ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2564

อาจไม่เป็นวิ่งราวทรัพย์

 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2563

หากจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยมีเจตนาที่จะเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหาย หลังจากที่จำเลยใช้มือชกที่ต้นคอผู้เสียหายจนผู้เสียหายล้มฟุบลงกับพื้น จำเลยก็สามารถที่จะกระชากสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายแล้วหลบหนีลงไปชั้นล่างได้ทันที ก่อนที่บุคคลที่อยู่ชั้นล่างจะได้ยินเสียงดังจนผิดสังเกตแล้วขึ้นมาเคาะประตูห้องให้เปิดประตู แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า หลังจากผู้เสียหายฟุบลงกับพื้น จำเลยใช้มือและเท้าทุบตีซ้อมทำร้ายผู้เสียหายหลายครั้งนับไม่ถ้วน จึงอาจเป็นไปได้ว่า ขณะที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยยังไม่มีเจตนาที่จะเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไป แต่เป็นเพราะจำเลยรู้สึกโกรธที่ใช้บริการทางเพศกับผู้เสียหายยังไม่เสร็จ ผู้เสียหายก็ผละออกไปตามที่จำเลยนำสืบก็เป็นได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ผู้เสียหายอาจจะปิดบังความจริงบางอย่างไว้ จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยทำร้ายร้ายร่างกายผู้เสียหายโดยมีเจตนาเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไป แต่การที่จำเลยกระชากเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไป เป็นเจตนาที่เกิดขึ้นหลังจากที่จำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายแล้ว การกระทำของจำเลยจึงมิได้เป็นการลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายอันจะเป็นความผิดฐานชิงทรัพย์ แต่เป็นการทำร้ายร่างกายผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายตอนหนึ่ง และกระชากเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไปโดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอีกตอนหนึ่ง แต่โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยฉกฉวยเอาสร้อยข้อมือทองคำของผู้เสียหายไปซึ่งหน้า อันเป็นองค์ประกอบฐานวิ่งราวทรัพย์ และคำขอท้ายฟ้องมิได้ขอให้ลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์มาด้วย จึงลงโทษฐานวิ่งราวทรัพย์ไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสี่ ความผิดฐานชิงทรัพย์ที่โจทก์บรรยายฟ้องมารวมการกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลย่อมลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย และฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนได้

 

 

ไม่มีความคิดเห็น: