ค้นหาบล็อกนี้

วันอังคารที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560

“วิวาทหรือป้องกัน”

๑.ผู้เสียหายกับพวกรุมทำร้ายจำเลยกับพวก จำเลยใช้ปืนยิงขึ้นฟ้า ๑ นัด เพื่อขู่ไม่ให้ผู้เสียหายและพวกรุมทำร้าย ลักษณะเป็นการเตือนก่อน จากนั้นได้ยิงลงพื้นระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายกับพวกเพื่อให้ถอยไป เมื่อไม่ได้ผล จึงยิงจนหมดกระสุนโดยยิงทีละนัดจนหมดลูกโม่ จำเลยพยายามยิงลงพื้นดินในระดับต่ำเพื่อไม่ให้ถูกอวัยวะสำคัญของผู้เสียหายกับพวก บาดแผลที่ผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับอยู่ในระดับต่ำกว่าเอวลงมา คงมีเพียงผู้เสียหายที่ ๓ ที่มีแผลทางแผ่นหลังเมื่อนอนมอบลงแล้ว แสดงว่าจำเลยไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ผู้เสียหายกับพวกได้รับอันตรายถึงชีวิต ฟังได้ว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่า ที่ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า โดยไม่ได้บรรยายผู้เสียหายทั้งสี่ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วัน เมื่อฟังไม่ได้ว่ามีเจตนาฆ่า จะลงโทษจำเลยตาม ปอ มาตรา ๒๙๗(๘) ไม่ได้ ศาลลงโทษได้เพียง ปอ มาตรา ๒๙๕
จำเลยกับพวกได้กลับมาที่เกิดเหตุเพื่อเอารถจักรยานยนต์ของตนที่จอดทิ้งไว้ ไม่ได้กลับมาหาเรื่องและชวนทะเลาะ วิวาทกับผู้เสียหายกับพวก การที่ผู้เสียหายที่ ๑ กับพวก เข้าไปรุมทำร้ายจำเลยกับพวก จำเลยกับพวกไม่มีหน้าที่ต้องหลบหนี แต่มีอำนาจที่จะป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการถูกรุมทำร้ายของผู้เสียหายกับพวก ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับพวกได้ลงมือทำร้ายชกต่อยจำเลยตกจากรถจักรยานยนต์ ภยันตรายที่จำเลยได้รับจึงถึงตัวจำเลย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้ การที่จำเลยใช้ปืนที่มีอนุภาพร้ายแรงยิงไปทางผู้เสียหายกับพวกจนหมดลูกโม้จำนวน ๖ นัด การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิ์ของตนและผู้อื่นเกินควรแก่เหตุตาม ปอ มาตรา ๖๙ การที่จำเลยมีปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพรบ.อาวุธปืนฯ เมื่อจำเลยพาติดตัวไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่มีเหตุอันควรที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามพฤติการณ์ จึงเป็นความผิดตามพรบ.อาวุธปืนฯ มาตรา ๘ทวิวรรคหนึ่งอีกกรรมแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน คำพิพากษาฏีกา ๑๓๓๖/๒๕๕๓
๒.ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเริ่มต้นด่าจำเลยก่อน แม้จำเลยโต้เถียงจนกลายเป็นทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีคำพูดที่เป็นการท้าทายให้ต่อสู้กัน ผู้เสียหายเดินไปหาจำเลยแล้วลงมือทำร้ายจำเลยก่อน จำเลยหยิบมีดปลายแหลมแทงผู้เสียหาย ย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฏหมายและใกล้จะถึง แต่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยด้วยมือเปล่า