คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๙/๒๕๕๙
โจทก์มีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แม้ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเพราะไม่มีผู้ใดทราบว่าผู้เสียหายออกจากบ้านไปอยู่ที่ใด อันเป็นเหตุจำเป็นให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย และคำเบิกความของผู้เสียหายในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๑๔๗/๒๕๕๐ ของศาลชั้นต้นที่ ท. ถูกฟ้องว่าร่วมกับจำเลยกระทำผิดในคดีนี้ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๓ วรรคสอง (๒) ก็ตาม แต่การที่ศาลจะวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานบอกเล่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗/๑ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลต้องกระทำด้วยความระมัดระวังและไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพังเพื่อลงโทษจำเลย เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่น มีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดี หรือมีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาสนับสนุน ดังนี้ เมื่อคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายแตกต่างจากคำเบิกความชั้นพิจารณาในคดีที่ ท. ถูกฟ้องเป็นจำเลยในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญที่บ่งชี้ว่าใครเป็นผู้ทำร้ายผู้เสียหาย และทำร้ายในลักษณะใดอย่างไร รวมตลอดถึงเหตุการณ์ภายหลังถูกทำร้ายทุกขั้นตอน ส่อแสดงว่าไม่อยู่กับร่องกับรอยเป็นข้อพิรุธ จึงเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีเหตุผลอันหนักแน่นหรือมีพฤติการณ์พิเศษแห่งคดีอันควรแก่การเชื่อถือเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อลงโทษจำเลย เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานใดแสดงว่าก่อนเกิดเหตุและขณะเกิดเหตุจำเลยได้กระทำการอย่างใดหรือมีพฤติการณ์อย่างใดแสดงว่าจำเลยอาจสมคบกับคนร้ายที่ทำร้ายผู้เสียหายมาประกอบสนับสนุน ลำพังเพียงพยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้ร่วมกับพวกกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น