* ๑. ความหมายของการกู้ยืมเงิน
การยืม เป็นสัญญาชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีคู่กรณีเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้ให้ยืม”
และอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้ยืม”
สัญญายืมนั้น
เป็นสัญญาที่ผู้ให้ยืมส่งมอบหรือโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ยืมเพื่อใช้สอยทรัพย์สินนั้นและผู้ยืมก็ตกลงว่าจะส่งคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว
ประเภทของสัญญายืม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
- ๑. สัญญายืมใช้คงรูป
- ๒. สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง
สัญญายืมใช้สิ้นเปลือง คือ
สัญญาที่ผู้ให้ยืมได้โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นเป็นปริมาณมีกำหนดให้แก่ผู้ยืม
และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท
ชนิดและปริมาณเช่นเดียวกัน ให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น และสัญญายืมนี้จะสมบูรณ์ต่อเมื่อส่งมอบทรัพย์สินที่ยืม
ดังนั้น
การกู้ยืมเงินหรือสัญญากู้ยืมเงิน จึงเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลือง ที่ “ผู้กู้ยืม”
ไปขอกู้ยืมเงินจากบุคคลหนึ่งซึ่งเรียกว่า “ผู้ให้กู้ยืม”
โดยผู้กู้ยืมสัญญาหรือตกลงว่าจะใช้เงินคืนให้ภายในกำหนดเวลาใดเวลาหนึ่ง
ซึ่งในการกู้ยืมเงินนี้จะมีการกำหนดดอกเบี้ยในการกู้ยืมด้วยหรือไม่ก็ได้
และสัญญากู้ยืมเงินจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้มีการส่งมอบเงินที่กู้ยืมกันแล้ว
* ๒. หลักฐานการกู้ยืมเงิน
แบ่งออกเป็น ๒ กรณี คือ
- ๑. กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน ไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องทำหลักฐานการกู้ยืมต่อกัน
ดังนั้น แม้ตกลงยืมเงินกันด้วยวาจา
เมื่อเกิดการผิดข้อตกลงหรือผิดสัญญาก็สามารถฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ตามกฎหมาย
- ๒. กรณีจำนวนเงินที่กู้ยืมกัน เกิน ๒,๐๐๐ บาทขึ้นไป
กฎหมายกำหนดให้การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักฐานแห่งการ กู้ยืมเงิน
มิเช่นนั้นจะฟ้องร้องให้บังคับคดีต่อกันไม่ได้
หลักฐานแห่งการกู้ยืมเงินนั้นจะอยู่ในรูปแบบใดก็ได้
แต่ต้องเป็นลายลักษณ์อักษร
มีข้อความชัดแจ้งว่ามีการกู้ยืมเงินกันไปเป็นจำนวนเท่าใดและตกลงจะใช้คืนเมื่อใด
และที่สำคัญคือต้องมีลายมือชื่อของผู้กู้ยืมเป็นสำคัญด้วย
ดังนั้น
เนื้อความในเอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงิน ต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
๑. วันที่ที่ทำสัญญากู้เงิน
๒. ชื่อ ผู้ขอกู้เงินและผู้ให้กู้เงิน
๓. จำนวนเงินที่กู้
๔. กำหนดชำระ (จะมีหรือไม่มีก็ได้)
๕. ดอกเบี้ย (ไม่เกินร้อยละต่อปี) เเต่ถ้าไม่ได้กำหนดเอาไว้กฎหมายเเพ่งเเละพาณิชย์ มาตรา ๗ ได้ใช้ในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี
๖. ผู้กู้ยืมต้องลงลายมือชื่อ
(กรณีลงลายพิมพ์นิ้วมือจะต้องมีพยานรับรองลายนิ้วมือ ๒ คน)
* ๓. ดอกเบี้ยกู้ยืมเงิน
ในการกู้ยืมเงินกฎหมายให้คิดดอกเบี้ยกันได้
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน
กฎหมายได้กำหนดจำกัดอัตราดอกเบี้ยในการกู้ยืมเงินไว้คือ
ให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี (คืออัตราร้อยละ ๑.๒๕ ต่อเดือน) ยกเว้นกรณีเป็นสถาบันการเงินหรือธนาคาร
กฎหมายให้อำนาจเรียกดอกเบี้ยได้สูงกว่าอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ได้ แต่ต้องเป็นไปตามประกาศข้อกำหนดของธนาคารซึ่งมีกฎหมายรองรับ (พระราชบัญญัติดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน)
กรณีกำหนดดอกเบี้ยไว้เกินอัตราที่กฎหมายกำหนด
มีผลคือ
๑. เป็นความผิดอาญาฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา
ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับ ไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕
๒. ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมนั้นตกเป็นโมฆะทั้งหมด
ฟ้องบังคับไม่ได้เลย (แต่เงินต้นยังคงสมบูรณ์)
๒. ดอกเบี้ยที่ผู้กู้ยืมชำระไปแล้ว
เรียกคืนไม่ได้ (ถือว่าชำระหนี้ตามอำเภอใจ) แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมจะตกเป็นโมฆะ
แต่สำหรับดอกเบี้ยผิดนัด ผู้ให้กู้ยืมก็ยังคงบังคับได้
* ๔. อายุความฟ้องคดีกู้ยืมเงิน
การฟ้องร้องเรียกเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน
มีอายุความ ๑๐ ปี นับแต่วันถึงกำหนดชำระเงินกู้ยืมคืน
แต่หากสัญญากู้ยืมตกลงกันกำหนดชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเป็นงวดๆ เช่น รวมทั้งหมด ๕ งวด จะเป็นกรณีที่คู่สัญญาได้ตกลงชำระหนี้เพื่อผ่อนทุนคืนเป็นงวดๆ
ซึ่งจะมีอายุความเพียง ๕ ปี
* ๕. ข้อแนะนำและข้อควรระวังเกี่ยวกับการกู้ยืมเงิน
๑. ห้ามลงลายมือชื่อในกระดาษเปล่าเด็ดขาด
๒. ก่อนลงลายมือชื่อในสัญญากู้
ต้องตรวจสอบจำนวนเงินที่ระบุในสัญญาให้ถูกต้องและครบถ้วนตามจำนวนเงินที่ได้รับไป
และในสัญญาต้องเขียนจำนวนเงินเป็นตัวหนังสือกำกับไว้ด้วยเสมอ เช่น
กู้ยืมเงินไปจำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท (สามหมื่นบาทถ้วน)
๓. อย่านำโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับการทำประโยชน์ในที่ดิน (น.ส.๓) ไปให้เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นประกันการกู้ยืมเงิน
๔. สัญญาต้องทำอย่างน้อย ๒ ฉบับ โดยให้ผู้กู้ยืมถือไว้ด้วย ๑ ฉบับ
๕. ควรมีพยานฝ่ายผู้กู้ยืมลงลายมือชื่อเป็นพยานในสัญญาด้วยอย่างน้อย ๑ คน
๖. การชำระหนี้ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ต้องขอรับใบเสร็จรับเงินหรือหลักฐานการรับเงิน ซึ่งมีลายมือชื่อผู้ให้กู้ยืมกำกับด้วยทุกครั้ง
(เพื่อไว้เป็นหลักฐานยืนยันว่าได้ชำระหนี้แล้ว)
๗. เมื่อชำระหนี้ทั้งหมดต้องขอสัญญากู้คืนจากผู้ให้กู้ยืมด้วย