และต่างเป็นผู้หญิงด้วยกัน น่าจะทำร้ายกันไม่รุนแรงเท่าใดนัก เพียงจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงสักครั้งก็น่าจะหยุดยั้งผู้เสียหายได้แล้ว การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า ๕ ครั้ง แทงโดยแรงลึกถึงตับ ม้าม ลำไส้ใหญ่ เป็นการป้องกันเกินสิทธิ์ของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๘๐,๖๙ คำพิพากษาฏีกา ๔๒๔/๒๕๕๓
๓.ผู้ตายเข้ามาลักลอบตัดฟันต้นข้าวโพดมารดาจำเลยในเวลากลางคืน จำเลยซึ่งอาศัยอยู่กับมารดาพบเห็น ย่อมมีสิทธิ์กระทำการเพื่อป้องกันสิทธิ์ในทรัพย์สินมารดาจำเลยได้ แต่ขณะที่จำเลยยิงผู้ตายนั้นปรากฏว่า ผู้ตายถือมีดอยู่ห่าง ๒ วายังไม่พร้อมในลักษณะฟันทำร้ายจำเลย จำเลยยังมีทางหลบหลีกและยิงขู่ผู้ตายได้ เมื่อผู้ตายรู้ว่าจำเลยกับพวกมีอาวุธปืนย่อมอาศัยความมืดหลบหนี การที่จำเลยด่วนยิงผู้ตายจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ คำพิพากษาฏีกาที่ ๒๗๑๗/๒๕๒๘
๔ การกระทำที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทำการเพื่อป้องกันได้ แม้ผู้ตายกับผู้เสียหายจะกระทำการประทุษร้ายกระชากคอเสื้อ ส. และข่มขู่ท้าทายให้ชกต่อยอันเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายและไม่มีอำนาจก็ตาม แต่เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าวิวาท จำเลยก็ไม่อาจยกข้อต่อสู้ว่าจำต้องแทงทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของ ส. หรือจำเลย ที่ศาลล่างวินิจฉัยต้องกันมา และพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยถือว่าการกระทำของจำเลยเพื่อป่องกันสิทธิ์ของ ส ในขณะที่ภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึง เป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ปอ มาตรา ๖๙ เป็นการไม่ชอบ แม้การกระทำของจำเลยไม่ใช่การกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฏีกา ศาลฏีกาจึงปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น ไม่มีอำนาจแก้โทษจำเลยเพื่อกำหนดโทษใหม่ตามความผิดที่ถูกต้องและลงโทษเกินกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดไว้ได้ตาม ปวอ มาตรา ๒๑๒ ,๒๒๕ .คำพิพากษาฏีกา๑๙๘๓/๒๕๔๔
ข้อสังเกต ๑.การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายต้องเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิ์ของตนเองหรือผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากกระทำพอสมควรแก่เหตุ ผู้นั้นไม่มีความผิด ปอ มาตรา ๖๘ หากกระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งการกระทำเพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ หากการกระทำดังกล่าวเกิดจากการตื่นเต้น ตกใจกลัว ศาลจะไม่ลงโทษก็ได้ ปอ มาตรา ๖๙
๒.การพิจารณาว่าการกระทำได้พอสมควรแก่เหตุหรือไม่ให้พิจารณาจากภยันตรายที่เกิดจากการละเมิดกฎหมายและใกล้จะถึงกับวิธีการป้องกันนั้นเป็นวิถีทางน้อยที่สุดหรือไม่ การกระทำดังกล่าวได้สัดส่วนกันหรือไม่ การที่คนร้ายมาลักทรัพย์และกำลังขึ้นรถพาเอาทรัพย์ไป การที่ยิงคนร้ายถือเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำเพราะหากไม่ยิง คนร้ายคงพาทรัพย์ไปได้ แต่การกระทำดังกล่าวไม่ได้สัดส่วนเพราะชีวิตเทียบกับทรัพย์สินไม่ได้ หรือกรณีใช้มีดกับมีด ไม้กับมีด มีดกับปืน ปืนกับปืนถือได้สัดส่วนกันเพราะอาวุธดังกล่าวอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ แต่หากเป็นมือเปล่ากับปืนถือไม่ได้สัดส่วนกัน การที่จะเป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ การป้องกันนั้นต้องเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่พึงกระทำและต้องได้สัดส่วนกันด้วย
๓การที่.ผู้เสียหายกับพวกรุมทำร้ายจำเลยกับพวก จำเลยจึงใช้ปืนยิงขึ้นฟ้า ๑ นัด เพื่อขู่ไม่ให้ผู้เสียหายและพวกรุมทำร้าย ลักษณะเป็นการเตือนก่อน จากนั้นได้ยิงลงพื้นระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายกับพวกเพื่อให้ถอยไป เมื่อไม่ได้ผล จึงยิงจนหมดกระสุนโดยยิงทีละนัดจนหมดลูกโม้ การยิงปืนขึ้นฟ้าหรือการยิงปืนลงดิน เป็นการกระทำที่เป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่พึงกระทำเพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการถูกรุมทำร้าย แต่เมื่อยิงจนหมดกระสุนก็เป็นการกระทำที่เกินสัดส่วนเพราะไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายกับพวกมีอาวุธอะไรหรือไม่อย่างไร และได้ใช้อาวุธนั้นทำร้ายจำเลยกับพวกอย่างไร แม้จำเลยถูกรุม ขนาดยิงปืนขู่ขึ้นฟ้าลงดิน ผู้เสียหายกับพวกยังไม่กลัวยังตรงเข้าทำร้ายก็ตาม อาวุธปืนเป็นอาวุธร้ายแรงโดยหลักเมื่อมีการยิงไปที่บุคคลย่อมถือมีเจตนาฆ่า แต่ในกรณีนี้ การที่จำเลยพยายามยิงลงพื้นดินในระดับต่ำเพื่อไม่ให้ถูกอวัยวะสำคัญ ของผู้เสียหายกับพวกบาดแผลที่ผู้เสียหายทั้งสี่ได้รับอยู่ในระดับต่ำกว่าเอวลงมา คงมีเพียงผู้เสียหายที่ ๓ ที่มีแผลทางแผ่นหลังเมื่อนอนมอบลงแล้ว แสดงว่า แสดงว่าจำเลยไม่ได้มุ่งหมายที่จะให้ผู้เสียหายกับพวกได้รับอันตรายถึงชีวิต ฟังได้ว่าไม่ได้มีเจตนาฆ่า คงฟังได้เพียงมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น
๔. เมื่อฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า โดยไม่ได้บรรยายผู้เสียหายทั้งสี่ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บจนทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่า ๒๐ วัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า ๒๐ วันจะถือว่าถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บจนเป็นอันตรายสาหัสไม่ได้ เมื่อฟังไม่ได้ว่ามีเจตนาฆ่าแล้วก็จะลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตาม ปอ มาตรา ๒๙๗(๘) ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้บรรยายมาในฟ้องและก็ไม่ได้มีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลลงโทษฐานนี้ด้วย ศาลลงโทษได้เพียงฐานทำร้ายร่างกายตาม ปอ มาตรา ๒๙๕ เพราะเป็นเรื่องที่โจทก์ไม่ได้ประสงค์ลงโทษและเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องตาม ปวอ มาตรา ๑๙๒ วรรคแรก
