๑.แม้จำเลยและผู้ตายเป็นสามีภริยากัน ผู้ตายก็ไม่มีอำนาจโดยชอบธรรมที่จะทำร้ายจำเลย เมื่อผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุด่า ตบ เตะจำเลยก่อนจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยย่อมมีสิทธ์ที่จะป้องกันตัวเองได้ การที่จำเลยใช้มีดแทงจำเลยเพื่อยับยั้งไม่ให้ผู้ตายทำร้ายจำเลยอีก เป็นการป้องกันสิทธิ์ของตนให้พ้นจากการถูกทำร้าย ผู้ตายตบแตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธ การที่จำเลยใช้มีดแปลายแหลมแทงผู้ตายหลายครั้งปรากฏบาดแผล ๕ แผล เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย เป็นการฆ่าโดยเจตนาป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ คำพิพากษาฏีกา ๑๕๗๙/๒๕๒๙
๒.ผู้ตายมาขอเงินจำเลยซึ่งเป็นภรรยาไปซื้อสุรามาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วมาขอเงินไปซื้อสุราอีกครั้ง จำเลยบอกไม่มี ผู้ตายก็บีบคอจำเลย การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันศีรษะผู้ตายจนกะโหลกแตกถึงแก่ความตาย เป็นกากรป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ คำพิพากษาฏีกา ๒๐๗๒/๒๕๓๒
๓.แม้ผู้ตายและจำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่ก็ได้หย่าขาดจากกันแล้ว ผู้ตายไม่มีความชอบธรรมที่จะพาพวกมารื้อบ้านจำเลย ถือว่า ผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ เมื่อจำเลยห้ามปรามก็ถูกผู้ตายด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทั้งสภาพของบ้านทุถูกผู้ตายรื้อเอาไม้กระดานและฝาบ้านออกจนอยู่ในสภาพไม่อาจอยู่อาศัยได้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมเหลือวิสัยที่จะกลั้นโทสะไว้ได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในทันที เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๒๙๕๘/๒๕๔๐
๔.ผู้เสียหายนอนเฝ้านาคนเดียว ผู้เสียหายไปดื่มเหล้ามาหาจำเลยเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ให้จำเลยไปหาข้าวมาให้ทาน จำเลยเดินไปเอาข้าวที่บ้านห่างออกไป ๓ เส้น เมื่อนำข้าวมาแล้ว ผู้เสียหายไม่ยอมทาน กลับบ่นว่าจำเลย และพูดถึง “ ภริยาน้อย” อีก เป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยยิงผู้เสียหายในขณะนั้น อ้างบันดาลโทสะได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๒๔๙/๒๕๓๕
๕.ผู้ตายทิ้งจำเลยไปมีภริยาใหม่ เสพสุรามึนเมามาหาจำเลยที่บ้านเพื่อจะนำบุตรไปอยู่กับภริยาใหม่ของผู้ตาย จำเลยไม่ยอมก็ถูกทุบตี เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้มีดฟันที่ศีรษะ ๑ ครั้งโดยแรง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๑๓๘/๒๕๓๒
๖.ผู้เสียหายแย่งสามีจำเลยไป สามีขับไล่จำเลยออกจากบ้าน ครอบครัวแตกแยก บุตรต้องออกจากโรงเรียน จำเลยต้องไปเช่าบ้านอยู่รายได้ไม่พอรายจ่าย นับว่าผู้เสียหายทำให้จำเลยคับแค้นใจ เมื่อจำเลยไปขอเงินจากสามี ผู้เสียหายด่าว่าและมองจำเลยตั้งแต่ศีรษะจดตีน เป็นการดูถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายเป็นการบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๖๒๙/๒๕๓๖
๗.จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากัน ทะเลาะกันอยู่เสมอด้วยความหึงหวง ผู้ตายด่าว่าและทุบตีจำเลยเป็นประจำ ลำพังเพียงการด่าและขอหย่ากับเรียกร้องเงินจากจำเลยยังไม่ใช่การข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตายไม่ใช่การกระทำโ ดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๑๕๒๔/๒๕๓๙
๘.ผู้ตายด่าจำเลยว่า “ ไอ้หน้า ....... ไม่ช่วยทำมาหากิน” เป็นการกล่าวคำหยาบคายตามปกติ ไม่ได้ทำให้ต้องอับอายขายหน้าบุคคลอื่น เพราะเพื่อนที่ดื่มสุรากับจำเลยกลับไปหมดแล้ว ถือไม่ได้ว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้มีดแทงไปที่อกผู้ตายซึ่งมีอวัยวะสำคัญภายในอย่างแรง แม้แทงเพียงครั้งเดียวก็เล็งเห็นได้ว่าอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยถือมีเจตนาฆ่า แต่ไม่ใช่กระทำไปโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๔๗๑๕/๒๕๓๖
๙.ผู้ตายบอกจำเลยว่าให้ไปหาภรรยาใหม่ ผู้ตายมีสามีใหม่แล้ว พร้อมพูดว่า “ มึงหน้าด้าน หน้าเหมือนส้นตีน “ เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น ไม่ใช่การข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จะอ้างว่าฆ่าโดยบันดาลโทสะหาได้ไม่ คำพิพากษาฏีกา๕๘๐๙/๒๕๓๔
๑๐.ผู้ตายและจำเลยอยู่ร่วมกินฉันท์สามีภรรยา ผู้ตายไปนอนค้างกับ พ. ผู้ตายบอกจำเลยต่อหน้า พ. ว่า มานอนกับ ท. ทุกคืน เป็นการเย้ยหยันว่าทำชู้กันเรื่อยๆ เป็นการสบประมาทอย่างร้ายแรง เหลือวิสัยที่จำเลยจะทนได้ เป็นการกดขี่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง การใช้ปืนยิงผู้ตายขณะนั้นเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๔๒๘/๒๕๓๖
๑๑.ผู้ตายโกรธแค้นที่ถูกจำเลยซึ่งเป็นสามีตบตี ผู้ตายไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะด่าว่าจำเลยในลักษณะดูถูกเหยียดหยามด้วยถ้อยคำหยาบคายพาดพิงถึงวงศ์ตระกูลของจำเลยในที่ว่าการอำเภอซึ่งมีคนอื่นได้ยิน ย่อมทำให้จำเลยอับอายขายหน้าและเคืองแค้นอย่างมาก เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การยิงผู้ตายเป็นกากรกระทำโดเยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๑๙๙๐/๒๕๓๑
ข้อสังเกต ๑.แม้เป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมาย มีการจดทะเบียนสมรสกัน หรือ เป็นภริยาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีการจดทะเบียนสมรส เพียง แต่มีการแต่งงานกัน หรือสมัครใจมาอยู่ด้วยกันโดยไม่มีการจดทะเบียนสมรส สามีก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกาย หากเป็นภริยาที่มีการจดทะเบียนสมรส การทำร้ายร่างกายภริยาเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ การที่สามีทำร้ายภรรยาไม่ว่าจะเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ก็ตาม ถือเป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหรือถึงแล้ว และภริยาไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิด ภริยาย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันภยันตรายนั้นให้พ้นจากตัวได้ เป็นการป้องกันตามกฎหมาย แต่จะเป็นเรื่องป้องกันพอสมควรแก่เหตุหรือเกินสมควรแก่เหตุ เกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องป้องกันหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
