
แต่นาย ก.นำยาเสพติดมา จำหน่าย จ่าย แจก เพื่อให้เพื่อนเพื่อเสพร่วมกัน
ถึงแม้จะไม่ได้คิดเงิน เป็นการให้ฟรีๆ ก็ย่อมถือเป็นการจำหน่าย ตาม
พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น