๕.การที่จำเลยกับพวกได้กลับมาที่เกิดเหตุเพื่อเอารถจักรยานยนต์ของตนที่จอดทิ้งไว้ ไม่ได้กลับมาหาเรื่องและชวนทะเลาะ วิวาทกับผู้เสียหายกับพวก การที่ผู้เสียหายที่ ๑ กับพวก เข้าไปรุมทำร้ายจำเลยกับพวก จำเลยกับพวกไม่มีหน้าที่ต้องหลบหนี แต่มีอำนาจที่จะป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายที่เกิดจากการถูกรุมทำร้ายของผู้เสียหายกับพวก ทั้งข้อเท็จจริงได้ความว่า ผู้เสียหายกับพวกได้ลงมือทำร้ายชกต่อยจำเลยตกจากรถจักรยานยนต์ ภยันตรายที่จำเลยได้รับจึงถึงตัวจำเลย ไม่สามารถหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่นได้ การที่จำเลยใช้ปืนที่มีอนุภาพร้ายแรงยิงไปทางผู้เสียหายกับพวกจนหมดลูกโม้จำนวน ๖ นัด การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิ์ของตนและผู้อื่นเกินควรแก่เหตุตาม ปอ มาตรา ๖๙ การที่จำเลยมีปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพรบ.อาวุธปืนฯ เมื่อจำเลยพาติดตัวไปโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และไม่มีเหตุอันควรที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามพฤติการณ์ จึงเป็นความผิดฐานมีและใช้อาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันควร ตามพรบ.อาวุธปืนฯ มาตรา ๗,๘ทวิวรรคหนึ่งอีกกรรมแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงทุกกรรม
๖การที่.ผู้เสียหายเป็นฝ่ายเริ่มต้นด่าจำเลยก่อน อันเป็นความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า อันเป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย แม้จำเลยโต้เถียงจนกลายเป็นทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีคำพูดที่เป็นการท้าทายให้ต่อสู้กัน เพียงแค่คำพูดยังไม่ถึงกับเป็นภยันตรายที่ละเมิดกฏหมายที่อีกฝ่ายต้องตอบโต้ด้วยการทำร้าย การตอบโต้ด้วยการทำร้ายเป็นการกระทำที่ไม่ได้สัดส่วนกับการถูกด่า การที่ ผู้เสียหายเดินไปหาจำเลยแล้วลงมือทำร้ายจำเลยก่อน จึงเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดภยันตรายอันละเมิดกฏหมาย เมื่อจำเลยหยิบมีดปลายแหลมแทงผู้เสียหาย ย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฏหมายและใกล้จะถึง แต่การที่ผู้เสียหายทำร้ายจำเลยด้วยมือเปล่า และต่างเป็นผู้หญิงด้วยกัน น่าจะทำร้ายกันไม่รุนแรงเท่าใดนัก เพียงจำเลยใช้มีดปลายแหลมแทงสักครั้งก็น่าจะหยุดยั้งผู้เสียหายได้แล้ว การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหายไม่ต่ำกว่า ๕ ครั้ง แทงโดยแรงลึกถึงตับ ม้าม ลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญที่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่ไม่ได้สัดส่วนกันระหว่างมือเปล่ากับมีด ทั้งเป็นการแทงหลายครั้งที่อวัยวะสำคัญที่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสิทธิ์ของจำเลยเกินสมควรแก่เหตุ มีความผิดฐานพยายามฆ่าโดยป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ ตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๘๐,๖๙ ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฏหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