๒.แม้จำเลยและผู้ตายเป็นสามีภริยากัน ผู้ตายก็ไม่มีอำนาจโดยชอบธรรมที่จะทำร้ายจำเลย เมื่อผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุด่า ตบ เตะจำเลยก่อนจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยย่อมมีสิทธ์ที่จะป้องกันตัวเองได้ การที่จำเลยใช้มีดแทงจำเลยเพื่อยับยั้งไม่ให้ผู้ตายทำร้ายจำเลยอีก เป็นการป้องกันสิทธิ์ของตนให้พ้นจากการถูกทำร้าย ผู้ตายตบแตะจำเลยโดยไม่มีอาวุธ การที่จำเลยใช้มีดแปลายแหลมแทงผู้ตายหลายครั้งปรากฏบาดแผล ๕ แผล เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย แม้การแทงเพื่อยับยั้งไม่ให้จำเลยเข้าทำร้ายอีก จะเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จำเป็นจะต้องกระทำเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ก็ไม่ได้สัดส่วนเพราะผู้ตายไม่มีอาวุธและได้แทงหลายครั้ง จึงเป็นการฆ่าโดยเจตนาป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
๓.ผู้ตายมาขอเงินจำเลยซึ่งเป็นภรรยาไปซื้อสุรามาแล้วครั้งหนึ่ง แล้วมาขอเงินไปซื้อสุราอีกครั้ง จำเลยบอกไม่มี ผู้ตายก็บีบคอจำเลยเป็นภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย เป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงหรือถึงแล้ว และภริยาไม่ได้เป็นผู้ก่อให้เกิด ภริยาย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันภยันตรายนั้นให้พ้นจากตัวได้ แต่การที่ผู้ตายใช้มือเปล่าบีบคอโดยไม่มีอาวุธ การที่จำเลยใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันศีรษะผู้ตายจนกะโหลกแตกถึงแก่ความตาย แม้การฟันด้วยมีดจะเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะป้องกันตัวเอง แต่เมื่อผู้ตายไม่มีอาวุธ การใช้มีดอีโต้ขนาดใหญ่ฟันที่ศีรษะซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญอาจทำให้ถึงแก่ความตาย จำเลยยังมีโอกาสเลือกฟันที่อื่น เช่น ฟันที่แขน เพื่อให้ผู้ตายปล่อยมือที่บีบคอ การฟันผู้ตายด้วยมีดขนาดใหญ่จนกะโหลกแตก แสดงว่าฟันโดยแรง จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าการกระทำของตนอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้สัดส่วนระหว่างการกระทำที่เกิดจากการประทุษร้านอันละเมิดกฎหมายกับการกระทำที่จำต้องป้องกัน จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ
๔.แม้ผู้ตายและจำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่ก็ได้หย่าขาดจากกันแล้ว ผู้ตายไม่มีความชอบธรรมที่จะพาพวกมารื้อบ้านจำเลย ถือว่าผู้ตายเป็นผู้ก่อเหตุ เมื่อจำเลยห้ามปรามก็ถูกผู้ตายด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทั้งสภาพของบ้านที่ถูกผู้ตายรื้อเอาไม้กระดานและฝาบ้านออกจนอยู่ในสภาพไม่อาจอยู่อาศัยได้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมเหลือวิสัยที่จะกลั้นโทสะไว้ได้ การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในทันที เป็นการกระทำผิดโดยบันดาลโทสะ ด้วยความเครารพในคำพิพากษาฏีกาเห็นว่า เมื่อผู้ตายและจำเลยเลิกจากการเป็นสามีภรรยากันแล้ว การที่ผู้ตายมารื้อบ้านจำเลย เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของจำเลยโดยปกติสุขอันเป็นความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายแล้ว จำเลยสามารถป้องกันภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายนั้นได้ การกระทำของจำเลย น่าเป็นเรื่องป้องกันมากกว่าบันดาลโทสะ การกระทำความผิดฐานบุกรุกและทำให้เสียทรัพย์เป็นการกระทำแก่ตัวทรัพย์ แต่การที่จำเลยยิงผู้ตายจนถึงแก่ความตายเป็นการกระทำต่อเนื้อตัวร่างกาย จนผู้ตายถึงแก่ความตาย แม้เป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะหยุดการกระทำของผู้ตาย แต่ก็ไม่ได้สัดส่วนกันเพราะทรัพย์ที่เสียหายเทียบไม่ได้กับชีวิตที่เสียไป การกระทำจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าโดยเจตนาป้องกันเกินสมควรแก่เหตุ แต่เมื่อศาลท่านได้วินิจฉัยไว้แล้วว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะก็เคารพในคำพิพากษาศาลฏีกา
๔.. ผู้เสียหายไปดื่มเหล้ามาหาจำเลยเวลา ๒๔.๐๐ นาฬิกา ให้จำเลยไปหาข้าวมาให้ทาน จำเลยเดินไปเอาข้าวที่บ้านห่างออกไป ๓ เส้น เมื่อนำข้าวมาแล้ว ผู้เสียหายไม่ยอมทาน กลับบ่นว่าจำเลย และพูดถึง “ภริยาน้อย” อีก เป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยยิงผู้เสียหายในขณะนั้น อ้างบันดาลโทสะได้ การพูดถึง “เมียน้อย” ยังไม่ใช่การกระทำที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายยังไม่เป็นความผิดกฎหมาย แต่การพูดถึงเมียน้อยให้ภรรยาฟังเป็นคำพูดที่เสียบแทงจิตใจคนที่เป็นภรรยาอย่างยิ่งโดยเฉพาะจำเลยซึ่งคอยปรนนิบัติสามี ยอมเดินไปเอาข้าวที่บ้านที่อยู่ห่างจากนาถึง ๓ เส้นในเวลากลางคืน นำมาให้แล้วก็ไม่ยอมทาน แล้วยังมาพูดถึงเรื่องภรรยาน้อย คำพูดและการกระทำดังกล่าวเสียดแทงใจจำเลยเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมแล้ว การที่จำเลยยิงผู้เสียหายไปในทันใดนั้นย่อมเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะที่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
๕.ผู้ตายทิ้งจำเลยไปมีภริยาใหม่ เป็นการข่มเหงจำเลยซึ่งเป็นภรรยาด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ประกอบทั้งผู้ตายเสพสุรามึนเมามาหาจำเลยที่บ้านเพื่อจะนำบุตรไปอยู่กับภริยาใหม่ของผู้ตายยิ่งเป็นการทำร้ายจิตใจจำเลยผู้เป็นแม่ที่จะต้องถูกพรากบุตรไปอยู่กับหญิงอื่นซึ่งเป็นภรรยาใหม่ของพ่อซึ่งอาจไม่รักใคร่ไม่เมตตาและคิดร้ายกับบุตรของจำเลยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผู้ตายมีบุตรกับภรรยาใหม่แล้วลูกของจำเลยอาจถูกรังแกได้ จำเลยซึ่งเป็นแม่ย่อมมีอำนาจในการปกครองบุตร ตาม ปพพ มาตรา ๑๕๔๖,๑๕๖๖ เมื่อจำเลยไม่ยอมให้นำบุตรไปก็ถูกทุบตี เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้มีดฟันที่ศีรษะ ๑ ครั้งโดยแรง เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๖..ผู้เสียหายแย่งสามีจำเลยไป สามีขับไล่จำเลยออกจากบ้าน ครอบครัวแตกแยก บุตรต้องออกจากโรงเรียน จำเลยต้องไปเช่าบ้านอยู่รายได้ไม่พอรายจ่าย นับว่าผู้เสียหายทำให้จำเลยคับแค้นใจ เมื่อจำเลยไปขอเงินจากสามี ผู้เสียหายด่าว่าและมองจำเลยตั้งแต่ศีรษะจดตีน การมองคนจากหัวจดเท้าหรือเท้าจดหัวก็คือการมองแบบดูถูก ยิ่งเมื่อได้มองเมื่อจำเลยมาขอเงินจากสามีจำเลยซึ่งถูกผู้เสียหายแย่งไปจน สามีขับไล่จำเลยออกจากบ้าน ครอบครัวแตกแยก บุตรต้องออกจากโรงเรียน จำเลยต้องไปเช่าบ้านอยู่รายได้ไม่พอรายจ่าย ยิ่งทำให้จำเลยเจ็บแค้นใจ สามีที่ไปมีผู้หญิงอื่นย่อมทำให้ครอบครัวแตกแยก เงินที่เคยให้กับภรรยาก็ไม่ให้หรือให้น้อยลงเพื่อต้องนำไปจุนเจือหญิงอื่น เมื่อรายได้ไม่พอรายจ่ายย่อมก่อให้เกิดความเครียด เมื่อเครียดและไม่มีเงินใช้ก็ต้องไปขอจากสามี เมื่อสามีไม่ยอมให้เงินตามที่ตนไปขอแถมภรรยาใหม่ยังมองจากหัวจดเท้าเท้าจดหัวเป็นเชิงดูหมิ่นเหยียดหยาม การกระทำดังกล่าวเป็นการดูถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยใช้ปืนยิงผู้เสียหายในขณะนั้นเป็นการกระทำที่สามารถอ้างบันดาลโทสะได้
๗.จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภรรยากัน ทะเลาะกันอยู่เสมอด้วยความหึงหวง ผู้ตายด่าว่าและทุบตีจำเลยเป็นประจำ ลำพังเพียงการ ด่าว่า ทะเลาะกันระหว่างสามีภรรยาเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นภายในครอบครัว แม้จะมีการขอหย่ากับเรียกร้องเงินจากจำเลยก็เป็นปกติวิสัยที่คู่สมรสเห็นว่า การอยู่ด้วยกันไม่สามารถกระทำไปได้ด้วยดีมีแต่ทะเลาะวิวาท ไม่รู้จะมาทนเพื่ออะไร ทนเพื่อใคร ยิ่งไม่มีบุตรด้วยกันก็ยิ่งไม่มีอะไรมาคอยค้ำจุนหรือเตือนสติให้คิดถึงลูก ลำพังแค่การทะเลาะวิวาทด่าว่าและขอหย่ายังไม่ใช่การข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตายไม่ใช่การกระทำโ ดยบันดาลโทสะแต่อย่างใดไม่
๘.ผู้ตายด่าจำเลยว่า “ ไอ้หน้า ....... ไม่ช่วยทำมาหากิน” เป็นการกล่าวคำหยาบคายตามปกติ ไม่ได้ทำให้ต้องอับอายขายหน้าบุคคลอื่น เพราะเพื่อนที่ดื่มสุรากับจำเลยกลับไปหมดแล้ว ถือไม่ได้ว่าถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม สามีภรรยาด่ากันโต้เถียงกันถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งก็ด่าที่ตัวบุคคลไม่ได้ด่าไปถึงบุพการีหรือค่อนขอดในเรื่องความสามารถหรือความผิดปกติหรือความพิการของกายแต่อย่างใดไม่ การที่จำเลยใช้มีดแทงไปที่อกผู้ตายซึ่งมีอวัยวะสำคัญภายในอย่างแรง แม้แทงเพียงครั้งเดียวก็เล็งเห็นได้ว่าอาจทำให้ถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยถือมีเจตนาฆ่า แต่ไม่ใช่กระทำไปโดยบันดาลโทสะ แต่หากว่าข้อเท็จจริงเปลี่ยนไปโดยมีการกล่าวคำนี้ต่อหน้าเพื่อนจำเลยที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก อาจทำให้จำเลยอับอายขายหน้าเพื่อนได้ คำพิพากษาอาจเปลี่ยนไปได้
๙.ผู้ตายบอกจำเลยว่าให้ไปหาภรรยาใหม่ ผู้ตายมีสามีใหม่แล้ว พร้อมพูดว่า “ มึงหน้าด้าน หน้าเหมือนส้นตีน “ เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น ไม่ใช่การข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จะอ้างว่าฆ่าโดยบันดาลโทสะหาได้ไม่ เมื่อภรรยาไปมีสามีใหม่โดยไม่เต็มใจอยู่ด้วยหรือไม่ประสงค์อยู่ด้วยก็เลิกรากันไป ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมุ่งประหัตประหารเอาชีวิตของภรรยายังมีทางเลือกทางอื่นอีก ลำพังแค่ การไปหาผัวใหม่ก็ดี หรือคำพูดว่า “ มึงหน้าด้าน หน้าเหมือนส้นตีน “ เป็นเพียงคำหยาบคายเท่านั้น ไม่ใช่การข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม อ้างบันดานโทสะไม่ได้
๑๐.ผู้ตายและจำเลยอยู่ร่วมกินฉันท์สามีภรรยา ผู้ตายไปนอนค้างกับ พ. ผู้ตายบอกจำเลยต่อหน้า พ. ว่า มานอนกับ ท. ทุกคืน เป็นการเย้ยหยันว่าทำชู้กันเรื่อยๆ เป็นการสบประมาทอย่างร้ายแรง เหลือวิสัยที่จำเลยจะทนได้ เป็นการกดขี่ข่มเหงจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรง การใช้ปืนยิงผู้ตายขณะนั้นเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เรื่องนี้จะอ้างป้องกันไม่ได้ เพราะเมื่ออยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรสจึงไม่ใช่สามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปหวงกันคู่สมรสอีกฝ่ายเพราะเป็นเรื่องความสมัครใจ ไม่ใช่การข่มขืน แต่การเย้ยหยันว่าไปนอนด้วยกันบ่อยๆ เป็นการเย้ยหยันว่านอกใจจำเลยเป็นประจำ สุดวิสัยที่จำเลยจะทนได้ การที่จำเลยยิงผู้ตายไปทันทีทันใดย่อมเป็นการกระทำความผิดด้วยความโมโหเป็นกากรกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๑.ผู้ตายโกรธแค้นที่ถูกจำเลยซึ่งเป็นสามีตบตี ผู้ตายไม่มีอำนาจอันชอบธรรมที่จะตบตีและด่าว่าจำเลยในลักษณะดูถูกเหยียดหยามด้วยถ้อยคำหยาบคายพาดพิงถึงวงศ์ตระกูลของจำเลยในที่ว่าการอำเภอซึ่งมีคนอื่นได้ยิน การที่มีคนอื่นได้ยินย่อมทำให้จำเลยอับอายขายหน้าและเคืองแค้นอย่างมาก เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การยิงผู้ตายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ กฎหมายมองว่า การด่า การเหยียดหยาม หรือหมิ่นประมาทบุพการีอีกฝ่ายหนึ่งถือเป็นเรื่องร้ายแรง ดังนั้นใน ปพพ มาตรา๑๕๑๖(๓) การด่า การเหยียดหยาม หรือหมิ่นประมาทบุพการีอีกฝ่ายหนึ่ง จึงให้เป็นเหตุฟ้องหย่าได้ จึงไม่แปลกว่าทำไมศาลฏีกาจึงพิพากษาแบบนี้
๑๒.คนเป็นสามีไม่ว่าจะโดยชอบด้วยกฎหมาย(มีการจดทะเบียนสมรส)หรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ไม่มีสิทธิ์ทุบตีทำร้ายร่างกายภริยาได้ ไม่มีกฎหมายให้อำนาจไว้ สมัยนี้ไม่เหมือนสมัยโบราณที่ฝ่ายชายเป็นคนออกไปทำมาหากินส่วนผู้หญิงทำงานบ้าน ผู้หญิงสมัยใหม่มีการศึกษาสามารถเลี้ยงตัวเองได้ไม่จำต้องพึ่งผู้ชายและไม่จำต้องมีครอบครัวด้วย หมดสมัยแล้วที่ผู้ชายล้างเท้าแล้วผู้หญิงเอาผมเช็คเท้าเหมือนอย่างสมัยก่อนในจังหวัดจังหวัดหนึ่งทางภาค........ ที่มีการจารึกไว้ในวัด.............การที่เอาผมเช็คเท้าแสดงถึงความรักใคร่ห่วงใย ขนาดเท้าเป็นของต่ำยังเอาผมที่เป็นของสูงเช็คให้ได้ แสดงถึงความรักใคร่สามี สมัยนี้ชายหญิงสิทธิ์เสรีภาพเท่าเทียมกัน การทำร้ายภรรยาตัวเอง อาจถูกภรรยากระทำตอบโดยอาจเป็นการกระทำเพื่อป้องกันหรืออาจเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น