๗การที่.ผู้ตายเข้ามาลักลอบตัดฟันต้นข้าวโพดมารดาจำเลยในเวลากลางคืน แม้เป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายเป็นความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์ จำเลยซึ่งอาศัยอยู่กับมารดาพบเห็น ย่อมมีสิทธิ์กระทำการเพื่อป้องกันสิทธิ์ในทรัพย์สินมารดาจำเลยได้ แต่ขณะที่จำเลยยิงผู้ตายนั้นปรากฏว่า ผู้ตายถือมีดอยู่ห่าง ๒ วายังไม่พร้อมในลักษณะฟันทำร้ายจำเลย จำเลยยังมีทางหลบหลีกและยิงขู่ผู้ตายได้ เมื่อผู้ตายรู้ว่าจำเลยกับพวกมีอาวุธปืนย่อมอาศัยความมืดหลบหนี การที่จำเลยด่วนยิงผู้ตายแม้เป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะห้ามไม่ให้ผู้ตายตัดฟันข้าวโพดของมารดาตนก็ตาม ส่วนมีดกับปืนดูแล้วเหมือนได้สัดส่วนกันก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะใช้อาวุธมีดเข้าทำร้ายจำเลยอย่างไร การที่อยู่ห่างกันถึง ๒ วาก็ยังไม่เป็นการแน่ว่าจะสามารถใช้มีดทำร้ายผู้เสียหายได้หรือไม่ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
๘. การกระทำที่จะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง หากภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึงเสียแล้วย่อมไม่อาจกระทำการเพื่อป้องกันได้ แม้ผู้ตายกับผู้เสียหายจะกระทำการประทุษร้ายกระชากคอเสื้อ ส. และข่มขู่ท้าทายให้ชกต่อยอันเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อกฎหมายและไม่มีอำนาจก็ตาม แต่เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าวิวาท ถือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด ไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย เมื่อต่างฝ่ายสมัครใจวิวาทกันจะอ้างว่าเป็นภยันตรายที่ละเมิดกฎหมายที่จะถูกทำร้ายร่างกายจากอีกฝ่ายย่อมไม่อาจอ้างได้ จำเลยจึงไม่อาจยกข้อต่อสู้ว่าจำต้องแทงทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของ ส. หรือจำเลย การกระทำของจำเลยไม่ใช่การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
๙. ที่ศาลล่างวินิจฉัยต้องกันมา และพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่นและพยายามฆ่าผู้อื่นโดยถือว่าการกระทำของจำเลยเพื่อป้องกันสิทธิ์ของ ส ในขณะที่ภยันตรายยังไม่ใกล้จะถึง เป็นการกระทำป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกันตาม ปอ มาตรา ๖๙ นั้นเป็นการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง เพราะการกระทำดังกล่าวไม่ใช่การป้องกัน แม้การกระทำของจำเลยไม่ใช่การกระทำโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฏีกา คำพิพากษาจึงเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลล่าง ศาลฏีกาจึงได้แค่ปรับบทลงโทษจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น ไม่มีอำนาจแก้โทษจำเลยเพื่อกำหนดโทษใหม่ตามความผิดที่ถูกต้องและลงโทษเกินกว่าที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดไว้ได้ตาม ปวอ มาตรา ๒๑๒ ,๒๒๕ ที่ห้ามศาลฏีกาพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยโดยโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มเติมโทษ
๑๐.ข้อน่าคิดชวนสังเกต
๑๐.๑กรณีที่ฟังว่ายิงขึ้นฟ้าเป็นการยิงขู่ ยิงลงดินเพื่อเป็นการเตือน นักกฏหมายบางท่านอาจมองว่าจำเลยไม่กล้ายิงก็ได้เลยยิงขึ้นฟ้าและลงดิน หรือเกิดจากวิธีการใช้ปืนไม่ถูกต้องกระสุนปืนจึงขึ้นฟ้าหรือลงดิน
๑๐.๒.การที่วินิจฉัยว่า ยิงหมดกระสุนโดย ยิงที่ละนัดนั้นเห็นว่า เมื่อเป็นปืนลูกโม้ไม่สามารถยิงติดต่อกันแบบออโตเมตริกได้ เมื่อเป็นปืนลูกโม้ไม่สามารถยิงติดต่อเนื่องกันได้ การที่วินิจฉัยว่ายิงทีละนัดคงไม่ถูกต้อง
๑๐.๓.หากจะฟังว่าจำเลยพยายามยิงลงพื้นดินในระดับต่ำเพื่อไม่ให้ถูกอวัยวะสำคัญ ซึ่งความจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น ที่ยิงลงต่ำหรือยิงลงบนพื้นดินเพราะยิงไม่แม่น เหนียวไกลปืนแรงไปปืนกระตุกทำให้ลูกปืนลงพื้นดิน ลมหายใจก็ดี การเหนียวไกลปืนแรงไปก็ดี การอยู่ในภาวะตกใจก็ดีเหล่านี้มีผลกระทบในการยิงปืนทั้งสิ้น แทนที่จะยิงถูกเป้า กลายเป็น กระสุนอาจขึ้นฟ้าหรือลงดิน “กรรมหรือการกระทำ”ประกอบพฤติการณ์แวดล้อมอื่นเท่านั้นที่เป็นเครื่องชี้เจตนาว่ามีเจตนายิงคนหรือมีเจตนายิงลงต่ำหรือยิงขึ้นฟ้า หากศาลไม่ฟังว่าจำเลยพยายามยิงลงพื้นดินในระดับต่ำเพื่อไม่ให้ถูกอวัยวะสำคัญ แต่มีเจตนายิงคน แต่ยิงไม่แม่นกระสุนปืนลงดินหรือขึ้นฟ้า ผลเป็นอย่างไร? ผลของการวินิจฉัยย่อมเปลี่ยนไป จึงอยู่ที่ดุลพินิจของผู้ตัดสินที่จะเชื่อว่ามีเจตนายิงคน หรือมีเจตนายิงลงดินหรือมีเจตนายิงขึ้นฟ้า
๑๐.๔.จำเลยกับพวกได้กลับมาที่เกิดเหตุเพื่อเอารถจักรยานยนต์ของตนที่จอดทิ้งไว้ ไม่ได้กลับมาหาเรื่องและชวนทะเลาะ หากการกลับมานั้น เป็นการขับรถไล่ตามกันมา การที่จอดรถขว้างด้านหน้าและด้านหลังแล้วลงมาจากรถเข้ามาหาโดยลงมาจากรถหลายคน กรณีนี้ผลอาจต่างจากการกลับมาเพื่อมาเอารถจักรยานยนต์ตามคำพิพากษาฏีกาข้างต้น
๑๐.๕.สังเกตุจากแนวคำพิพากษาฏีกา การเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายหนึ่ง ศาลมองว่ามีเจตนาพร้อมที่จะทะเลาะวิวาท เดินเข้าไปหาเพื่อหาเรื่อง เสียมากกว่าเดินเข้าไปเพื่อไปปรับความเข้าใจหรือขอโทษ ดังนั้น การอยู่กลับที่น่าที่จะปลอดภัยมากกว่า
๑๐.๖ถูกทำร้ายด้วยมือแต่ใช้มีดแม้เป็นหนทางน้อยที่สุดที่จะกระทำเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ก็เป็นการกระทำที่ไม่ได้สัดส่วนระหว่างมือเปล่ากับมีด แทงหลายครั้งส่อเจตนาฆ่า มีโอกาสเลือกแทงที่ไม่สำคัญได้แต่จะไม่แทงจะแทงแต่อวัยวะสำคัญที่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ ส่อมีเจตนาฆ่า .การที่เดินเข้าไปหา ศาลมองว่ามีเจตนา “ สมัครใจทะเลาะวิวาท” เสียมากกว่า หากไม่มีเจตนาทะเลาะวิวาท อภัยกันได้ ก็อภัยไป ผ่านไปได้ก็ผ่านไป แล้วไปแล้วก็ให้แล้วไป ยอมถอย ๑ ก้าว เรื่องใหญ่ก็กลายเป็นเรื่องเล็ก ยอมถอยอีกก้าวเรื่องเล็กก็หมดไป ถือว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว แต่การเดินเข้าไปหาก็คงไม่เดินเข้าไปหาเพื่อขอโทษ การเดินเข้าไปหาไม่ใช่เป็นการแสดงว่าจะเข้าไปปรับความเข้าใจ หรือเข้าไปสอบถาม แต่มีแนวโน้มว่ามีเจตนาเข้าไปหาเรื่องหรือมีเจตนาพร้อมที่จะทะเลาะวิวาท.เมื่อมีกรณีพิพาทกันก่อน การที่คู่กรณีเดินเข้ามาหามันส่อเจตนาเดินเข้ามาหาเรื่องหรือพร้อมที่จะมีเรื่องมากกว่า การเดินเข้ามาไม่ได้ส่อเจตนาว่าจะเคยมาคุย เข้ามาเคลียร์ เข้ามาปรับความเข้าใจ แต่คาดหมายได้ว่ามีเจตนาเข้ามาทำร้ายเสียมากกว่า ยิ่งพวกที่เดินเข้ามาหามีจำนวนมากกว่าผู้ที่ถูกเดินเข้ามาหาย่อมต้องมีการระวังตัวผู้ที่เดินเข้ามาหาเป็นปกติธรรมดา ดังนั้น การอยู่กับที่ย่อมปลอดภัยกว่า การที่เดินออกจากที่ตั้งที่เคยอยู่เข้าไปหาคู่กรณีที่เดินเข้ามาหา หรือการเปิดประตูรถออกไปหาคู่กรณีที่เดินเข้ามาหา แสดงว่าพร้อมที่จะโต้เถียงพร้อมที่จะวิวาท พร้อมที่จะต่อสู้ ดังนั้นใครอยู่กับที่ย่อมได้เปรียบในเชิงกฎหมาย มีสุภาษิตอยู่ว่า “การป้องกันตัวที่ดีที่สุดคือการหนี หนีได้ให้หนี หนีไม่ได้หรือไม่มีทางหนีจึงสู้ สู้ได้ แต่อย่าเจ็บ เจ็บได้แต่อย่าติดคุด ติดคุกได้แต่อย่าตาย” และ “ เมื่อรู้ว่าเสียเปรียบก็อย่าสู้”
๑๐.๗ส่วนกรณีที่มีคน.มาลักลอบตัดข้าวโพด กระทำผิดในเวลากลางคืนที่มืด ไม่อาจทราบได้แน่ชัดว่ามากันกี่คน มีอาวุธติดตัวมาด้วยหรือไม่หรือมาด้วยมือเปล่า จำเป็นหรือไม่ที่ต้องร้องห้ามก่อน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของตน ตนไม่ได้เป็นผู้เริ่มกระทำการอันละเมิดต่อกฎหมายก่อนแต่อย่างใด ไม่ทราบอีกฝ่ายมากันกี่คนมีอาวุธติดตัวมาด้วยหรือไม่ การที่จำเลยมาคนเดียวอาจถูกทำร้ายได้เพราะวิสัยคนที่มากระทำผิดกฏหมายตอนกลางคืนมักไม่มาคนเดียวหรือมาคนเดียวก็มักมีอาวุธติดตัวมาด้วยเสมอ การมาลักลอบตัดฟันข้าวโพดตอนกลางคืนเพื่อทำการลักทรัพย์ หรือมีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ ด้วยความคะนอง หรือต้องการแกล้งจำเลยหรือมารดาจำเลยก็ตาม ก็เป็นการกระทำที่เป็นภยันตรายที่ละเมิดกฎหมาย ที่บุตรสามารถทำการ ป้องกันสิทธิ์คนอื่นคือมารดาของตนที่ถูกการกระทำของผู้เสียหายที่ละเมิดกฎหมายได้
๑๐.๘มีดกับปืนถือได้สัดส่วนกันเพราะสามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้ แต่การที่ยืนห่างออกไป ๒ วา ยังไกลเกินกว่าที่จะสามารถทำร้ายได้ หากจะใช้วิธีการขว้างมีดก็ทำได้ครั้งเดียว หากขว้างแล้วไม่ถูกก็อาจถูกตอบโต้จากปืนที่สามารถยิงได้หลายนัด
๑๐.๙การกระทำต่อทรัพย์ เช่นลักทรัพย์ ทำให้เสียทรัพย์ แล้วมากระทำการป้องกันโดยยิงให้ตาย ย่อมไม่ได้สัดส่วนกัน เพราะชีวิตย่อมมีค่ามากกว่าทรัพย์สิน

ไม่มีความคิดเห็น: