แม้ไม่ปรากฏพนักงานสอบสวนได้จัดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ร่วมในการสอบถามคำให้การจำเลย ถ้อยคำใดๆที่จำเลยให้การไว้ต่อหน้าพนักงานสอบสวนก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดจำเลยได้ ตาม ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔วรรคท้าย เพราะความผิดฐานแข่งรถโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพรบ.จราจรทางบก เป็นกรณีความผิดอื่นซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับว่า พนักงานสอบสวนต้องจัดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหาตาม ปวอ มาตรา ๑๓๔/๒,๑๓๓ทวิ ประกอบกับผู้ต้องหาเป็นเด็กไม่ต้องการให้บุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการสอบปากคำ คำรับสารภาพที่มีไว้กับพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย และเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ศาลจึงนำคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ คำพิพากษาฏีกา ๓๔๓๒/๒๕๔๗
ข้อสังเกต๑.ผู้ต้องหาหรือเด็กที่เป็นพยานที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์มีสิทธิ์ดังนี้คือ
๑.๑ ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายอันไม่ใช่ความผิดที่เกิดจากการชุลมุนต่อสู้ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ ความผิดฐานกรรโชก ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหายอาญา หรือความผิดตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ความผิดว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก ความผิดเกี่ยวสถานพยาบาล หรือความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจำคุก
๑.๑.๑ สามารถร้องขอให้พนักงานสอบสวนแยกกระทำการสอบสวนที่เป็น สัดส่วน ในสถานที่เหมาะกับเด็ก คือจะนำไปปะปนกับสถานที่ซึ่งสอบปากคำผู้ใหญ่ไม่ได้ จะอ้างว่าสถานที่คับแคบไมได้ เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต้องจัดหาสถานที่และเครื่องมือให้พร้อมในการสอบปากคำเด็ก ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ วรรคแรก
๑.๑.๒ ขอให้มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอ และพนักงานอัยการอยู่ร่วมด้วยในการสอบปากคำ ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ วรรคแรก
๑.๒.๓ให้พนักงานสอบสวนถามคำถามโดยผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เป็นการเฉพาะ ตามประเด็นคำถามของพนักงานสอบสวน โดยไม่ให้เด็กได้ยินคำถาม ของพนักงานสอบสวน ทางปฏิบัติ พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการจะนั่งในห้องเดียวกัน ซึ่งเป็นคนละห้องที่เด็กนั่งโดยเด็กจะนั่งอยู่กับนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยา แล้วมีการใช้โทรทัศน์วงจรปิดให้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการเห็นเด็ก คำถามที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการถามจะถามผ่านไมโครโฟนซึ่งเสียงที่ออกจะไปปรากฏที่หูฟังของนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งอาจเป็นคำถามที่ไม่เหมาะสมที่เด็กจะได้ยินจึงต้องถามผ่านนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ เพื่อให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์เปลี่ยนการใช้คำพูดเสียใหม่ให้เด็กไม่ได้รับการกระทบกระเทือนจากคำถามที่ถามโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ วรรคแรก
๑.๑.๔มีสิทธิ์ห้ามพนักงานสอบสวนไม่ให้ถามคำถามซ้ำซากหลายครั้งโดยไม่จำเป็นหรือไม่มีเหตุอันควร เช่นเด็กให้การปฏิเสธแล้ว พนักงานสอบสวนก็พยายามถามคำถามเดียวกันว่าจะรับสารภาพหรือปฏิเสธ เพื่อต้องการให้เด็กเปลี่ยนคำตอบใหม่ จากการให้การปฏิเสธเพื่อมารับสารภาพ ซึ่งไม่สามารถกระทำได้ หรือในกรณีเด็กให้การยืนยันว่าผู้ต้องหาเป็นคนร้ายจะมาถามเพื่อต้องการให้เด็กกลับคำให้การใหม่เป็นว่าผู้ต้องหาไม่ใช่คนร้ายหรือจำไม่ได้ หรือ ไม่ยืนยันว่าผู้ต้องหาเป็นคนร้าย หรือคลับคล้ายคลับคราไม่แน่ใจ เพราะไม่รู้จักคนร้ายมาก่อน หรือที่เกิดเหตุมีแสงไฟไม่เพียงพอ ทั้งที่เด็กยืนยันแต่แรกแล้วว่าผู้ต้องหาเป็นคนร้าย หรือกรณีที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่างเพียงพอแก่การมองเห็นก็จะมาถามย้ำเพื่อให้เด็กกลับคำให้การเป็นว่าที่เกิดเหตุไม่มีแสงไฟหรือมีแต่เห็นได้ไม่ไกล ดังนี้พนักงานสอบสวนไม่สามารถถามคำถามซ้ำซากหลายครั้งโดยไม่จำเป็นหรือไม่มีเหตุอันควร ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ วรรคแรก
๑.๑.๕ มีสิทธิ์ได้รับทราบจากพนักงานสอบสวนว่าตนมีสิทธิ์ตามข้อ ๑.๑.๑ถึงข้อ ๑.๑.๔ เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนต้องแจ้งสิทธิ์ดังกล่าวตามข้อ ๑.๑.๑ ถึง ๑.๑.๔ให้เด็กทราบ ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ วรรคสอง
๑.๑.๖เด็กสามารถตั้งข้อรังเกียจ พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ และขอเปลี่ยนตัว พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ได้ ตาม ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรคสาม
๑.๑.๗ สามารถร้องขอให้พนักงานสอบสวนบันทึกภาพและเสียงซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องไว้เป็นพยานหลักฐาน คือ ต้องมีการบันทึกการสอบปากคำเด็กเป็นวีดีโอเทป จะเลี่ยงบาลี โดยให้มีภาพใช้กล่องถ่ายรูปถ่ายภาพเป็นภาพนิ่ง และกรณี ให้มีเสียงใช้เทปมาบันทึกเสียงดังที่พนักงานสอบสวนบางคนกระทำโดยให้นักข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องหนึ่งใช้เทปมาบันทึกเสียง และใช้กล่องถ่ายภาพมาถ่ายภาพเป็นภาพนิ่ง แบบนี้ไม่ใช้การบันทึกภาพและเสียงซึ่งสามารถนำออกถ่ายทอดได้อย่างต่อเนื่องแต่อย่างใด หากกระทำไปถือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรคสี่
๑.๑.๘สามารถร้องขอให้พนักงานสอบสวนให้จัดสถานที่ให้เหมาะสมในการชี้ตัวผู้ต้องหา โดยสถานที่ดังกล่าวบุคคลที่ถูกชี้ตัวต้องไม่เห็นเด็กที่ชี้ตัวยืนยันว่าบุคคลนั้นเป็นผู้กระทำผิดตามกฏหมาย ทางปฏิบัติอาจใช่ห้องที่บุคคลภายในห้องไม่สามารถมองเห็นบุคคลนอกห้องได้ หรือใช้วัสดุปิดทึบไม่ให้คนในห้องเห็นคนข้างนอกแต่คนข้างนอกมองผ่านรู้เข้าไปแล้วยืนยันว่าบุคคลหมายเลขใดที่พนักงานสอบสวนจัดมาหลายคนนั้น คนใดคนหนึ่งเป็นผู้กระทำผิด ปวอ มาตรา ๑๓๓ตรี วรรคแรก
๑.๑.๙ สามารถร้องขอให้มีพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวน นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์หรือบุคคลที่เด็กร้องขออยู่ด้วยในขณะชี้ตัวผู้กระทำผิด ปวอ มาตรา ๑๓๓ตรี วรรคแรก
๑.๑.๑๐ ในการชี้ตัวผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ ที่ถูกชี้ตัวว่ากระทำผิดทางอาญาหรือไม่นั้น พนักงานสอบสวนต้องจัดให้มีการชี้ตัวในสถานที่เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กเห็นบุคคลที่ทำการชี้ตัว ปวอ มาตรา ๑๓๓ตรี วรรคสอง
๑.๑.๑๑ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหาอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ หรือในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนถามคำให้การ พนักงานสอบสวนต้องถามเด็กก่อนว่ามี “ ทนายความ “หรือไม่ “ หากไม่มีและต้องการ” เป็นหน้าที่รัฐจัดหาทนายความให้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๑ วรรคแรก
๑.๑.๑๒ ในการสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ให้นำความตามข้อ ๑.๑.๑ ถึง ๑.๑.๗ มาบังคับใช้โดยอณุโลม
๑.๑.๑๓ พนักงานสอบสวนต้องแจ้งให้ทราบก่อนว่า
- -ผู้ต้องหามีสิทธิ์ที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔(๑)
-มีสิทธิ์ให้ทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔(๒)
๑.๑.๑๔ ถ้อยคำใดที่ผู้ต้องหาที่ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ให้ไว้กับพนักงานสอบสวน ก่อนมีการแจ้งสิทธิ์ตามข้อ ๑.๑.๑๑, ถึง ๑.๑.๗,๑.๑.๑๓ รับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ไม่ได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔ วรรคท้าย
๑.๑.๑๕ ในการสอบปากคำผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ พนักงานสอบสวน จำทำ หรือ จัดให้กระทำการใดๆ ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการโดยไม่ชอบด้วยประการใดๆ เพื่อจูงใจให้ให้การไมได้ ปวอ มาตรา ๑๓๕
๑.๑.๑๖. มีสิทธิ์ได้รับแจ้งว่าตน มีสิทธิ์ที่จะพบและปรึกษาผู้ที่จะที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความเป็นการเฉพาะตัว ปวอ มาตรา ๗/๑(๑)
๑.๑.๑๗. มีสิทธิ์ได้รับแจ้งว่าตน มีสิทธิ์ให้ที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำในชั้นสอบสวนได้ ปวอ มาตรา ๗/๑(๒)
๑.๑.๑๘. มีสิทธิ์ได้รับแจ้งว่าตน มีสิทธิ์ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อญาติตามสมควร ปวอ มาตรา ๗/๑(๓)
๑.๑.๑๙ มีสิทธิ์ได้รับแจ้งว่าตน มีสิทธิ์ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเจ็บป่วย ปวอ มาตรา ๗/๑(๔)
๑.๑.๒๐ มีสิทธิ์ได้รับการจัดหาล่ามจากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการโดยไม่ชักช้า หากการสืบพยานต้องแปลภาษาไทยท้องถิ่น ภาษาถิ่น ภาษาต่างประเทศ เป็นภาษาไทย หรือภาษาไทยเป็นแปลภาษาไทยท้องถิ่น ภาษาถิ่น ภาษาต่างประเทศ ปวอ มาตรา ๑๓ วรรคสอง
๑.๑.๒๑ ในกรณีที่ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ ไม่สามารถพูดหรือได้ยินหรือสื่อความหมายได้ และไม่มีล่ามภาษามือ ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ มีสิทธิ์ได้รับการจัดหาล่ามภาษามือ หรือจัดให้มีการถามตอบหรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่นตามที่เห็นสมควร จากพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการโดยไม่ชักช้า ปวอ มาตรา ๑๓วรรคสาม
๑.๑.๒๒ มีสิทธิ์ได้รับแจ้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิด ก่อนถูกแจ้งข้อกล่าวหา ปวอ มาตรา ๑๓๔
๑.๑.๒๓. ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ มีสิทธิ์ปฏิเสธไม่ยอมให้พนักงานสอบสวน เก็บตัวอย่างเลือด เนื้อเยื้อ ผิวหนัง เส้นผม ขน น้ำลาย น้ำปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธ์กรรม หรือส่วนประกอบของร่างกายของผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ได้ ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑ วรรค สอง
๑.๑.๒๔ ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกเกิน ๓ ปี “ หากเป็นการจำเป็นแล้ว “ต้องตรวจเก็บตัวอย่างเลือด เนื้อเยื้อ ผิวหนัง เส้นผม ขน น้ำลาย น้ำปัสสาวะ อุจจาระ สารคัดหลั่ง สารพันธ์กรรม หรือส่วนประกอบของร่างกายของผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์พนักงานสอบสวนสามารถกระทำได้ต่อเมื่อผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ ยินยอม แต่ต้องกระทำเท่าที่จำเป็น ตามสมควร และไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายหรืออนามัยของผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑ วรรค สอง,
๑.๑.๒๕ หากผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ไม่ยินยอมโดยไม่มีเหตุอันควร ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑ วรรคสอง ให้สันนิษฐานไว้เบื้องต้นว่าข้อเท็จจริงเป็นไปตามผลการตรวจพิสูจน์ หากการตรวจพิสูจนนั้นเป็นผลเสียแก่ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑ วรรค สอง
๑.๑.๒๖ ในการตรวจตัวผู้ต้องหาที่เป็นหญิงอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ ให้เจ้าพนักงานหญิงหรือหญิงอื่นเป็นผู้ตรวจ และเมื่อมีเหตุอันควร ผู้ต้องหาที่เป็นหญิงอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์จะขอนำบุคคลใดมาร่วมในการตรวจนั้นด้วยก็ได้ ปวอ มาตรา ๑๓๒(๑)วรรคสอง,๘๕วรรคสอง
๒.คำพิพากษาฏีกานี้แยกได้เป็นประเด็นดังนี้คือ
๒.๑แม้ไม่ปรากฏพนักงานสอบสวนได้จัดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ร่วมในการสอบถามคำให้การจำเลย ถ้อยคำใดๆที่จำเลยให้การไว้ต่อหน้าพนักงานสอบสวนก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดจำเลยได้ ตาม ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔วรรคท้าย
๒.๒เพราะความผิดฐานแข่งรถโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดตามพรบ.จราจรทางบก เป็นกรณีความผิดอื่นซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับว่า พนักงานสอบสวนต้องจัดให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหาตาม ปวอ มาตรา ๑๓๔/๒,๑๓๓ทวิ จึงไม่จำต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหา โดยศาลไปมองว่า เฉพาะในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ ความผิดเกี่ยวกับชีวิตและร่างกายอันไม่ใช่ความผิดที่เกิดจากการชุลมุนต่อสู้ ความผิดเกี่ยวกับเสรีภาพ ความผิดฐานกรรโชก ชิงทรัพย์ และปล้นทรัพย์ตามประมวลกฎหายอาญา หรือความผิดตามกฏหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ความผิดว่าด้วยมาตรการในการป้องกันและปราบปรามการค้าหญิงและเด็ก ความผิดเกี่ยวสถานพยาบาล หรือความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจำคุก เท่านั้นแต่ไม่รวมความผิดฐานแข่งรถด้วย ที่ต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหา เมื่อความผิดฐานแข่งรถไม่ได้จัดอยู่ในประเภทความผิดดังกล่าวจึงไม่จำต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหาแต่อย่างใด
๒.๓ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าความผิดฐานแข่งรถโดยไม่ได้รับอนุญาตมีทั้งโทษจำคุกและปรับจึงเข้าตาม ปวอ. มาตรา ๑๓๓ทวิ วรรคแรกที่ได้บัญญัติถึงความผิดต่างๆที่ต้องมี นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหา ซึ่งรวมถึง “ ความผิดอื่นที่มีอัตราโทษจำคุก” เมื่อกฎหมายใช้คำๆนี้ ดังนั้นความผิดฐานแข่งรถที่มีอัตราโทษจำคุกด้วยจึงต้องอยู่ในบังคับที่ต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมการสอบปากคำผู้ต้องหา แต่เมื่อศาลฏีกามีคำวินิจฉัยเป็นบันทัดฐานแบบนี้ก็เคารพในการวินิจฉัยของศาล
๒.๔.ประกอบกับผู้ต้องหาเป็นเด็กไม่ต้องการให้บุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการสอบปากคำ คำรับสารภาพที่มีไว้กับพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย และเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ศาลจึงนำคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้ นั้นคือคำให้การที่ไม่ได้มีนักจิตวิทยานักสังคมสงเคราะห์ร่วมสอบปากคำด้วยไม่เสียไป
๓. คำพิพากษาฏีกานี้จึงเป็นการกลับหลักของคำพิพากษาฏีกาที่ ๑๖๖๒๘/๒๕๕๔ที่วินิจฉัยว่า ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ,๑๓๔/๒ นำมาใช้ในการสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็ก “ ไม่ว่าจะเป็นคดีใดๆก็ตาม” ซึ่งรวมทั้งความผิดฐานแข่งรถด้วย “ ซึ่งคำพิพากษาฏีกานี้(๑๖๖๒๘/๒๕๕๕) ถือว่าการสอบสวนไม่เสียไปทั้งหมด เพียงแต่รับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้เท่านั้น หาใช่ไม่มีการสอบสวนในความผิดนั้นอันจะทำให้อัยการไม่มีอำนาจฟ้องดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย เป็นเพียงคำให้การนั้นรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้เท่านั้นเอง ซึ่งคำพิพากษาฏีกา ๑๖๖๒๘/๒๕๕๕สอดคล้องคำพิพากษาฏีกา ๙๓๔๕/๒๕๕๘ ที่วินิจฉัยว่า ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาลงไว้ก่อนมีการสอบถามเรื่องทนายตามปวอ มาตรา ๑๓๔/๑ นั้นรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้เพราะขัด ปวอ มาตรา ๑๓๔/๓ แต่อย่างไรก็ดีไม่มีกฏหมายใดห้ามนำการสอบสวนดังกล่าวมาใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยอื่นหรือบุคคลอื่น นั้นก็คือ ใช้ยันจำเลยที่ไม่ได้มีการสอบถามเรื่องทนายไม่ได้แต่ใช้ประกอบหลักฐานอื่นใช้ยันจำเลยอื่นหรือบุคคลอื่นได้
๔.ส่วนในคำพิพากษาฏีกา ๗๐๖๐/๒๕๕๔ที่อัยการสูงสุดรับรองให้ฏีกาในคดีที่เด็กอายุน้อยกว่า ๑๘ ปี กระทำผิดในคดี” ที่มีอัตราโทษจำคุกไม่ถึง ๓ ปี “ ไม่ปรากฏเด็กร้องขอให้มีนักสังคมสงเคราะห์นักจิตวิทยา(ที่อาจไม่ร้องขอเพราะไม่ทราบว่ามีข้อกฏหมายนี้อยู่ก็ได้) การสอบสวนดังกล่าวที่ไม่มีนักสังคมสงเคราะห์นักจิตวิทยานั้นถือว่าการสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นถ้อยคำพยานดังกล่าวที่สอบสวนโดยไม่มีนักจิตวิทยาก็สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
๕.จึงเห็นได้ว่าแนวคำพิพากษาฏีกามี ๒ แนวโดยแนวแรก
๕.๑ที่วินิจฉัยว่าการสอบปากคำเด็กอายุน้อยกว่า ๑๘ ปี ที่ไม่มีนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยาหรือการสอบปากคำเด็กอายุน้อยกว่า ๑๘ ปี ที่ไม่มีทนาย เป็นเพียงทำให้ “ไม่สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ “ แต่ไม่ถึงกับทำให้การสอบสวนเสียไปจนอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง (แนวนี้คือคำพิพากษาฏีกาที่ ๑๖๖๒๘/๒๕๕๕คือไม่มีนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา,,คำพิพากษาฏีกา ๙๓๔๕/๒๕๕๘ คือไม่มีทนายลงชื่อ)
๕.๒ที่วินิจฉัยว่า การสอบปากคำเด็กอายุน้อยกว่า ๑๘ ปี ที่ไม่มีนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา เมื่อความผิดใดไม่ได้ระบุไว้ใน ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ(เช่นแข่งรถ) แล้วสามารถ “รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้” (แนวนี้คือคำพิพากษาฏีกา ๓๔๓๒/๒๕๕๗)
๖.นอกจากนี้แล้วคำพิพากษาฏีกาดังกล่าวยังแบ่งแยกออกเป็นสองแนว โดย การกำหนดอัตราโทษที่จะลง ออกเป็นสองแนวคือ
๖.๑ แนวแรกการสอบสวนที่ไม่ปฏิบัติตาม ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ(ไม่มีนักสังคมสงเคราะห์นักจิตวิทยานั่งอยู่ด้วยตอนสอบเด็กอายุต่ำกว่า ๑๘ ปีบริบรูณ์) ที่ทำให้ไม่สามารถรับฟังคำพยานดังกล่าวได้ หลักการนี้ใช้กับทุกคดีไม่ว่ามีอัตราโทษเท่าไหร่ (คำพิพากษาฏีกา ๑๖๖๒๘/๒๕๕๕)
๖.๒แนวที่สองใช้เฉพาะคดีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี (คำพิพากษาฏีกา ๗๐๖๐/๒๕๕๔)
๖.๓ผมเห็นด้วยกับคำพิพากษาฏีกาแนวแรก เพราะกฎหมายไม่ได้ระบุไว้ว่าต้องมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี ดังนั้นไม่ว่าจะมีอัตราโทษจำคุกเท่าไหร่ หากเป็นคดีที่ระบุไว้ในปอ มาตรา ๑๓๓ทวิแล้วย่อมอยู่ในบังคับ ปวอ ๑๓๓ทวิ
๗.จึงพอสรุปคำพิพากษาฏีกาสองแนวดังนี้
๗.๑แนวแรกเห็นว่าหากฎหมายไม่บังคับให้ต้องมีนักกฎหมายหรือเป็นความผิดที่เด็กร้องขอ พนักงานสอบสวนไม่ต้องทำตาม ปวอ มารตรา ๑๓๓ทวิ,๑๓๔/๒, คำพิพากษาฏีกา ๓๔๓๒/๒๕๕๗ ซึ่งสอดคล้องคำพิพากษาฏีกา ๗๐๖๐/๒๕๕๔
๗.๒แนวที่สองต้องมีการปฏิบัติตาม ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ,๑๓๔/๒ มิเช่นนั้น คำพยานดังกล่าวใช้บังคับไม่ได้ (คำพิพากษาฏีกา ๑๖๖๒๘/๒๕๕๕,๙๓๔๕/๒๕๕๘)
๘.ซึ่งคำพิพากษาฏีกา ๑๖๖๒๘/๒๕๕๔ ได้กลับคำพิพากษาฏีกาที่ ๗๐๖๐/๒๕๕๔ ที่วินิจฉัยว่า การสอบสวนเด็กที่อายุไม่เกิน ๑๘ ปีต้องมีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการสอบปากคำเด็ก ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สามปีขึ้นไป หรือคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่ถึง ๓ ปีซึ่งผู้ต้องหาที่เป็นเด็กร้องขอ หรือคดีทำร้ายร่างกายเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปี เมื่อคดีนี้มีอัตราโทษอย่างสูงไม่ถึงสามปี เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้ต้องหาร้องขอพนักงานสอบสวนให้มีบุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการสอบปากคำการสอบสวนนั้นด้วย แม้ไม่มีบุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการสอบปากคำด้วยการสอบสวนก็ไม่เสียไป การสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย ประกอบกับผู้ต้องหาเป็นเด็กไม่ต้องการให้บุคคลดังกล่าวเข้าร่วมในการสอบปากคำ คำรับสารภาพที่มีไว้กับพนักงานสอบสวนจึงชอบด้วยกฎหมาย และเป็นพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ศาลจึงนำคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนมาประกอบพยานหลักฐานอื่นของโจทก์เพื่อลงโทษจำเลยได้
๙.ทางปฏิบัติแล้วไม่อาจทราบได้แน่ชัดในข้อความที่ระบุว่า “ ผู้ต้องหาไม่ต้องการนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ร่วมในการสอบถามคำให้การจำเลย” เป็นจริงหรือไม่อย่างไร เพราะขั้นตอนการทำงานกว่าที่ พนักงานอัยการหรือนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ จะได้เข้ามาร่วมในการสอบสวน ก็ต้องผ่านขั้นตอนการแจ้งของพนักงานสอบสวน ซึ่งทั้งพนักงานอัยการ นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ไม่สามารถทราบได้เองว่า มีการจับกุมเด็กที่ไหนอย่างไร เมื่อไหร่ และเด็กได้รับการแจ้งสิทธิ์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้หรือไม่อย่างไร เด็กต้องการหรือไม่ต้องการให้นักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการเข้าร่วมในการสอบปากคำเด็กหรือไม่อย่างไร ความยุ่งยากในการตามตัวนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์ และพนักงานอัยการในการเข้ามาร่วมสอบปากคำนั้นมีมากกว่า และเสียเวลาที่ต้องมารอบุคคลดังกล่าวมาครบถ้วน หากไม่มีบุคคลดังกล่าวเข้ามาร่วมความยุ่งยากก็หมดไป และการเข้ามาร่วมก็เป็นการคานอำนาจการสอบสวนของพนักงานสอบสวนลงไป ซึ่งไม่ทราบว่าพนักงานสอบสวนประสงค์หรือไม่ประสงค์ที่จะให้เกิดการคานอำนาจแบบนี้ หรือจำต้องยอมเพราะมีกฎหมายบัญญัติไว้แล้ว จึงอาจมีพนักงานสอบสวนบางคน(ใช้คำว่าบางคน)นะครับ ใช้ข้อยกเว้นมาเป็นหลักในการทำงาน เพื่อลดขั้นตอนและความยุ่งยากออกไปเสีย แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเด็กไม่ได้พูด หรือกลัวที่จะพูด ก็ต้องสันนิษฐานว่าข้อความเป็นไปตามที่พนักงานสอบสวนระบุไว้ว่าเด็กไม่ต้องการนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการให้มาร่วมในการสอบปากคำเป็นความจริง
๑๐.ในส่วนของพนักงานอัยการนั้นมี หนังสือของสนง. อัยการสูงสุดที่ อส(สฝปผ)๐๐๑๘/ว๒๑๐ ลงวันที่ ๑๕ มิ.ย.๒๕๔๙ ซักซ้อมความเข้าใจของพนักงานอัยการไว้ว่า “ การสอบสวนผู้ต้องหาที่เป็นเด็กอายุไม่เกิน ๑๘ ปีเป็นผู้ต้องหาในคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่ถึง ๓ ปี ผู้ต้องหาที่เป็นเด็กไม่ได้ร้องขอ พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ในการเข้าร่วมสอบสวน และพนักงานสอบสวนไม่จำต้องจัดให้สหวิชาชีพต่างๆ(คือนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา)เข้าร่วมสอบสวน พนักงานอัยการพึงรับสำนวนการสอบสวนในกรณีดังกล่าวไว้พิจารณาตามอำนาจหน้าที่ต่อไป “
ค้นหาบล็อกนี้
วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2559
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2559
“คดีถึงที่สุดไม่มีเหตุชี้ขาดความเห็นแย้ง”
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ฐานร่วมกันฆ่า และร่วมกันพยายามฆ่า เป็นกรรมเดียวผิดกฏหมายหลายบทลงบทหนักฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ให้ลงโทษประหารชีวิต เมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้วจะเพิ่มโทษอีกไม่ได้ ส่วนความผิดฐานพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ปรับคนละ ๑๐๐ บาท จำเลยรับสารภาพ ลดโทษในความผิดฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ๑ ใน ๓ และฐานร่วมกันพาอาวุธฯลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจำคุกตลอดชีวิต ฐานพาอาวุธฯปรับคนละ ๕๐ บาท นับโทษจำเลยที่ ๑ต่อโทษจำเลยที่ ๑ ในคดีหมายเลขแดงที่ ........./.........ของศาลชั้นต้น ริบขวาน มีดพกปลายแหลม ด้ามมีดพร้าของกลาง ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก อัยการศาลสูงจังหวัด........ไม่อุทธรณ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัด.......รักษาการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบ จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ภาค.....ตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕ วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ภาค....พิพากษายืน อัยการศาลสูงจังหวัด........ไม่ฏีกาส่งสำนวนให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค..... รองผู้บังคับการตำรวจภูธรภาคปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคแย้งคำสั่งอัยการศาลสูงจังหวัด.....ให้ฏีกา
สนง.อัยการพิเศษฝ่ายคดีอัยการศาลสูงพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุธรณ์จนพ้นระยะเวลาอุทธรณ์ตาม ปวอ มาตรา ๑๙๘ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและต้องดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชักช้าตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรกเว้นแต่ศาลชั้นต้นลงโทษประหารชีวิตหรือลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นยังไม่ถึงที่สุดเว้นแต่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืน โดยศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ คดีนี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค..... ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค....มีคำพิพากษายืน คดีจึงถึงที่สุด ต้องดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชักช้า ไม่มีกรณีที่ต้องพิจารณาว่าต้องฏีกาหรือไม่อย่างไร คำสั่งไม่ฏีกาแล้วส่งสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ จึงขัดกับ ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคสองที่บัญญัติให้คดีถึงที่สุดแล้ว มีผลให้ความเห็นแย้งของรองผู้บังคับการตำรวจภูธรภาคที่ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ไม่ใช่ความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดต้องชี้ขาด คืนสำนวนให้อัยการศาลสูงจังหวัด.....เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง
อธิบดีอัยการ สนง.อัยการสูงสุดเห็นว่า ความเห็นแย้งของรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคที่มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฏีกาของอัยการศาลสูงจังหวัด.......แล้วส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณานั้น เป็นกรณีดำเนินการขัดบทบัญญัติกฎหมายและคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีกรณีที่อัยการสูงสุดต้องทำความเห็นแย้ง
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฏีกาของพนักงานอัยการแล้วส่งสำนวนพร้อมความเห็นแย้งให้อัยการสูงสุดพิจารณานั้น เป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีกรณีที่อัยการสูงสุดต้องพิจารณาความเห็นแย้ง ให้ส่งเรื่องคืน แจ้งผลการดำเนินการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค.....ทราบ ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ ๕๑/๒๕๕๗
ข้อสังเกต ๑.คดีนี้คมมากน่าออกเป็นข้อสอบอัยการ ได้บอกแต่เพียงว่าน่าสนใจที่จะออกเป็นข้อสอบยิ่งมีการแก้ไข ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ให้ตำรวจมาทำหน้าที่แทนฝ่ายปกครองด้วยยิ่งทำให้น่าศึกษา
๒.การกระทำที่เป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ปอ. มาตรา ๙๐ ให้นำบทที่หนักลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งความผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ปอ. มาตรา ๒๘๙(๔) ระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียวจึงมีอัตราโทษสูงกว่าความผิดฐานร่วมกันฆ่าซึ่งระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ ๑๕ ปีถึง ๒๐ ปี ซึ่งศาลสามารถเลือกลงโทษได้ตามพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด
๓.ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าลงโทษ ๒ ใน ๓ ของความผิดสำเร็จของความผิดฐานฆ่าผู้อื่น การลงโทษ ๒ใน ๓ คือการลดโทษ ๑ใน ๓ ตาม ปอ มาตรา ๕๒(๑) ซึ่งการลดโทษ ๑ ใน ๓ หรือลงโทษ ๒ ใน ๓ ของความผิดประหารชีวิตคือจำคุกตลอดชีวิต
๔.ส่วนการลงโทษ๒ใน ๓ ของโทษจำคุกตลอดชีวิตคือการลดโทษ ๑ ใน ๓ ซึ่งต้องเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก ๕๐ ปี ตาม ปอ มาตรา ๕๓ ซึ่ง ๒ใน ๓ ของโทษจำคุกจำคุก ๕๐ ปี คือ ๓๓ ปี ๓๓เดือน ส่วนโทษจำคุกตั้งแต่ ๑๕ปีถึง ๒๐ ปี ๒ใน ๓ ของโทษดังกล่าวคือ ๑๐ ปี ถึง ๑๓ ปี ๓๓เดือน ดังนั้นระวางโทษฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจึงมีอัตราโทษสูงกว่า กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ปอ มาตรา ๙๐
๕.หากจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก แล้วกระทำผิดในระหว่างที่รับโทษอยู่ หรือภายในเวลา ๕ ปีนับแต่วันพ้นโทษ ( ปอ. มาตรา ๙๒) หรือภายในเวลา ๓ ปีนับแต่วันพ้นโทษโดยได้กระทำความผิดในอนุมาตราที่กำหนดไว้ในปอ มาตรา ๙๓(๑)ถึง(๑๓) เมื่อมากระทำความผิดอีก พนักงานอัยการจะมีคำขอให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยตาม ปอ มาตรา ๙๒หรือ ๙๓ แล้วแต่กรณี ซึ่งปอ. มาตรา ๙๒,๙๓ ไม่ใช่บทมาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดตาม ปวอ มาตรา ๑๕๘(๖)ที่ต้องระบุเลขมาตราลงไป แต่ในทางปฏิบัติจะใส่เลขมาตราดังกล่าวลงไปเพื่อให้ศาลทราบว่าต้องการให้ศาลเพิ่มโทษตามกฏหมายใด หากไม่บรรยายมาในฟ้องให้เข้าหลักเกณท์ที่ขอเพิ่มโทษ และไม่มีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลเพิ่มโทษแล้ว ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ เพราะใน ปวอ มาตรา ๑๙๒วรรคแรกห้ามศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง
๖.เมื่อศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำคุกจำเลยได้ จึงต้องยกคำร้องขอเพิ่มโทษดังกล่าว
๗.ความผิดฐานพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรเป็นความผิดลหุโทษตาม ปอ มาตรา ๓๗๑ ศาลสามารถริบอาวุธของกลางได้ตาม ปอ มาตรา ๓๗๑ เมื่อได้นำมาใช้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ปอ มาตรา ๓๓(๑)
๘.จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษ ซึ่งศาลสามารถลดโทษได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงสำหรับความผิดนั้น ตาม ปอ มาตรา ๗๘ ใน.ความผิดฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลลงโทษประหารชีวิต ลดโทษ ๑ ใน ๓ จึงต้องลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ตาม ปอ มาตรา ๕๒(๑)
๙.ศาลให้นำโทษที่ลงมานับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่......../.....ของศาล....... ซึ่งการที่ศาลจะนับโทษต่อได้ พนักงานอัยการต้องบรรยายมาในฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลนับโทษต่อด้วยมิเช่นนั้นศาลจะนับโทษต่อไม่ได้เพราะ ปวอ มาตรา ๑๙๒วรรคแรก ห้ามศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง แต่บทมาตราที่ขอนับโทษต่อไม่ใช่มาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม ปวอ มาตรา ๑๕๘(๖) แต่หากไม่บรรยายมาในฟ้องและไม่มีคำขอให้นับโทษต่อ ศาลไม่สามารถนับโทษต่อได้ กลายเป็นว่าจำเลยรับโทษสองคดีพร้อมกันไปซึ่งเป็นที่เสียหายต่อบ้านเมืองและความสงบสุขของประชาชน
๑๐.เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยไม่อุทธรณ์ อัยการศาลสูงจังหวัด......มีความเห็นไม่อุทธรณ์ส่งสำนวนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕ เป็นกรณีในต่างจังหวัดที่พนักงานอัยการมีความเห็นไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลต้องส่งสำนวนให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หากผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบ คำสั่งไม่อุทธรณ์ของพนักงานอัยการเป็นที่สุด แต่หากผู้ว่าราชการจังหวัดมีความเห็นแย้งให้อุทธรณ์ต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดความเห็นแย้ง คำสั่งอัยการสูงสุดเป็นที่สุด(เป็นการใช้กฎหมายในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ ที่ให้ส่งสำนวนให้ผู้บังคับการตำรวจฯ)
๑๑.กรณีตามปัญหาเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจะรักษาการแทนกระทำการแทนในนามผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งต้องใช้คำว่า “ รักษาราชการแทน” แต่หากเป็นกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดมอบอำนาจให้รองผู้ว่าราชการกระทำการแทน และใช้คำว่า “ ปฏิบัติราชการแทน” ถือไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะ ปวอ มาตรา ๑๔๕ ไม่ได้ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะสามารถมอบอำนาจให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติหน้าที่แทนได้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจะปฏิบัติหน้าที่แทนได้ก็ต่อเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดต้องใช้คำว่า “ รักษาราชการแทน” ไม่ใช่ใช้คำว่า “ ปฏิบัติราชการแทน”
๑๒.ในคดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตหรือลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนดังกล่าวที่ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตไปยังศาลอุทธรณ์ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ก็ตาม เพื่อเป็นการตรวจสอบการลงโทษว่าได้กระทำถูกต้องหรือไม่อย่างไรเพราะศาลได้ลงโทษสถานหนัก คำพิพากษาเช่นนี้ยังไม่ถึงที่สุดจนกว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ทั้งนี้เป็นไปตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคสอง
๑๓.เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ภายในเวลา ๑ เดือนนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งย่อมเป็นที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๑๙๘ ซึ่งต้องบังคับคดีโดยไม่ชักช้าตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรก แต่หากในคดีนั้นศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตแล้ว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ก็เป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณา หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาที่ให้จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตจึงถึงที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคสอง
๑๔.คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษา คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจะเป็นที่สุดเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาก็เป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือคดีถึงที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕ วรรคสอง เมื่อคดีถึงที่สุดต้องดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชักช้าตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรก จึงไม่มีกรณีที่อัยการศาลสูงจะมีคำสั่งไม่ฏีกาแล้วส่งสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคอีกแต่อย่างใด การส่งสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ เป็นกรณีที่ดำเนินการขัดต่อบทบัญญัติในกฎหมายที่เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วต้องบังคับคดีโดยทันที ดังนั้นความเห็นแย้งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีความเห็นแย้งให้ฏีกา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงไม่ใช่ความเห็นแย้งข้อชี้ขาดที่อัยการสูงสุดต้องทำความเห็นตามปวอ มาตรา ๑๔๕ แต่อย่างใด จึงต้องคืนสำนวนให้อัยการศาลสูงจังหวัด.....รับไปดำเนินการต่อไป.และมีหนังสือแจ้งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค....ทราบต่อไป
๑๕.อัยการศาลสูงไม่มีหน้าที่ต้องส่งสำนวนที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิตไปให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคพิจารณา เพราะเมื่อไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นเพียงศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกที เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุด ต้องบังคับคดีทันที ไม่มีเหตุที่จะฏีกาต่อไปได้ และไม่มีเหตุต้องส่งสำนวนให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคพิจารณาด้วย ความเห็นของผู้บัญชาการตำรวจภาคที่มีความเห็นแย้งความเห็นอัยการศาลสูงจังหวัด.......ให้ฏีกานั้น กรณีดังกล่าวไม่ใช่ความเห็นแย้งตามกฎหมายที่อัยการสูงสุดต้องชี้ขาด ให้คืนสำนวนและมีหนังสือแจ้งไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค.......ทราบ
สนง.อัยการพิเศษฝ่ายคดีอัยการศาลสูงพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุธรณ์จนพ้นระยะเวลาอุทธรณ์ตาม ปวอ มาตรา ๑๙๘ คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและต้องดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชักช้าตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรกเว้นแต่ศาลชั้นต้นลงโทษประหารชีวิตหรือลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นยังไม่ถึงที่สุดเว้นแต่ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืน โดยศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ คดีนี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนไปที่ศาลอุทธรณ์ภาค..... ต่อมาศาลอุทธรณ์ภาค....มีคำพิพากษายืน คดีจึงถึงที่สุด ต้องดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชักช้า ไม่มีกรณีที่ต้องพิจารณาว่าต้องฏีกาหรือไม่อย่างไร คำสั่งไม่ฏีกาแล้วส่งสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ จึงขัดกับ ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคสองที่บัญญัติให้คดีถึงที่สุดแล้ว มีผลให้ความเห็นแย้งของรองผู้บังคับการตำรวจภูธรภาคที่ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ไม่ใช่ความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดต้องชี้ขาด คืนสำนวนให้อัยการศาลสูงจังหวัด.....เพื่อดำเนินการให้ถูกต้อง
อธิบดีอัยการ สนง.อัยการสูงสุดเห็นว่า ความเห็นแย้งของรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคที่มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฏีกาของอัยการศาลสูงจังหวัด.......แล้วส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดพิจารณานั้น เป็นกรณีดำเนินการขัดบทบัญญัติกฎหมายและคดีถึงที่สุดแล้ว ไม่มีกรณีที่อัยการสูงสุดต้องทำความเห็นแย้ง
อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่าความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฏีกาของพนักงานอัยการแล้วส่งสำนวนพร้อมความเห็นแย้งให้อัยการสูงสุดพิจารณานั้น เป็นการปฏิบัติไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่มีกรณีที่อัยการสูงสุดต้องพิจารณาความเห็นแย้ง ให้ส่งเรื่องคืน แจ้งผลการดำเนินการให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค.....ทราบ ชี้ขาดความเห็นแย้งที่ ๕๑/๒๕๕๗
ข้อสังเกต ๑.คดีนี้คมมากน่าออกเป็นข้อสอบอัยการ ได้บอกแต่เพียงว่าน่าสนใจที่จะออกเป็นข้อสอบยิ่งมีการแก้ไข ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ให้ตำรวจมาทำหน้าที่แทนฝ่ายปกครองด้วยยิ่งทำให้น่าศึกษา
๒.การกระทำที่เป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ปอ. มาตรา ๙๐ ให้นำบทที่หนักลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด ซึ่งความผิดฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตาม ปอ. มาตรา ๒๘๙(๔) ระวางโทษประหารชีวิตสถานเดียวจึงมีอัตราโทษสูงกว่าความผิดฐานร่วมกันฆ่าซึ่งระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ ๑๕ ปีถึง ๒๐ ปี ซึ่งศาลสามารถเลือกลงโทษได้ตามพฤติการณ์แห่งการกระทำความผิด
๓.ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าลงโทษ ๒ ใน ๓ ของความผิดสำเร็จของความผิดฐานฆ่าผู้อื่น การลงโทษ ๒ใน ๓ คือการลดโทษ ๑ใน ๓ ตาม ปอ มาตรา ๕๒(๑) ซึ่งการลดโทษ ๑ ใน ๓ หรือลงโทษ ๒ ใน ๓ ของความผิดประหารชีวิตคือจำคุกตลอดชีวิต
๔.ส่วนการลงโทษ๒ใน ๓ ของโทษจำคุกตลอดชีวิตคือการลดโทษ ๑ ใน ๓ ซึ่งต้องเปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตเป็นจำคุก ๕๐ ปี ตาม ปอ มาตรา ๕๓ ซึ่ง ๒ใน ๓ ของโทษจำคุกจำคุก ๕๐ ปี คือ ๓๓ ปี ๓๓เดือน ส่วนโทษจำคุกตั้งแต่ ๑๕ปีถึง ๒๐ ปี ๒ใน ๓ ของโทษดังกล่าวคือ ๑๐ ปี ถึง ๑๓ ปี ๓๓เดือน ดังนั้นระวางโทษฐานฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจึงมีอัตราโทษสูงกว่า กรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงโทษฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตาม ปอ มาตรา ๙๐
๕.หากจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก แล้วกระทำผิดในระหว่างที่รับโทษอยู่ หรือภายในเวลา ๕ ปีนับแต่วันพ้นโทษ ( ปอ. มาตรา ๙๒) หรือภายในเวลา ๓ ปีนับแต่วันพ้นโทษโดยได้กระทำความผิดในอนุมาตราที่กำหนดไว้ในปอ มาตรา ๙๓(๑)ถึง(๑๓) เมื่อมากระทำความผิดอีก พนักงานอัยการจะมีคำขอให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยตาม ปอ มาตรา ๙๒หรือ ๙๓ แล้วแต่กรณี ซึ่งปอ. มาตรา ๙๒,๙๓ ไม่ใช่บทมาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดตาม ปวอ มาตรา ๑๕๘(๖)ที่ต้องระบุเลขมาตราลงไป แต่ในทางปฏิบัติจะใส่เลขมาตราดังกล่าวลงไปเพื่อให้ศาลทราบว่าต้องการให้ศาลเพิ่มโทษตามกฏหมายใด หากไม่บรรยายมาในฟ้องให้เข้าหลักเกณท์ที่ขอเพิ่มโทษ และไม่มีคำขอท้ายฟ้องให้ศาลเพิ่มโทษแล้ว ศาลจะเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้ เพราะใน ปวอ มาตรา ๑๙๒วรรคแรกห้ามศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง
๖.เมื่อศาลมีคำพิพากษาประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำคุกจำเลยได้ จึงต้องยกคำร้องขอเพิ่มโทษดังกล่าว
๗.ความผิดฐานพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควรเป็นความผิดลหุโทษตาม ปอ มาตรา ๓๗๑ ศาลสามารถริบอาวุธของกลางได้ตาม ปอ มาตรา ๓๗๑ เมื่อได้นำมาใช้ในการกระทำความผิด ศาลมีอำนาจสั่งริบตาม ปอ มาตรา ๓๓(๑)
๘.จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษ ซึ่งศาลสามารถลดโทษได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงสำหรับความผิดนั้น ตาม ปอ มาตรา ๗๘ ใน.ความผิดฐานร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลลงโทษประหารชีวิต ลดโทษ ๑ ใน ๓ จึงต้องลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ตาม ปอ มาตรา ๕๒(๑)
๙.ศาลให้นำโทษที่ลงมานับโทษต่อจากโทษของจำเลยในคดีหมายเลขแดงที่......../.....ของศาล....... ซึ่งการที่ศาลจะนับโทษต่อได้ พนักงานอัยการต้องบรรยายมาในฟ้องและมีคำขอท้ายฟ้องขอให้ศาลนับโทษต่อด้วยมิเช่นนั้นศาลจะนับโทษต่อไม่ได้เพราะ ปวอ มาตรา ๑๙๒วรรคแรก ห้ามศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวมาในฟ้อง แต่บทมาตราที่ขอนับโทษต่อไม่ใช่มาตราในกฎหมายที่บัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม ปวอ มาตรา ๑๕๘(๖) แต่หากไม่บรรยายมาในฟ้องและไม่มีคำขอให้นับโทษต่อ ศาลไม่สามารถนับโทษต่อได้ กลายเป็นว่าจำเลยรับโทษสองคดีพร้อมกันไปซึ่งเป็นที่เสียหายต่อบ้านเมืองและความสงบสุขของประชาชน
๑๐.เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยไม่อุทธรณ์ อัยการศาลสูงจังหวัด......มีความเห็นไม่อุทธรณ์ส่งสำนวนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕ เป็นกรณีในต่างจังหวัดที่พนักงานอัยการมีความเห็นไม่อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลต้องส่งสำนวนให้ผู้ว่าราชการจังหวัด หากผู้ว่าราชการจังหวัดเห็นชอบ คำสั่งไม่อุทธรณ์ของพนักงานอัยการเป็นที่สุด แต่หากผู้ว่าราชการจังหวัดมีความเห็นแย้งให้อุทธรณ์ต้องส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเป็นผู้ชี้ขาดความเห็นแย้ง คำสั่งอัยการสูงสุดเป็นที่สุด(เป็นการใช้กฎหมายในปี พ.ศ. ๒๕๕๐ ก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ ที่ให้ส่งสำนวนให้ผู้บังคับการตำรวจฯ)
๑๑.กรณีตามปัญหาเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติราชการได้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจะรักษาการแทนกระทำการแทนในนามผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งต้องใช้คำว่า “ รักษาราชการแทน” แต่หากเป็นกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดมอบอำนาจให้รองผู้ว่าราชการกระทำการแทน และใช้คำว่า “ ปฏิบัติราชการแทน” ถือไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะ ปวอ มาตรา ๑๔๕ ไม่ได้ให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดที่จะสามารถมอบอำนาจให้รองผู้ว่าราชการจังหวัดปฏิบัติหน้าที่แทนได้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดจะปฏิบัติหน้าที่แทนได้ก็ต่อเมื่อผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดต้องใช้คำว่า “ รักษาราชการแทน” ไม่ใช่ใช้คำว่า “ ปฏิบัติราชการแทน”
๑๒.ในคดีที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิตหรือลงโทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนดังกล่าวที่ลงโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิตไปยังศาลอุทธรณ์ แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ก็ตาม เพื่อเป็นการตรวจสอบการลงโทษว่าได้กระทำถูกต้องหรือไม่อย่างไรเพราะศาลได้ลงโทษสถานหนัก คำพิพากษาเช่นนี้ยังไม่ถึงที่สุดจนกว่าศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ทั้งนี้เป็นไปตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคสอง
๑๓.เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นอุทธรณ์ภายในเวลา ๑ เดือนนับแต่วันที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งย่อมเป็นที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๑๙๘ ซึ่งต้องบังคับคดีโดยไม่ชักช้าตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรก แต่หากในคดีนั้นศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตแล้ว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ก็เป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ต้องพิจารณา หากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คำพิพากษาที่ให้จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิตจึงถึงที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคสอง
๑๔.คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษา คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจะเป็นที่สุดเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แม้ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาก็เป็นหน้าที่ศาลชั้นต้นต้องส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณา เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถือคดีถึงที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕ วรรคสอง เมื่อคดีถึงที่สุดต้องดำเนินการบังคับคดีโดยไม่ชักช้าตาม ปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรก จึงไม่มีกรณีที่อัยการศาลสูงจะมีคำสั่งไม่ฏีกาแล้วส่งสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคอีกแต่อย่างใด การส่งสำนวนไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ เป็นกรณีที่ดำเนินการขัดต่อบทบัญญัติในกฎหมายที่เมื่อคดีถึงที่สุดแล้วต้องบังคับคดีโดยทันที ดังนั้นความเห็นแย้งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่มีความเห็นแย้งให้ฏีกา จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงไม่ใช่ความเห็นแย้งข้อชี้ขาดที่อัยการสูงสุดต้องทำความเห็นตามปวอ มาตรา ๑๔๕ แต่อย่างใด จึงต้องคืนสำนวนให้อัยการศาลสูงจังหวัด.....รับไปดำเนินการต่อไป.และมีหนังสือแจ้งผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค....ทราบต่อไป
๑๕.อัยการศาลสูงไม่มีหน้าที่ต้องส่งสำนวนที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกตลอดชีวิตไปให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคพิจารณา เพราะเมื่อไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เป็นเพียงศาลชั้นต้นมีหน้าที่ต้องส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกที เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงเป็นที่สุด ต้องบังคับคดีทันที ไม่มีเหตุที่จะฏีกาต่อไปได้ และไม่มีเหตุต้องส่งสำนวนให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคพิจารณาด้วย ความเห็นของผู้บัญชาการตำรวจภาคที่มีความเห็นแย้งความเห็นอัยการศาลสูงจังหวัด.......ให้ฏีกานั้น กรณีดังกล่าวไม่ใช่ความเห็นแย้งตามกฎหมายที่อัยการสูงสุดต้องชี้ขาด ให้คืนสำนวนและมีหนังสือแจ้งไปยังผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค.......ทราบ
"ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น"
ผู้ต้องหาและผู้ตายมีเหตุโกรธเคืองกันเรื่องรุกล้ำที่ดินที่มีแนวเขตติดกัน ผู้ต้องหาขู่ฆ่าผู้ตายหลายครั้ง เคยใช้ปืนไล่ยิงบุตรผู้ตาย วันเกิดเหตุผู้ตาย ภรรยาและบุตรไปดำนา ได้ยินเสียงปืน ๑ นัดขณะนั้นผู้ตายอยู่ที่ไร่ไม่ได้ลงไปดำนาด้วยเข้าใจว่าชาวบ้านยิงนกยิงหนู เมื่อเลิกดำนากลับบ้านไม่พบผู้ตายจึงออกตามหาพบผู้ตายถูกยิงถึงแก่ความตาย จากการตรวจที่เกิดเหตุพบหมอนรองกระสุนปืนลูกซอง ขนาด ๑๒ จำนวน ๒ อัน น่าเชื่อว่าคนร้ายซุ่มยิงในป่าหญ้าห่างศพผู้ตาย ๑๐ เมตร พบรองเท้ายาง ๑ ข้างบริเวณที่ซุ่มยิง และพบอีกข้างห้างจากจุดซุ้มยิงไปทางเถียงนาผู้ต้องหา ๕ เมตร พบคาบเขม่าดินปืนติดบนกิ่งหญ้าในจุดที่ซุ่มยิง พนักงานสอบสวนเก็บเลือดผู้ตาย ๑ ถุงเล็กเป็นของกลาง ได้นำรองเท้ายางไปให้ภรรยาผู้ต้องหาดูรับว่าเป็นรองเท้าผู้ต้องหา และบอกว่าผู้ต้องหาไปนอนเฝ้านาแล้วไม่ได้กลับบ้าน ผู้ต้องหามีปืนลูกซอง ขนาด ๑๒ จำนวน ๑ กระบอก ไม่ทราบเก็บไว้ที่ใด ต่อมาพนักงานสอบสวนได้มาสอบปากคำภรรยาผู้ต้องหาอีกได้ความว่าผู้ต้องหาได้หนีออกจากบ้านไปแล้ว อาวุธปืนลูกซองขนาด ๑๒ที่ผู้ต้องหาซื้อเป็นปืนมีทะเบียนแต่ยังไม่ได้โอนทางทะเบียนและเก็บไว้ใต้ถุนบ้าน อไปตรวจสอบพบว่าเป็นอาวุธปืนยาวลูกซองเดี่ยว ขนาด ๑๒ แยกชิ้นส่วนลำกล่องปืนกับตัวปืน จึงได้ยึดอาวุธปืนเป็นของกลางโดยอาวุธปืนดังกล่าวถูกห่อไว้ด้วยพลาสติก ภรรยาผู้ต้องหานำใบอนุญาตเลขที่ ๑๓๒/๒๕๐๙ ทะเบียน กท ๑๑๒๖๘๙ เลขทะเบียนปืน ๒๔KQ เมื่อตรวจดูแล้วไม่พบหมายเลขทะเบียนที่ตัวปืนและที่ด้ามปืนคงพบแต่หมายเลข ๒๔kQ ภรรยาผู้ต้องหาอ้างว่าผู้ต้องหาฝั่งปืนดังกล่าวเมื่อ ๓ถึง ๔ เดือนที่แล้วเครื่องหมายทะเบียนไม่มีเพราะทำด้ามใหม่ ผลการตรวจอาวุธปืนพบเขม่าดินปืนติดอยู่ภายในลำกล้อง แต่ปืนของกลางไม่มีเข็มแทงชนวน จึงใช้ยิงทำอันตรายแก่ชีวิตและวัตถุไม่ได้ จากการตรวจสอบพบว่าผู้ต้องหาไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืน แม้คดีไม่มีประจักษ์พยาน แต่ก็พบรองเท้าผู้ต้องหาบริเวณที่คนร้ายใช้ซุ่มยิง พบอาวุธปืนลูกซองยาวขนาด ๑๒ ของผู้ต้องหาซุกซ่อนฝังไว้ใต้ถุนบ้านผู้ต้องหา ผู้ต้องหามีสาเหตุโกรธเคืองผู้ตาย หลังเกิดเหตุผู้ต้องหาหลบหนีออกจากบ้านไปเป็นเวลา ๗ ปี จึงสามารถตามจับได้ พยานแวดล้อมรับฟังได้ว่าผู้ต้องหาใช้อาวุธซุ้มยิงผู้ตาย ชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหา ฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอศาลสั่งริบหมอนรองกระสุนปืนลูกซองและอาวุธปืนลูกซองของกลาง ชี้ขาดความเห็นแย้ง๖๔/๒๕๕๑
ข้อสังเกต ๑.ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันการกระทำผิดของผู้ต้องหา
๒.ผู้ต้องหามีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายเรื่องรุกล้ำที่ดินที่มีแนวเขตติดต่อกัน เคยพูดขู่จะฆ่าผู้ตายหลายครั้ง และเคยใช้ปืนไล่ยิงบุตรผู้ตาย ที่เกิดเหตุพบรองเท้ายางของผู้ต้องหาตกอยู่บริเวณที่ซุ้มยิง ๑ ข้าง และพบอีกข้างห่างที่เกิดเหตุ ๕ เมตรโดยภรรยาของผู้ต้องหายืนยันเป็นรองเท้าของผู้ต้องหา ตรวจยึดอาวุธปืนลูกซองยาว ขนาด ๑๒ ที่บ้านผู้ต้องหา อันเป็นขนาดเดียวกับที่พบหมอนรองกระสุนปืนขนาด ๑๒ ตกที่เกิดเหตุ โดยอาวุธปืนดังกล่าวมีคาบเขม่าดินปืนติดอยู่ แม้จากการตรวจสอบจะพบว่าไม่มีเข็มแทงชนวนทำให้ไม่สามารถใช้ยิงได้ก็ตาม แต่ก็พบว่ามีการแยกลำกล้องปืนออกจากตัวปืน และด้ามปืนก็ไม่มีหมายเลขทะเบียนปืนที่เจ้าพนักงานประทับไว้โดยภรรยาผู้ต้องหาอ้างว่าไปทำด้ามปืนใหม่ ผู้ต้องหาหลบหนีออกจากบ้านเป็นเวลา ๗ ปี โดยไม่กลับบ้านซึ่งผิดปกติที่คนเราออกจากบ้านไม่กลับมาหาลูกเมีย จนต่อมาผู้ต้องหาถูกจับกุมได้ตามหมายจับ พยานแวดล้อมน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาเป็นคนร้ายรายนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นยืนยันการกระทำผิดของผู้ต้องหาก็ตาม หลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
๓.เมื่อรับฟังว่าอาวุธปืนของกลางที่พบใช้ในการยิงผู้ตาย เมื่อผู้ต้องหาไม่ได้รับอนุญาตให้พาอาวุธปืน จึงเป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันควร
ข้อสังเกต ๑.ไม่มีประจักษ์พยานยืนยันการกระทำผิดของผู้ต้องหา
๒.ผู้ต้องหามีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้ตายเรื่องรุกล้ำที่ดินที่มีแนวเขตติดต่อกัน เคยพูดขู่จะฆ่าผู้ตายหลายครั้ง และเคยใช้ปืนไล่ยิงบุตรผู้ตาย ที่เกิดเหตุพบรองเท้ายางของผู้ต้องหาตกอยู่บริเวณที่ซุ้มยิง ๑ ข้าง และพบอีกข้างห่างที่เกิดเหตุ ๕ เมตรโดยภรรยาของผู้ต้องหายืนยันเป็นรองเท้าของผู้ต้องหา ตรวจยึดอาวุธปืนลูกซองยาว ขนาด ๑๒ ที่บ้านผู้ต้องหา อันเป็นขนาดเดียวกับที่พบหมอนรองกระสุนปืนขนาด ๑๒ ตกที่เกิดเหตุ โดยอาวุธปืนดังกล่าวมีคาบเขม่าดินปืนติดอยู่ แม้จากการตรวจสอบจะพบว่าไม่มีเข็มแทงชนวนทำให้ไม่สามารถใช้ยิงได้ก็ตาม แต่ก็พบว่ามีการแยกลำกล้องปืนออกจากตัวปืน และด้ามปืนก็ไม่มีหมายเลขทะเบียนปืนที่เจ้าพนักงานประทับไว้โดยภรรยาผู้ต้องหาอ้างว่าไปทำด้ามปืนใหม่ ผู้ต้องหาหลบหนีออกจากบ้านเป็นเวลา ๗ ปี โดยไม่กลับบ้านซึ่งผิดปกติที่คนเราออกจากบ้านไม่กลับมาหาลูกเมีย จนต่อมาผู้ต้องหาถูกจับกุมได้ตามหมายจับ พยานแวดล้อมน่าเชื่อว่าผู้ต้องหาเป็นคนร้ายรายนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นยืนยันการกระทำผิดของผู้ต้องหาก็ตาม หลักฐานพอฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
๓.เมื่อรับฟังว่าอาวุธปืนของกลางที่พบใช้ในการยิงผู้ตาย เมื่อผู้ต้องหาไม่ได้รับอนุญาตให้พาอาวุธปืน จึงเป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันควร
"ทำนาบนหลังคน -ให้มากู้เงิน"
ผู้ต้องหากับพวกวางนามบัตรตามโต๊ะอาหารชักชวนให้คนไปกู้เงิน ทั้งได้จัดนายหน้าพาคนไปกู้เงิน เมื่อมีคนมากู้ก็ลงเงินในสัญญากู้สูงกว่าจำนวนเงินที่กู้เป็นจำนวนมากเทียบได้กับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๖๐ ถึง ๑๒๐ ต่อปี อ้างว่าเพื่อเป็นหลักประกันการชำระเงิน แล้วได้นำสัญญากู้ไปฟ้องบังคับให้ชำระเต็มตามจำนวนที่ลงไว้ในสัญญากู้ แม้ผู้กู้บางรายชำระเต็มตามจำนวนเงินที่กูแล้ว ก็ยังนำไปฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ซ้ำอีก เห็นได้ว่าพฤติกรรมของผู้ต้องหากับพวกมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกในการวางแผนเพื่อจะหลอกอาเงินและทรัพย์สินจากผู้เสียหายและคนทั่วไปโดยวิธีเชิญชวนมากู้เงินเป็นการบังหน้าและเมื่อมีผู้หลงเชื่อเข้าใจกันว่าเป็นการกู้ตามปกติ แต่ทำสัญญากู้ระบุจำนวนเงินไว้สูงเพื่อเป็นหลักประกัน จึงได้ยอมทำสัญญากู้ดังกล่าว เป็นการหลอกลวงคนทั่วไปให้มากู้เงินและทำสัญญากู้อันเป็นเอกสารสิทธิ์์ให้แก่ผู้ต้องหากับพวก เพื่อจะใช้สิทธิ์ฟ้องร้องบังคับคดีเอากับทรัพย์สินผู้กู้เต็มตามจำนวนที่หลอกให้ลงจำนวนกู้สูงกว่าความเป็นจริงอย่างมาก ชี้ขาด "ให้ฟ้อง" ผู้ต้องหาที่ ๑ที่๒ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ และชี้ขาด "ควรสั่งฟ้อง" ผู้ต้องหาที่ ๖ ฐานร่วมกันฉ้อโกง ให้ผู้ต้องหาทั้งหมดคืนหรือใช้เงิน นับบโทษผู้ต้องหาที่ ๑ต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่น ส่วนผู้ต้องหาที่ ๖ ยังไม่ได้ตัวมาดำเนินคดี แจ้งให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติจัดการให้ได้ตัวมาภายในอายุความ ๑๐ ปีนับแต่วันกระทำผิด ชี้ขาดความเห็นแย้ง๓๙๙/๒๕๕๑
ข้อสังเกต ๑.กู้ยืมเงินเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง สมบรูณ์เมื่อมีการส่งมอบเงิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๐วรรคท้าย เมื่อมีการทำสัญญากู้ลงจำนวนเงินสูงเกินจำนวนเงินที่มีการกู้กันจริง จำนวนเงินที่กู้ส่วนที่ไม่มีการส่งมอบย่อมไม่สมบรูณ์ถือมีการกู้ในจำนวนเงินดังกล่าวไม่ได้ ในความเห็นของผมน่าถือว่าสัญญากู้ในส่วนที่ไม่ได้มีการส่งมอบเงินตกเป็นโมฆะเพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฏหมายกำหนดไว้ ทั้งการเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๖๐ ถึง ๑๒๐ ต่อปีเป็นความผิดตามพรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด จึงเป็นกรณีที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมสัญญากู้ย่อมตกเป็นโมฆะเสียทั้งสิ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๓ จะถือว่าแยกส่วนนิติกรรมที่เป็นโมฆะออกจากส่วนที่ไม่เป็นโมฆะหาได้ไม่ เพราะผู้ต้องหามีเจตนาชั่วร่้ายอยู่ในตัวทั้งยังเป็นการกระทำความผิดตามพรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯซึ่งมีโทษทางอาญาและการเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕ เมื่อนิติกรรมตกเป็นโมฆะผู้กู้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับไว้ซึ่งเงินกู้จึงต้องคืนเงินตามที่กู้กันจริงในฐานลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๐๖
๒.ในคดีนี้การนำสืบว่าจำนวนเงินกู้กันจริงเท่าไหร่สามารถนำพยานบุคคลมานำสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ได้ โดยปกติแล้วการกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ จึงเป็นกรณีกฏหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ตามหลักจะนำพยานบุคคลมานำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารว่า ไม่ได้กู้จำนวนเท่านี้ ได้รับเงินไม่ครบตามที่ระบุในสัญญากู้ไม่ได้ แต่ในกรณีนี้เป็นการนำสืบว่าสัญญากู้ไม่สมบรูณหรือไม่ถูกต้องบาง่ส่วนเพราะไม่มีการส่งมอบเงินตนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ทั้งหมด สามารถนำพยานบุคคลมาหักล้างพยานเอกสารได้ตาม ป.ว.พ. มาตรา ๙๔ วรรค ๒
๓.ส่วนผู้กู้ที่ชำระหนี้เงินกู้ครบแล้วผู้ต้องหายังนำมาฟ้องอีก แม้การฟ้องเท็จคดีแพ่งไม่เป็นความผิดตามกฏหมายเพราะไม่มีกฏหมายบัญญัติให้เป็นความผิดไว้ แต่เมื่อมาเบิกความย่อมมีความผิดฐานเบิกความเท็จ นำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีของศาลตาม ป.อ . มาตรา ๑๗๗,๑๘๐
๔.ผู้ต้องหากับพวกโดยมีเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์อันไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฏหมายหลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนทั่วไปให้มากู้เงินด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าให้ลงจำนวนเงินกู้สูงกว่าจำนวนเงินกู้ที่กู้กันจริงเพื่อเป็นหลักประกัน โดยผู้ต้องหากับพวกหาได้มีเจตนาให้ลงจำนวนเงินกู้สูงกว่าที่กู้กันจริงเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้เงิน แต่ผู้ต้องหากับพวกมีเจตนาที่จะนำหลักฐานการกู้เงินนั้นไปฟ้องเต็มจำนวน จนผู้เสียหายและประชาชนอื่นหลงเชื่อได้ทำสัญญากู้อันเป็นเอกสารสิทธิ์กับผู้ต้องหากับพวก เป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
๕.การเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปีเป็นความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฏหมายกำหนดไว้ตามพรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด
๖.สังเกตุใช้คำว่า "ชี้ขาดให้ฟ้อง " คือมีตัวให้ฟ้อง และใช้คำว่า "ชี้ขาด "ควรสั่งฟ้อง" คือไม่มีตัวให้ฟ้องเพราะหลบหนี
๗.ใช้คำว่า ชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑ ผู้ต้องหาที่ ๒ ผู้ต้องหาที่ ๓ ผู้ต้องหาที่ ๔ ผู้ต้องหาที่ ๕ ไม่ได้ใช้คำว่า ผู้ต้องหาที่ ๑ ถึงผู้ต้องหาที่ ๕ เพื่อกันการผิดพลาดว่าฟ้องใครไม่ฟ้องใคร
๘.ใช้คำว่า " ดำเนินการให้ได้ตัวมาภายในอายุความ" ไม่ได้ใช้คำว่า " ออกหมายจับภายในอายุความ" คือทำการอย่างไรก็แล้วแต่รวมทั้งการออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวมาฟ้อง
๙.ฉ้อโกงประชาชนระวางโทษจำคุกไม่เกิน๕ ปี มีอายุ ๑๐ ปี ตาม ป.อ.มาตรา ๙๕(๓)
๑๐.อายุความ๑๐ ปีนับแต่วันเกิดเหตุคือรับแต่วันที่ทำสัญญากู้
ข้อสังเกต ๑.กู้ยืมเงินเป็นการยืมใช้สิ้นเปลือง สมบรูณ์เมื่อมีการส่งมอบเงิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๖๕๐วรรคท้าย เมื่อมีการทำสัญญากู้ลงจำนวนเงินสูงเกินจำนวนเงินที่มีการกู้กันจริง จำนวนเงินที่กู้ส่วนที่ไม่มีการส่งมอบย่อมไม่สมบรูณ์ถือมีการกู้ในจำนวนเงินดังกล่าวไม่ได้ ในความเห็นของผมน่าถือว่าสัญญากู้ในส่วนที่ไม่ได้มีการส่งมอบเงินตกเป็นโมฆะเพราะไม่ได้ทำตามแบบที่กฏหมายกำหนดไว้ ทั้งการเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๖๐ ถึง ๑๒๐ ต่อปีเป็นความผิดตามพรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด จึงเป็นกรณีที่ส่วนหนึ่งส่วนใดของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมสัญญากู้ย่อมตกเป็นโมฆะเสียทั้งสิ้นตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๓ จะถือว่าแยกส่วนนิติกรรมที่เป็นโมฆะออกจากส่วนที่ไม่เป็นโมฆะหาได้ไม่ เพราะผู้ต้องหามีเจตนาชั่วร่้ายอยู่ในตัวทั้งยังเป็นการกระทำความผิดตามพรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯซึ่งมีโทษทางอาญาและการเอาสัญญากู้ดังกล่าวมาฟ้องเป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริตตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕ เมื่อนิติกรรมตกเป็นโมฆะผู้กู้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับไว้ซึ่งเงินกู้จึงต้องคืนเงินตามที่กู้กันจริงในฐานลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๔๐๖
๒.ในคดีนี้การนำสืบว่าจำนวนเงินกู้กันจริงเท่าไหร่สามารถนำพยานบุคคลมานำสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ได้ โดยปกติแล้วการกู้ยืมเงินต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงสามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ จึงเป็นกรณีกฏหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ตามหลักจะนำพยานบุคคลมานำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารว่า ไม่ได้กู้จำนวนเท่านี้ ได้รับเงินไม่ครบตามที่ระบุในสัญญากู้ไม่ได้ แต่ในกรณีนี้เป็นการนำสืบว่าสัญญากู้ไม่สมบรูณหรือไม่ถูกต้องบาง่ส่วนเพราะไม่มีการส่งมอบเงินตนที่ระบุไว้ในสัญญากู้ทั้งหมด สามารถนำพยานบุคคลมาหักล้างพยานเอกสารได้ตาม ป.ว.พ. มาตรา ๙๔ วรรค ๒
๓.ส่วนผู้กู้ที่ชำระหนี้เงินกู้ครบแล้วผู้ต้องหายังนำมาฟ้องอีก แม้การฟ้องเท็จคดีแพ่งไม่เป็นความผิดตามกฏหมายเพราะไม่มีกฏหมายบัญญัติให้เป็นความผิดไว้ แต่เมื่อมาเบิกความย่อมมีความผิดฐานเบิกความเท็จ นำสืบพยานหลักฐานอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีของศาลตาม ป.อ . มาตรา ๑๗๗,๑๘๐
๔.ผู้ต้องหากับพวกโดยมีเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์อันไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฏหมายหลอกลวงผู้เสียหายและประชาชนทั่วไปให้มากู้เงินด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าให้ลงจำนวนเงินกู้สูงกว่าจำนวนเงินกู้ที่กู้กันจริงเพื่อเป็นหลักประกัน โดยผู้ต้องหากับพวกหาได้มีเจตนาให้ลงจำนวนเงินกู้สูงกว่าที่กู้กันจริงเพื่อเป็นหลักประกันในการกู้เงิน แต่ผู้ต้องหากับพวกมีเจตนาที่จะนำหลักฐานการกู้เงินนั้นไปฟ้องเต็มจำนวน จนผู้เสียหายและประชาชนอื่นหลงเชื่อได้ทำสัญญากู้อันเป็นเอกสารสิทธิ์กับผู้ต้องหากับพวก เป็นความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน
๕.การเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปีเป็นความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฏหมายกำหนดไว้ตามพรบ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฏหมายกำหนด
๖.สังเกตุใช้คำว่า "ชี้ขาดให้ฟ้อง " คือมีตัวให้ฟ้อง และใช้คำว่า "ชี้ขาด "ควรสั่งฟ้อง" คือไม่มีตัวให้ฟ้องเพราะหลบหนี
๗.ใช้คำว่า ชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาที่ ๑ ผู้ต้องหาที่ ๒ ผู้ต้องหาที่ ๓ ผู้ต้องหาที่ ๔ ผู้ต้องหาที่ ๕ ไม่ได้ใช้คำว่า ผู้ต้องหาที่ ๑ ถึงผู้ต้องหาที่ ๕ เพื่อกันการผิดพลาดว่าฟ้องใครไม่ฟ้องใคร
๘.ใช้คำว่า " ดำเนินการให้ได้ตัวมาภายในอายุความ" ไม่ได้ใช้คำว่า " ออกหมายจับภายในอายุความ" คือทำการอย่างไรก็แล้วแต่รวมทั้งการออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวมาฟ้อง
๙.ฉ้อโกงประชาชนระวางโทษจำคุกไม่เกิน๕ ปี มีอายุ ๑๐ ปี ตาม ป.อ.มาตรา ๙๕(๓)
๑๐.อายุความ๑๐ ปีนับแต่วันเกิดเหตุคือรับแต่วันที่ทำสัญญากู้
“ไม่มีความเห็นแย้งที่ต้องวินิจฉัย”
เจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถบรรทุกพ่วงคลุมผ้าใบแล่นมาอย่างผิดสังเกตจึงเรียกให้หยุด คนขับรถหยุดรถแล้วหลบหนีไป จากการตรวจภายในรถพบไม้ซุงท่อนไม่มีรอยตราเจ้าพนักงานประทับ ภายในรถตรวจพบใบอนุญาตขับขี่รถทุกประเภทจำนวน ๑๐ ใบ กุญแจรถ ๓ ดอก สำเนาหนังสือรับรองที่ดินนิคมฯ หนังสือนำไม้เคลื่อนย้ายไปใช้ประโยชน์และเอกสารอื่นรวม ๑๓ แผ่น โทรทัศน์ติดรถยนต์ ๑ เครื่อง นาฬิกาข้อมือ ๑ เรือน ยึดไว้เป็นของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน อัยการจังหวัด........มีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาทำไม้หรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ฟ้องในข้อหามีไว้ในความครอบครองไม้หวงห้าม(ไม้ท่อน)อันยังไม่ได้แปรรูปโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย ขอริบไม้ของกลาง ส่วนของกลางอื่นรวมทั้งรถบรรทุกและรถพ่วงให้จัดการตามปวอ มาตรา ๘๕ ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ เห็นชอบกับคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ แต่ไม่เห็นชอบกับคำสั่งที่ไม่ริบรถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลาง อัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า อัยการจังหวัด......มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาบางข้อหา ขอริบไม้หวงห้ามของกลาง ในส่วนของกลางอื่นรวมทั้งรถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางเป็นของบุคคลภายนอก แจ้งพนักงานสอบสวนจัดการตาม ปวอ มาตรา ๘๕ กับมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเฉพาะข้อหาฐานทำไม้หรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง คำสั่งไม่ฟ้อง จึงเป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องตามปวอ มาตรา ๑๔๗ แต่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของพนักงานอัยการเกี่ยวกับรถบรรทุก รถบรรทุกของกลางที่แจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการตาม ปวอ มาตรา ๘๕ จึงไม่มีความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดต้องพิจารณาชี้ขาดตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑ ในส่วนความเห็นของพนักงานอัยการที่แจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการเกี่ยวกับรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕นั้น เป็นเพียง “ คำแนะนำ” ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ใน ปวอ มาตรา ๘๕ ตอนท้าย ความเห็นดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งไม่ฟ้องที่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้จะใช้อำนาจตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑แย้งความเห็นและคำสั่งของพนักงานอัยการในเรื่องดังกล่าว จึงไม่มีความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดต้องพิจารณาเช่นกัน การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนจัดการเกี่ยวกับรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕ นั้น เห็นว่า รถบรรทุกดังกล่าวเป็นของบริษัท ร. ผู้ให้เช่าซื้อ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจใจในการกระทำความผิดด้วย และเมื่อทราบว่ารถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางถูกยึดก็ได้มาขอคืนของกลางจากพนักงานสอบสวนและให้ทนนายบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเรียกรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางคืนจากผู้เช่าซื้อพร้อมเรียกค่าเสียหาย การขอคืนรถบรรทุกรถบรรทุกพ่วงของกลางของบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ จึงไม่ได้เป็นเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่อย่างใด จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต ความเห็นของพนักงานอัยการชอบแล้ว คำสั่งชี้ขาดความเห็นแย้ง ๒๙๓/๒๕๕๘
ข้อสังเกต ๑.”ไม้” หมายความว่า ไม้สักและไม้อื่นทุกชนิดที่เป็น ต้น เป็น กอ เป็น เถา รวมถึง ไม้ไผ่ทุกชนิด ปลาม หวายตลอดจน ราก ปุ่ม ตอ เศษปลายและกิ่งของสิ่งนั้นๆ ไม่ว่าจะถูกตัดตอนเลื่อยผ่าถากขุดหรือกระทำด้วยประการอื่นใด
“แปรรูปไม้” หมายความถึง เลื่อยหรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้ให้เปลี่ยนรูปหรือขนาดไปจากเดิม นอกจากการลอกเปลือก หรือตกแต่งอันจำเป็นแก่การชักลาก
“ไม้แปรรูป” หมายความว่า ไม้ที่ได้แปรรูปแล้ว แต่ไม่หมายถึงไม้ที่ได้ทำเป็นเครื่องใช้หรือสิ่งของอื่นหรือประ กอบเข้ากับเครื่องใช้หรือสิ่งอื่นแล้ว
“ ทำไม้” หมายความว่า ตัด ฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ผ่า ถาก ขุด ถอน ชักลากไม้ในป่าหรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใดๆ
๒. “.ความผิดฐานทำไม้” คือการตัดฟันกานโค่นลิดเลื่อยผ่าถากขุดถอน ชักลากไม้ในป่าหรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใดๆ ซึ่งไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเห็นได้ว่าตามวิเคราะห์ศัพท์ดังกล่าว เพียงชักลากไม้ในป่าหรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใดๆ ซึ่งไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือเป็นการ “ ทำไม้” แล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นความผิดตามกฏหมาย
“.ความผิดฐานมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูป(มีไม้ท่อน)โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย คือยังไม่มีการแปรรูปไม้(ท่อน)หวงห้ามด้วยการเลื่อยหรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้(ท่อน)หวงห้ามให้เปลี่ยนรูปหรือขนาดไปจากเดิม ไม้หวงห้ามยังคงเป็นท่อนอยู่
“ความผิดฐานนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางจากเจ้าหน้าที่ โดยเมื่อนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ล่วงด่านป่าไม้ต้องแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งแสดงใบเบิกทางกำกับไม้หรือของป่าที่นำมาที่นำมานั้นเพื่อเจ้าหน้าที่อนุญาตเป็นหนังสือให้ผ่านด่านได้ จึงจะนำไม้หรือของป่านั้นไปได้ และการเคลื่อนย้ายไม้หวงห้ามต้องไม่กระทำระหว่างพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่
๓.ไม้ท่อนที่ยังไม่แปรรูปหรือไม้แปรรูปหวงห้ามที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีไว้ในความครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตให้แปรรูปไม้ รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ที่ได้ใช้หรือมีเหตุอันสมควรในการกระทำความผิดหรือเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดสิ่งเหล่านี้ไว้ได้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้จนกว่า พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดหรือผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ ทรัพย์ที่ยึดไว้ ถ้าพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือศาลไม่พิพากษาให้ริบและผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ได้ร้องขอคืนภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่”ทราบ “ หรือ “ถือว่าได้ทราบ” คำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ตกเป็นของกรมป่าไม้ หากเป็นทรัพย์ที่เสี่ยงความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเกินกว่าค่าแห่งทรัพย์สินรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายจะจัดการขายทอดตลาดก็ได้ ได้เงินมาให้ยึดไว้แทนทรัพย์สิ้นนั้น พรบ.ป่าไม้ฯ มาตรา ๖๔(๓๔)ทวิ
๔.ปอ. มาตรา ๓๒,๓๓บัญญัติให้ทรัพย์ที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาจากการกระทำความผิดหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ศาลริบเสียทั้งสิ้น
๕.ใบอนุญาตขับขี่รถทุกประเภทจำนวน ๑๐ ใบ กุญแจรถ ๓ ดอก สำเนาหนังสือรับรองที่ดินนิคมฯ หนังสือนำไม้เคลื่อนย้ายไปใช้ประโยชน์และเอกสารอื่นรวม ๑๓ แผ่น โทรทัศน์ติดรถยนต์ ๑ เครื่อง นาฬิกาข้อมือ ๑ เรือน ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือมีไว้เป็นความผิดในความผิดฐาน มีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูป(มีไม้ท่อน)โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย จึงไม่อาจริบได้ พนักงานอัยการจะมีคำสั่งแจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการตาม ปวอ มาตรา ๘๕ คือคืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่นที่มีสิทธิ์เรียกร้องขอสิ่งนั้นคืน
๖.รถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วง เมื่ออยู่ระหว่างการเช่าซื้อกรรมสิทธิ์ในรถยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อ ผู้ให้เช่าซื้อไม่รู้เห็นเป็นใจในการที่นำรถดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดจึงเป็นกรณีที่เจ้าของไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดจึงไม่อาจริบได้ตาม ปอ มาตรา ๓๓ ตอนท้าย
๗.คำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเฉพาะข้อหาฐานทำไม้หรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง คำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง
๘..ส่วนที่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของพนักงานอัยการที่ให้จัดการรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงนั้น เห็นว่า...ตามปวอ มาตรา ๑๔๕ ให้อำนาจ.ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้มีสิทธิ์เพียง “เห็นชอบ” หรือ “มีความเห็นแย้ง” กับคำสั่งของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้องในข้อหาที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดเท่านั้น แต่.ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไม่มีอำนาจกล่าวล่วงไปสั่งในเรื่องอื่นใดนอกจากคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ การที่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไปสั่งเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ของกลางโดยเห็นว่าควรริบรถยนต์ของกลาง จึงเป็นการสั่งโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ....ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไม่มีความเห็นแย้งในเรื่องข้อหาที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ดังนั้นข้อหาที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจึงเด็ดขาดเป็นที่สุด ไม่มีความเห็นแย้งในข้อหาที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง เมื่อไม่มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ที่จะให้อัยการสูงสุดพิจารณา อัยการสูงสุดจึงไม่จำต้องพิจารณาว่าการคืนของกลางหรือจัดการของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร
๙..ในส่วนความเห็นของพนักงานอัยการที่แจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการเกี่ยวกับรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕นั้น เป็นเพียง “ คำแนะนำ” ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ใน ปวอ มาตรา ๘๕ ตอนท้าย ความเห็นดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งไม่ฟ้องที่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้จะใช้อำนาจตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑แย้งความเห็นและคำสั่งของพนักงานอัยการในเรื่องดังกล่าว จึงไม่มีความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดต้องพิจารณาเช่นกัน
๑๐. การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนจัดการเกี่ยวกับรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕ นั้น เห็นว่า รถบรรทุกดังกล่าวเป็นของบริษัท ร. ผู้ให้เช่าซื้อ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย และเมื่อทราบว่ารถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางถูกยึดก็ได้มาขอคืนของกลางจากพนักงานสอบสวนและให้ทนายบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเรียกรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางคืนจากผู้เช่าซื้อพร้อมเรียกค่าเสียหาย การขอคืนรถบรรทุกรถบรรทุกพ่วงของกลางของบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ จึงไม่ได้เป็นเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่อย่างใด จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต ความเห็นของพนักงานอัยการชอบแล้ว ไ ม่จำต้องพิจารณาว่าการคืนของกลางหรือจัดการของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร และไม่มีเหตุให้อัยการสูงสุดต้องวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวเพราะความเห็นของผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของพนักงานอัยการในเรื่องของกลาง ไม่ใช่ความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการที่อัยการสูงสุดต้องชี้ขาด
๑๑.ในสมัยที่ผมรับราชการที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน เมื่อพนักงานอัยการคืนรถของกลางที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ เพราะไม่มีหลักฐานใดสามารถยืนยันได้ว่าผู้ให้เช่าซื้อรู้เห็นยินยอมในการกระทำผิดของผู้ต้องหา ป่าไม้ไม่พอใจได้ไปปรึกษากับผู้พิพากษา ซึ่งผู้พิพากษามีคำสั่งให้ “ ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น” คงมองอัยการในแง่ลบในการสั่งสำนวนมั้ง ทั้งที่บางเรื่องไม่มีของกลางที่จะให้ริบหรือคืน แต่ศาลไปสั่งให้“ ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น” จึงเป็นการพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้องตาม ปวอ มาตรา ๑๙๒ คำสั่งของศาลที่ให้ “ ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น” ทั้งที่ไม่มีของกลางจะให้ริบและโจทก์ไม่ได้กล่าวหรือบรรยายไว้ในคำฟ้องหรือมีคำขอท้ายฟ้องให้ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย พนักงานอัยการยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ศาลฏีกาแก้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว
๑๒.ระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ ข้อ ๗๗ เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน หรือมีกรณีมีความเห็นไม่ขอริบทรัพย์สินของกลาง เนื่องจากของกลางนั้นริบไม่ได้ตามกฎหมายหรือไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ และไม่มีความจำเป็นต้องยึดของกลางนั้นไว้วินิจฉัยในคดี ให้แจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลางตามแบบพิมพ์อก ๔๖ เพียงว่า “ของกลางให้จัดการตามปวอ มาตรา ๘๕” เท่านั้นโดยไม่จำต้องรอถึงคดีถึงที่สุด
กรณีเสร็จคดีชั้นศาล ให้แจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลางตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลหลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว โดยให้แจ้งตามแบบพิมพ์ อก ๔๖ เมื่อพ้นอายุความอุทธรณ์ฏีกาแล้วแต่กรณี
ข้อสังเกต ๑.”ไม้” หมายความว่า ไม้สักและไม้อื่นทุกชนิดที่เป็น ต้น เป็น กอ เป็น เถา รวมถึง ไม้ไผ่ทุกชนิด ปลาม หวายตลอดจน ราก ปุ่ม ตอ เศษปลายและกิ่งของสิ่งนั้นๆ ไม่ว่าจะถูกตัดตอนเลื่อยผ่าถากขุดหรือกระทำด้วยประการอื่นใด
“แปรรูปไม้” หมายความถึง เลื่อยหรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้ให้เปลี่ยนรูปหรือขนาดไปจากเดิม นอกจากการลอกเปลือก หรือตกแต่งอันจำเป็นแก่การชักลาก
“ไม้แปรรูป” หมายความว่า ไม้ที่ได้แปรรูปแล้ว แต่ไม่หมายถึงไม้ที่ได้ทำเป็นเครื่องใช้หรือสิ่งของอื่นหรือประ กอบเข้ากับเครื่องใช้หรือสิ่งอื่นแล้ว
“ ทำไม้” หมายความว่า ตัด ฟัน กาน โค่น ลิด เลื่อย ผ่า ถาก ขุด ถอน ชักลากไม้ในป่าหรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใดๆ
๒. “.ความผิดฐานทำไม้” คือการตัดฟันกานโค่นลิดเลื่อยผ่าถากขุดถอน ชักลากไม้ในป่าหรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใดๆ ซึ่งไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเห็นได้ว่าตามวิเคราะห์ศัพท์ดังกล่าว เพียงชักลากไม้ในป่าหรือนำไม้ออกจากป่าด้วยประการใดๆ ซึ่งไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือเป็นการ “ ทำไม้” แล้ว หากไม่ได้รับอนุญาตก็เป็นความผิดตามกฏหมาย
“.ความผิดฐานมีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูป(มีไม้ท่อน)โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย คือยังไม่มีการแปรรูปไม้(ท่อน)หวงห้ามด้วยการเลื่อยหรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้(ท่อน)หวงห้ามให้เปลี่ยนรูปหรือขนาดไปจากเดิม ไม้หวงห้ามยังคงเป็นท่อนอยู่
“ความผิดฐานนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่โดยไม่มีใบเบิกทางจากเจ้าหน้าที่ โดยเมื่อนำไม้หรือของป่าเคลื่อนที่ล่วงด่านป่าไม้ต้องแจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งแสดงใบเบิกทางกำกับไม้หรือของป่าที่นำมาที่นำมานั้นเพื่อเจ้าหน้าที่อนุญาตเป็นหนังสือให้ผ่านด่านได้ จึงจะนำไม้หรือของป่านั้นไปได้ และการเคลื่อนย้ายไม้หวงห้ามต้องไม่กระทำระหว่างพระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานเจ้าหน้าที่
๓.ไม้ท่อนที่ยังไม่แปรรูปหรือไม้แปรรูปหวงห้ามที่ไม่ได้รับอนุญาตให้มีไว้ในความครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตให้แปรรูปไม้ รวมทั้งเครื่องมือเครื่องใช้ที่ได้ใช้หรือมีเหตุอันสมควรในการกระทำความผิดหรือเป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิดเพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดสิ่งเหล่านี้ไว้ได้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้จนกว่า พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือจนกว่าคดีจะถึงที่สุด เจ้าพนักงานมีอำนาจยึดสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นของผู้กระทำความผิดหรือผู้มีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นผู้กระทำผิดหรือไม่ ทรัพย์ที่ยึดไว้ ถ้าพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องหรือศาลไม่พิพากษาให้ริบและผู้เป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ได้ร้องขอคืนภายใน ๖ เดือน นับแต่วันที่”ทราบ “ หรือ “ถือว่าได้ทราบ” คำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หรือวันที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ตกเป็นของกรมป่าไม้ หากเป็นทรัพย์ที่เสี่ยงความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษาเกินกว่าค่าแห่งทรัพย์สินรัฐมนตรีหรือผู้ที่รัฐมนตรีมอบหมายจะจัดการขายทอดตลาดก็ได้ ได้เงินมาให้ยึดไว้แทนทรัพย์สิ้นนั้น พรบ.ป่าไม้ฯ มาตรา ๖๔(๓๔)ทวิ
๔.ปอ. มาตรา ๓๒,๓๓บัญญัติให้ทรัพย์ที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือได้มาจากการกระทำความผิดหรือมีไว้เป็นความผิด ให้ศาลริบเสียทั้งสิ้น
๕.ใบอนุญาตขับขี่รถทุกประเภทจำนวน ๑๐ ใบ กุญแจรถ ๓ ดอก สำเนาหนังสือรับรองที่ดินนิคมฯ หนังสือนำไม้เคลื่อนย้ายไปใช้ประโยชน์และเอกสารอื่นรวม ๑๓ แผ่น โทรทัศน์ติดรถยนต์ ๑ เครื่อง นาฬิกาข้อมือ ๑ เรือน ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิดหรือมีไว้เป็นความผิดในความผิดฐาน มีไว้ในความครอบครองซึ่งไม้หวงห้ามอันยังไม่ได้แปรรูป(มีไม้ท่อน)โดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย จึงไม่อาจริบได้ พนักงานอัยการจะมีคำสั่งแจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการตาม ปวอ มาตรา ๘๕ คือคืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่นที่มีสิทธิ์เรียกร้องขอสิ่งนั้นคืน
๖.รถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วง เมื่ออยู่ระหว่างการเช่าซื้อกรรมสิทธิ์ในรถยังไม่โอนไปยังผู้เช่าซื้อ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ เมื่อ ผู้ให้เช่าซื้อไม่รู้เห็นเป็นใจในการที่นำรถดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดจึงเป็นกรณีที่เจ้าของไม่รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดจึงไม่อาจริบได้ตาม ปอ มาตรา ๓๓ ตอนท้าย
๗.คำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาเฉพาะข้อหาฐานทำไม้หรือกระทำด้วยประการใดๆแก่ไม้หวงห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้มีความเห็นไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง คำสั่งไม่ฟ้องในข้อหาดังกล่าว จึงเป็นคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง
๘..ส่วนที่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของพนักงานอัยการที่ให้จัดการรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงนั้น เห็นว่า...ตามปวอ มาตรา ๑๔๕ ให้อำนาจ.ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้มีสิทธิ์เพียง “เห็นชอบ” หรือ “มีความเห็นแย้ง” กับคำสั่งของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้องในข้อหาที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิดเท่านั้น แต่.ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไม่มีอำนาจกล่าวล่วงไปสั่งในเรื่องอื่นใดนอกจากคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ การที่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไปสั่งเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์ของกลางโดยเห็นว่าควรริบรถยนต์ของกลาง จึงเป็นการสั่งโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะกระทำได้ เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เมื่อ....ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ไม่มีความเห็นแย้งในเรื่องข้อหาที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง ดังนั้นข้อหาที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้องจึงเด็ดขาดเป็นที่สุด ไม่มีความเห็นแย้งในข้อหาที่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง เมื่อไม่มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ ที่จะให้อัยการสูงสุดพิจารณา อัยการสูงสุดจึงไม่จำต้องพิจารณาว่าการคืนของกลางหรือจัดการของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร
๙..ในส่วนความเห็นของพนักงานอัยการที่แจ้งให้พนักงานสอบสวนจัดการเกี่ยวกับรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕นั้น เป็นเพียง “ คำแนะนำ” ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ที่กำหนดไว้ใน ปวอ มาตรา ๘๕ ตอนท้าย ความเห็นดังกล่าวไม่ใช่คำสั่งไม่ฟ้องที่ผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้จะใช้อำนาจตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕/๑แย้งความเห็นและคำสั่งของพนักงานอัยการในเรื่องดังกล่าว จึงไม่มีความเห็นแย้งที่อัยการสูงสุดต้องพิจารณาเช่นกัน
๑๐. การที่พนักงานอัยการมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนจัดการเกี่ยวกับรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕ นั้น เห็นว่า รถบรรทุกดังกล่าวเป็นของบริษัท ร. ผู้ให้เช่าซื้อ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดด้วย และเมื่อทราบว่ารถยนต์บรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางถูกยึดก็ได้มาขอคืนของกลางจากพนักงานสอบสวนและให้ทนายบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและเรียกรถบรรทุกและรถบรรทุกพ่วงของกลางคืนจากผู้เช่าซื้อพร้อมเรียกค่าเสียหาย การขอคืนรถบรรทุกรถบรรทุกพ่วงของกลางของบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ จึงไม่ได้เป็นเพื่อประโยชน์ของผู้เช่าซื้อแต่อย่างใด จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ์โดยไม่สุจริต ความเห็นของพนักงานอัยการชอบแล้ว ไ ม่จำต้องพิจารณาว่าการคืนของกลางหรือจัดการของกลางตาม ปวอ มาตรา ๘๕ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่อย่างไร และไม่มีเหตุให้อัยการสูงสุดต้องวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าวเพราะความเห็นของผู้บัญชาการศนูย์ปฏิบัติการตำรวจชายแดนภาคใต้ที่ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของพนักงานอัยการในเรื่องของกลาง ไม่ใช่ความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการที่อัยการสูงสุดต้องชี้ขาด
๑๑.ในสมัยที่ผมรับราชการที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาน เมื่อพนักงานอัยการคืนรถของกลางที่เช่าซื้อให้แก่ผู้ให้เช่าซื้อ เพราะไม่มีหลักฐานใดสามารถยืนยันได้ว่าผู้ให้เช่าซื้อรู้เห็นยินยอมในการกระทำผิดของผู้ต้องหา ป่าไม้ไม่พอใจได้ไปปรึกษากับผู้พิพากษา ซึ่งผู้พิพากษามีคำสั่งให้ “ ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น” คงมองอัยการในแง่ลบในการสั่งสำนวนมั้ง ทั้งที่บางเรื่องไม่มีของกลางที่จะให้ริบหรือคืน แต่ศาลไปสั่งให้“ ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น” จึงเป็นการพิพากษาหรือมีคำสั่งเกินคำขอหรือที่ไม่ได้กล่าวไว้ในฟ้องตาม ปวอ มาตรา ๑๙๒ คำสั่งของศาลที่ให้ “ ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น” ทั้งที่ไม่มีของกลางจะให้ริบและโจทก์ไม่ได้กล่าวหรือบรรยายไว้ในคำฟ้องหรือมีคำขอท้ายฟ้องให้ริบของกลางในสำนวนการสอบสวนเสียทั้งสิ้น จึงเป็นคำสั่งที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย พนักงานอัยการยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ศาลฏีกาแก้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว
๑๒.ระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ ข้อ ๗๗ เมื่อมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน หรือมีกรณีมีความเห็นไม่ขอริบทรัพย์สินของกลาง เนื่องจากของกลางนั้นริบไม่ได้ตามกฎหมายหรือไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ และไม่มีความจำเป็นต้องยึดของกลางนั้นไว้วินิจฉัยในคดี ให้แจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลางตามแบบพิมพ์อก ๔๖ เพียงว่า “ของกลางให้จัดการตามปวอ มาตรา ๘๕” เท่านั้นโดยไม่จำต้องรอถึงคดีถึงที่สุด
กรณีเสร็จคดีชั้นศาล ให้แจ้งผลเกี่ยวกับทรัพย์สินของกลางตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลหลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว โดยให้แจ้งตามแบบพิมพ์ อก ๔๖ เมื่อพ้นอายุความอุทธรณ์ฏีกาแล้วแต่กรณี
“โทษระงับด้วยความตาย”
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุก ๒ ปี และปรับ ๑๐,๐๐๐บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ ๒ ปี จำเลยชำระค่าปรับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่ยื่นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฏีกา ระหว่างฏีกาจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลฏีกามีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับ ให้จำหน่ายคดีจากสารบบ ต่อมาวันที่ ๖ พ.ย.๒๕๕๖ ส. ยืนคำร้องว่าจดทะเบียนสมรสกับจำเลย ผู้ร้องจึงเป็นทายาทของจำเลย เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับไป จึงขอรับเงินค่าปรับคืน ศาลฏีกาเห็นว่า โทษเป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำผิด ตาม ปอ มาตรา ๓๘ ดังนั้นเมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา โทษตามคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองศาลจึงเป็นอันระงับไป เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นทายาทของผู้ตายยื่นคำร้องขอรับคืนค่าปรับที่จำเลยชำระตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงต้องคืนค่าปรับให้ผู้ร้อง การที่ศาลล่างทั้งสองศาลยกคำร้อง ศาลฏีกาไม่เห็นด้วย ฏีกาผู้ร้องฟังขึ้น พิพากษากลับให้คืนค่าปรับ ๑๐,๐๐๐บาทที่จำเลยต้องนำมาชำระที่ศาลชั้นต้นให้แก่ผู้ร้องในฐานะทายาทของจำเลย คำพิพากษา๑๐๔๘๘/๒๕๕๘
ข้อสังเกต ๑.เมื่อจำเลยหรือผู้ต้องหาถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ปวอ มาตรา ๓๙( ๑ ) อีกทั้งโทษตาม ปอ ระงับไปด้วยความตาย ปอ มาตรา ๓๘
- หากความปรากฏในชั้นศาล ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
-หากความปรากฏในชั้นพนักงานอัยการก่อนที่จะยื่นฟ้อง พนักงานอัยการต้องสั่ง “ยุติการดำเนินคดี” กับผู้ต้องหาตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ข้อ ๕๔...ไม่ได้ใช้คำสั่ง “ ไม่ฟ้องผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย แต่ต้องสั่ง “ ยุติการดำเนินคดี “ กับผู้ต้องหาเพราะผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย โดยไม่จำต้องปฏิบัติตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕,๑๔๕/๑ คือ ไม่ต้องนำสำนวนส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้บังคับการตำรวจภูธรภาคพิจารณา ระเบียบฯข้อ ๕๔ วรรคสาม.
-หากความมาปรากฏในชั้นพนักงานอัยการภาย “ หลังยื่นฟ้องไปแล้ว” พนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องต่อศาลแถลงให้ศาลทราบว่า จำเลยถึงแก่ความตายแล้ว ขอให้ศาลจำหน่ายคดีจากสารบบความ ซึ่งศาลจะเรียกพนักงานอัยการโจทก์มาสอบถาม ซึ่งพนักงานอัยการจะให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่โดยอาจต้องไปสอบปากคำกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ บิดามารดา สามีหรือภรรยาหรือญาติพี่น้องของจำเลยพร้อมแนบมรณะบัตรมาประกอบการพิจารณาของศาล
-หรือในกรณีที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการก่อนสั่งสำนวนเพื่อยื่นฟ้องหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล สามีภรรยาหรือญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลยแล้วแต่กรณียื่นคำร้องมาที่พนักงานอัยการว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยตาย พนักงานอัยการจะให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจสอบว่าถึงแก่ความตายจริงหรือไม่พร้อมแนบใบมรณะบัตรเพื่อพนักงานอัยการจะมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีในชั้นของพนักงานอัยการ(กรณียังไม่มีการยื่นฟ้อง) หรือกรณียื่นฟ้องไปแล้วพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลจำหน่ายคดีจากสารบบความ โดยเมื่อศาลสอบถามพนักงานอัยการจะให้พนักงานสอบสวนมาแถลงต่อศาลว่าตรวจสอบแล้วจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่มีหลักฐานอะไรเพื่อศาลจะได้มีคำสั่งต่อไป
หรือในกรณีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล สามีภรรยา บุตรหรือญาติจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลจะเรียกพนักงานอัยการมาสอบถาม ซึ่งพนักงานอัยการจะขอเลื่อนคดีไปเพื่อประสานงานกับพนักงานสอบสวนเพื่อให้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวก่อนที่จะแถลงให้ศาลทราบในการนัดพิจารณาคดีต่อไป
-ข้อควรระวัง พนักงานอัยการไม่ควรแถลงเองว่า จำเลยถึงแก่ความตาย เพราะพนักงานอัยการไม่ได้รู้เห็นว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ เพราะผลแห่งการตายทำให้สิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามกฏหมาย จึงควรสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจสอบว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่อย่างไรพร้อมแนบมรณะบัตรประกอบการพิจารณา และเมื่อต้องไปแถลงควรให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้แถลงว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่อย่างไร
๒.เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการดำเนินคดีกับจำเลยย่อมระงับไป สิทธิ์ในการดำเนินคดีแทนจำเลยในคดีอาญาไม่ตกทอดไปยังผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภรรยา กรณีไม่เหมือนกับผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ .ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภรรยาสามารถจัดการแทนผู้เสียหายได้ตามปวอ มาตรา ๕(๒)
๓.คู่สมรสที่ทำการจดทะเบียนสมรสย่อมเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายตามปพพ มาตรา ๑๔๕๗ การร้องขอคืนเงินค่าปรับที่จำเลยจ่ายไป หากเป็นการจ่ายไปโดยไม่ชอบ หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้วสิทธิ์ขอคืนเงินค่าปรับที่ได้จ่ายไปเป็นสิทธิ์ในทางทรัพย์สินย่อมตกทอดเป็นมรดกตกแก่ทายาทและคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถือเป็นทายาทที่สามารถเข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยผู้ตายได้
๔.เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับไป โทษปรับเป็นโทษตาม ปอ มาตรา ๑๘(๔)..เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตามคำพิพากษาฏีกานี้เมื่อทายาทมาขอคืนค่าปรับที่ชำระต่อศาลชั้นต้นไปแล้ว เมื่อโทษระงับด้วยความตายจึงจำต้องคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ร้อง ที่ศาลฏีกาตัดสินแบบนี้คงเพราะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา โดยจำเลยยื่นฏีกา ตราบใดที่ศาลฏีกายังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อจำเลยนั้นถูกสันนิษฐานว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาลงโทษ ดังนั้น เมื่อจำเลยตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา สิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับ ค่าปรับซึ่งเป็นโทษที่ได้ชำระไปแล้วในศาลชั้นต้นจึงต้องคืนแก่ผู้ร้องที่เป็นทายาทผู้ตาย
๕.ด้วยความเคารพในคำพิพากษาฏีกา ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า แม้สิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับไปเพราะความตายของผู้กระทำผิดก็ตาม แต่เมื่อได้ชำระค่าปรับไปแล้วไม่น่าขอคืนได้ เพราะการอุทธรณ์ฏีกาคำพิพากษาไม่เป็นการทุเลาการบังคับคดี ตามปวอ มาตรา ๑๕ ปวพ มาตรา ๒๓๑ เมื่อโทษปรับเป็นโทษทางอาญา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วต้องดำเนินการคำพิพากษาทันที แม้ในปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรกใช้คำว่า “ เมื่อคดีถึงที่สุด” ก็ตาม เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วต้องดำเนินการบังคับตามโทษที่ศาลลงทันที ไม่ต้องรอว่ามีการอุทธรณ์ฏีกาหรือไม่อย่างไร การบังคับคดีต้องเดินต่อไป คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลยนั้นแม้จะมีการอุทธรณ์ฏีกาคำพิพากษาก็ตาม สามารถบังคับคดีได้ทันที โดยปวอ มาตรา ๒๔๕ การบังคับตามคำพิพากษาต้องดำเนินการบังคับคดีทันทีเร่งด่วน อีกทั้งใน ปอ มาตรา ๒๙ บัญญัติไว้ชัดว่า ผู้ต้องโทษปรับหากไม่ชำระค่าปรับภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ผู้นั้นต้องถูกยึดทรัพย์ใช้ค่าปรับ หรือถูกกักขังแทนค่าปรับ และถ้าศาลเห็นสมควรว่าผู้นั้นหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะเรียกประกันหรือสั่งให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้บังคับโทษปรับในทันทีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา และในมาตรา ๒๙นี้ “ไม่ได้ใช้” คำว่า นับแต่วันที่มีคำพิพากษา “ ถึงที่สุด” ดังนั้นแม้ยังไม่มีคำพิพากษา “ ถึงที่สุด” ก็จำต้องชำระโทษปรับในทันทีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา จึงไม่อาจคืนค่าปรับให้ทายาทได้เพราะศาลฏีกาก็ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในเรื่องนี้แต่อย่างไร กล่าวคือศาลฏีกายังไม่มีคำพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หากเป็นดังนี้จึงต้องคืนค่าปรับให้จำเลย แต่เมื่อศาลฏีกาก็ยังไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยผิดหรือไม่อย่างไร ซึ่งศาลฏีกาอาจเห็นว่ากระทำความผิดจริงศาลก็ลงโทษโดยพิพากษายืนได้ ดังนั้นในชั้นนี้แม้จำเลยถึงแก่ความตายก่อนศาลฏีกาพิพากษาก็ตามก็ไม่อาจมาขอรับเงินคืนได้ จะถือว่าความตายของจำเลยทำให้สิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาระงับไป ดังนั้นจึงต้องคืนค่าปรับ ในความเห็นส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะเมื่อศาลฏีกายังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ทำผิดจึงไม่มีกรณีที่ต้องคืนค่าปรับ เมื่อศาลฏีกายังไม่ได้มีคำพิพากษา คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังมีผลบังคับอยู่โดยทั้งสองศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิด จึงไม่น่าต้องคืนค่าปรับด้วยเหตุว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ความตายของจำเลยไม่ใช่เครื่องชี้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด จำเลยตายก็แค่สิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาระงับไปเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็เป็นหมันไม่มีผลบังคับ หรือในกรณีศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นลงโทษจำคุกโดยไม่ปรับจำเลย จำเลยยื่นฏีกาแล้วตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา ดังนี้ก็เป็นเพียงสิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาระงับไป แต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังอยู่ คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะถูกลบล้างไปก็ต่อเมื่อศาลฏีกามีคำพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด เมื่อการกระทำไม่เป็นความผิดจึงไม่สามารถลงโทษปรับได้ ค่าปรับที่จ่ายไปสามารถขอคืนได้ เมื่อจำเลยตายระหว่างพิจารณาของศาลฏีกา สิทธิ์ในการดำเนินคดีกับจำเลยระงับไปก็น่ามีผลเพียงศาลฏีกาไม่ต้องวินิจฉัยอะไรต่อไป ให้จำหน่ายคดีจากสารบบ แม้จำหน่ายคดีจากสารบบคำพิพากษาศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ยังอยู่เพราะไม่ได้ถูกลบล้างโดยคำพิพากษาศาลฏีกาแต่อย่างใด เป็นความเห็นส่วนตัวครับ เมื่อศาลท่านได้วินิจฉัยมาแล้วก็เคารพในคำวินิจฉัยของท่าน หากเป็นข้อสอบออกมาก็คงต้องถือตามคำพิพากษาฏีกาครับ
ข้อสังเกต ๑.เมื่อจำเลยหรือผู้ต้องหาถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตาม ปวอ มาตรา ๓๙( ๑ ) อีกทั้งโทษตาม ปอ ระงับไปด้วยความตาย ปอ มาตรา ๓๘
- หากความปรากฏในชั้นศาล ศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
-หากความปรากฏในชั้นพนักงานอัยการก่อนที่จะยื่นฟ้อง พนักงานอัยการต้องสั่ง “ยุติการดำเนินคดี” กับผู้ต้องหาตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ข้อ ๕๔...ไม่ได้ใช้คำสั่ง “ ไม่ฟ้องผู้ต้องหา เพราะผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย แต่ต้องสั่ง “ ยุติการดำเนินคดี “ กับผู้ต้องหาเพราะผู้ต้องหาถึงแก่ความตาย โดยไม่จำต้องปฏิบัติตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕,๑๔๕/๑ คือ ไม่ต้องนำสำนวนส่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดหรือผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้บังคับการตำรวจภูธรภาคพิจารณา ระเบียบฯข้อ ๕๔ วรรคสาม.
-หากความมาปรากฏในชั้นพนักงานอัยการภาย “ หลังยื่นฟ้องไปแล้ว” พนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องต่อศาลแถลงให้ศาลทราบว่า จำเลยถึงแก่ความตายแล้ว ขอให้ศาลจำหน่ายคดีจากสารบบความ ซึ่งศาลจะเรียกพนักงานอัยการโจทก์มาสอบถาม ซึ่งพนักงานอัยการจะให้พนักงานสอบสวนตรวจสอบว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่โดยอาจต้องไปสอบปากคำกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นายอำเภอ บิดามารดา สามีหรือภรรยาหรือญาติพี่น้องของจำเลยพร้อมแนบมรณะบัตรมาประกอบการพิจารณาของศาล
-หรือในกรณีที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานอัยการก่อนสั่งสำนวนเพื่อยื่นฟ้องหรืออยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาล สามีภรรยาหรือญาติของผู้ต้องหาหรือจำเลยแล้วแต่กรณียื่นคำร้องมาที่พนักงานอัยการว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยตาย พนักงานอัยการจะให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจสอบว่าถึงแก่ความตายจริงหรือไม่พร้อมแนบใบมรณะบัตรเพื่อพนักงานอัยการจะมีคำสั่งยุติการดำเนินคดีในชั้นของพนักงานอัยการ(กรณียังไม่มีการยื่นฟ้อง) หรือกรณียื่นฟ้องไปแล้วพนักงานอัยการจะยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ศาลจำหน่ายคดีจากสารบบความ โดยเมื่อศาลสอบถามพนักงานอัยการจะให้พนักงานสอบสวนมาแถลงต่อศาลว่าตรวจสอบแล้วจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่มีหลักฐานอะไรเพื่อศาลจะได้มีคำสั่งต่อไป
หรือในกรณีคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล สามีภรรยา บุตรหรือญาติจำเลยยื่นคำร้องต่อศาลว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลจะเรียกพนักงานอัยการมาสอบถาม ซึ่งพนักงานอัยการจะขอเลื่อนคดีไปเพื่อประสานงานกับพนักงานสอบสวนเพื่อให้ตรวจสอบในเรื่องดังกล่าวก่อนที่จะแถลงให้ศาลทราบในการนัดพิจารณาคดีต่อไป
-ข้อควรระวัง พนักงานอัยการไม่ควรแถลงเองว่า จำเลยถึงแก่ความตาย เพราะพนักงานอัยการไม่ได้รู้เห็นว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่ เพราะผลแห่งการตายทำให้สิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับไปตามกฏหมาย จึงควรสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจสอบว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่อย่างไรพร้อมแนบมรณะบัตรประกอบการพิจารณา และเมื่อต้องไปแถลงควรให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้แถลงว่าจำเลยถึงแก่ความตายจริงหรือไม่อย่างไร
๒.เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการดำเนินคดีกับจำเลยย่อมระงับไป สิทธิ์ในการดำเนินคดีแทนจำเลยในคดีอาญาไม่ตกทอดไปยังผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภรรยา กรณีไม่เหมือนกับผู้เสียหายที่ถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดการเองได้ .ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามี ภรรยาสามารถจัดการแทนผู้เสียหายได้ตามปวอ มาตรา ๕(๒)
๓.คู่สมรสที่ทำการจดทะเบียนสมรสย่อมเป็นคู่สมรสโดยชอบด้วยกฎหมายตามปพพ มาตรา ๑๔๕๗ การร้องขอคืนเงินค่าปรับที่จำเลยจ่ายไป หากเป็นการจ่ายไปโดยไม่ชอบ หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดแล้วสิทธิ์ขอคืนเงินค่าปรับที่ได้จ่ายไปเป็นสิทธิ์ในทางทรัพย์สินย่อมตกทอดเป็นมรดกตกแก่ทายาทและคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสถือเป็นทายาทที่สามารถเข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยผู้ตายได้
๔.เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับไป โทษปรับเป็นโทษตาม ปอ มาตรา ๑๘(๔)..เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญามาฟ้องระงับไป ตามคำพิพากษาฏีกานี้เมื่อทายาทมาขอคืนค่าปรับที่ชำระต่อศาลชั้นต้นไปแล้ว เมื่อโทษระงับด้วยความตายจึงจำต้องคืนเงินค่าปรับให้แก่ผู้ร้อง ที่ศาลฏีกาตัดสินแบบนี้คงเพราะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา โดยจำเลยยื่นฏีกา ตราบใดที่ศาลฏีกายังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ เมื่อจำเลยนั้นถูกสันนิษฐานว่าไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาลงโทษ ดังนั้น เมื่อจำเลยตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา สิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับ ค่าปรับซึ่งเป็นโทษที่ได้ชำระไปแล้วในศาลชั้นต้นจึงต้องคืนแก่ผู้ร้องที่เป็นทายาทผู้ตาย
๕.ด้วยความเคารพในคำพิพากษาฏีกา ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า แม้สิทธิ์ในการนำคดีมาฟ้องระงับไปเพราะความตายของผู้กระทำผิดก็ตาม แต่เมื่อได้ชำระค่าปรับไปแล้วไม่น่าขอคืนได้ เพราะการอุทธรณ์ฏีกาคำพิพากษาไม่เป็นการทุเลาการบังคับคดี ตามปวอ มาตรา ๑๕ ปวพ มาตรา ๒๓๑ เมื่อโทษปรับเป็นโทษทางอาญา เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วต้องดำเนินการคำพิพากษาทันที แม้ในปวอ มาตรา ๒๔๕วรรคแรกใช้คำว่า “ เมื่อคดีถึงที่สุด” ก็ตาม เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วต้องดำเนินการบังคับตามโทษที่ศาลลงทันที ไม่ต้องรอว่ามีการอุทธรณ์ฏีกาหรือไม่อย่างไร การบังคับคดีต้องเดินต่อไป คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ลงโทษปรับจำเลยนั้นแม้จะมีการอุทธรณ์ฏีกาคำพิพากษาก็ตาม สามารถบังคับคดีได้ทันที โดยปวอ มาตรา ๒๔๕ การบังคับตามคำพิพากษาต้องดำเนินการบังคับคดีทันทีเร่งด่วน อีกทั้งใน ปอ มาตรา ๒๙ บัญญัติไว้ชัดว่า ผู้ต้องโทษปรับหากไม่ชำระค่าปรับภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ผู้นั้นต้องถูกยึดทรัพย์ใช้ค่าปรับ หรือถูกกักขังแทนค่าปรับ และถ้าศาลเห็นสมควรว่าผู้นั้นหลีกเลี่ยงไม่ชำระค่าปรับ ศาลจะเรียกประกันหรือสั่งให้กักขังแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ แสดงให้เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้บังคับโทษปรับในทันทีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ศาลพิพากษา และในมาตรา ๒๙นี้ “ไม่ได้ใช้” คำว่า นับแต่วันที่มีคำพิพากษา “ ถึงที่สุด” ดังนั้นแม้ยังไม่มีคำพิพากษา “ ถึงที่สุด” ก็จำต้องชำระโทษปรับในทันทีภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา จึงไม่อาจคืนค่าปรับให้ทายาทได้เพราะศาลฏีกาก็ยังไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งในเรื่องนี้แต่อย่างไร กล่าวคือศาลฏีกายังไม่มีคำพิพากษาว่าจำเลยไม่ได้กระทำความผิด หากเป็นดังนี้จึงต้องคืนค่าปรับให้จำเลย แต่เมื่อศาลฏีกาก็ยังไม่ได้พิพากษาว่าจำเลยผิดหรือไม่อย่างไร ซึ่งศาลฏีกาอาจเห็นว่ากระทำความผิดจริงศาลก็ลงโทษโดยพิพากษายืนได้ ดังนั้นในชั้นนี้แม้จำเลยถึงแก่ความตายก่อนศาลฏีกาพิพากษาก็ตามก็ไม่อาจมาขอรับเงินคืนได้ จะถือว่าความตายของจำเลยทำให้สิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาระงับไป ดังนั้นจึงต้องคืนค่าปรับ ในความเห็นส่วนตัวไม่ค่อยเห็นด้วย เพราะเมื่อศาลฏีกายังไม่ได้วินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้ทำผิดจึงไม่มีกรณีที่ต้องคืนค่าปรับ เมื่อศาลฏีกายังไม่ได้มีคำพิพากษา คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังมีผลบังคับอยู่โดยทั้งสองศาลเห็นว่าจำเลยได้กระทำความผิด จึงไม่น่าต้องคืนค่าปรับด้วยเหตุว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ความตายของจำเลยไม่ใช่เครื่องชี้ว่าจำเลยไม่ได้กระทำผิด จำเลยตายก็แค่สิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาระงับไปเท่านั้น มิเช่นนั้นแล้วคำพิพากษาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็เป็นหมันไม่มีผลบังคับ หรือในกรณีศาลอุทธรณ์แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นลงโทษจำคุกโดยไม่ปรับจำเลย จำเลยยื่นฏีกาแล้วตายในระหว่างการพิจารณาของศาลฏีกา ดังนี้ก็เป็นเพียงสิทธิ์ในการดำเนินคดีอาญาระงับไป แต่คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยังอยู่ คำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จะถูกลบล้างไปก็ต่อเมื่อศาลฏีกามีคำพิพากษาว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด เมื่อการกระทำไม่เป็นความผิดจึงไม่สามารถลงโทษปรับได้ ค่าปรับที่จ่ายไปสามารถขอคืนได้ เมื่อจำเลยตายระหว่างพิจารณาของศาลฏีกา สิทธิ์ในการดำเนินคดีกับจำเลยระงับไปก็น่ามีผลเพียงศาลฏีกาไม่ต้องวินิจฉัยอะไรต่อไป ให้จำหน่ายคดีจากสารบบ แม้จำหน่ายคดีจากสารบบคำพิพากษาศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์ยังอยู่เพราะไม่ได้ถูกลบล้างโดยคำพิพากษาศาลฏีกาแต่อย่างใด เป็นความเห็นส่วนตัวครับ เมื่อศาลท่านได้วินิจฉัยมาแล้วก็เคารพในคำวินิจฉัยของท่าน หากเป็นข้อสอบออกมาก็คงต้องถือตามคำพิพากษาฏีกาครับ
“ลักทรัพย์รับของโจร – คำพิพากษาเปลี่ยนแนว”
ฟ้องขอให้ลงโทษฐานลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืนหรือรับของโจร ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้ฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นต้องสอบถามให้ได้ความชัดว่ารับสารภาพฐานใดแล้วจึงพิพากษาลงโทษในข้อหาที่จำเลยรับสารภาพ การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้สอบถามจำเลยให้ชัดเจนแต่กลับพิพากษาลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์ฯโดยไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยรับสารภาพในข้อหาดังกล่าว เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบ คำพิพากษาฏีกา ๗๗๓๕/๒๕๕๗
ข้อสังเกต๑. กรณีที่ทรัพย์สินหายแต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าคนร้ายคือใครแต่ไปพบของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยอาจเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป หรืออาจไม่ใช่คนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหาย แต่รู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก เจ้าพนักงานยักยอก แล้วช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ หรือรับทรัพย์นั้นไว้ด้วยประการใดๆโดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก เจ้าพนักงานยักยอก อันเป็นความผิดฐานรับของโจร เมื่อไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ผู้เสียหายหรือเป็นคนช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ ทรัพย์นั้นไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐานรับของโจร จึงต้องดำเนินคดีในความผิดดังกล่าวทั้งสองฐาน
๒.ในการร่างฟ้องในตอนแรกจะบรรยายฟ้องเพียงมีคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครเข้ามาลักทรัพย์ไปโดยไม่ยืนยันว่าจำเลยหรือใครเป็นคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ แล้วในตอนท้ายจะบรรยายฟ้องว่า มีการพบทรัพย์อยู่ในความครอบครองของจำเลย หากจำเลยไม่ได้เป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ไปก็ต้องเป็นคนช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ ทรัพย์นั้นไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐาน รับของโจรทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แบบนี้จำเลยสามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้เต็มที่ แต่หากบรรยายฟ้องในตอนแรกยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์แล้วตอนท้ายมาบรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยเป็นคนรับของโจรฟ้องจะขัดแย้งกันอยู่ในตัว จำเลยไม่สามารถเข้าใจข้อกล่าวหาและไม่สามารถต่อสู้คดีได้เต็มที่ เป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามปวอ มาตรา ๑๕๘(๕) จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาได้ ศาลอาจสั่ง ให้ไปแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ไม่ประทับฟ้อง(กรณีศาลใช้อำนาจไต่สวนมูลฟ้องคดีของพนักงานอัยการตาม ปวอ มาตรา ๑๖๒(๒)) หรือพิพากษายกฟ้องโจทก์ตาม ปวอ มาตรา ๑๖๑
๓.การร่างฟ้องแบบนี้(ฟ้องฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร)เป็นการ “ฟ้องเพื่อให้ศาลเลือกลงโทษตามทางพิจารณาที่ได้ความ” ซึ่งหากทางพิจารณาได้ความไปในทางใด หรือศาลเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ทางปฏิบัติอัยการจะไม่อุทธรณ์ฏีกาเพราะเป็นการฟ้องให้ศาลเลือกลงโทษฐานใดฐานหนึ่งตามที่ได้ความ เมื่อศาลลงโทษฐานใดฐานหนึ่งแล้ว พนักงานอัยการต้องพอใจในการตัดสินของศาล จะมาอุทธรณ์ฏีกาว่าศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งไม่เต็มตามคำขอหรือคำขอท้ายฟ้องตาม ปวอ มาตรา ๑๙๒วรรคแรก ไม่ได้
๔.ในการบรรยายฟ้องหากไปบรรยายฟ้องในตอนต้น “ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย” ที่เข้าไปลักทรัพย์แล้วในตอนท้ายมา” ยืนยันว่าพบของกลางที่จำเลยโดยจำเลยช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ ทรัพย์นั้นไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญา อันเป็นความผิดฐานรับของโจร” เท่ากับยืนยันในตอนแรกว่าจำเลยลักทรัพย์ผู้เสียหายไป แล้วมายืนยันในตอนท้ายอีกว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร หากเป็นดังนี้ถือฟ้องขัดกันในสาระสำคัญ จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อกล่าวหาและต่อสู้คดีได้เต็มที่ เพราะเมื่อกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้วย่อมไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรอีก หรือหากกระทำความผิดฐานรับของโจรแล้วก็ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อเป็นฟ้องที่ขัดแย้งกันในตัว ไม่อาจเป็นไปได้ที่จะมากระทำความผิดทั้งลักทรัพย์และรับของโจรในคราวเดียวกันในทรัพย์ชิ้นเดียวกันได้ ถือเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม บรรยายฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้เต็มที่ ศาลอาจสั่ง ให้ไปแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ไม่ประทับฟ้อง(กรณีศาลใช้อำนาจไต่สวนมูลฟ้องคดีของพนักงานอัยการตาม ปวอ มาตรา ๑๖๒(๒),๑๖๕) หรือพิพากษายกฟ้องโจทก์ตาม ปวอ มาตรา ๑๖๑
๕.ในทางปฏิบัติเมื่อมีการยื่นฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยไม่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ เพียงแต่พบทรัพย์ที่ถูกลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลย หากจำเลยไม่เป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป จำเลยก็เป็นผู้กระทำความผิดฐานรับของโจร ซึ่งเมื่อฟ้องมาดังนี้ในวันนัดสอบถามคำให้การจำเลย ศาลต้องสอบถามให้ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยรับสารภาพหรือปฏิเสธ หากรับสารภาพ รับสารภาพในข้อหาใด เป็นหน้าที่ของศาลที่ต้องสอบถามให้ได้ความแน่ชัด หากจำเลยบอกเพียง “ ขอรับสารภาพตามฟ้อง” หรือ “ ขอรับสารภาพ” เป็นหน้าที่ของศาลตาม ปวอ มาตรา ๑๗๒วรรคสอง ต้องสอบถามว่ารับสารภาพในข้อหาลักทรัพย์ หรือรับสารภาพในข้อหารับของโจร หากศาลไม่สอบถาม เป็นหน้าที่อัยการต้องสอบถาม หากจำเลยยังคงยืนกรานแบบเดิม หรือศาลไม่ได้สอบถามว่ารับสารภาพฐานใด พนักงานอัยการมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบตาม ปวอ มาตรา ๑๗๔วรรคสอง เพื่อให้ได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานใด ศาลจึงจะพิพากษาลงโทษได้
๖.หากศาลไม่ถามและอัยการไม่นำพยานมานำสืบ ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งไม่ได้ ซึ่งในแนวคำพิพากษาเดิม เช่น คำพิพากษาฏีกา ๖๗๔๒/๒๕๔๔,๑๗๙๘/๒๕๕๐,๔๗๘๔/๒๕๕๐ ศาลสูงจะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างโดยพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ในแนวคำพิพากษาใหม่(คำพิพากษาฏีกาที่๗๗๓๕/๒๕๕๗)ได้กลับแนวคำพิพากษาเดิมๆโดย “ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่สอบคำให้การจำเลยใหม่แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี คือสอบถามให้ได้ความชัดว่า รับสารภาพฐานลักทรัพย์ หรือรับสารภาพฐานรับของโจร เมื่อได้ความชัดว่ารับสารภาพในความผิดฐานใด แล้วจึงพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี
๗.หากในการสอบถามคำให้การจำเลยใหม่ จำเลยจะกลับคำให้การมาปฏิเสธ ไม่ขอรับสารภาพแล้ว ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าสามารถกระทำได้ เพราะจำเลยสามารถต้อสู้คดีได้เต็มที่ หากจำเลยไม่บอกว่ารับสารภาพหรือปฏิเสธต้องถือว่าจำเลยปฏิเสธ จะถือว่า การนิ่ง เป็นการรับแบบกฎหมายแพ่งไม่ได้ หรือแม้จำเลยรับสารภาพในคดีที่ต้องมีการสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตาม ปวอ มาตรา ๑๗๖ หากโจทก์นำสืบไม่ได้ความว่ามีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น หรือจำเลยไม่ได้กระทำผิด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด คดีขาดอายุความ หรือมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ต้องรับโทษ ตาม ปวอ มาตรา ๑๘๕ แม้จำเลยรับสารภาพศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
๘.แม้คำพิพากษาของศาลที่ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรที่จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ไม่บอกรับสารภาพฐานใด และศาลไม่ได้สอบถามว่ารับสารภาพฐานใดและอัยการไม่ได้นำพยานมาสืบแล้วศาลช้นต้นไปพิพากษาลงโทษในความผิดฐานใดฐานหนึ่งเข้า เมื่อศาลอุทธรณ์ศาลฏีกาพบในแนวคำพิพากษาเดิม ศาลสูงจะพิพากษายกฟ้อง แม้โจทก์จะสามารถฟ้องจำเลยใหม่ได้ภายในกำหนดอายุความก็ตาม โดยไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำเพราะยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีแรกในเนื้อหาของการกระทำว่าจำเลยกระทำผิดจริงหรือไม่อย่างไร ไม่เป็นฟ้องซ้อนเพราะไม่มีฟ้องอยู่ในศาลแล้วมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันในเรื่องเดียวกันนั้นอีก ไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเพราะยังไม่ได้มีการดำเนินการสืบพยานในศาลเป็นเพียงศาลสอบถามคำให้การในคดีก่อนแล้วพิพากษาลงโทษโดยไม่ได้สอบถามให้ได้ความชัดว่ากระทำผิดฐานใด แม้จะนำมาฟ้องใหม่ก็เป็นเรื่องการเสียเวลา เป็นภาระหน้าที่เป็นการเพิ่มงานขึ้นมาโดยไม่จำเป็นเพราะเมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง ศาลก็ปล่อยตัวจำเลยไป การที่จะได้ตัวจำเลยมาฟ้องจึงเป็นไปค่อนข้างจะยาก ต้องตามหาและตามจับตัวเพื่อนำมาฟ้อง และในขณะเดียวกัน เมื่ออัยการเจ้าของสำนวนไม่ได้แถลงขอนำพยานเข้าสืบถือเป็นความบกพร่องของพนักงานอัยการ ซึ่งอาจเกิดจากเพิ่งเป็นอัยการใหม่ๆไม่มีประสบการณ์ หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีเจตนาทุจริตต้องการช่วยเหลือจำเลยโดยรู้ว่ามีคำพิพากษาฏีกาแนวเดิมซึ่งหากไม่ถามให้แน่ชัดว่ารับสารภาพฐานใดแล้วศาลชั้นต้นลงโทษฐานใดฐานหนึ่ง เมื่อศาลสูงพบก็จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างให้ยกฟ้องโจทก์ เมื่อรู้มีแนวคำพิพากษาดังกล่าวก็อาจมีเจตนาต้องการช่วยเหลือจำเลยโดยไม่แถลงขอสืบพยานเพื่อต้องการให้ศาลสูงยกฟ้อง ซึ่งความบกพร่องนี้อาจถูกว่ากล่าวตักเตือนหรือถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยได้
๙.หากอัยการแถลงขอสืบพยานแล้ว แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตโดยเห็นว่าจำเลยรับสารภาพแล้วศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้ โดยเป็นความผิดที่มีอัตราโทษขั้นต่ำไม่ถึง ๕ ปี หรือเป็นโทษสถานหนักกว่านี้ที่จำเลยรับสารภาพแล้วไม่ต้องนำพยานเข้าสืบตาม ปวอ มาตรา ๑๗๖ หากเป็นดังนี้ พนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งของศาลดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตาม ปวอ มาตรา ๑๘๗,๑๙๖ เพื่อใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ฏีกาเพื่อขอนำพยานเข้าสืบ หากไม่มีการโต้แย้งคำสั่งถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ามาแล้วในศาลชั้นต้นตาม ปวอ มาตรา ๑๙๕ ที่จะก่อให้เกิดสิทธิ์ในการอุทธรณ์ได้ หากอัยการไม่ทำดังนี้ทั้งที่รู้ว่าจำเลยให้การไม่แจ้งชัดว่ารับสารภาพฐานใดและเมื่อขอสืบพยานศาลไม่อนุญาต ก็นิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย ไม่ยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งของศาลดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ฏีกาเพื่อขอนำพยานเข้าสืบ หากเป็นดังนี้ก็ถืออัยการบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่เพราะเป็นอัยการมือใหม่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานหรือเป็นเพราะมีเจตนาต้องการช่วยเหลือจำเลย .ซึ่งต้องดูพฤติการณ์เป็นเรื่องๆไป เมื่ออัยการศาลสูงตรวจสำนวนของอัยการศาลชั้นต้นพบข้อบกพร่องดังกล่าวจะมีหนังสือให้อัยการศาลชั้นต้นชี้แจงว่าเหตุใดจึงไม่นำพยานเข้าสืบ หรือเมื่อศาลไม่อนุญาตนำพยานเข้าสืบทำไมไม่ยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งศาล ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ ฯ ข้อ ๑๕๓ หากอัยการศาลสูงพบข้อบกพร่องของอัยการศาลชั้นต้นแล้วไม่รายงานถือเป็นความบกพร้องของอัยการศาลสูงที่ต้องถูกลงโทษทางวินัยตาม ระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ข้อ ๑๔๙วรรคท้าย ดังนั้น หากอัยการศาลชั้นต้นไม่มีเหตุผลหรือมีเหตุผลไม่เพียงพออาจถูกแนะนำการปฏิบัติราชการ หากเป็นข้อบกพร่องที่ถึงขนาดที่จะเกิดความเสียหายและไม่อาจแก้ไขได้ อัยการศาลสูงต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับเพื่อรายงานสนง. อัยการสูงสุดทราบและอาจโดนตั้งกรรมการสอบทางวินัยฐานปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องหรือส่อเจตนาทุจริตหรือมีเจตนาช่วยเหลือจำเลยได้ ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ข้อ ๑๕๓วรรคท้าย
ข้อสังเกต๑. กรณีที่ทรัพย์สินหายแต่ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าคนร้ายคือใครแต่ไปพบของกลางอยู่ในความครอบครองของจำเลย จำเลยอาจเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป หรืออาจไม่ใช่คนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหาย แต่รู้ว่าทรัพย์นั้นเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก เจ้าพนักงานยักยอก แล้วช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ หรือรับทรัพย์นั้นไว้ด้วยประการใดๆโดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์ วิ่งราวทรัพย์ กรรโชก รีดเอาทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ฉ้อโกง ยักยอก เจ้าพนักงานยักยอก อันเป็นความผิดฐานรับของโจร เมื่อไม่ปรากฏชัดว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ผู้เสียหายหรือเป็นคนช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ ทรัพย์นั้นไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐานรับของโจร จึงต้องดำเนินคดีในความผิดดังกล่าวทั้งสองฐาน
๒.ในการร่างฟ้องในตอนแรกจะบรรยายฟ้องเพียงมีคนร้ายไม่ทราบว่าเป็นใครเข้ามาลักทรัพย์ไปโดยไม่ยืนยันว่าจำเลยหรือใครเป็นคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ แล้วในตอนท้ายจะบรรยายฟ้องว่า มีการพบทรัพย์อยู่ในความครอบครองของจำเลย หากจำเลยไม่ได้เป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ไปก็ต้องเป็นคนช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ ทรัพย์นั้นไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญาฐานลักทรัพย์อันเป็นความผิดฐาน รับของโจรทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แบบนี้จำเลยสามารถเข้าใจและต่อสู้คดีได้เต็มที่ แต่หากบรรยายฟ้องในตอนแรกยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์แล้วตอนท้ายมาบรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยเป็นคนรับของโจรฟ้องจะขัดแย้งกันอยู่ในตัว จำเลยไม่สามารถเข้าใจข้อกล่าวหาและไม่สามารถต่อสู้คดีได้เต็มที่ เป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามปวอ มาตรา ๑๕๘(๕) จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาได้ ศาลอาจสั่ง ให้ไปแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ไม่ประทับฟ้อง(กรณีศาลใช้อำนาจไต่สวนมูลฟ้องคดีของพนักงานอัยการตาม ปวอ มาตรา ๑๖๒(๒)) หรือพิพากษายกฟ้องโจทก์ตาม ปวอ มาตรา ๑๖๑
๓.การร่างฟ้องแบบนี้(ฟ้องฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร)เป็นการ “ฟ้องเพื่อให้ศาลเลือกลงโทษตามทางพิจารณาที่ได้ความ” ซึ่งหากทางพิจารณาได้ความไปในทางใด หรือศาลเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดฐานใด ศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว ทางปฏิบัติอัยการจะไม่อุทธรณ์ฏีกาเพราะเป็นการฟ้องให้ศาลเลือกลงโทษฐานใดฐานหนึ่งตามที่ได้ความ เมื่อศาลลงโทษฐานใดฐานหนึ่งแล้ว พนักงานอัยการต้องพอใจในการตัดสินของศาล จะมาอุทธรณ์ฏีกาว่าศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งไม่เต็มตามคำขอหรือคำขอท้ายฟ้องตาม ปวอ มาตรา ๑๙๒วรรคแรก ไม่ได้
๔.ในการบรรยายฟ้องหากไปบรรยายฟ้องในตอนต้น “ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้าย” ที่เข้าไปลักทรัพย์แล้วในตอนท้ายมา” ยืนยันว่าพบของกลางที่จำเลยโดยจำเลยช่วยซ่อนเร็น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับจำนำ ทรัพย์นั้นไว้โดยรู้ว่าได้มาจากการกระทำความผิดทางอาญา อันเป็นความผิดฐานรับของโจร” เท่ากับยืนยันในตอนแรกว่าจำเลยลักทรัพย์ผู้เสียหายไป แล้วมายืนยันในตอนท้ายอีกว่าจำเลยกระทำความผิดฐานรับของโจร หากเป็นดังนี้ถือฟ้องขัดกันในสาระสำคัญ จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อกล่าวหาและต่อสู้คดีได้เต็มที่ เพราะเมื่อกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้วย่อมไม่เป็นความผิดฐานรับของโจรอีก หรือหากกระทำความผิดฐานรับของโจรแล้วก็ย่อมไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อเป็นฟ้องที่ขัดแย้งกันในตัว ไม่อาจเป็นไปได้ที่จะมากระทำความผิดทั้งลักทรัพย์และรับของโจรในคราวเดียวกันในทรัพย์ชิ้นเดียวกันได้ ถือเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม บรรยายฟ้องเคลือบคลุม จำเลยไม่อาจเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้เต็มที่ ศาลอาจสั่ง ให้ไปแก้ไขใหม่ให้ถูกต้อง ไม่ประทับฟ้อง(กรณีศาลใช้อำนาจไต่สวนมูลฟ้องคดีของพนักงานอัยการตาม ปวอ มาตรา ๑๖๒(๒),๑๖๕) หรือพิพากษายกฟ้องโจทก์ตาม ปวอ มาตรา ๑๖๑
๕.ในทางปฏิบัติเมื่อมีการยื่นฟ้องในความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร โดยไม่ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่เข้าไปลักทรัพย์ เพียงแต่พบทรัพย์ที่ถูกลักไปอยู่ในความครอบครองของจำเลย หากจำเลยไม่เป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์ผู้เสียหายไป จำเลยก็เป็นผู้กระทำความผิดฐานรับของโจร ซึ่งเมื่อฟ้องมาดังนี้ในวันนัดสอบถามคำให้การจำเลย ศาลต้องสอบถามให้ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยรับสารภาพหรือปฏิเสธ หากรับสารภาพ รับสารภาพในข้อหาใด เป็นหน้าที่ของศาลที่ต้องสอบถามให้ได้ความแน่ชัด หากจำเลยบอกเพียง “ ขอรับสารภาพตามฟ้อง” หรือ “ ขอรับสารภาพ” เป็นหน้าที่ของศาลตาม ปวอ มาตรา ๑๗๒วรรคสอง ต้องสอบถามว่ารับสารภาพในข้อหาลักทรัพย์ หรือรับสารภาพในข้อหารับของโจร หากศาลไม่สอบถาม เป็นหน้าที่อัยการต้องสอบถาม หากจำเลยยังคงยืนกรานแบบเดิม หรือศาลไม่ได้สอบถามว่ารับสารภาพฐานใด พนักงานอัยการมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบตาม ปวอ มาตรา ๑๗๔วรรคสอง เพื่อให้ได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานใด ศาลจึงจะพิพากษาลงโทษได้
๖.หากศาลไม่ถามและอัยการไม่นำพยานมานำสืบ ศาลก็ลงโทษจำเลยฐานใดฐานหนึ่งไม่ได้ ซึ่งในแนวคำพิพากษาเดิม เช่น คำพิพากษาฏีกา ๖๗๔๒/๒๕๔๔,๑๗๙๘/๒๕๕๐,๔๗๘๔/๒๕๕๐ ศาลสูงจะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างโดยพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่ในแนวคำพิพากษาใหม่(คำพิพากษาฏีกาที่๗๗๓๕/๒๕๕๗)ได้กลับแนวคำพิพากษาเดิมๆโดย “ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ตั้งแต่สอบคำให้การจำเลยใหม่แล้วพิพากษาไปตามรูปคดี คือสอบถามให้ได้ความชัดว่า รับสารภาพฐานลักทรัพย์ หรือรับสารภาพฐานรับของโจร เมื่อได้ความชัดว่ารับสารภาพในความผิดฐานใด แล้วจึงพิพากษาใหม่ไปตามรูปคดี
๗.หากในการสอบถามคำให้การจำเลยใหม่ จำเลยจะกลับคำให้การมาปฏิเสธ ไม่ขอรับสารภาพแล้ว ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าสามารถกระทำได้ เพราะจำเลยสามารถต้อสู้คดีได้เต็มที่ หากจำเลยไม่บอกว่ารับสารภาพหรือปฏิเสธต้องถือว่าจำเลยปฏิเสธ จะถือว่า การนิ่ง เป็นการรับแบบกฎหมายแพ่งไม่ได้ หรือแม้จำเลยรับสารภาพในคดีที่ต้องมีการสืบพยานประกอบคำรับสารภาพของจำเลยตาม ปวอ มาตรา ๑๗๖ หากโจทก์นำสืบไม่ได้ความว่ามีการกระทำความผิดทางอาญาเกิดขึ้น หรือจำเลยไม่ได้กระทำผิด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด คดีขาดอายุความ หรือมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ต้องรับโทษ ตาม ปวอ มาตรา ๑๘๕ แม้จำเลยรับสารภาพศาลก็ต้องพิพากษายกฟ้อง
๘.แม้คำพิพากษาของศาลที่ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจรที่จำเลยให้การรับสารภาพ แต่ไม่บอกรับสารภาพฐานใด และศาลไม่ได้สอบถามว่ารับสารภาพฐานใดและอัยการไม่ได้นำพยานมาสืบแล้วศาลช้นต้นไปพิพากษาลงโทษในความผิดฐานใดฐานหนึ่งเข้า เมื่อศาลอุทธรณ์ศาลฏีกาพบในแนวคำพิพากษาเดิม ศาลสูงจะพิพากษายกฟ้อง แม้โจทก์จะสามารถฟ้องจำเลยใหม่ได้ภายในกำหนดอายุความก็ตาม โดยไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำเพราะยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในคดีแรกในเนื้อหาของการกระทำว่าจำเลยกระทำผิดจริงหรือไม่อย่างไร ไม่เป็นฟ้องซ้อนเพราะไม่มีฟ้องอยู่ในศาลแล้วมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันในเรื่องเดียวกันนั้นอีก ไม่ใช่การดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำเพราะยังไม่ได้มีการดำเนินการสืบพยานในศาลเป็นเพียงศาลสอบถามคำให้การในคดีก่อนแล้วพิพากษาลงโทษโดยไม่ได้สอบถามให้ได้ความชัดว่ากระทำผิดฐานใด แม้จะนำมาฟ้องใหม่ก็เป็นเรื่องการเสียเวลา เป็นภาระหน้าที่เป็นการเพิ่มงานขึ้นมาโดยไม่จำเป็นเพราะเมื่อศาลพิพากษายกฟ้อง ศาลก็ปล่อยตัวจำเลยไป การที่จะได้ตัวจำเลยมาฟ้องจึงเป็นไปค่อนข้างจะยาก ต้องตามหาและตามจับตัวเพื่อนำมาฟ้อง และในขณะเดียวกัน เมื่ออัยการเจ้าของสำนวนไม่ได้แถลงขอนำพยานเข้าสืบถือเป็นความบกพร่องของพนักงานอัยการ ซึ่งอาจเกิดจากเพิ่งเป็นอัยการใหม่ๆไม่มีประสบการณ์ หรือ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือมีเจตนาทุจริตต้องการช่วยเหลือจำเลยโดยรู้ว่ามีคำพิพากษาฏีกาแนวเดิมซึ่งหากไม่ถามให้แน่ชัดว่ารับสารภาพฐานใดแล้วศาลชั้นต้นลงโทษฐานใดฐานหนึ่ง เมื่อศาลสูงพบก็จะพิพากษากลับคำพิพากษาศาลล่างให้ยกฟ้องโจทก์ เมื่อรู้มีแนวคำพิพากษาดังกล่าวก็อาจมีเจตนาต้องการช่วยเหลือจำเลยโดยไม่แถลงขอสืบพยานเพื่อต้องการให้ศาลสูงยกฟ้อง ซึ่งความบกพร่องนี้อาจถูกว่ากล่าวตักเตือนหรือถูกตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัยได้
๙.หากอัยการแถลงขอสืบพยานแล้ว แต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตโดยเห็นว่าจำเลยรับสารภาพแล้วศาลพิพากษาลงโทษจำเลยได้ โดยเป็นความผิดที่มีอัตราโทษขั้นต่ำไม่ถึง ๕ ปี หรือเป็นโทษสถานหนักกว่านี้ที่จำเลยรับสารภาพแล้วไม่ต้องนำพยานเข้าสืบตาม ปวอ มาตรา ๑๗๖ หากเป็นดังนี้ พนักงานอัยการต้องยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งของศาลดังกล่าวซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา ตาม ปวอ มาตรา ๑๘๗,๑๙๖ เพื่อใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ฏีกาเพื่อขอนำพยานเข้าสืบ หากไม่มีการโต้แย้งคำสั่งถือว่าเป็นข้อที่ไม่ได้ว่ามาแล้วในศาลชั้นต้นตาม ปวอ มาตรา ๑๙๕ ที่จะก่อให้เกิดสิทธิ์ในการอุทธรณ์ได้ หากอัยการไม่ทำดังนี้ทั้งที่รู้ว่าจำเลยให้การไม่แจ้งชัดว่ารับสารภาพฐานใดและเมื่อขอสืบพยานศาลไม่อนุญาต ก็นิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย ไม่ยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งของศาลดังกล่าวเพื่อใช้สิทธิ์ในการอุทธรณ์ฏีกาเพื่อขอนำพยานเข้าสืบ หากเป็นดังนี้ก็ถืออัยการบกพร่องต่อหน้าที่ ซึ่งบกพร่องต่อหน้าที่เพราะเป็นอัยการมือใหม่ไม่มีประสบการณ์ในการทำงานหรือเป็นเพราะมีเจตนาต้องการช่วยเหลือจำเลย .ซึ่งต้องดูพฤติการณ์เป็นเรื่องๆไป เมื่ออัยการศาลสูงตรวจสำนวนของอัยการศาลชั้นต้นพบข้อบกพร่องดังกล่าวจะมีหนังสือให้อัยการศาลชั้นต้นชี้แจงว่าเหตุใดจึงไม่นำพยานเข้าสืบ หรือเมื่อศาลไม่อนุญาตนำพยานเข้าสืบทำไมไม่ยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งศาล ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ ฯ ข้อ ๑๕๓ หากอัยการศาลสูงพบข้อบกพร่องของอัยการศาลชั้นต้นแล้วไม่รายงานถือเป็นความบกพร้องของอัยการศาลสูงที่ต้องถูกลงโทษทางวินัยตาม ระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ข้อ ๑๔๙วรรคท้าย ดังนั้น หากอัยการศาลชั้นต้นไม่มีเหตุผลหรือมีเหตุผลไม่เพียงพออาจถูกแนะนำการปฏิบัติราชการ หากเป็นข้อบกพร่องที่ถึงขนาดที่จะเกิดความเสียหายและไม่อาจแก้ไขได้ อัยการศาลสูงต้องรายงานต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับเพื่อรายงานสนง. อัยการสูงสุดทราบและอาจโดนตั้งกรรมการสอบทางวินัยฐานปฏิบัติหน้าที่โดยบกพร่องหรือส่อเจตนาทุจริตหรือมีเจตนาช่วยเหลือจำเลยได้ ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ข้อ ๑๕๓วรรคท้าย
วันศุกร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
“สำคัญในวิธีพิจารณาความอาญา”
๑.วิเคราะห์ศัพท์ ปวอ มาตรา ๒
๒.ผู้เสียหาย ปวอ มาตรา ๒(๔),๔,๕,๖
๓.สิทธิ์และอำนาจของผู้เสียหายและผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย
-มีสิทธิ์ให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือตามปวอ มาตรา ๓,๑๓วรรคสอง วรรคสาม
-,มีสิทธิ์ฟ้องคดีเองดดยไม่จำต้องร้องทุกข์
-มีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่ายปกครอง ตาม ปวอ มาตรร๑๒๓,๑๒๔,๑๒๔/๑,
-มีอำนาจแก้คำร้องทุกข์หรือถอนคำร้องทุกข์ ปวอ มาตรา๑๒๖,
-ปฏิเสธไม่ยอมให้ตรวจเนื้อตัวร่างกาย ปวอ มาตรา ๑๓๒(๑)มีข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑,
-มีสิทธิ์โต้แย้งพนักงานสอบสวนที่ตักเตือน พูดให้ท้อใจ ใช้กลอุบาย เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายไม่ให้ปากคำทั้งที่ผู้เสียหายต้องการให้ปากคำ ปวอ มาตรา ๑๓๓ วรรคสาม
-,มีสิทธิ์ชี้ตัวยืนยันหรือชี้ตัวผู้ต้องหาหรือผู้กระทำผิดทางอาญา ปวอ มาตรา ๑๓๓วรรคท้ายและ ๑๓๓ตรี,
-มีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนที่เป็นหญิงเป็นผู้ทำการสอบสวน ปวอ มาตรา ๑๓๓วรรคสี่,
-มีสิทธิ์ร้องขอต่อพนักงานสอบสวนให้แยกการสอบสวนเป็นสัดส่วนในสถานที่เหมาะสม ทั้งให้มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอให้อยู่ร่วมขณะทำการสอบสวน ปวอ มาตรา๑๓๓ทวิวรรคแรก
-,มีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานที่เป็นเด็กผ่านนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยา ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรคแรก,
-มีสิทธิ์ตั้งข้อรังเกียจนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการที่เข้าร่วมสอบปากคำกรณีผู้เสียหายเป็นเด็ก ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรค๓
-ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๓๐
-ฟ้องคดีเองกรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ปวอ มาตรา ๓๔
-ในความผิดอาญาแผ่นดินที่พนักงานอัยการถอนฟ้อง ไม่ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีใหม่ ปวอ มาตรา ๓๖(๑)
-ในความผิดต่อส่วนตัวที่พนักงานอัยการถอนฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้เสียหาย การถอนฟ้องนั้นไม่ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีใหม่ ปวอ มาตรา ๓๕(๒)
-ในความผิดลหุโทษหรือความผิดไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษหรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือคดีที่เปรียบเทียบปรับได้ตามกฎหมายอื่น ผู้เสียหายมีสิทธิ์ยินยอมให้พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาได้ตาม ปวอ มาตรา ๓๘(๑) และมีสิทธิ์ได้ค่าทดแทนตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่กะตามที่เห็นสมควรหรือตามที่ผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอม ปวอ มาตรา ๓๘(๒)
-มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่ต้องสูญเสียไปเพราะการกระทำความผิด ปวอ มาตรา ๔๓โดยพนักงานอัยการจะมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายในคำขอท้ายฟ้อง
-มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์เพื่อขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ ได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ได้รับความเสียหายทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลย ปวอ มาตรา ๔๔/๑ โดยถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็น “ คำฟ้อง” ปวอ มาตรา ๔๔/๑วรรคสอง
-มีสิทธิ์ขอให้ศาลตั้งทนายในการยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ปวอ มาตรา ๔๔/๑,๔๔/๒วรรคท้าย
-มีสิทธิ์นำพยานเข้าสืบถึงค่าสินไหมทดแทนที่ขอให้จำเลยชดใช้ตามปวอ มาตรา ๔๔/๑หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ปวอ มาตรา ๔๔/๒
-มีอำนาสจฟ้องคดีแพ่งได้แม้จะมีการฟ้องคดีอาญาไปแล้ว ปวอ มาตรา ๔๕
-เป็น “เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา” ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการร้องขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย ปวอ มาตรา ๕๐
-ได้รับประโยชน์ในอายุความคดีแพ่งที่สะดุดหยุดลงตาม ปอ มาตรา ๙๕ กรณีที่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาได้มีการฟ้องคดีอาญาแล้ว แต่คดียังไม่เสร็จเด็ดขาด ปวอ มาตรา ๕๑วรรคสอง
๔.สิทธิ์ผู้ต้องหา
-มีสิทธิ์ตาม ปวอ มาตรา ๒(๒),๗,๗/๑, ๑๓
-มีสิทธิ์ให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือตามปวอ มาตรา ๓,๑๓วรรคสอง วรรคสาม
-มีสิทธิ์โต้แย้งพนักงานสอบสวนที่ตักเตือน พูดให้ท้อใจ ใช้กลอุบาย เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาไม่ให้ปากคำทั้งที่ผู้ต้องหาต้องการให้ปากคำ ปวอ มาตรา ๑๓๓ วรรคสาม
วรรคสอง วรรคสาม,๑๔,
-ปฏิเสธไม่ยอมให้ตรวจเนื้อตัวร่างกาย ปวอ มาตรา ๑๓๒(๑)มีข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑,
-มีสิทธิ์ได้รับการสอบสวนโดยเร็ว ต่อเนื่องเป็นธรรม ปวอ มาตรา ๑๓๔วรนรคสาม
-,มีสิทธิ์ได้รับการแจ้งจากพนักงานสอบสวนถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ถูกกล่าวหาโดยข้อเท็จจริงนั้นต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคแรก,วรรคสอง,
-มีสิทธิ์ได้รับการสอบสวนโดยเร็ว ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคสาม,
-มีสิทธิ์ได้รับโอกาสที่จะแก้ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคสี่ นั้นก็คือสามารถร้องขอให้พนักงานสอบสวนสอบพยานฝ่ายผู้ต้องหาได้,
-ก่อนเริ่มถามคำให้การในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน ๑๘ ปี มีอำนาจให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความ หากผู้ต้องหาไม่มี รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายให้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๑วรรคแรก,
-ในคดีมีอัตราโทษจำคุก ผู้ต้องหามีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความได้ หากผู้ต้องหาไม่มีและต้องการ รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายความให้
-ให้มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่ผู้ต้องหาที่อายุไม่ถึง๑๘ปีร้องขอให้อยู่ร่วมขณะทำการสอบสวน ปวอ มาตรา๑๓๓ทวิวรรคแรก,๑๓๔/๒
-,มีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานที่เป็นเด็กผ่านนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยา ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรคแรก,๑๓๔/๒
-มีสิทธิ์ตั้งข้อรังเกียจนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการที่เข้าร่วมสอบปากคำกรณีผู้ต้องหาเป็นเด็ก ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรค๓,๑๓๔/๒
-มีสิทธิ์ให้ทนายหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำผู้ต้องหาได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๓
-มีสิทธิ์ที่จะได้รับการแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่า ตนมีสิทธิ์จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ ถ้อยคำที่ตนให้การสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ และมีสิทธิ์ให้ทนายหรือคนที่ตนไว้วางใจนั่งฟังการสอบปากคำตนได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔(๑)(๒)
-มีสิทธิ์โต้แย้งศาลกรณีที่ศาลรับฟังคำพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนที่ทำการสอบปากคำโดยไม่มีการแจ้งสิทธิ์แก่ผู้ต้องหาตามปวอ มาตรา ๑๓๔/๑,๑๓๔/๒และ๑๓๔/๓ ว่าเป็นพยานที่รับฟังไม่ได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔วรรคท้าย
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกพนักงานสอบสวน ทำ จัดให้ทำการใดๆ ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญหลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการใดๆเพื่อจูงใจให้ผู้ต้องหาให้การ ปวอ มาตรา ๑๓๕
-ผู้ต้องหาที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ก่อนเริ่มถามคำให้การหรือในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตผู้ต้องหามีสิทธิ์ ให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความ หากผู้ต้องหาไม่มี รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายให้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๑วรรคแรก,
-ในคดีมีอัตราโทษจำคุก ผู้ต้องหามีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความได้ หากผู้ต้องหาไม่มีและต้องการ รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายความให้
-ในความผิดลหุโทษหรือความผิดไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษหรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือคดีที่เปรียบเทียบปรับได้ตามกฎหมายอื่น ผู้ต้องหาและผู้เสียหายมีสิทธิ์ยินยอมให้พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาได้ตาม ปวอ มาตรา ๓๘(๑) และผู้ต้องหาต้องจ่ายค่าทดแทนในกรณีที่ผู้เสียหายมีสิทธิ์ได้รับค่าทดแทนตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่กะตามที่เห็นสมควรหรือตามที่ผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอม ปวอ มาตรา ๓๘(๒)
-กรณีผู้ต้องหามีครรถ์หรือเพิ่งคลอดบุตรมาไม่ถึง ๓ เดือน หรือเจ็บป่วย หากต้องขังจะต้องถึงแก่ชีวิต มีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายขังหรือขอให้ปล่อยตัว ปวอ มาตรา ๗๑
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกจับกุมหากการจับกุมนั้นไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าและไม่มีหมายจับ หรือจับตามคำสั่งศาล ปวอ มาตรา ๗๘
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกจับกุมในที่รโหฐาน ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม หากไม่มีหมายค้นหรือเข้าข้อยกเว้นที่ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ปวอ มาตรา ๘๑
-มีสิทธิ์ไม่ถูกจับกุมในพระบรมราชวัง พระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป พระนิเวศน์ พระตำหนัก หรือในที่พระมหากษัตริย์ พระราชชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าหรือผู้สำเร็จราชการประทับหรือพำนักอยู่เว้นเข้าข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๘๑/๑(๑)(๒)
-มีสิทธิ์ได้รับการแจ้งข้อหา และตรวจดูหมายจับ พร้อมทั้งมีสิทธิ์ที่จะได้ทราบว่า ตนมีสิทธิ์ให้การหรือไม่ให้การก็ได้ ถ้อยคำนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี มีสิทธิ์พบและปรึกษาทนายหรือผู้ที่จะเป็นทนายและมีสิทธิ์ให้ญาตหรือบุคคลที่ตนไว้ใจทราบถึงการที่ตนถูกจับกุม ปวอ มาตรา ๘๓วรรคสอง
-มีสิทธิ์ได้รับการปฐมพยาบาล จาม ปวอ มาตรา ๘๔วรรคสาม
- มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์จาก ถ้อยคำรับสารภาพในบันทึกการจับกุม ที่กฎหมายห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองที่ถ้อยคำอื่นในบันทึกการจับกุมที่ไม่ใช่การรับสารภาพหากไม่มีการแจ้งสิทธิ์ตามกฎหมาย ปวอ มาตรา ๘๓วรรคสองและ๘๔วรรคแรก ที่กฎหมายห้ามไม่ให้รับฟัง ปวอ มาตรา ๘๔วรรค ท้าย
-หากผู้ต้องหาเป็นหญิงมีสิทธิ์ได้รับการค้นตัวโดยผู้หญิงด้วยกัน ปวอ มาตรนา๘๕
-สามารถร้องขอต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อขอรับสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้โดยไม่ใช่ทรัพย์ที่กฏหมายบัญญัติไว้ว่าทำหรือมีไว้เป็นความผิด คืนเพื่อนำไปดูแลรักษา ปวอ มาตรา ๘๕/๑วรรคแรก หากพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตสามารถยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น ปวอ มาตรา ๘๕/๑
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมเกินกว่าความจำเป็นเพื่อกันไม่ให้หลบหนี หรือเกินพฤติการณ์แห่งคดี ปวอ มาตรา ๘๖,๘๗
-ร้องขอในชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณามีสิทธิ์เรียกร้องให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ขังตนไว้ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๑,๘๙/๒
-มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งศาลและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะค้นโดยไม่มีหมาย ปวอ มาตรา ๙๒
-เมื่อถูกค้นในขณะที่อยู่ในที่รโหฐาน
ก. ผู้ต้องหามีสิทธิ์ ให้เจ้าหน้าที่แสดงหมายค้น หมายไม่มีหมายค้นกรณีเข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องมีหมาย มีสิทธิ์ให้เจ้าพนักงานแสดงตนพร้อมแจ้งชื่อและสังกัด ปวอ มาตรา ๙๔
ข.มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้ตรวจค้นหากค้นในเวลาที่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น หากไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๙๖(๑)(๒)
ค.ทั้งมีสิทธิ์ปฏิเสธกรณีที่ผู้มีชื่อในหมายค้น ไม่ใช่พนักงานฝ่ายปกครองตั้งแต่ระดับสามหรือตำรวจที่มียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป
ง.ก่อนทำการตรวจค้นมีสิทธิ์ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจค้นแสดงความบริสุทธิ์ก่อน และให้ทำการค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่ หรือบุคคลอย่างน้อยสองคนที่เจ้าพนักงานร้องขอให้มาเป็นพยานหรือต่อหน้าบุคคลในครอบครัว เมื่อทำการยึดสิ่งใดต้องให้บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา หรือพยาน ดู เพื่อรับรองความถูกต้อง เมื่อรับรองความถูกต้องหรือไม่รับรองความถูกต้องให้เจ้าพนักงานบันทึกไว้ ปวอ มาตรา ๑๐๒
จ.มีสิทธิ์ที่จะได้รับฟังการอ่านบันทึกการตรวจค้นและบัญชีสิ่งของที่ทำการตรวจยึด ปวอ มาตรา ๑๐๓
-มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้พนักงานสอบสวนขอให้ศาลมีคำสั่งถึงเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร โทรเลข สิ่งพิมพ์หรือเอกสารอื่นใดที่เป็นเอกสารโต้ตอบระหว่างผู้ต้องหากับทนายความที่ยังไม่มีการส่ง ปวอ มาตรา ๑๐๕
-มีสิทธิ์ร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดีของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๑๐๖
- -ร้องขอความเป็นธรรมมายังพนักงานอัยการกรณีอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวน ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ
-๕.สิทธิ์จำเลย
-มีสิทธิ์ตาม ปวอ มาตรา ๒(๓),๘,.๑๓วรรคสอง วรรคสาม,๑๔
-มีสิทธิ์ให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือตามปวอ มาตรา ๓,๑๓วรรคสอง วรรคสาม
-คัดค้านการถอนฟ้อง ปวอ มาตรา ๓๕
-มีอำนาจยื่นคำให้การเป็นหนังสือกรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอต่อศาลให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ปวอ มาตรา ๔๔/๑,,๔๔/๒
-สามารถต่อสู้คดีว่าความผิดระงับไปตามกำหนดเวลาในอายุความฟ้องคดีอาญาในกรณีไม่มีผู้ใดฟ้องคดีอาญา ปวอ มาตรา ๕๑
-สามารถต้อสู้ผู้เสียหายที่จะฟ้องแพ่งที่ไม่ได้ฟ้องภายในอายุความทางแพ่งกรณีคดีอาญาศาลยกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ปวอ มาตรา ๕๑ วรรคท้าย
-สามารถต่อสู้คดีได้ว่าสิทธิ์เรียกร้องทางแพ่งของผู้เสียหายมีกำหนดอายุความตามปพพ มาตรา ๑๙๓/๓๒ เพราะได้มีการฟ้องคดีอาญาจนศาลลงโทษจำเลยคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ปวอ มาตรา ๕๑วรรคสาม
-กรณีจำเลยมีครรถ์หรือเพิ่งคลอดบุตรมาไม่ถึง ๓ เดือน หรือเจ็บป่วย หากต้องขังจะต้องถึงแก่ชีวิต มีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายขังหรือขอให้ปล่อยตัว ปวอ มาตรา ๗๑
-หลังศาลพิพากษาลงโทษจำคุกมีสิทธิ์เรียกร้องให้ พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำขอให้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ขังตนไว้ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๑,๘๙/๒
-จำเลยผู้ถูกคุมขังในคดีอาญาโดยไม่ชอบหรือสามีภรรยาหรือญาติหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ผู้ถูกคุมขังสามารถร้องต่อศาลขอให้ปล่อย ปวอ มาตรา ๙๐
-มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้พนักงานสอบสวนขอให้ศาลมีคำสั่งถึงเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร โทรเลข สิ่งพิมพ์หรือเอกสารอื่นใดที่เป็นเอกสารโต้ตอบระหว่างจำเลยกับทนายความที่ยังไม่มีการส่ง ปวอ มาตรา ๑๐๕
-มีสิทธิ์ร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ปวอ มาตรา ๑๐๖
๖.สืบสวน ปวอ มาตรา ๒(๑๐),(๑๖),๑๗,๑๒๕
๗.สอบสวน ปวอ มาตรา ๒(๑๑),(๑๗),๑๘,๑๙,๒๐,๒๑,๗๘,๑๒๑,๑๒๒,๑๒๔/๑,๑๒๕,๑๒๗,๑๒๘,๑๒๙๑๓๐ถึง๑๔๒
๘.อัยการกับการสอบสวน ปวอ มาตรา ๒๐,๑๒๐,๑๒๙
๙.อำนาจพนักงานสอบสวน
-มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา ปอ มาตรา ๑๒๑
-มีสิทธิ์ไม่ทำการสอบสวนหากเข้าตาม ปวอ มาตรา ๑๒๒,๑๒๗
-มีอำนาจจัดให้มีการร้องทุกข์ ปวอ มาตรา ๑๒๕
-มีอำนาจรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆเกี่ยวความผิดที่กล่าวหา ปวอ มาตรา ๑๓๑
-มีอำนาจตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุ เอกสารใดๆ ปวอ มาตรา ๑๓๓/๑
-มีสิทธิ์ตรวจตัวผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาเมื้อผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอมเว้นเข้าเงื่อนไขตาม ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑วรรคสอง
-มีอำนาจค้นเพื่อพบสิ่งของ หมายเรียกผู้ครอบครองสิ่งของ และยึดสิ่งของ ปวอ มาตรา ๑๓๒
-มีอำนาจเรียกผู้เสียหายหรือบุคคลใดที่อาจให้ถ้อยคำ ปวอ มาตรา ๑๓๓
-สามารถสอบปากคำหญิงในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศได้หากหญิงนั้นยินยอมไม่ใช้พนักงานสอบสวนที่เป็นหญิง ปวอ มาตรา ๑๓๓สี่
-มีอำนาจให้มีการชี้ตัวผู้กระทำผิด ปวอ มาตรา ๑๓๓ วรรคห้า
-ความผิดตามที่ระบุไว้ในปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ หากผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กร้องขอ ให้สหวิชาชีพ(อัยการ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์)มาร่วมในการสอบสวน พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนลำพัง
- มีสิทธิ์สั่งให้ผู้ต้องหาที่ไม่ใช่ผู้ถูกจับและยังไม่มีการออกหมายจับสั่งให้ผู้ต้องห่าไปศาลเพื่อขอออกหมายขัง หากผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตาม พนักงานสอบสวนมีอำนาจจับกุมได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคท้าย,
-ในกรณีเร่งด่วนทนายความไม่มาพบผู้ต้องหาตามที่รัฐหรือพนักงานสอบสวนจัดหาโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง หรือแจ้งแต่ไม่มาพบผู้ต้องหาในเวลาอันควร พนักงานสอบสวนสามารถสอบปากคำผู้ต้องหาได้โดยไม่ต้องรอทนายความ ปวอ มาตรา๑๓๔/๑วรรคท้าย
-มีอำนาจสั่งให้บุคคลใดในบ้านเรือนหรือในสถานที่อื่นๆที่พนักงานสอบสวนทำการอยู่ในสถานที่นั้นให้ออกไปจากสถานที่นั้นๆชั่วเวลาที่จำเป็น ปวอ มาตรา ๑๓๗ ดูประกอบ ปอ มาตรา ๓๖๘
-มีอำนาจสอบสวนเองหรือส่งประเด็นไปให้พนักงานสอบสวนอื่นทำการสอบสวนแทน ปวอ มาตรา ๑๓๘
-มีอำนาจบันทึกรายชื่อบุคคลพร้อมที่อยู่ถสถานที่ติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ และช่องทางอื่นเพื่อให้ได้มาเป็นพยาน ปวอ มาตครา ๑๓๙วรรคท้าย
-มีอำนาจ “งดการสอบสวน” ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณากรณีไม่ทราบผู้ใดเป็นคนกระทำผิดในคดีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี ปวอ มาตรา ๑๔๐
-มีอำนาจ “ เห็นควร” งดการสอบสวน” ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณากรณีไม่ทราบผู้ใดเป็นคนกระทำผิดในคดีมีอัตราโทษจำคุกเกิน ๓ ปี ปวอ มาตรา ๑๔๐(๑)วรรคสอง
-กรณีรู้ตัวผู้กระทำผิด แต่ยังเรียกหรือจับตัวไม่ได้ พนักงานสอบสวนมีอำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา ปวอ มาตรา ๑๔๑
-หากผู้ต้องหาถูกคุมขังหรือถูกควบคุมตัวหรือได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ควร” สั่งฟ้องให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา เว้นแต่ผู้ต้องหาถูกขังอยู่ ปวอ มาตรา๑๔๒วรรคสาม
๑๐.อำนาจพนักงานอัยการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา
-มีอำนาจโต้แย้งว่าการที่ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมจะทำให้คดีของพนักงานอัยการเสียหายโดยขอให้ศาลสั่งให้ผู้เสียหายกระทำหรืองดเว้นกระทำการใดๆก็ได้ ปวอ มาตรา ๓๒
-มีอำนาจฟ้องคดีในความผิดอาญาแผ่นดินที่ผู้เสียหายฟ้องคดีไว้แล้วได้ถอนฟ้อง ปวอ มาตรา ๓๖(๓)
-มีอำนาจโต้แย้งผู้เสียหายที่ร้องขอเข้ามาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ว่าคำขอของผู้เสียหายไม่ใช่คำขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญา หรือคำร้องดังกล่าวขัดหรือแย้งคำฟ้องของพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๔๔/๑ วรรคสาม
-มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยเห็นว่าไม่จำเป็นต้องขังไว้ระหว่างสอบสวน หรือยุติการสอบสวนแล้วโดยสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ปวอ มาตรา ๗๒(๒)(๓)
-ในระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณามีอำนาจร้องขอให้ขังผู้ต้องหาหรือจำเลยในสถานที่อื่นตามที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยร้องขอหรือตามที่ศาลเห็นสมควรนอกจากเรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๑
-เมื่อศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกแล้ว พนักงานอัยการร้องขอให้จำคุกในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำหรือตามที่ศาลเห็นควรที่ไม่ใช่เรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๒
-ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังหรือบุคคลอื่นที่ถูกคุมขังในคดีอาญาโดยไม่ชอบ ปวอ มาตรา ๙๐
-มีอำนาจ “งดการสอบสวน” หรือ “ ให้สอบสวนต่อไป” ในคดีที่พนักงานสอบสวนงดการสอบสวนทั้งคดีที่มีอัตราโทษจำคุดเกินกว่า ๓ ปี หรือต่ำกว่า ๓ ปี ที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนงดการสอบสวนเพราะไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด ปวอ มาตรา ๑๔๐(๑)วรรคสาม
-กรณีรู้ตัวผู้กระทำผิด แต่ยังเรียกหรือจับตัวไม่ได้ที่ พนักงานสอบสวนมีความเห็น ควรสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา ปวอ มาตรา ๑๔๑ นั้น พนักงานอัยการหากเห็นว่าการสั่งไม่ฟ้องชอบแล้วก็จะ “ สั่ง”ไม่ฟ้อง แต่หากเห็นว่า ควรสอบสวนต่อไป ก็จะ “ สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนต่อไป” ปวอ มาตรา ๑๔๑
-พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งฟ้องผู้ต้องหา เมื่อมีคำสั่งฟ้อง ก็เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้ตัวผู้ต้องหาเพื่อนำมาส่งพนักงานอัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลตาม ปวอ มาตรา ๑๔๑วรรคท้าย ,ภายในกำหนดอายุความคดีอาญา
-หากผู้ต้องหาถูกคุมขังหรือถูกควบคุมตัวหรือได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ควร” สั่งฟ้องให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา เว้นแต่ผู้ต้องหาถูกขังอยู่ ปวอ มาตรา๑๔๒วรรคสาม เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนมีอำนาจ “ สั่งฟ้อง” หรือ “ สั่งไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหา แยกได้ดังนี้คือ
ก.กรณีไม่เห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนที่สั่งไม่ฟ้องมา ก็ให้ “ สั่งฟ้อง” และแจ้งให้พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ต้องหามาเพื่อทำการฟ้องคดี ปวอ มาตรา ๑๔๓(๑)
ข. กรณีเห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนที่สั่งไม่ฟ้องก็ให้ออกคำสั่ง “ ไม่ฟ้อง” แล้วส่งสำนวนไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕ หรือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตามปวอ มาตรา ๑๔๕/๑แล้วแต่กรณี
ค.กรณีพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ ควร” สั่งฟ้อง หากพนักงานอัยการเห็นด้วยก็จะออกคำสั่ง “ ฟ้อง” ผู้ต้องหา ปวอ มาตรา ๑๔๓(๒)
ง.กรณีพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ ควร” สั่งฟ้อง มา หากพนักงานอัยการไม่เห็นด้วย อาจสั่ง “ สอบสวนเพิ่มเติม” ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๓(ก) โดยให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเองหรือส่งพยานมาให้พนักงานอัยการทำการสอบสวน ทางปฏิบัติเพื่อกันปัญหาที่เกิดขึ้น พนักงานอัยการจะสอบพยานโดยให้พนักงานสอบสวนนั่งฟังด้วยแล้วให้พนักงานสอบสวนลงลายมือชื่อในบันทึกที่พนักงานอัยการทำการสอบปากคำพยาน เมื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติมแล้วพนักงานอัยการ อาจมีคำสั่ง “ ฟ้อง” หรือ “ ไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหา ตามปวอ มาตรา ๑๔๓(๒)
-สั่งให้พนักงานสอบสวนพยายามเปรียบเทียบปรับในคดีที่สามารถเปรียบเทียบปรับได้แทนการส่งสำนวนมายังพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๑๔๔(๑)
-คดีที่เปรียบเทียบปรับได้ตาม ปวอ มาตรา ๓๗(๑)(๒)(๓)(๔) หากพนักงานสอบสวนส่งสำนวนมายังพนักงานอัยการ พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้ส่งผู้ต้องหาพร้อมสำนวนการสอบสวนส่งกลับคืนไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อพยายามเปรียบเทียบปรับ ปวอ มาตรา ๑๔๔(๒)
-อัยการสูงสุดมีอำนาจฟ้องหรือไม่ฟ้องตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้บังคับการตำรวจจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัดกรณีที่มีความเห็นแย้งความเห็นของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง ความเห็นของอัยการสูงสุดเป็นที่สุด
--อำนาจในการสั่งฟ้อง สั่งไม่ฟ้องหรือสอบสวนเพิ่มเติมเป็นอำนาจของพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนมีอำนาจเพียงแค่สั่งว่า “ เห็นควรสั่งฟ้อง” หรือ “เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง” เท่านั้น ไม่สามารถใช้คำว่า “ สั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง” คนที่มีอำนาจในการ “ สั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง” คือพนักงานอัยการ ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวนให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์หรือสื่อทางโทรทัศน์ว่าส่งสำนวนให้อัยการฟ้องศาล จึงเป็นการกล่าวที่ผิดและเป็นการกล่าวล่วงอำนาจของพนักงานอัยการ สำนวนที่ตำรวจส่งมา อัยการฟ้องกี่เรื่อง ไม่ฟ้องกี่เรื่อง สั่งสอบสวนเพิ่มเติมกี่เรื่อง จึงไม่ใช่เป็นไปตามที่พนักงานสอบสวนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆว่า “ ส่งสำนวนให้อัยการฟ้องศาล” ข้อความนี้เป็นข้อความที่กรรมการผู้สอบสัมภาษณ์ผมในการสอบปากเปล่าตอนสอบอัยการผู้ช่วยได้ถามผมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐
-มีอำนาจในการเข้าร่วมชันสูตรพลิกศพปวอ มาตรา ๑๕๐และให้คำแนะนำพนักงานสอบสวนตาม ปวอ มาตรา ๑๕๕/๑วรรคสอง
-มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อไต่สวนและทำคำสั่งว่าผุ้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ทำให้ตาย ปวอ มาตรา ๑๕๐
๒.ผู้เสียหาย ปวอ มาตรา ๒(๔),๔,๕,๖
๓.สิทธิ์และอำนาจของผู้เสียหายและผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหาย
-มีสิทธิ์ให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือตามปวอ มาตรา ๓,๑๓วรรคสอง วรรคสาม
-,มีสิทธิ์ฟ้องคดีเองดดยไม่จำต้องร้องทุกข์
-มีอำนาจร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานฝ่ายปกครอง ตาม ปวอ มาตรร๑๒๓,๑๒๔,๑๒๔/๑,
-มีอำนาจแก้คำร้องทุกข์หรือถอนคำร้องทุกข์ ปวอ มาตรา๑๒๖,
-ปฏิเสธไม่ยอมให้ตรวจเนื้อตัวร่างกาย ปวอ มาตรา ๑๓๒(๑)มีข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑,
-มีสิทธิ์โต้แย้งพนักงานสอบสวนที่ตักเตือน พูดให้ท้อใจ ใช้กลอุบาย เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายไม่ให้ปากคำทั้งที่ผู้เสียหายต้องการให้ปากคำ ปวอ มาตรา ๑๓๓ วรรคสาม
-,มีสิทธิ์ชี้ตัวยืนยันหรือชี้ตัวผู้ต้องหาหรือผู้กระทำผิดทางอาญา ปวอ มาตรา ๑๓๓วรรคท้ายและ ๑๓๓ตรี,
-มีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนที่เป็นหญิงเป็นผู้ทำการสอบสวน ปวอ มาตรา ๑๓๓วรรคสี่,
-มีสิทธิ์ร้องขอต่อพนักงานสอบสวนให้แยกการสอบสวนเป็นสัดส่วนในสถานที่เหมาะสม ทั้งให้มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่เด็กร้องขอให้อยู่ร่วมขณะทำการสอบสวน ปวอ มาตรา๑๓๓ทวิวรรคแรก
-,มีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานที่เป็นเด็กผ่านนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยา ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรคแรก,
-มีสิทธิ์ตั้งข้อรังเกียจนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการที่เข้าร่วมสอบปากคำกรณีผู้เสียหายเป็นเด็ก ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรค๓
-ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๓๐
-ฟ้องคดีเองกรณีพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ปวอ มาตรา ๓๔
-ในความผิดอาญาแผ่นดินที่พนักงานอัยการถอนฟ้อง ไม่ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีใหม่ ปวอ มาตรา ๓๖(๑)
-ในความผิดต่อส่วนตัวที่พนักงานอัยการถอนฟ้องโดยไม่ได้รับความยินยอมเป็นหนังสือจากผู้เสียหาย การถอนฟ้องนั้นไม่ตัดสิทธิ์ผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีใหม่ ปวอ มาตรา ๓๕(๒)
-ในความผิดลหุโทษหรือความผิดไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษหรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือคดีที่เปรียบเทียบปรับได้ตามกฎหมายอื่น ผู้เสียหายมีสิทธิ์ยินยอมให้พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาได้ตาม ปวอ มาตรา ๓๘(๑) และมีสิทธิ์ได้ค่าทดแทนตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่กะตามที่เห็นสมควรหรือตามที่ผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอม ปวอ มาตรา ๓๘(๒)
-มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่ต้องสูญเสียไปเพราะการกระทำความผิด ปวอ มาตรา ๔๓โดยพนักงานอัยการจะมีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายในคำขอท้ายฟ้อง
-มีสิทธิ์ยื่นคำร้องต่อศาลที่พิจารณาคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์เพื่อขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุที่ได้รับอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย จิตใจ ได้รับความเสื่อมเสียต่อเสรีภาพในร่างกาย ได้รับความเสียหายทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำผิดของจำเลย ปวอ มาตรา ๔๔/๑ โดยถือว่าคำร้องดังกล่าวเป็น “ คำฟ้อง” ปวอ มาตรา ๔๔/๑วรรคสอง
-มีสิทธิ์ขอให้ศาลตั้งทนายในการยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ปวอ มาตรา ๔๔/๑,๔๔/๒วรรคท้าย
-มีสิทธิ์นำพยานเข้าสืบถึงค่าสินไหมทดแทนที่ขอให้จำเลยชดใช้ตามปวอ มาตรา ๔๔/๑หลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ปวอ มาตรา ๔๔/๒
-มีอำนาสจฟ้องคดีแพ่งได้แม้จะมีการฟ้องคดีอาญาไปแล้ว ปวอ มาตรา ๔๕
-เป็น “เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา” ในคดีอาญาที่พนักงานอัยการร้องขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย ปวอ มาตรา ๕๐
-ได้รับประโยชน์ในอายุความคดีแพ่งที่สะดุดหยุดลงตาม ปอ มาตรา ๙๕ กรณีที่คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญาได้มีการฟ้องคดีอาญาแล้ว แต่คดียังไม่เสร็จเด็ดขาด ปวอ มาตรา ๕๑วรรคสอง
๔.สิทธิ์ผู้ต้องหา
-มีสิทธิ์ตาม ปวอ มาตรา ๒(๒),๗,๗/๑, ๑๓
-มีสิทธิ์ให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือตามปวอ มาตรา ๓,๑๓วรรคสอง วรรคสาม
-มีสิทธิ์โต้แย้งพนักงานสอบสวนที่ตักเตือน พูดให้ท้อใจ ใช้กลอุบาย เพื่อไม่ให้ผู้ต้องหาไม่ให้ปากคำทั้งที่ผู้ต้องหาต้องการให้ปากคำ ปวอ มาตรา ๑๓๓ วรรคสาม
วรรคสอง วรรคสาม,๑๔,
-ปฏิเสธไม่ยอมให้ตรวจเนื้อตัวร่างกาย ปวอ มาตรา ๑๓๒(๑)มีข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑,
-มีสิทธิ์ได้รับการสอบสวนโดยเร็ว ต่อเนื่องเป็นธรรม ปวอ มาตรา ๑๓๔วรนรคสาม
-,มีสิทธิ์ได้รับการแจ้งจากพนักงานสอบสวนถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ถูกกล่าวหาโดยข้อเท็จจริงนั้นต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคแรก,วรรคสอง,
-มีสิทธิ์ได้รับการสอบสวนโดยเร็ว ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคสาม,
-มีสิทธิ์ได้รับโอกาสที่จะแก้ข้อกล่าวหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคสี่ นั้นก็คือสามารถร้องขอให้พนักงานสอบสวนสอบพยานฝ่ายผู้ต้องหาได้,
-ก่อนเริ่มถามคำให้การในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน ๑๘ ปี มีอำนาจให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความ หากผู้ต้องหาไม่มี รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายให้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๑วรรคแรก,
-ในคดีมีอัตราโทษจำคุก ผู้ต้องหามีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความได้ หากผู้ต้องหาไม่มีและต้องการ รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายความให้
-ให้มีนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ บุคคลที่ผู้ต้องหาที่อายุไม่ถึง๑๘ปีร้องขอให้อยู่ร่วมขณะทำการสอบสวน ปวอ มาตรา๑๓๓ทวิวรรคแรก,๑๓๔/๒
-,มีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนสอบปากคำพยานที่เป็นเด็กผ่านนักสังคมสงเคราะห์หรือนักจิตวิทยา ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรคแรก,๑๓๔/๒
-มีสิทธิ์ตั้งข้อรังเกียจนักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์และพนักงานอัยการที่เข้าร่วมสอบปากคำกรณีผู้ต้องหาเป็นเด็ก ปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิวรรค๓,๑๓๔/๒
-มีสิทธิ์ให้ทนายหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำผู้ต้องหาได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๓
-มีสิทธิ์ที่จะได้รับการแจ้งจากพนักงานสอบสวนว่า ตนมีสิทธิ์จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ ถ้อยคำที่ตนให้การสามารถนำไปใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ และมีสิทธิ์ให้ทนายหรือคนที่ตนไว้วางใจนั่งฟังการสอบปากคำตนได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔(๑)(๒)
-มีสิทธิ์โต้แย้งศาลกรณีที่ศาลรับฟังคำพยานหลักฐานของพนักงานสอบสวนที่ทำการสอบปากคำโดยไม่มีการแจ้งสิทธิ์แก่ผู้ต้องหาตามปวอ มาตรา ๑๓๔/๑,๑๓๔/๒และ๑๓๔/๓ ว่าเป็นพยานที่รับฟังไม่ได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๔วรรคท้าย
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกพนักงานสอบสวน ทำ จัดให้ทำการใดๆ ซึ่งเป็นการให้คำมั่นสัญญา ขู่เข็ญหลอกลวง ทรมาน ใช้กำลังบังคับ หรือกระทำการใดๆเพื่อจูงใจให้ผู้ต้องหาให้การ ปวอ มาตรา ๑๓๕
-ผู้ต้องหาที่มีอายุไม่เกิน ๑๘ ปีบริบรูณ์ก่อนเริ่มถามคำให้การหรือในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตผู้ต้องหามีสิทธิ์ ให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความ หากผู้ต้องหาไม่มี รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายให้ ปวอ มาตรา ๑๓๔/๑วรรคแรก,
-ในคดีมีอัตราโทษจำคุก ผู้ต้องหามีสิทธิ์ให้พนักงานสอบสวนถามเรื่องทนายความได้ หากผู้ต้องหาไม่มีและต้องการ รัฐหรือพนักงานสอบสวนต้องจัดหาทนายความให้
-ในความผิดลหุโทษหรือความผิดไม่สูงกว่าความผิดลหุโทษหรือคดีที่มีโทษปรับสถานเดียวหรือคดีที่เปรียบเทียบปรับได้ตามกฎหมายอื่น ผู้ต้องหาและผู้เสียหายมีสิทธิ์ยินยอมให้พนักงานสอบสวนทำการเปรียบเทียบปรับผู้ต้องหาได้ตาม ปวอ มาตรา ๓๘(๑) และผู้ต้องหาต้องจ่ายค่าทดแทนในกรณีที่ผู้เสียหายมีสิทธิ์ได้รับค่าทดแทนตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่กะตามที่เห็นสมควรหรือตามที่ผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอม ปวอ มาตรา ๓๘(๒)
-กรณีผู้ต้องหามีครรถ์หรือเพิ่งคลอดบุตรมาไม่ถึง ๓ เดือน หรือเจ็บป่วย หากต้องขังจะต้องถึงแก่ชีวิต มีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายขังหรือขอให้ปล่อยตัว ปวอ มาตรา ๗๑
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกจับกุมหากการจับกุมนั้นไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าและไม่มีหมายจับ หรือจับตามคำสั่งศาล ปวอ มาตรา ๗๘
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกจับกุมในที่รโหฐาน ไม่ว่าจะมีหมายจับหรือไม่ก็ตาม หากไม่มีหมายค้นหรือเข้าข้อยกเว้นที่ค้นได้โดยไม่ต้องมีหมาย ปวอ มาตรา ๘๑
-มีสิทธิ์ไม่ถูกจับกุมในพระบรมราชวัง พระราชวัง วังของพระรัชทายาทหรือของพระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าขึ้นไป พระนิเวศน์ พระตำหนัก หรือในที่พระมหากษัตริย์ พระราชชินี พระรัชทายาท พระบรมวงศ์ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าหรือผู้สำเร็จราชการประทับหรือพำนักอยู่เว้นเข้าข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๘๑/๑(๑)(๒)
-มีสิทธิ์ได้รับการแจ้งข้อหา และตรวจดูหมายจับ พร้อมทั้งมีสิทธิ์ที่จะได้ทราบว่า ตนมีสิทธิ์ให้การหรือไม่ให้การก็ได้ ถ้อยคำนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดี มีสิทธิ์พบและปรึกษาทนายหรือผู้ที่จะเป็นทนายและมีสิทธิ์ให้ญาตหรือบุคคลที่ตนไว้ใจทราบถึงการที่ตนถูกจับกุม ปวอ มาตรา ๘๓วรรคสอง
-มีสิทธิ์ได้รับการปฐมพยาบาล จาม ปวอ มาตรา ๘๔วรรคสาม
- มีสิทธิ์ได้รับประโยชน์จาก ถ้อยคำรับสารภาพในบันทึกการจับกุม ที่กฎหมายห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน และมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองที่ถ้อยคำอื่นในบันทึกการจับกุมที่ไม่ใช่การรับสารภาพหากไม่มีการแจ้งสิทธิ์ตามกฎหมาย ปวอ มาตรา ๘๓วรรคสองและ๘๔วรรคแรก ที่กฎหมายห้ามไม่ให้รับฟัง ปวอ มาตรา ๘๔วรรค ท้าย
-หากผู้ต้องหาเป็นหญิงมีสิทธิ์ได้รับการค้นตัวโดยผู้หญิงด้วยกัน ปวอ มาตรนา๘๕
-สามารถร้องขอต่อพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการเพื่อขอรับสิ่งของที่เจ้าพนักงานยึดไว้โดยไม่ใช่ทรัพย์ที่กฏหมายบัญญัติไว้ว่าทำหรือมีไว้เป็นความผิด คืนเพื่อนำไปดูแลรักษา ปวอ มาตรา ๘๕/๑วรรคแรก หากพนักงานอัยการหรือพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตสามารถยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น ปวอ มาตรา ๘๕/๑
-มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมเกินกว่าความจำเป็นเพื่อกันไม่ให้หลบหนี หรือเกินพฤติการณ์แห่งคดี ปวอ มาตรา ๘๖,๘๗
-ร้องขอในชั้นสอบสวน ชั้นพิจารณามีสิทธิ์เรียกร้องให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ขังตนไว้ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๑,๘๙/๒
-มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นในที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นหรือคำสั่งศาลและไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะค้นโดยไม่มีหมาย ปวอ มาตรา ๙๒
-เมื่อถูกค้นในขณะที่อยู่ในที่รโหฐาน
ก. ผู้ต้องหามีสิทธิ์ ให้เจ้าหน้าที่แสดงหมายค้น หมายไม่มีหมายค้นกรณีเข้าข้อยกเว้นที่ไม่ต้องมีหมาย มีสิทธิ์ให้เจ้าพนักงานแสดงตนพร้อมแจ้งชื่อและสังกัด ปวอ มาตรา ๙๔
ข.มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้ตรวจค้นหากค้นในเวลาที่พระอาทิตย์ตกถึงพระอาทิตย์ขึ้น หากไม่เข้าข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๙๖(๑)(๒)
ค.ทั้งมีสิทธิ์ปฏิเสธกรณีที่ผู้มีชื่อในหมายค้น ไม่ใช่พนักงานฝ่ายปกครองตั้งแต่ระดับสามหรือตำรวจที่มียศตั้งแต่ร้อยตำรวจตรีขึ้นไป
ง.ก่อนทำการตรวจค้นมีสิทธิ์ให้เจ้าพนักงานผู้ตรวจค้นแสดงความบริสุทธิ์ก่อน และให้ทำการค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่ หรือบุคคลอย่างน้อยสองคนที่เจ้าพนักงานร้องขอให้มาเป็นพยานหรือต่อหน้าบุคคลในครอบครัว เมื่อทำการยึดสิ่งใดต้องให้บุคคลในครอบครัว ผู้ต้องหา หรือพยาน ดู เพื่อรับรองความถูกต้อง เมื่อรับรองความถูกต้องหรือไม่รับรองความถูกต้องให้เจ้าพนักงานบันทึกไว้ ปวอ มาตรา ๑๐๒
จ.มีสิทธิ์ที่จะได้รับฟังการอ่านบันทึกการตรวจค้นและบัญชีสิ่งของที่ทำการตรวจยึด ปวอ มาตรา ๑๐๓
-มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้พนักงานสอบสวนขอให้ศาลมีคำสั่งถึงเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร โทรเลข สิ่งพิมพ์หรือเอกสารอื่นใดที่เป็นเอกสารโต้ตอบระหว่างผู้ต้องหากับทนายความที่ยังไม่มีการส่ง ปวอ มาตรา ๑๐๕
-มีสิทธิ์ร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดีของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๑๐๖
- -ร้องขอความเป็นธรรมมายังพนักงานอัยการกรณีอ้างว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากพนักงานสอบสวน ตามระเบียบการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ
-๕.สิทธิ์จำเลย
-มีสิทธิ์ตาม ปวอ มาตรา ๒(๓),๘,.๑๓วรรคสอง วรรคสาม,๑๔
-มีสิทธิ์ให้จัดหาล่ามหรือล่ามภาษามือตามปวอ มาตรา ๓,๑๓วรรคสอง วรรคสาม
-คัดค้านการถอนฟ้อง ปวอ มาตรา ๓๕
-มีอำนาจยื่นคำให้การเป็นหนังสือกรณีที่ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอต่อศาลให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ปวอ มาตรา ๔๔/๑,,๔๔/๒
-สามารถต่อสู้คดีว่าความผิดระงับไปตามกำหนดเวลาในอายุความฟ้องคดีอาญาในกรณีไม่มีผู้ใดฟ้องคดีอาญา ปวอ มาตรา ๕๑
-สามารถต้อสู้ผู้เสียหายที่จะฟ้องแพ่งที่ไม่ได้ฟ้องภายในอายุความทางแพ่งกรณีคดีอาญาศาลยกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ปวอ มาตรา ๕๑ วรรคท้าย
-สามารถต่อสู้คดีได้ว่าสิทธิ์เรียกร้องทางแพ่งของผู้เสียหายมีกำหนดอายุความตามปพพ มาตรา ๑๙๓/๓๒ เพราะได้มีการฟ้องคดีอาญาจนศาลลงโทษจำเลยคดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ปวอ มาตรา ๕๑วรรคสาม
-กรณีจำเลยมีครรถ์หรือเพิ่งคลอดบุตรมาไม่ถึง ๓ เดือน หรือเจ็บป่วย หากต้องขังจะต้องถึงแก่ชีวิต มีอำนาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนหมายขังหรือขอให้ปล่อยตัว ปวอ มาตรา ๗๑
-หลังศาลพิพากษาลงโทษจำคุกมีสิทธิ์เรียกร้องให้ พนักงานอัยการ ผู้บัญชาการเรือนจำขอให้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ขังตนไว้ในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๑,๘๙/๒
-จำเลยผู้ถูกคุมขังในคดีอาญาโดยไม่ชอบหรือสามีภรรยาหรือญาติหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ผู้ถูกคุมขังสามารถร้องต่อศาลขอให้ปล่อย ปวอ มาตรา ๙๐
-มีสิทธิ์ปฏิเสธที่จะไม่ให้พนักงานสอบสวนขอให้ศาลมีคำสั่งถึงเจ้าหน้าที่ไปรษณีย์ส่งจดหมาย ไปรษณียบัตร โทรเลข สิ่งพิมพ์หรือเอกสารอื่นใดที่เป็นเอกสารโต้ตอบระหว่างจำเลยกับทนายความที่ยังไม่มีการส่ง ปวอ มาตรา ๑๐๕
-มีสิทธิ์ร้องขอให้ปล่อยชั่วคราวในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ปวอ มาตรา ๑๐๖
๖.สืบสวน ปวอ มาตรา ๒(๑๐),(๑๖),๑๗,๑๒๕
๗.สอบสวน ปวอ มาตรา ๒(๑๑),(๑๗),๑๘,๑๙,๒๐,๒๑,๗๘,๑๒๑,๑๒๒,๑๒๔/๑,๑๒๕,๑๒๗,๑๒๘,๑๒๙๑๓๐ถึง๑๔๒
๘.อัยการกับการสอบสวน ปวอ มาตรา ๒๐,๑๒๐,๑๒๙
๙.อำนาจพนักงานสอบสวน
-มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา ปอ มาตรา ๑๒๑
-มีสิทธิ์ไม่ทำการสอบสวนหากเข้าตาม ปวอ มาตรา ๑๒๒,๑๒๗
-มีอำนาจจัดให้มีการร้องทุกข์ ปวอ มาตรา ๑๒๕
-มีอำนาจรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆเกี่ยวความผิดที่กล่าวหา ปวอ มาตรา ๑๓๑
-มีอำนาจตรวจพิสูจน์บุคคล วัตถุ เอกสารใดๆ ปวอ มาตรา ๑๓๓/๑
-มีสิทธิ์ตรวจตัวผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาเมื้อผู้เสียหายและผู้ต้องหายินยอมเว้นเข้าเงื่อนไขตาม ปวอ มาตรา ๑๓๑/๑วรรคสอง
-มีอำนาจค้นเพื่อพบสิ่งของ หมายเรียกผู้ครอบครองสิ่งของ และยึดสิ่งของ ปวอ มาตรา ๑๓๒
-มีอำนาจเรียกผู้เสียหายหรือบุคคลใดที่อาจให้ถ้อยคำ ปวอ มาตรา ๑๓๓
-สามารถสอบปากคำหญิงในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศได้หากหญิงนั้นยินยอมไม่ใช้พนักงานสอบสวนที่เป็นหญิง ปวอ มาตรา ๑๓๓สี่
-มีอำนาจให้มีการชี้ตัวผู้กระทำผิด ปวอ มาตรา ๑๓๓ วรรคห้า
-ความผิดตามที่ระบุไว้ในปวอ มาตรา ๑๓๓ทวิ หากผู้เสียหายหรือพยานที่เป็นเด็กร้องขอ ให้สหวิชาชีพ(อัยการ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์)มาร่วมในการสอบสวน พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจสอบสวนลำพัง
- มีสิทธิ์สั่งให้ผู้ต้องหาที่ไม่ใช่ผู้ถูกจับและยังไม่มีการออกหมายจับสั่งให้ผู้ต้องห่าไปศาลเพื่อขอออกหมายขัง หากผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตาม พนักงานสอบสวนมีอำนาจจับกุมได้ ปวอ มาตรา ๑๓๔วรรคท้าย,
-ในกรณีเร่งด่วนทนายความไม่มาพบผู้ต้องหาตามที่รัฐหรือพนักงานสอบสวนจัดหาโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง หรือแจ้งแต่ไม่มาพบผู้ต้องหาในเวลาอันควร พนักงานสอบสวนสามารถสอบปากคำผู้ต้องหาได้โดยไม่ต้องรอทนายความ ปวอ มาตรา๑๓๔/๑วรรคท้าย
-มีอำนาจสั่งให้บุคคลใดในบ้านเรือนหรือในสถานที่อื่นๆที่พนักงานสอบสวนทำการอยู่ในสถานที่นั้นให้ออกไปจากสถานที่นั้นๆชั่วเวลาที่จำเป็น ปวอ มาตรา ๑๓๗ ดูประกอบ ปอ มาตรา ๓๖๘
-มีอำนาจสอบสวนเองหรือส่งประเด็นไปให้พนักงานสอบสวนอื่นทำการสอบสวนแทน ปวอ มาตรา ๑๓๘
-มีอำนาจบันทึกรายชื่อบุคคลพร้อมที่อยู่ถสถานที่ติดต่อ เบอร์โทรศัพท์ และช่องทางอื่นเพื่อให้ได้มาเป็นพยาน ปวอ มาตครา ๑๓๙วรรคท้าย
-มีอำนาจ “งดการสอบสวน” ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณากรณีไม่ทราบผู้ใดเป็นคนกระทำผิดในคดีมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปี ปวอ มาตรา ๑๔๐
-มีอำนาจ “ เห็นควร” งดการสอบสวน” ส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการพิจารณากรณีไม่ทราบผู้ใดเป็นคนกระทำผิดในคดีมีอัตราโทษจำคุกเกิน ๓ ปี ปวอ มาตรา ๑๔๐(๑)วรรคสอง
-กรณีรู้ตัวผู้กระทำผิด แต่ยังเรียกหรือจับตัวไม่ได้ พนักงานสอบสวนมีอำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา ปวอ มาตรา ๑๔๑
-หากผู้ต้องหาถูกคุมขังหรือถูกควบคุมตัวหรือได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ควร” สั่งฟ้องให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา เว้นแต่ผู้ต้องหาถูกขังอยู่ ปวอ มาตรา๑๔๒วรรคสาม
๑๐.อำนาจพนักงานอัยการตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฏหมายวิธีพิจารณาความอาญา
-มีอำนาจโต้แย้งว่าการที่ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมจะทำให้คดีของพนักงานอัยการเสียหายโดยขอให้ศาลสั่งให้ผู้เสียหายกระทำหรืองดเว้นกระทำการใดๆก็ได้ ปวอ มาตรา ๓๒
-มีอำนาจฟ้องคดีในความผิดอาญาแผ่นดินที่ผู้เสียหายฟ้องคดีไว้แล้วได้ถอนฟ้อง ปวอ มาตรา ๓๖(๓)
-มีอำนาจโต้แย้งผู้เสียหายที่ร้องขอเข้ามาในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ว่าคำขอของผู้เสียหายไม่ใช่คำขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลยในคดีอาญา หรือคำร้องดังกล่าวขัดหรือแย้งคำฟ้องของพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๔๔/๑ วรรคสาม
-มีอำนาจร้องขอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยเห็นว่าไม่จำเป็นต้องขังไว้ระหว่างสอบสวน หรือยุติการสอบสวนแล้วโดยสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา ปวอ มาตรา ๗๒(๒)(๓)
-ในระหว่างสอบสวนหรือระหว่างพิจารณามีอำนาจร้องขอให้ขังผู้ต้องหาหรือจำเลยในสถานที่อื่นตามที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยร้องขอหรือตามที่ศาลเห็นสมควรนอกจากเรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๑
-เมื่อศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกแล้ว พนักงานอัยการร้องขอให้จำคุกในสถานที่อื่นที่ไม่ใช่เรือนจำหรือตามที่ศาลเห็นควรที่ไม่ใช่เรือนจำ ปวอ มาตรา ๘๙/๒
-ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ปล่อยตัวผู้ต้องขังหรือบุคคลอื่นที่ถูกคุมขังในคดีอาญาโดยไม่ชอบ ปวอ มาตรา ๙๐
-มีอำนาจ “งดการสอบสวน” หรือ “ ให้สอบสวนต่อไป” ในคดีที่พนักงานสอบสวนงดการสอบสวนทั้งคดีที่มีอัตราโทษจำคุดเกินกว่า ๓ ปี หรือต่ำกว่า ๓ ปี ที่พนักงานสอบสวนส่งสำนวนงดการสอบสวนเพราะไม่ปรากฏตัวผู้กระทำผิด ปวอ มาตรา ๑๔๐(๑)วรรคสาม
-กรณีรู้ตัวผู้กระทำผิด แต่ยังเรียกหรือจับตัวไม่ได้ที่ พนักงานสอบสวนมีความเห็น ควรสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องส่งไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา ปวอ มาตรา ๑๔๑ นั้น พนักงานอัยการหากเห็นว่าการสั่งไม่ฟ้องชอบแล้วก็จะ “ สั่ง”ไม่ฟ้อง แต่หากเห็นว่า ควรสอบสวนต่อไป ก็จะ “ สั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนต่อไป” ปวอ มาตรา ๑๔๑
-พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งฟ้องผู้ต้องหา เมื่อมีคำสั่งฟ้อง ก็เป็นหน้าที่พนักงานสอบสวนต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งให้ได้ตัวผู้ต้องหาเพื่อนำมาส่งพนักงานอัยการเพื่อยื่นฟ้องต่อศาลตาม ปวอ มาตรา ๑๔๑วรรคท้าย ,ภายในกำหนดอายุความคดีอาญา
-หากผู้ต้องหาถูกคุมขังหรือถูกควบคุมตัวหรือได้รับอนุญาตให้ประกันตัว เมื่อพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ควร” สั่งฟ้องให้พนักงานสอบสวนส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหาไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณา เว้นแต่ผู้ต้องหาถูกขังอยู่ ปวอ มาตรา๑๔๒วรรคสาม เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนมีอำนาจ “ สั่งฟ้อง” หรือ “ สั่งไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหา แยกได้ดังนี้คือ
ก.กรณีไม่เห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนที่สั่งไม่ฟ้องมา ก็ให้ “ สั่งฟ้อง” และแจ้งให้พนักงานสอบสวนส่งตัวผู้ต้องหามาเพื่อทำการฟ้องคดี ปวอ มาตรา ๑๔๓(๑)
ข. กรณีเห็นด้วยกับพนักงานสอบสวนที่สั่งไม่ฟ้องก็ให้ออกคำสั่ง “ ไม่ฟ้อง” แล้วส่งสำนวนไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๕ หรือผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตามปวอ มาตรา ๑๔๕/๑แล้วแต่กรณี
ค.กรณีพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ ควร” สั่งฟ้อง หากพนักงานอัยการเห็นด้วยก็จะออกคำสั่ง “ ฟ้อง” ผู้ต้องหา ปวอ มาตรา ๑๔๓(๒)
ง.กรณีพนักงานสอบสวนมีความเห็น “ ควร” สั่งฟ้อง มา หากพนักงานอัยการไม่เห็นด้วย อาจสั่ง “ สอบสวนเพิ่มเติม” ตาม ปวอ มาตรา ๑๔๓(ก) โดยให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเองหรือส่งพยานมาให้พนักงานอัยการทำการสอบสวน ทางปฏิบัติเพื่อกันปัญหาที่เกิดขึ้น พนักงานอัยการจะสอบพยานโดยให้พนักงานสอบสวนนั่งฟังด้วยแล้วให้พนักงานสอบสวนลงลายมือชื่อในบันทึกที่พนักงานอัยการทำการสอบปากคำพยาน เมื่อทำการสอบสวนเพิ่มเติมแล้วพนักงานอัยการ อาจมีคำสั่ง “ ฟ้อง” หรือ “ ไม่ฟ้อง” ผู้ต้องหา ตามปวอ มาตรา ๑๔๓(๒)
-สั่งให้พนักงานสอบสวนพยายามเปรียบเทียบปรับในคดีที่สามารถเปรียบเทียบปรับได้แทนการส่งสำนวนมายังพนักงานอัยการ ปวอ มาตรา ๑๔๔(๑)
-คดีที่เปรียบเทียบปรับได้ตาม ปวอ มาตรา ๓๗(๑)(๒)(๓)(๔) หากพนักงานสอบสวนส่งสำนวนมายังพนักงานอัยการ พนักงานอัยการมีอำนาจสั่งให้ส่งผู้ต้องหาพร้อมสำนวนการสอบสวนส่งกลับคืนไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อพยายามเปรียบเทียบปรับ ปวอ มาตรา ๑๔๔(๒)
-อัยการสูงสุดมีอำนาจฟ้องหรือไม่ฟ้องตามความเห็นแย้งของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้บังคับการตำรวจจังหวัดหรือผู้ว่าราชการจังหวัดกรณีที่มีความเห็นแย้งความเห็นของพนักงานอัยการที่สั่งไม่ฟ้อง ความเห็นของอัยการสูงสุดเป็นที่สุด
--อำนาจในการสั่งฟ้อง สั่งไม่ฟ้องหรือสอบสวนเพิ่มเติมเป็นอำนาจของพนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนมีอำนาจเพียงแค่สั่งว่า “ เห็นควรสั่งฟ้อง” หรือ “เห็นควรสั่งไม่ฟ้อง” เท่านั้น ไม่สามารถใช้คำว่า “ สั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง” คนที่มีอำนาจในการ “ สั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง” คือพนักงานอัยการ ดังนั้นการที่พนักงานสอบสวนให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์หรือสื่อทางโทรทัศน์ว่าส่งสำนวนให้อัยการฟ้องศาล จึงเป็นการกล่าวที่ผิดและเป็นการกล่าวล่วงอำนาจของพนักงานอัยการ สำนวนที่ตำรวจส่งมา อัยการฟ้องกี่เรื่อง ไม่ฟ้องกี่เรื่อง สั่งสอบสวนเพิ่มเติมกี่เรื่อง จึงไม่ใช่เป็นไปตามที่พนักงานสอบสวนให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆว่า “ ส่งสำนวนให้อัยการฟ้องศาล” ข้อความนี้เป็นข้อความที่กรรมการผู้สอบสัมภาษณ์ผมในการสอบปากเปล่าตอนสอบอัยการผู้ช่วยได้ถามผมเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๐
-มีอำนาจในการเข้าร่วมชันสูตรพลิกศพปวอ มาตรา ๑๕๐และให้คำแนะนำพนักงานสอบสวนตาม ปวอ มาตรา ๑๕๕/๑วรรคสอง
-มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อไต่สวนและทำคำสั่งว่าผุ้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ทำให้ตาย ปวอ มาตรา ๑๕๐
วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559
“เดือดร้อนรำคาญ”
๑.ทราบก่อนซื้อที่ดินว่าจำเลยจะปรับปรุงยกระดับถนน คาดหมายได้ว่าการยกระดับถนนอาจทำให้บ้านและที่ดินที่กำลังจะซื้อถูกถนนบังลมและแสงแดด เท่ากับยอมรับสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อเทียบประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้ความสะดวกความเจริญจากการยกระดับถนนที่อาจทำให้โจทก์อาจขาดความสะดวกไปบ้าง ความเสียหายที่เกิดไม่เกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมาย โจทก์ต้องยอมรับเอาเช่นดังบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกับโจทก์ในสังคมยอมรับการก่อสร้างปรับปุงยกระดับถนน จึงยังไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๔๐๑/๒๕๑๘
๒.การที่ไม่สามารถนำรถเข้าออกตึกแถวได้ ไม่ใช่กรณีเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนจากการใช้ที่สาธารณะ แต่การที่ไม่สามารถใช้ทางเดินเท้าอันเป็นที่สาธารณะเป็นทางเข้าออกของรถยนต์ เป็นการใช้สิทธิ์ในที่สาธารณะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปใช้อยู่ การสร้างสะพานลอยข้ามถนนในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์คนทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สิทธิ์ที่จะใช้ที่สาธารณะมากกว่าประชาชนคนอื่นหมดไปบ้าง แต่ยังไม่เป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมาย คำพิพากษาฏีกา ๔๒๒๔/๒๕๓๓๓
๓.กรณีได้รับความเดือดร้อนรำคาญหรือไม่เพียงใด ต้องถือตามความรู้สึกของบุคคลธรรมดา ที่ศาลชั้นต้นชี้ว่า เสียงและการสั่นสะเทือนจากการทุบทองคำเปลวที่ห้องจำเลยถึงขนาดเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร ก็อาศัยข้อมูลจากการเดินเผชิญสืบสถานที่พิพาทเป็นสำคัญ ทั้งนี้เป็นความรู้สึกของศาลชั้นต้นประกอบด้วยผู้พิพากษาสองนายที่เป็นคนธรรมดามีหน้าที่ให้ความเที่ยงธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีทั้งปวง มีน้ำหนักรับฟังได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๓๒๙/๒๕๒๔
๔.สร้างบ้านในกรุงเทพอันเป็นเมืองหลวงมีประชากรหนาแน่น มีอาคารบ้านเรือนตึกพาณิชย์อยู่กันหนาแน่น ใกล้ถนนรัชดาภิเษกตัดถนนลาดพร้าวเป็นย่านที่มีความเจริญ มีที่ว่างที่ดินน้อยและราคาแพง จึงต้องมีการก่อสร้างสูงเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด การที่ปลูกบ้านในละแวกดังกล่าวย่อมคาดหมายได้ว่าอาจมีผู้ปลูกอาคารสูงใกล้บ้านบังลมแสงแดดและทัศนียภาพ อันเป็นไปตามปกติและตามสมควร แม้จะก่อสร้างอาคารผนังทึบไม่มีช่องระบายลม แต่กระแสลมและแสงสว่างยังคงพัดผ่านและส่องมาที่บ้านได้พอสมควร ประกอบทั้งโจทก์ก็ติดเครื่องปรับอากาศอยู่แล้ว เพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในกรุงเทพ เพื่อความสะดวกของโจทก์เอง หาใช่การก่อสร้างของจำเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวไม่ การที่สร้างอาคารสูงบังบ้านโจทก์หาเป็นการใช้สิทธ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ เพราะเพราะกรณีตามปพพ มาตรา ๔๒๑ ต้องเป็นการแกล้งโดยมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาของสิทธิ์นั้น แม้ผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้างก็ไม่เป็นการละเมิด เมื่อไม่ปรากฏว่าการก่อสร้างอาคารได้กระทำโดยการกลั่นแกล้งโดยมุ่งความเสียหายแก่โจทก์ฝ่ายเดียว การใช้สิทธิ์ในการก่อสร้างและดัดแปลงอาคาร ถือไม่ได้ว่าเป็นการอันไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่จะรื้อถอนอาคารและกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้สอยอาคารของโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๓๘๑๕/๒๕๔๐
๕.ปลูกเรือนในคันคลองที่สาธารณะอันเป็นสาธารณะอันเป็นสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันบังหน้าดินของโจทก์ที่โจทก์จะปลูกบ้านจัดสรรในที่ดินของโจทก์ โจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยหน้าดินยังว่างไม่มีสิ่งใดปิดกั้นถึง ๑๐๐ เมตร ถือไม่ได้ว่าเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษไม่มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนเรือนออกไป คำพิพากษาฏีกา ๕๔๗/๒๕๒๕
๖.จอดเรือในคลองห่างที่ดินโจทก์ ๑๘ เมตรเศษ และมีเรือจอดก่อนที่โจทก์จะมาปลูกบ้านในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ใช้คลองได้สะดวกเพราะมีสะพานท่าเทียบเรือสาธารณะติดกับหน้าที่ดินโจทก์ จำเลยหาได้จอดเรือปิดหน้าที่ดินโจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิ์เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายเป็นพิเศษไม่ คำพิพากษาฏีกา ๓๕๗๘/๒๕๓๒
๗.การที่เดือดร้อนถึงกับจะใช้สิทธิ์เพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไป ต้องได้ความว่าเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร บ้านและที่ดินตั้งอยู่ในช่วงติดต่อระหว่างถนนกับซอยซึ่งมีระดับต่างกันมาก หากไม่ทำถนนเชื่อมต่อกัน ชาวบ้านรวมทั้งโจทก์ จำเลยก็ไม่อาจใช้ซอยต่อไปยังถนนได้ เมื่อพิจารณาตำแหน่งบ้านและที่ดินโจทก์ประกอบกับสภาพถนนและซอยแล้ว กำแพงถนนไม่ได้ปิดกั้นหน้าบ้านโจทก์และอยู่ห่างบ้านโจทก์ ๓ เมตร ไม่ถือเดือดร้อนเกินควรจนไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติอันควรสำหรับสภาพและท้องที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๔๑๔/๒๕๓๔
๘.ปลูกบ้านในที่ริมตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ไม่ได้รุกล้ำไปในที่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ทำเขื่อนกั้นน้ำในที่ดินที่จำเลยปลูกบ้าน แต่มีสิทธิ์ทำเขื่อนในที่ดินในแนวเขตโจทก์ ทั้งยังมีทางอื่นที่สามารถลงสู่คลองได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตรงที่จำเลยปลูกบ้าน ไม่ได้เสียหายเป็นพิเศษ คำพิพากษาฏีกา ๓๑๔๓/๒๕๒๔,๖๑๑/๒๕๐๗,๒๕๙๖/๒๕๑๙,๒๕๗๒/๒๕๒๐,๖๓๗/๒๕๒๓,๒๗๕/๒๕๒๔,๓๔๒๔/๒๕๓๓
๙.สร้างคอกวัวและกองฟางไว้ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินโจทก์ยาว ๑๐ วา เหลือช่องให้โจทก์เข้าออกถนนได้ ๒ วา ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินมีความยาว ๑๒ วา เข้าออกถนนได้ตามสิทธิ์ของโจทก์ การใช้สิทธิ์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะได้เป็นไปตามปกติ โจทก์มีสิทธิ์ดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นสิ้นไป มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางออกไปได้ คำพิพากษาฏีกา๖๕๓//๒๕๓๙
๑๐.แม้โรงเรือนจำเลยไม่บังที่ดินโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกในที่ชายตลิ่งด้านที่ดินโจทก์ติดริมคลอง กีดกั้นระหว่างที่ดินโจทก์กับคลอง ทำให้ที่ดินโจทก์ด้านนั้นถูกลิดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์มีสิทธิ์ให้รื้อถอนโรงเรือนได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๐๓๕/๒๕๐๖
๑๑.จำเลยปลูกบ้านที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินโจทก์ บังที่ดินโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย ไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ดินชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นได้ต่อไป ถือได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนเรือนให้พ้นหน้าที่ดินเพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตในที่ดินของโจทก์อีกแปลงซึ่งอยู่ติดกันโดยโจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองได้สะดวกโจทก์ไม่เสียหายหาได้ไม่ ปพพ มาตรา ๑๓๓๗คุ้มคลองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน)แต่ละแปลงไป คำพิพากษาฏีกา ๒๐๗๒/๒๕๑๗
ข้อสังเกต ๑.กรณีที่มีบุคคลใดใช้สิทธิ์ของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุผลอันควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินมาคำนึงประกอบ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป ทั้งไม่ลบล้างที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทน ปพพ มาตรา ๑๓๓๗
๒.การใช้สิทธิ์ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นเป็นการอันไม่ชอบ ปพพ มาตรา ๔๒๑
๓. การใช้สิทธิ์แห่งตน หรือในการชำระหนี้ ต้องกระทำโดยสุจริต ปพพ มาตรา ๕
๔.ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ปพพ มาตรา ๖
๕.การที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิ์ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปจากการที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นใช้สิทธิ์ของเขาเป็นเหตุให้เราเดือดร้อนเสียหายนั้น ต้องเป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันสมควร มีคำพิพากษาฏีกาที่๑๖๔๒/๒๕๐๖,๗๐๒/๒๕๐๗,๖๔๗/๒๕๑๓,๒๐๗๒/๒๕๑๗,๑๕๙๘/๒๕๒๓,๑๐๑๑/๒๕๒๔,๔๔๓๓/๒๕๓๓,๑๑๘๑/๒๕๓๘ วินิจฉัยว่าต้องเป็นความเสียหายที่ “ เป็นพิเศษ” จึงจะเป็นการเดือดร้อนรำคาญ หากไม่เสียหายเป็นพิเศษก็ไม่ใช่การเดือดร้อนรำคาญ (คำพิพากษาฏีกา ๖๑๑/๒๕๐๗,๒๕๙๖/๒๕๑๙,๒๕๗๒/๒๕๒๐,๓๑๔๓/๒๕๒๔,๕๔๗/๒๕๒๕,๒๙๘๑/๒๕๒๘,๓๕๗๘/๒๕๓๒,๒๙๒๐/๒๕๓๗ ดังนั้นการขาดความสะดวกสบายไปบ้างยังไม่ถือเป็นความเสียหายพิเศษ
๖.รู้อยู่แล้วก่อนซื้อที่ดินว่าจะมีการทำถนนซึ่งอาจทำให้ตนไม่ได้รับความสะดวกสบายบ้างที่ถนนอาจปิดกั้นแสงแดดหรือแรงลม แต่ก็ยังซื้อ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าจึงถือไม่ได้ว่าได้รับความเสียหายเกินกว่าที่ควรคาดหมายได้ อีกทั้งก็ยังมีผู้อื่นในละแวกเดียวกันต้องรับผลดังกล่าวด้วย แต่ประชาชนดังกล่าวสามารถอยู่ได้ นั้นก็คือการดูความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษต้องดูคนอื่นในสถานที่ใกล้เคียงกันว่าสามารถอยู่ได้ด้วยหรือไม่ อีกทั้งการสร้างทางก็เป็นประโยชน์แก่คนโดยส่วนรวม แม้จะมีใครต้องเสียความสะดวกสบายไปบ้างแต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแล้วทุกคนต้องร่วมรับในผลนั้น ถือไม่ได้ว่าได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษ
๗.แต่หากข้อเท็จจริงเป็นว่า มีการสร้างถนนในภายหลังคำวินิจฉัยของศาลอาจเปลี่ยนหรืออาจเหมือนเดิมก็ได้ โดยศาลอาจมองว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เราอาจต้องสละอะไรบางส่วนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งเราเองก็ได้ประโยชน์จากการสร้างถนนนั้นด้วย
๘..การที่เคยใช้ทางเท้าอันเป็นที่สาธารณะเป็นทางเข้าออกของรถยนต์ เป็นการใช้สิทธิ์ในที่สาธารณะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปใช้อยู่ ทั้งเป็นความผิดตามกฎหมายที่ห้ามไม่ให้รถทุกชนิดใช้ทางเท้าเป็นเส้นทางเดินรถ การสร้างสะพานลอยข้ามถนนในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์คนทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สิทธิ์ที่จะใช้ที่สาธารณะมากกว่าประชาชนคนอื่นหมดไปบ้าง แต่ยังไม่เป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมาย นั้นก็คือศาลคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าที่จะคำนึงประโยชน์ส่วนบุคคล อีกทั้งการใช้ประโยชน์ส่วนบุคคลในทางเท้าที่สาธารณะก็เป็นการเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีการสร้างสะพานลอยอาจขวางหน้าบ้านหรือก่อความไม่สะดวกแก่เจ้าของบ้านก็ตาม ก็ยังไม่ถือเป็นความเสียหายเป็นพิเศษ
๙.ผู้พิพากษาในฐานะบุคคลธรรมดาเมื่อเดินเผชิญสืบที่เกิดเหตุย่อมใช้ความรู้สึกส่วนตัวในฐานะเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งว่า หากต้องตกอยู่ในสภาพนี้จะได้รับความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถทนได้หรือไม่ นั้นก็คือ กรณีได้รับความเดือดร้อนรำคาญหรือไม่เพียงใด ต้องถือตามความรู้สึกของบุคคลธรรมดา การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เสียงและการสั่นสะเทือนจากการทุบทองคำเปลวที่ห้องจำเลยถึงขนาดเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร โดยอาศัยข้อมูลจากการเดินเผชิญสืบสถานที่พิพาทเป็นสำคัญ อันเป็นความรู้สึกของศาลชั้นต้นประกอบด้วยผู้พิพากษาสองนายในฐานะที่เป็นคนธรรมดามีหน้าที่ให้ความเที่ยงธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีทั้งปวง มีน้ำหนักรับฟังได้
๑๐.ความเสียหายเดือดร้อนรำคาญหรือไม่ พิจารณาจากคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงมีความรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่เอาความรู้สึกโจทก์มาเป็นเกณฑ์ นั้นคือเอาวิญญูชนมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ทั้งอาจต้องพิจารณาจากสภาพตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์นั้นด้วย เช่นอยู่ในย่านชนบท หรือในเมืองหลวง ในย่านอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม ผู้ที่อ้างว่าได้รับความเดือดร้อนรำคาญนั้นรู้อยู่ก่อนหรือไม่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นแบบนั้นมีเสียง มีกลิ่น มีควันก็ยังย้ายเข้ามาอยู่ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่เป็นไปตามธรรมดาที่มีมาก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ หรือสภาพแวดล้อมเพิ่งเปลี่ยนไปทีหลังจากที่เราเข้ามาอยู่ และต้องคำนึงถึงสถานที่ตั้งของผู้ได้รับความเสียหาย อยู่ใกล้ไกลจากสถานที่ตั้งของผู้ก่อให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด ยิ่งไกลผลกระทบยิ่งมีน้อยหรือไม่มีเลย ทั้งต้องดูว่าการใช้สิทธิ์ของบุคคลภายนอกนั้นส่งผลกระทบแก่เรามากน้อยเพียงใด ส่งผลกระทบอย่างไร เรายังมีทางอื่นที่สามารถกระทำได้หรือไม่อย่างไร เช่นสร้างบ้านปิดทาง แต่ยังมีทางเข้าออกอื่นที่สามารถเข้าออกได้หรือไม่อย่างไร บางครั้งอาจต้องดูประเพณีและธรรมเนียมที่กระทำกัน เช่น มีหลุมฝังศพคนตายในบริเวณบ้าน แม้ห่าง ๑๐ เมตร แต่ก็เป็นที่หวาดกลัวและกดดันทางจิตใจ ไม่มีใครเขาเอาศพมาเก็บไว้ในบ้าน ย่อมเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป ทั้งเกิดความน่ากลัว ถือเป็นความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษได้
๑๑.การปลูกบ้านในเมืองหลวงมีข้อควรพิจารณาคือ
๑๑.๑บ้านในกรุงเทพอันเป็นเมืองหลวงมีประชากรหนาแน่น มีอาคารบ้านเรือนตึกพาณิชย์อยู่กันหนาแน่น
๑๑.๒บ้านที่อยู่ใกล้ถนนเป็นย่านที่มีความเจริญ
๑๑.๓เมื่อมีที่ว่างของที่ดินน้อย ที่ดินจึงมีราคาแพง จึงต้องมีการก่อสร้างสูงเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
๑๑.๔ การที่ปลูกบ้านในละแวกดังกล่าวย่อมคาดหมายได้ว่าอาจมีผู้ปลูกอาคารสูงใกล้บ้านบังลมแสงแดดและทัศนียภาพ อันเป็นไปตามปกติและตามสมควร หรือบ้านที่ปลูกทีหลังจะถมดินให้สูงกว่าบ้านเราเพื่อไม่ให้น้ำท่วมในที่ดินของเขา
๑๑.๕ อีกทั้งการก่อสร้างดังกล่าวยังต้องได้รับการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะอนุญาตให้สร้างอาคารได้ ซึ่งการจะอนุญาตหรือไม่นั้นเป็นไปตามที่กฏหมายกำหนดไว้
๑๑.๖ แม้จะก่อสร้างอาคารจะมีผนังทึบไม่มีช่องระบายลม แต่กระแสลมและแสงสว่างยังคงพัดผ่านและส่องมาที่บ้านได้พอสมควร หาใช่ปิดกั้นทึบจนไม่มีลมไม่มีแดด
๑๑.๗ประกอบทั้งโจทก์ก็ติดเครื่องปรับอากาศเพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในกรุงเทพ เพื่อความสะดวกของโจทก์เอง ทำให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้สนใจต่ออากาศตามธรรมชาติ แม้จะมีลมหรือไม่มีลมก็ไม่ใช่สาระสำคัญ หาใช่การก่อสร้างของจำเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวไม่
๑๑.๘การที่สร้างอาคารสูงในกรุงเทพที่ไม่ขัดต่อเทศบัญยัติหรือกฏหมายอื่นใดที่จำกัดความสูงของอาคารไว้บังบ้านโจทก์หาเป็นการใช้สิทธ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ เพราะเพราะกรณีตามปพพ มาตรา ๔๒๑ ต้องเป็นการแกล้งโดยมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาของสิทธิ์นั้น แม้ผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้างก็ไม่เป็นการละเมิด
๑๑.๙เมื่อไม่ปรากฏว่าการก่อสร้างอาคารได้กระทำโดยการกลั่นแกล้งโดยมุ่งความเสียหายแก่โจทก์ฝ่ายเดียว การใช้สิทธิ์ในการก่อสร้างและดัดแปลงอาคาร ถือไม่ได้ว่าเป็นการอันไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่จะรื้อถอนอาคารและกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้สอยอาคารของโจทก์
๑๒.คันคลองที่สาธารณะอันเป็นสาธารณะอันเป็นสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ปพพ มาตรา ๑๓๐๔(๒) การที่จำเลยปลูกเรือนที่คันคลองสาธารณะบังหน้าดินของโจทก์ที่โจทก์จะปลูกบ้านจัดสรรในที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยหน้าดินยังว่างไม่มีสิ่งใดปิดกั้นถึง ๑๐๐ เมตร แม้การที่จำเลยสร้างเรือนบังหน้าที่ดินของโจทก์แม้จะทำให้บรรยากาศในการมองเสียไปบ้าง อาจมีการปิดกั้นสายลมและแสงแดดไปบ้าง แต่เมื่อยังมีที่ว่างตั้ง ๑๐๐ เมตร ทั้งที่ดังกล่าวก็เป็นคันคลองสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปทั้งโจทก์และจำเลยใช้ร่วมกัน จึงถือไม่ได้ว่าเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษไม่มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนเรือนออกไป
๑๓.จอดเรือในคลองห่างที่ดินโจทก์ ๑๘ เมตรเศษ และมีเรือจอดก่อนที่โจทก์จะมาปลูกบ้านในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วก่อนที่จะมาปลุกบ้านว่ามีเรือจอดอยู่บริเวณนี้อยู่แล้ว การที่โจทก์มาปลูกบ้านเท่ากับต้องยอมรับว่า ตนอาจไม่ได้รับความสะดวกสบายเพราะมีเรือจอดอยู่ อีกทั้งโจทก์ยังสามารถใช้คลองได้สะดวกเพราะมีสะพานท่าเทียบเรือสาธารณะติดกับหน้าที่ดินโจทก์สามารถสัญจรไปมาได้ จำเลยหาได้จอดเรือปิดหน้าที่ดินโจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิ์เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายเป็นพิเศษไม่
๑๔.การที่เดือดร้อนถึงกับจะใช้สิทธิ์เพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไป ต้องได้ความว่าเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร บ้านและที่ดินตั้งอยู่ในช่วงติดต่อระหว่างถนนกับซอยซึ่งมีระดับต่างกันมาก หากไม่ทำถนนเชื่อมต่อกัน ชาวบ้านรวมทั้งโจทก์ จำเลยก็ไม่อาจใช้ซอยต่อไปยังถนนได้ เมื่อพิจารณาตำแหน่งบ้านและที่ดินโจทก์ประกอบกับสภาพถนนและซอยแล้ว กำแพงถนนไม่ได้ปิดกั้นหน้าบ้านโจทก์และอยู่ห่างบ้านโจทก์ ๓ เมตร ไม่ถือเดือดร้อนเกินควรจนไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติอันควรสำหรับสภาพและท้องที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้
๑๕.ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ใครหาอาจอ้างสิทธิ์ใช้ยันรัฐได้ แต่ระหว่างราษฏร์ด้วยกันใครเข้าครอบครองใช้สิทธิ์ก่อนย่อมมีสิทธิ์ดีกว่าผู้เข้าครอบครองที่หลัง ดังนั้นแม้จำเลยจะปลูกบ้านในที่ริมตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อไม่ได้รุกล้ำไปในที่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ทำเขื่อนกั้นน้ำในที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านแม้ที่ดินดังกล่าวจะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน แต่โจทก์มีสิทธิ์ทำเขื่อนในที่ดินในแนวเขตโจทก์ อีกทั้งยังโจทก์มีทางอื่นที่สามารถลงสู่คลองได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตรงที่จำเลยปลูกบ้าน ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เสียหายเป็นพิเศษที่จะมีสิทธิ์ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายนั้นได้
๑๖.สร้างคอกวัวและกองฟางไว้ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินโจทก์ยาว ๑๐ วา เหลือช่องให้โจทก์เข้าออกถนนได้ ๒ วา ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินอันเป็นทางสาธารณะมีความยาว ๑๒ วา เข้าออกถนนได้ตามสิทธิ์ของโจทก์ ถือว่าระยะ ๑๒ วามีความยาวพอสมควร การสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่สาธารณะจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ตามปกติ การใช้สิทธิ์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะได้เป็นไปตามปกติ โจทก์มีสิทธิ์ดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นสิ้นไป มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางออกไปได้
๑๗.แม้โรงเรือนจำเลยไม่บังที่ดินโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกในที่ชายตลิ่งด้านที่ดินโจทก์ติดริมคลอง กีดกั้นระหว่างที่ดินโจทก์กับคลอง ทำให้ที่ดินโจทก์ด้านนั้นถูกลิดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์มีสิทธิ์ให้รื้อถอนโรงเรือนได้
๑๘.จำเลยปลูกบ้านที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหน้าที่ดินโจทก์ บังที่ดินโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย ไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ดินชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นได้ต่อไป เมื่อไม่สามารถใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่เคยได้รับถือได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนเรือนให้พ้นหน้าที่ดินเพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตในที่ดินของโจทก์อีกแปลงซึ่งอยู่ติดกันโดยโจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองได้สะดวกโจทก์ไม่เสียหายหาได้ไม่ ปพพ มาตรา ๑๓๓๗คุ้มคลองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน)แต่ละแปลงไปหาใช่คุ้มครองที่ดินหลายแปลงที่อยู่ติดกันไม่
๒.การที่ไม่สามารถนำรถเข้าออกตึกแถวได้ ไม่ใช่กรณีเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนจากการใช้ที่สาธารณะ แต่การที่ไม่สามารถใช้ทางเดินเท้าอันเป็นที่สาธารณะเป็นทางเข้าออกของรถยนต์ เป็นการใช้สิทธิ์ในที่สาธารณะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปใช้อยู่ การสร้างสะพานลอยข้ามถนนในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์คนทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สิทธิ์ที่จะใช้ที่สาธารณะมากกว่าประชาชนคนอื่นหมดไปบ้าง แต่ยังไม่เป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมาย คำพิพากษาฏีกา ๔๒๒๔/๒๕๓๓๓
๓.กรณีได้รับความเดือดร้อนรำคาญหรือไม่เพียงใด ต้องถือตามความรู้สึกของบุคคลธรรมดา ที่ศาลชั้นต้นชี้ว่า เสียงและการสั่นสะเทือนจากการทุบทองคำเปลวที่ห้องจำเลยถึงขนาดเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร ก็อาศัยข้อมูลจากการเดินเผชิญสืบสถานที่พิพาทเป็นสำคัญ ทั้งนี้เป็นความรู้สึกของศาลชั้นต้นประกอบด้วยผู้พิพากษาสองนายที่เป็นคนธรรมดามีหน้าที่ให้ความเที่ยงธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีทั้งปวง มีน้ำหนักรับฟังได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๓๒๙/๒๕๒๔
๔.สร้างบ้านในกรุงเทพอันเป็นเมืองหลวงมีประชากรหนาแน่น มีอาคารบ้านเรือนตึกพาณิชย์อยู่กันหนาแน่น ใกล้ถนนรัชดาภิเษกตัดถนนลาดพร้าวเป็นย่านที่มีความเจริญ มีที่ว่างที่ดินน้อยและราคาแพง จึงต้องมีการก่อสร้างสูงเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด การที่ปลูกบ้านในละแวกดังกล่าวย่อมคาดหมายได้ว่าอาจมีผู้ปลูกอาคารสูงใกล้บ้านบังลมแสงแดดและทัศนียภาพ อันเป็นไปตามปกติและตามสมควร แม้จะก่อสร้างอาคารผนังทึบไม่มีช่องระบายลม แต่กระแสลมและแสงสว่างยังคงพัดผ่านและส่องมาที่บ้านได้พอสมควร ประกอบทั้งโจทก์ก็ติดเครื่องปรับอากาศอยู่แล้ว เพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในกรุงเทพ เพื่อความสะดวกของโจทก์เอง หาใช่การก่อสร้างของจำเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวไม่ การที่สร้างอาคารสูงบังบ้านโจทก์หาเป็นการใช้สิทธ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ เพราะเพราะกรณีตามปพพ มาตรา ๔๒๑ ต้องเป็นการแกล้งโดยมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาของสิทธิ์นั้น แม้ผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้างก็ไม่เป็นการละเมิด เมื่อไม่ปรากฏว่าการก่อสร้างอาคารได้กระทำโดยการกลั่นแกล้งโดยมุ่งความเสียหายแก่โจทก์ฝ่ายเดียว การใช้สิทธิ์ในการก่อสร้างและดัดแปลงอาคาร ถือไม่ได้ว่าเป็นการอันไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่จะรื้อถอนอาคารและกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้สอยอาคารของโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๓๘๑๕/๒๕๔๐
๕.ปลูกเรือนในคันคลองที่สาธารณะอันเป็นสาธารณะอันเป็นสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันบังหน้าดินของโจทก์ที่โจทก์จะปลูกบ้านจัดสรรในที่ดินของโจทก์ โจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยหน้าดินยังว่างไม่มีสิ่งใดปิดกั้นถึง ๑๐๐ เมตร ถือไม่ได้ว่าเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษไม่มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนเรือนออกไป คำพิพากษาฏีกา ๕๔๗/๒๕๒๕
๖.จอดเรือในคลองห่างที่ดินโจทก์ ๑๘ เมตรเศษ และมีเรือจอดก่อนที่โจทก์จะมาปลูกบ้านในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ใช้คลองได้สะดวกเพราะมีสะพานท่าเทียบเรือสาธารณะติดกับหน้าที่ดินโจทก์ จำเลยหาได้จอดเรือปิดหน้าที่ดินโจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิ์เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายเป็นพิเศษไม่ คำพิพากษาฏีกา ๓๕๗๘/๒๕๓๒
๗.การที่เดือดร้อนถึงกับจะใช้สิทธิ์เพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไป ต้องได้ความว่าเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร บ้านและที่ดินตั้งอยู่ในช่วงติดต่อระหว่างถนนกับซอยซึ่งมีระดับต่างกันมาก หากไม่ทำถนนเชื่อมต่อกัน ชาวบ้านรวมทั้งโจทก์ จำเลยก็ไม่อาจใช้ซอยต่อไปยังถนนได้ เมื่อพิจารณาตำแหน่งบ้านและที่ดินโจทก์ประกอบกับสภาพถนนและซอยแล้ว กำแพงถนนไม่ได้ปิดกั้นหน้าบ้านโจทก์และอยู่ห่างบ้านโจทก์ ๓ เมตร ไม่ถือเดือดร้อนเกินควรจนไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติอันควรสำหรับสภาพและท้องที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๔๑๔/๒๕๓๔
๘.ปลูกบ้านในที่ริมตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ไม่ได้รุกล้ำไปในที่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ทำเขื่อนกั้นน้ำในที่ดินที่จำเลยปลูกบ้าน แต่มีสิทธิ์ทำเขื่อนในที่ดินในแนวเขตโจทก์ ทั้งยังมีทางอื่นที่สามารถลงสู่คลองได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตรงที่จำเลยปลูกบ้าน ไม่ได้เสียหายเป็นพิเศษ คำพิพากษาฏีกา ๓๑๔๓/๒๕๒๔,๖๑๑/๒๕๐๗,๒๕๙๖/๒๕๑๙,๒๕๗๒/๒๕๒๐,๖๓๗/๒๕๒๓,๒๗๕/๒๕๒๔,๓๔๒๔/๒๕๓๓
๙.สร้างคอกวัวและกองฟางไว้ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินโจทก์ยาว ๑๐ วา เหลือช่องให้โจทก์เข้าออกถนนได้ ๒ วา ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินมีความยาว ๑๒ วา เข้าออกถนนได้ตามสิทธิ์ของโจทก์ การใช้สิทธิ์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะได้เป็นไปตามปกติ โจทก์มีสิทธิ์ดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นสิ้นไป มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางออกไปได้ คำพิพากษาฏีกา๖๕๓//๒๕๓๙
๑๐.แม้โรงเรือนจำเลยไม่บังที่ดินโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกในที่ชายตลิ่งด้านที่ดินโจทก์ติดริมคลอง กีดกั้นระหว่างที่ดินโจทก์กับคลอง ทำให้ที่ดินโจทก์ด้านนั้นถูกลิดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์มีสิทธิ์ให้รื้อถอนโรงเรือนได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๐๓๕/๒๕๐๖
๑๑.จำเลยปลูกบ้านที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินโจทก์ บังที่ดินโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย ไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ดินชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นได้ต่อไป ถือได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนเรือนให้พ้นหน้าที่ดินเพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตในที่ดินของโจทก์อีกแปลงซึ่งอยู่ติดกันโดยโจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองได้สะดวกโจทก์ไม่เสียหายหาได้ไม่ ปพพ มาตรา ๑๓๓๗คุ้มคลองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน)แต่ละแปลงไป คำพิพากษาฏีกา ๒๐๗๒/๒๕๑๗
ข้อสังเกต ๑.กรณีที่มีบุคคลใดใช้สิทธิ์ของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุผลอันควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินมาคำนึงประกอบ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป ทั้งไม่ลบล้างที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทน ปพพ มาตรา ๑๓๓๗
๒.การใช้สิทธิ์ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นเป็นการอันไม่ชอบ ปพพ มาตรา ๔๒๑
๓. การใช้สิทธิ์แห่งตน หรือในการชำระหนี้ ต้องกระทำโดยสุจริต ปพพ มาตรา ๕
๔.ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ปพพ มาตรา ๖
๕.การที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิ์ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปจากการที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นใช้สิทธิ์ของเขาเป็นเหตุให้เราเดือดร้อนเสียหายนั้น ต้องเป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันสมควร มีคำพิพากษาฏีกาที่๑๖๔๒/๒๕๐๖,๗๐๒/๒๕๐๗,๖๔๗/๒๕๑๓,๒๐๗๒/๒๕๑๗,๑๕๙๘/๒๕๒๓,๑๐๑๑/๒๕๒๔,๔๔๓๓/๒๕๓๓,๑๑๘๑/๒๕๓๘ วินิจฉัยว่าต้องเป็นความเสียหายที่ “ เป็นพิเศษ” จึงจะเป็นการเดือดร้อนรำคาญ หากไม่เสียหายเป็นพิเศษก็ไม่ใช่การเดือดร้อนรำคาญ (คำพิพากษาฏีกา ๖๑๑/๒๕๐๗,๒๕๙๖/๒๕๑๙,๒๕๗๒/๒๕๒๐,๓๑๔๓/๒๕๒๔,๕๔๗/๒๕๒๕,๒๙๘๑/๒๕๒๘,๓๕๗๘/๒๕๓๒,๒๙๒๐/๒๕๓๗ ดังนั้นการขาดความสะดวกสบายไปบ้างยังไม่ถือเป็นความเสียหายพิเศษ
๖.รู้อยู่แล้วก่อนซื้อที่ดินว่าจะมีการทำถนนซึ่งอาจทำให้ตนไม่ได้รับความสะดวกสบายบ้างที่ถนนอาจปิดกั้นแสงแดดหรือแรงลม แต่ก็ยังซื้อ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าจึงถือไม่ได้ว่าได้รับความเสียหายเกินกว่าที่ควรคาดหมายได้ อีกทั้งก็ยังมีผู้อื่นในละแวกเดียวกันต้องรับผลดังกล่าวด้วย แต่ประชาชนดังกล่าวสามารถอยู่ได้ นั้นก็คือการดูความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษต้องดูคนอื่นในสถานที่ใกล้เคียงกันว่าสามารถอยู่ได้ด้วยหรือไม่ อีกทั้งการสร้างทางก็เป็นประโยชน์แก่คนโดยส่วนรวม แม้จะมีใครต้องเสียความสะดวกสบายไปบ้างแต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแล้วทุกคนต้องร่วมรับในผลนั้น ถือไม่ได้ว่าได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษ
๗.แต่หากข้อเท็จจริงเป็นว่า มีการสร้างถนนในภายหลังคำวินิจฉัยของศาลอาจเปลี่ยนหรืออาจเหมือนเดิมก็ได้ โดยศาลอาจมองว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เราอาจต้องสละอะไรบางส่วนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งเราเองก็ได้ประโยชน์จากการสร้างถนนนั้นด้วย
๘..การที่เคยใช้ทางเท้าอันเป็นที่สาธารณะเป็นทางเข้าออกของรถยนต์ เป็นการใช้สิทธิ์ในที่สาธารณะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปใช้อยู่ ทั้งเป็นความผิดตามกฎหมายที่ห้ามไม่ให้รถทุกชนิดใช้ทางเท้าเป็นเส้นทางเดินรถ การสร้างสะพานลอยข้ามถนนในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์คนทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สิทธิ์ที่จะใช้ที่สาธารณะมากกว่าประชาชนคนอื่นหมดไปบ้าง แต่ยังไม่เป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมาย นั้นก็คือศาลคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าที่จะคำนึงประโยชน์ส่วนบุคคล อีกทั้งการใช้ประโยชน์ส่วนบุคคลในทางเท้าที่สาธารณะก็เป็นการเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีการสร้างสะพานลอยอาจขวางหน้าบ้านหรือก่อความไม่สะดวกแก่เจ้าของบ้านก็ตาม ก็ยังไม่ถือเป็นความเสียหายเป็นพิเศษ
๙.ผู้พิพากษาในฐานะบุคคลธรรมดาเมื่อเดินเผชิญสืบที่เกิดเหตุย่อมใช้ความรู้สึกส่วนตัวในฐานะเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งว่า หากต้องตกอยู่ในสภาพนี้จะได้รับความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถทนได้หรือไม่ นั้นก็คือ กรณีได้รับความเดือดร้อนรำคาญหรือไม่เพียงใด ต้องถือตามความรู้สึกของบุคคลธรรมดา การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เสียงและการสั่นสะเทือนจากการทุบทองคำเปลวที่ห้องจำเลยถึงขนาดเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร โดยอาศัยข้อมูลจากการเดินเผชิญสืบสถานที่พิพาทเป็นสำคัญ อันเป็นความรู้สึกของศาลชั้นต้นประกอบด้วยผู้พิพากษาสองนายในฐานะที่เป็นคนธรรมดามีหน้าที่ให้ความเที่ยงธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีทั้งปวง มีน้ำหนักรับฟังได้
๑๐.ความเสียหายเดือดร้อนรำคาญหรือไม่ พิจารณาจากคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงมีความรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่เอาความรู้สึกโจทก์มาเป็นเกณฑ์ นั้นคือเอาวิญญูชนมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ทั้งอาจต้องพิจารณาจากสภาพตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์นั้นด้วย เช่นอยู่ในย่านชนบท หรือในเมืองหลวง ในย่านอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม ผู้ที่อ้างว่าได้รับความเดือดร้อนรำคาญนั้นรู้อยู่ก่อนหรือไม่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นแบบนั้นมีเสียง มีกลิ่น มีควันก็ยังย้ายเข้ามาอยู่ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่เป็นไปตามธรรมดาที่มีมาก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ หรือสภาพแวดล้อมเพิ่งเปลี่ยนไปทีหลังจากที่เราเข้ามาอยู่ และต้องคำนึงถึงสถานที่ตั้งของผู้ได้รับความเสียหาย อยู่ใกล้ไกลจากสถานที่ตั้งของผู้ก่อให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด ยิ่งไกลผลกระทบยิ่งมีน้อยหรือไม่มีเลย ทั้งต้องดูว่าการใช้สิทธิ์ของบุคคลภายนอกนั้นส่งผลกระทบแก่เรามากน้อยเพียงใด ส่งผลกระทบอย่างไร เรายังมีทางอื่นที่สามารถกระทำได้หรือไม่อย่างไร เช่นสร้างบ้านปิดทาง แต่ยังมีทางเข้าออกอื่นที่สามารถเข้าออกได้หรือไม่อย่างไร บางครั้งอาจต้องดูประเพณีและธรรมเนียมที่กระทำกัน เช่น มีหลุมฝังศพคนตายในบริเวณบ้าน แม้ห่าง ๑๐ เมตร แต่ก็เป็นที่หวาดกลัวและกดดันทางจิตใจ ไม่มีใครเขาเอาศพมาเก็บไว้ในบ้าน ย่อมเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป ทั้งเกิดความน่ากลัว ถือเป็นความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษได้
๑๑.การปลูกบ้านในเมืองหลวงมีข้อควรพิจารณาคือ
๑๑.๑บ้านในกรุงเทพอันเป็นเมืองหลวงมีประชากรหนาแน่น มีอาคารบ้านเรือนตึกพาณิชย์อยู่กันหนาแน่น
๑๑.๒บ้านที่อยู่ใกล้ถนนเป็นย่านที่มีความเจริญ
๑๑.๓เมื่อมีที่ว่างของที่ดินน้อย ที่ดินจึงมีราคาแพง จึงต้องมีการก่อสร้างสูงเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
๑๑.๔ การที่ปลูกบ้านในละแวกดังกล่าวย่อมคาดหมายได้ว่าอาจมีผู้ปลูกอาคารสูงใกล้บ้านบังลมแสงแดดและทัศนียภาพ อันเป็นไปตามปกติและตามสมควร หรือบ้านที่ปลูกทีหลังจะถมดินให้สูงกว่าบ้านเราเพื่อไม่ให้น้ำท่วมในที่ดินของเขา
๑๑.๕ อีกทั้งการก่อสร้างดังกล่าวยังต้องได้รับการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะอนุญาตให้สร้างอาคารได้ ซึ่งการจะอนุญาตหรือไม่นั้นเป็นไปตามที่กฏหมายกำหนดไว้
๑๑.๖ แม้จะก่อสร้างอาคารจะมีผนังทึบไม่มีช่องระบายลม แต่กระแสลมและแสงสว่างยังคงพัดผ่านและส่องมาที่บ้านได้พอสมควร หาใช่ปิดกั้นทึบจนไม่มีลมไม่มีแดด
๑๑.๗ประกอบทั้งโจทก์ก็ติดเครื่องปรับอากาศเพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในกรุงเทพ เพื่อความสะดวกของโจทก์เอง ทำให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้สนใจต่ออากาศตามธรรมชาติ แม้จะมีลมหรือไม่มีลมก็ไม่ใช่สาระสำคัญ หาใช่การก่อสร้างของจำเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวไม่
๑๑.๘การที่สร้างอาคารสูงในกรุงเทพที่ไม่ขัดต่อเทศบัญยัติหรือกฏหมายอื่นใดที่จำกัดความสูงของอาคารไว้บังบ้านโจทก์หาเป็นการใช้สิทธ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ เพราะเพราะกรณีตามปพพ มาตรา ๔๒๑ ต้องเป็นการแกล้งโดยมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาของสิทธิ์นั้น แม้ผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้างก็ไม่เป็นการละเมิด
๑๑.๙เมื่อไม่ปรากฏว่าการก่อสร้างอาคารได้กระทำโดยการกลั่นแกล้งโดยมุ่งความเสียหายแก่โจทก์ฝ่ายเดียว การใช้สิทธิ์ในการก่อสร้างและดัดแปลงอาคาร ถือไม่ได้ว่าเป็นการอันไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่จะรื้อถอนอาคารและกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้สอยอาคารของโจทก์
๑๒.คันคลองที่สาธารณะอันเป็นสาธารณะอันเป็นสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ปพพ มาตรา ๑๓๐๔(๒) การที่จำเลยปลูกเรือนที่คันคลองสาธารณะบังหน้าดินของโจทก์ที่โจทก์จะปลูกบ้านจัดสรรในที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยหน้าดินยังว่างไม่มีสิ่งใดปิดกั้นถึง ๑๐๐ เมตร แม้การที่จำเลยสร้างเรือนบังหน้าที่ดินของโจทก์แม้จะทำให้บรรยากาศในการมองเสียไปบ้าง อาจมีการปิดกั้นสายลมและแสงแดดไปบ้าง แต่เมื่อยังมีที่ว่างตั้ง ๑๐๐ เมตร ทั้งที่ดังกล่าวก็เป็นคันคลองสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปทั้งโจทก์และจำเลยใช้ร่วมกัน จึงถือไม่ได้ว่าเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษไม่มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนเรือนออกไป
๑๓.จอดเรือในคลองห่างที่ดินโจทก์ ๑๘ เมตรเศษ และมีเรือจอดก่อนที่โจทก์จะมาปลูกบ้านในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วก่อนที่จะมาปลุกบ้านว่ามีเรือจอดอยู่บริเวณนี้อยู่แล้ว การที่โจทก์มาปลูกบ้านเท่ากับต้องยอมรับว่า ตนอาจไม่ได้รับความสะดวกสบายเพราะมีเรือจอดอยู่ อีกทั้งโจทก์ยังสามารถใช้คลองได้สะดวกเพราะมีสะพานท่าเทียบเรือสาธารณะติดกับหน้าที่ดินโจทก์สามารถสัญจรไปมาได้ จำเลยหาได้จอดเรือปิดหน้าที่ดินโจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิ์เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายเป็นพิเศษไม่
๑๔.การที่เดือดร้อนถึงกับจะใช้สิทธิ์เพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไป ต้องได้ความว่าเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร บ้านและที่ดินตั้งอยู่ในช่วงติดต่อระหว่างถนนกับซอยซึ่งมีระดับต่างกันมาก หากไม่ทำถนนเชื่อมต่อกัน ชาวบ้านรวมทั้งโจทก์ จำเลยก็ไม่อาจใช้ซอยต่อไปยังถนนได้ เมื่อพิจารณาตำแหน่งบ้านและที่ดินโจทก์ประกอบกับสภาพถนนและซอยแล้ว กำแพงถนนไม่ได้ปิดกั้นหน้าบ้านโจทก์และอยู่ห่างบ้านโจทก์ ๓ เมตร ไม่ถือเดือดร้อนเกินควรจนไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติอันควรสำหรับสภาพและท้องที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้
๑๕.ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ใครหาอาจอ้างสิทธิ์ใช้ยันรัฐได้ แต่ระหว่างราษฏร์ด้วยกันใครเข้าครอบครองใช้สิทธิ์ก่อนย่อมมีสิทธิ์ดีกว่าผู้เข้าครอบครองที่หลัง ดังนั้นแม้จำเลยจะปลูกบ้านในที่ริมตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อไม่ได้รุกล้ำไปในที่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ทำเขื่อนกั้นน้ำในที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านแม้ที่ดินดังกล่าวจะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน แต่โจทก์มีสิทธิ์ทำเขื่อนในที่ดินในแนวเขตโจทก์ อีกทั้งยังโจทก์มีทางอื่นที่สามารถลงสู่คลองได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตรงที่จำเลยปลูกบ้าน ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เสียหายเป็นพิเศษที่จะมีสิทธิ์ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายนั้นได้
๑๖.สร้างคอกวัวและกองฟางไว้ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินโจทก์ยาว ๑๐ วา เหลือช่องให้โจทก์เข้าออกถนนได้ ๒ วา ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินอันเป็นทางสาธารณะมีความยาว ๑๒ วา เข้าออกถนนได้ตามสิทธิ์ของโจทก์ ถือว่าระยะ ๑๒ วามีความยาวพอสมควร การสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่สาธารณะจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ตามปกติ การใช้สิทธิ์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะได้เป็นไปตามปกติ โจทก์มีสิทธิ์ดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นสิ้นไป มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางออกไปได้
๑๗.แม้โรงเรือนจำเลยไม่บังที่ดินโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกในที่ชายตลิ่งด้านที่ดินโจทก์ติดริมคลอง กีดกั้นระหว่างที่ดินโจทก์กับคลอง ทำให้ที่ดินโจทก์ด้านนั้นถูกลิดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์มีสิทธิ์ให้รื้อถอนโรงเรือนได้
๑๘.จำเลยปลูกบ้านที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหน้าที่ดินโจทก์ บังที่ดินโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย ไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ดินชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นได้ต่อไป เมื่อไม่สามารถใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่เคยได้รับถือได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนเรือนให้พ้นหน้าที่ดินเพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตในที่ดินของโจทก์อีกแปลงซึ่งอยู่ติดกันโดยโจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองได้สะดวกโจทก์ไม่เสียหายหาได้ไม่ ปพพ มาตรา ๑๓๓๗คุ้มคลองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน)แต่ละแปลงไปหาใช่คุ้มครองที่ดินหลายแปลงที่อยู่ติดกันไม่
“รับน้ำจากที่สูง”
๑.เจ้าของนาที่อยู่ใต้น้ำ จำต้องรับน้ำที่ไหลบ่าจากนาทางเหนือตามสภาพปกติ ถ้าไปกั้นคันนาให้สูงขึ้น ทำให้น้ำไหลบ่าไม่ได้เป็นเหตุให้นาทางเหนือน้ำ น้ำท่วม ทำนาไมได้ เจ้าของนาทางเหนือมีสิทธิ์ฟ้องขอให้เปิดคันนาให้น้ำไหลตามสภาพเดิมได้ ฟ้องขอให้เปิดคันนาที่จำเลยกั้นสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้น้ำไหลบ่าไม่ได้เป็นเหตุให้น้ำท่วมนาโจทก์ ทำนาไม่ได้ ทำให้ข้าวกล้าในนาที่ปลักดำไว้เสียหาย พร้อมเรียกค่าเสียหาย แม้ในขณะฟ้องยังไม่ได้ปลูกข้าวยังไม่เสียหายในเรื่องข้าวก็ดี ศาลก็พิพากษาให้เปิดคันนาให้น้ำไหลไปตามสภาพเดิมได้ คำพิพากษาฏีกา ๔๕๔/๒๔๙๑
๒.ที่ดินโจทก์เป็นที่ดินสูง ที่ดินจำเลยเป็นที่ดินต่ำ การที่โจทก์ระบายน้ำฝนตามธรรมชาติจากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ลำน้ำ เป็นกรณีที่จำเลยต้องยอมรับตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙,๑๓๔๐ คำพิพากษาฏีกา ๖๔๐๖/๒๕๒๐
๓.น้ำที่ไหลเข้ามาในที่ดินจำเลยในที่ดินจำเลยไปยังที่ดินโจทก์ผ่านท่อส่งน้ำที่ฝังไว้ใต้ดินเพื่อชักน้ำเข้ามาใช้เป็นทอดๆ เป็นท่อส่งน้ำที่ทำขึ้นเองเพื่อเป็นการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ท่อน้ำดังกล่าวไม่ใช่น้ำที่ไหลตามธรรมชาติจากที่ดินสูงมาที่ดินต่ำ ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ คำพิพากษาฏีกา ๒๓๒๘/๒๕๕๑
๔.แม้ฟังว่าที่ดินโจทก์อยู่สูงกว่าที่ดินจำเลยโดยธรรมชาติ โจทก์ก็ไม่อาจขอให้จำเลยปิดทางระบายน้ำได้ เพราะกรณีที่เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่สูงมาในที่ดินตนตาม ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ นั้น หมายถึงน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำฝน เป็นต้น หาใช่น้ำใช้แล้วหรือน้ำโสโครก ดังเช่นกรณีโจทก์ไม่ คำพิพากษฏีกา ๔๑๒/๒๕๒๕
๕.จำเลยทำคันดินให้สูงขึ้นเป็นทำนบปิดลำห้วยซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะตอนเหนือนาโจทก์ปิดตาย ไม่ยอมให้น้ำไหลตามธรรมชาติ เป็นเหตุให้ตอนใต้ของทำนบน้ำแห้ง โจทก์ทำนาไม่ได้ การกระทำจำเลยปรับตาม ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ เป็นการกระทำที่ถือไม่ได้ว่า เป็นการชักเอาน้ำไว้ จำเลยไม่มีสิทธิ์กระทำ จึงเป็นการละเมิดโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๓๑๗/๒๕๐๙
๖.คลองสาธารณะตื้นเขิน รัฐบาลขายให้เอกชน ไม่นับว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินต่อไป เจ้าของที่ดินต่ำจึงต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่สูงมายังที่ของตน แต่ไม่จำต้องรับน้ำที่ใช้แล้วระบายทิ้ง คำพิพากษาฏีกา ๑๕๘/๒๔๗๘
๗.เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำที่ไหลตามธรรมดาหรือเพราะการระบายน้ำจากที่ดินสูงมาสู่ที่ของตน ถ้าได้รับความเสียหายเพราะการระบายน้ำ ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้เจ้าของที่ดินสูงจัดทำทางระบายน้ำหรือมีสิทธิ์เรียกค่าทดแทน ถ้าหากปิดกั้นเสียโดยลำพังเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินสูงได้รับความเสียหายต้องรับผิด คำพิพากษาฏีกา ๔๒๘/๒๔๙๑
๘. ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินสูงมีสิทธิ์กันน้ำเอาไว้ใช้เพียงจำเป็นแก่ที่ดินได้ ส่วน ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินริมน้ำหรือทางน้ำผ่านไม่มีสิทธิ์ชักน้ำเอาไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควร เป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่ที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ตามทางนั้น คำพิพากษาฏีกา ๓๑๗/๒๕๐๙
๙โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองสาธารณะตามที่โจทก์มีสิทธิ์ และหากมีการแบ่งเฉลี่ยการใช้น้ำระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว ก็จะมีน้ำใช้พอทั้งสองฝ่าย การที่โจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มของโจทก์ในช่วงเกิดเหตุที่เป็นฤดูแล้งมีน้ำน้อยไม่พอแก่การทำนาของราษฏร์ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ชักเอาน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของโจทก์ตามสมควร อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นอันจะเป็นการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปพพ มาตรา ๔๒๑ คำพิพากษาฏีกา ๓๘๐๑/๒๕๔๐
ข้อสังเกต ๑. เจ้าของที่ดินต้องรับน้ำที่ไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงลงมาสู่ที่ดินของตน และน้ำไหลตามธรรมดามาที่ดินต่ำ และจำเป็นแก่ที่ดินนั้น เจ้าของที่ดินที่สูงกว่าจะกันไว้ได้เพียงที่จำเป็นแก่ที่ดินของตน ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ นั้นมีข้อควรพิจารณาดังนี้
๑.๑ต้องเป็นน้ำที่ไหลตามธรรมดาหรือตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ และต้องไม่ใช้น้ำโสโครกจากการระบายของเจ้าของที่ดินแปลงสูง
๑.๒ที่ดินสูงต้องเกิดตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ที่ดินต่างระดับที่เป็นที่สูงและที่ต่ำต้องเกิดจากทำเลที่ตั้งของที่ดินซึ่งอยู่สูงกว่าและต่ำกว่าโดยธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการขุดของมนุษย์ ไม่ว่าเป็นการถมให้สูงขึ้นหรือขุดให้ต่ำลง (คำพิพากษาฏีกา ๑๕๕๘/๒๕๐๕) ซึ่งคำพิพากษาฏีกาดังกล่าวอธิบายว่า ที่ดินสูงที่ดินต่ำตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙,๑๓๔๐ หมายถึงที่ดินสูงต่ำตามธรรมชาติ เจ้าของที่ดินต่ำหาจำต้องรับน้ำจากที่ดินที่ถมให้สูงขึ้นไม่ และน้ำที่เจ้าของที่ดินต่ำต้องยอมรับ หมายถึงน้ำที่ไหลตามธรรมชาติผ่านที่ดินสูงสู่ที่ดินต่ำ มิใช่ไหลเพราะการกักเก็บน้ำด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งแล้วปล่อยให้ไหลโดยผิดธรรมชาติลงสู่ที่ดินต่ำ ซึ่งไม่ใช่ความหมายของคำว่า “ น้ำซึ่งไหลตามธรรมดา”ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ และไม่ใช่ความหมายของน้ำที่ไหลเพราะระบายจากที่ดินสูง ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ หรือเป็นกรณีน้ำในลำห้วยลำธารที่ไหลผ่านที่ดินริมทางน้ำ(ปพพ มาตรา ๑๓๕๕) และต้องไม่ใช่น้ำที่ใช้แล้ว น้ำสกปรก หรือน้ำโสโครกอันเกิดจากการกระทำของเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่สูงกว่าหรือบริวาร
๑.๓เจ้าของที่ดินต่ำต้องยอมรับกรรมยอมให้น้ำไหลจากที่สูงผ่านที่ดินตน จะปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลสู่ที่ดินตนไม่ได้
๑.๔ส่วนเจ้าของที่ดินสูงจะกันน้ำได้เพียงเท่าที่จำเป็นแก่ที่ดินตนเท่านั้นจะกักเก็บน้ำไว้ทั้งหมดไม่ยอมให้น้ำไหลลงไปสู่ที่ดินต่ำไม่ได้
๒,ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินที่สูงกว่ามีสิทธิ์กันน้ำเอาไว้ใช้เพียงจำเป็นแก่ที่ดิน ส่วน ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินริมทางน้ำหรือมีทางน้ำผ่านไม่มีสิทธิ์ชักน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควรเป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่ที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ตามทางน้ำนั้น ส่วนใน ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ เป็นกรณีที่เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่ดินสูงมาในที่ของตน ถ้าก่อนที่จะระบายน้ำนั้นน้ำได้ไหลเข้ามาในที่ดินของตนตามธรรมดาอยู่แล้ว แต่หากได้รับความเสียหายเพราะการระบายน้ำ เจ้าของที่ดินต่ำอาจเรียกร้องให้เจ้าของที่ดินสูงทำทางระบายน้ำและออกค่าใช้จ่ายในการนั้นเพื่อระบายน้ำไปให้ตลอดที่ดินต่ำจนถึงทางน้ำหรือท่อน้ำสาธารณะ และไม่ลบล้างสิทธิ์ที่เจ้าของที่ดินต่ำจะเรียกค่าทดแทน
๓.เจ้าของนาที่อยู่ใต้น้ำ จำต้องรับน้ำที่ไหลบ่าจากนาทางเหนือตามสภาพปกติ หรือแม้เจ้าของที่ดินสูงจะทำรางระบายน้ำจากที่ดินตนลงมาผ่านที่ดินที่อยู่ต่ำกว่าก็ตาม เจ้าของที่ดินต่ำจะไปฟ้องเจ้าของที่ดินสูงว่าทำละเมิดต่อตนไม่ได้
๔.และหากเจ้าของที่ดินต่ำไปกั้นคันนาให้สูงขึ้น ทำให้น้ำไหลบ่าไม่ได้เป็นเหตุให้นาทางเหนือน้ำ น้ำท่วม ทำนาไมได้ เป็นการใช้สิทธิ์ไม่สุจริตตาม ปพพ มาตรา ๕ เป็นการใช้สิทธิ์ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ปพพ มาตรา ๔๒๑) เป็นการกระทำละเมิดตาม ปพพ มาตรา ๔๒๐ เป็นการใช้สิทธิ์ของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุอันควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์มาคำนึงประกอบ เจ้าของที่ดินแปลงทางเหนือมีสิทธิ์จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องขอให้ เปิดคันนาให้น้ำไหลตามสภาพเดิม พร้อมเรียกค่าทดแทนในความเสียหายที่เกิดได้ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๗
๕.หากเจ้าของนาทางเหนือไม่ใช้สิทธิ์ฟ้องศาลตามข้อสังเกตข้อ ๒ แต่ใช้กำลังเข้าไปทำลายคันนาเสียเอง เป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งคันนาของเจ้าของที่ดินแปลงต่ำ เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ แต่อาจอ้างการกระทำโดยป้องกัน โดยอ้างว่า จำเป็นต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิ์ในนาข้าวของตนไม่ให้ต้องเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ปิดกั้นน้ำโดยไม่มีอำนาจอันเป็นการกระทำการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย( ปพพ มาตรา ๕,๔๒๐,๔๒๑, ) เป็นภยันตรายที่ใกล้ถึงหรือถึงแล้ว หากได้กระทำพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิดตามกฎหมาย ปอ มาตรา ๖๘ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ แต่นักกฎหมายบางคนอาจมองว่า เป็นการกระทำด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยวิธีอื่นใด โดยภยันตรายไม่ได้เกิดจากความผิดของตนอันเป็นการกระทำด้วยความจำเป็นตาม ปอ มาตรา ๖๗ หากกระทำไปพอสมควรแก่เหตุพอควรแก่กรณีแห่งความจำเป็นแล้วไม่ต้องรับโทษ ตาม ปอ มาตรา ๖๗ และมีนักกฎหมายอีกฝ่ายเห็นว่า การที่เจ้าของที่ดินแปลงสูงไปทำลายคันกั้นน้ำเสียเองโดยไม่ไปใช้สิทธิ์ทางศาลตาม ปพพ มาตรา ๕,๔๒๐,๔๒๑,๑๓๓๗ ย่อมเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายไม่อาจอ้างการกระทำป้องกันหรือจำเป็นได้ แต่อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะอ้างเป็นการกระทำโดยป้องกันหรือจำเป็นได้หรือไม่อย่างไร แต่มูลเหตุในการกระทำผิดเพื่อป้องกันทรัพย์สินของตนคือนาข้าวไม่ให้เสียหาย หากศาลจะฟังว่าเป็นความผิดก็เป็นดุลพินิจที่ศาลจะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษได้
๖.การฟ้องขอให้เปิดคันนาที่จำเลยกั้นสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้น้ำไหลบ่าไม่ได้เป็นเหตุให้น้ำท่วมนาโจทก์ ทำนาไม่ได้ ทำให้ข้าวกล้าในนาที่ปลักดำไว้เสียหาย พร้อมเรียกค่าเสียหาย แม้ในขณะฟ้องยังไม่ได้ปลูกข้าวยังไม่เสียหายในเรื่องข้าวก็ดี ศาลก็พิพากษาให้เปิดคันนาให้น้ำไหลไปตามสภาพเดิมได้ แต่ค่าเสียหายที่อ้างว่าข้าวกล้าที่ปลักดำไว้เสียหายนั้น เมื่อยังไม่ได้ปลูกข้าว จึงไม่มีข้าวที่จะเสียหายตามที่โจทก์อ้าง ค่าเสียหายในส่วนนี้โจทก์เรียกไม่ได้ ผมว่าตั้งรูปคดีผิด จริงๆน่าจะตั้งรูปคดีเป็นว่าเมื่อปิดกั้นแล้วทำให้น้ำท่วมไม่สามารถทำนาได้ หากสามารถทำนาได้จะได้ผลผลิตเท่าไหร่ แต่เมื่อไม่สามารถทำนาได้จึงได้รับความเสียหายในส่วนนี้ การไปตั้งประเด็นว่าข้าวกล้าเสียหายทั้งที่ยังไม่ได้ปลูกข่าวย่อมไม่มีความเสียหายในส่วนนี้ แม้การฟ้องเท็จในคดีแพ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดก็ตาม แต่ตอนสืบพยานการนำสืบและการเบิกความในศาลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จได้ ตาม ปอ มาตรา ๑๗๗, ๑๘๐
๗.ที่ดินโจทก์เป็นที่ดินสูง ที่ดินจำเลยเป็นที่ดินต่ำ การที่โจทก์ระบายน้ำฝนตามธรรมชาติจากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ลำน้ำ เป็นกรณีที่จำเลยต้องยอมรับตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙,๑๓๔๐ เพราะเป็นน้ำที่ไหลตามธรรมดาจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์
๘.น้ำที่ไหลเข้ามาในที่ดินจำเลยในที่ดินจำเลยไปยังที่ดินโจทก์ผ่านท่อส่งน้ำที่ฝังไว้ใต้ดินเพื่อชักน้ำเข้ามาใช้เป็นทอดๆ เป็นท่อส่งน้ำที่ทำขึ้นเองเพื่อเป็นการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ท่อน้ำดังกล่าวไม่ใช่น้ำที่ไหลตามธรรมชาติจากที่ดินสูงมาที่ดินต่ำ ไม่ใช่น้ำซึ่งไหลตามธรรมดาตามธรรมชาติจากที่สูงสู่ที่ต่ำที่เจ้าของที่ดินแปลงต่ำต้องยอมรับกรรม ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ แต่อย่างใดไม่ เป็นกรณีที่เจ้าของที่ดินแปลงสูงใช้สิทธิ์ของตนในการระบายน้ำผ่านท่อส่งน้ำเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินแปลงต่ำได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อน เกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุอันควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์มาคำนึงประกอบ เจ้าของที่ดินแปลงต่ำมีสิทธิ์จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องขอให้ เอาท่อที่ฝังดินออกเพื่อให้น้ำไหลตามสภาพเดิม พร้อมเรียกค่าทดแทนในความเสียหายที่เกิดได้ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๗
๙..แม้ฟังว่าที่ดินโจทก์อยู่สูงกว่าที่ดินจำเลยโดยธรรมชาติ โจทก์ก็ไม่อาจขอให้จำเลยปิดทางระบายน้ำได้ เพราะกรณีที่เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่สูงมาในที่ดินตนตาม ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ นั้น หมายถึงน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำฝน เป็นต้น หาใช่น้ำใช้แล้วหรือน้ำโสโครก ดังเช่นกรณีโจทก์ไม่ เมื่อไม่ใช่น้ำตามธรรมชาติแต่เป็นน้ำใช้แล้วหรือน้ำโสโครกที่ระบายลงมาสู่ที่ดินต่ำ เจ้าของที่ดินต่ำไม่จำต้องยอมรับ แต่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อให้เจ้าของที่ดินแปลงสูงจัดการกับการระบายน้ำโสโครกไม่ให้ไหลมาในที่ดินของตนซึ่งอยู่ต่ำกว่าได้
๑๐.จำเลยทำคันดินให้สูงขึ้นเป็นทำนบปิดลำห้วยซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะตอนเหนือนาโจทก์ปิดตาย ไม่ยอมให้น้ำไหลตามธรรมชาติ เป็นเหตุให้ตอนใต้ของทำนบน้ำแห้ง โจทก์ทำนาไม่ได้ เมื่อไม่มีกฎหมายที่บัญญัติไว้ในเรื่องนี้โดยตรง ไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะยกมาปรับ จึงต้องนำ ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ซึ่งเป็นกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ปพพ มาตรา ๔มาใช้ในการวินิจฉัย การทำนบปิดลำห้วยซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะตอนเหนือนาโจทก์ปิดตาย เป็นการกระทำที่ถือไม่ได้ว่า เป็นการชักเอาน้ำไว้ตามความหมายใน ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ เพราะการชักน้ำเอาไว้ใช้ต้องไม่เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควร และต้องไม่เป็นที่เสียหายเสื่อมเสียสิทธิ์แก่เจ้าของที่ดินแปลงอื่นด้วย จำเลยไม่มีสิทธิ์ทำทำนบเก็บกักน้ำไว้ใช้คนเดียว จำเลยไม่มีสิทธิ์กระทำดังนั้น การกระทำของจำเลย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทำนบหรือรื้อถอนทำลายทำนบนั้นเพื่อให้สภาพที่ดินกลับเป็นไปตามเดิมได้
๑๑.คลองสาธารณะตื้นเขิน รัฐบาลขายให้เอกชนนั้น โดยปกติแล้วคลองสาธารณะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินประเภทประชาชนใช้ร่วมกันตาม ปพพ มาตรา ๑๓๐๔(๒) จะโอนให้แก่กันไม่ได้ เว้นแต่อาศัยกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฏีกา ปพพ มาตรา ๑๓๐๕ ดังนั้น การที่รัฐบาลขายคลองสาธารณะที่ตื้นเขินให้แก่ประชาชนต้องออกเป็นกฏหมายเฉพาะหรือพระราชกษฤฏีกาเพื่อเพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เมื่อขายคลองดังกล่าวไปแล้วคลองดังกล่าวไม่นับว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินต่อไป เจ้าของที่ดินต่ำจึงต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่สูงมายังที่ของตน แต่ไม่จำต้องรับน้ำที่ใช้แล้วระบายทิ้งจากที่ดินแปลงสูง
๑๒.เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำที่ไหลตามธรรมดา(ปพพ มาตรา ๑๓๓๙)หรือเพราะการระบายน้ำจากที่ดินสูงมาสู่ที่ของตน(ปพพ มาตรา ๑๓๔๐)ถ้าได้รับความเสียหายเพราะการระบายน้ำ ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้เจ้าของที่ดินสูงจัดทำทางระบายน้ำหรือมีสิทธิ์เรียกค่าทดแทนโดยการฟ้องศาล แต่ ถ้าหากปิดกั้นเสียเองโดยลำพังเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินสูงได้รับความเสียหายต้องรับผิด
๑๓. ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินสูงมีสิทธิ์ “กันน้ำ” เอาไว้ใช้เพียงจำเป็นแก่ที่ดินได้ ส่วน ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินริมน้ำหรือทางน้ำผ่านไม่มีสิทธิ์ “ชักน้ำ” เอาไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควร เป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่ที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ตามทางนั้น คำว่า “ ชักน้ำ” หรือ “กันน้ำ” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกัน คือ “การกักเก็บน้ำไว้ใช้” นั้นเอง
๑๔.โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองสาธารณะตามที่โจทก์มีสิทธิ์ และหากมีการแบ่งเฉลี่ยการใช้น้ำระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว ก็จะมีน้ำใช้พอทั้งสองฝ่าย การที่โจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มของโจทก์ในช่วงเกิดเหตุที่เป็นฤดูแล้งมีน้ำน้อยไม่พอแก่การทำนาของราษฏร์ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ชักเอาน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของโจทก์ตามสมควร อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นอันจะเป็นการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปพพ มาตรา ๔๒๑ ปัญหาที่เกิดคือช่วงนาแล้งน้ำน้อย หากเฉลี่ยน้ำกันแล้วก็พอใช้ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมกัน แต่เมื่อโจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มตนเองตามสมควร ไม่ได้เก็บกักไว้ใช้คนเดียวจนคนอื่นใช้ไม่ได้ การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการทำละเมิด
๒.ที่ดินโจทก์เป็นที่ดินสูง ที่ดินจำเลยเป็นที่ดินต่ำ การที่โจทก์ระบายน้ำฝนตามธรรมชาติจากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ลำน้ำ เป็นกรณีที่จำเลยต้องยอมรับตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙,๑๓๔๐ คำพิพากษาฏีกา ๖๔๐๖/๒๕๒๐
๓.น้ำที่ไหลเข้ามาในที่ดินจำเลยในที่ดินจำเลยไปยังที่ดินโจทก์ผ่านท่อส่งน้ำที่ฝังไว้ใต้ดินเพื่อชักน้ำเข้ามาใช้เป็นทอดๆ เป็นท่อส่งน้ำที่ทำขึ้นเองเพื่อเป็นการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ท่อน้ำดังกล่าวไม่ใช่น้ำที่ไหลตามธรรมชาติจากที่ดินสูงมาที่ดินต่ำ ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ คำพิพากษาฏีกา ๒๓๒๘/๒๕๕๑
๔.แม้ฟังว่าที่ดินโจทก์อยู่สูงกว่าที่ดินจำเลยโดยธรรมชาติ โจทก์ก็ไม่อาจขอให้จำเลยปิดทางระบายน้ำได้ เพราะกรณีที่เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่สูงมาในที่ดินตนตาม ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ นั้น หมายถึงน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำฝน เป็นต้น หาใช่น้ำใช้แล้วหรือน้ำโสโครก ดังเช่นกรณีโจทก์ไม่ คำพิพากษฏีกา ๔๑๒/๒๕๒๕
๕.จำเลยทำคันดินให้สูงขึ้นเป็นทำนบปิดลำห้วยซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะตอนเหนือนาโจทก์ปิดตาย ไม่ยอมให้น้ำไหลตามธรรมชาติ เป็นเหตุให้ตอนใต้ของทำนบน้ำแห้ง โจทก์ทำนาไม่ได้ การกระทำจำเลยปรับตาม ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ เป็นการกระทำที่ถือไม่ได้ว่า เป็นการชักเอาน้ำไว้ จำเลยไม่มีสิทธิ์กระทำ จึงเป็นการละเมิดโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๓๑๗/๒๕๐๙
๖.คลองสาธารณะตื้นเขิน รัฐบาลขายให้เอกชน ไม่นับว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินต่อไป เจ้าของที่ดินต่ำจึงต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่สูงมายังที่ของตน แต่ไม่จำต้องรับน้ำที่ใช้แล้วระบายทิ้ง คำพิพากษาฏีกา ๑๕๘/๒๔๗๘
๗.เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำที่ไหลตามธรรมดาหรือเพราะการระบายน้ำจากที่ดินสูงมาสู่ที่ของตน ถ้าได้รับความเสียหายเพราะการระบายน้ำ ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้เจ้าของที่ดินสูงจัดทำทางระบายน้ำหรือมีสิทธิ์เรียกค่าทดแทน ถ้าหากปิดกั้นเสียโดยลำพังเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินสูงได้รับความเสียหายต้องรับผิด คำพิพากษาฏีกา ๔๒๘/๒๔๙๑
๘. ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินสูงมีสิทธิ์กันน้ำเอาไว้ใช้เพียงจำเป็นแก่ที่ดินได้ ส่วน ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินริมน้ำหรือทางน้ำผ่านไม่มีสิทธิ์ชักน้ำเอาไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควร เป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่ที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ตามทางนั้น คำพิพากษาฏีกา ๓๑๗/๒๕๐๙
๙โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองสาธารณะตามที่โจทก์มีสิทธิ์ และหากมีการแบ่งเฉลี่ยการใช้น้ำระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว ก็จะมีน้ำใช้พอทั้งสองฝ่าย การที่โจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มของโจทก์ในช่วงเกิดเหตุที่เป็นฤดูแล้งมีน้ำน้อยไม่พอแก่การทำนาของราษฏร์ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ชักเอาน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของโจทก์ตามสมควร อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นอันจะเป็นการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปพพ มาตรา ๔๒๑ คำพิพากษาฏีกา ๓๘๐๑/๒๕๔๐
ข้อสังเกต ๑. เจ้าของที่ดินต้องรับน้ำที่ไหลตามธรรมดาจากที่ดินสูงลงมาสู่ที่ดินของตน และน้ำไหลตามธรรมดามาที่ดินต่ำ และจำเป็นแก่ที่ดินนั้น เจ้าของที่ดินที่สูงกว่าจะกันไว้ได้เพียงที่จำเป็นแก่ที่ดินของตน ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ นั้นมีข้อควรพิจารณาดังนี้
๑.๑ต้องเป็นน้ำที่ไหลตามธรรมดาหรือตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ และต้องไม่ใช้น้ำโสโครกจากการระบายของเจ้าของที่ดินแปลงสูง
๑.๒ที่ดินสูงต้องเกิดตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์ ที่ดินต่างระดับที่เป็นที่สูงและที่ต่ำต้องเกิดจากทำเลที่ตั้งของที่ดินซึ่งอยู่สูงกว่าและต่ำกว่าโดยธรรมชาติไม่ได้เกิดจากการขุดของมนุษย์ ไม่ว่าเป็นการถมให้สูงขึ้นหรือขุดให้ต่ำลง (คำพิพากษาฏีกา ๑๕๕๘/๒๕๐๕) ซึ่งคำพิพากษาฏีกาดังกล่าวอธิบายว่า ที่ดินสูงที่ดินต่ำตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙,๑๓๔๐ หมายถึงที่ดินสูงต่ำตามธรรมชาติ เจ้าของที่ดินต่ำหาจำต้องรับน้ำจากที่ดินที่ถมให้สูงขึ้นไม่ และน้ำที่เจ้าของที่ดินต่ำต้องยอมรับ หมายถึงน้ำที่ไหลตามธรรมชาติผ่านที่ดินสูงสู่ที่ดินต่ำ มิใช่ไหลเพราะการกักเก็บน้ำด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งแล้วปล่อยให้ไหลโดยผิดธรรมชาติลงสู่ที่ดินต่ำ ซึ่งไม่ใช่ความหมายของคำว่า “ น้ำซึ่งไหลตามธรรมดา”ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ และไม่ใช่ความหมายของน้ำที่ไหลเพราะระบายจากที่ดินสูง ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ หรือเป็นกรณีน้ำในลำห้วยลำธารที่ไหลผ่านที่ดินริมทางน้ำ(ปพพ มาตรา ๑๓๕๕) และต้องไม่ใช่น้ำที่ใช้แล้ว น้ำสกปรก หรือน้ำโสโครกอันเกิดจากการกระทำของเจ้าของที่ดินซึ่งอยู่สูงกว่าหรือบริวาร
๑.๓เจ้าของที่ดินต่ำต้องยอมรับกรรมยอมให้น้ำไหลจากที่สูงผ่านที่ดินตน จะปิดกั้นไม่ให้น้ำไหลสู่ที่ดินตนไม่ได้
๑.๔ส่วนเจ้าของที่ดินสูงจะกันน้ำได้เพียงเท่าที่จำเป็นแก่ที่ดินตนเท่านั้นจะกักเก็บน้ำไว้ทั้งหมดไม่ยอมให้น้ำไหลลงไปสู่ที่ดินต่ำไม่ได้
๒,ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินที่สูงกว่ามีสิทธิ์กันน้ำเอาไว้ใช้เพียงจำเป็นแก่ที่ดิน ส่วน ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินริมทางน้ำหรือมีทางน้ำผ่านไม่มีสิทธิ์ชักน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควรเป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่ที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ตามทางน้ำนั้น ส่วนใน ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ เป็นกรณีที่เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่ดินสูงมาในที่ของตน ถ้าก่อนที่จะระบายน้ำนั้นน้ำได้ไหลเข้ามาในที่ดินของตนตามธรรมดาอยู่แล้ว แต่หากได้รับความเสียหายเพราะการระบายน้ำ เจ้าของที่ดินต่ำอาจเรียกร้องให้เจ้าของที่ดินสูงทำทางระบายน้ำและออกค่าใช้จ่ายในการนั้นเพื่อระบายน้ำไปให้ตลอดที่ดินต่ำจนถึงทางน้ำหรือท่อน้ำสาธารณะ และไม่ลบล้างสิทธิ์ที่เจ้าของที่ดินต่ำจะเรียกค่าทดแทน
๓.เจ้าของนาที่อยู่ใต้น้ำ จำต้องรับน้ำที่ไหลบ่าจากนาทางเหนือตามสภาพปกติ หรือแม้เจ้าของที่ดินสูงจะทำรางระบายน้ำจากที่ดินตนลงมาผ่านที่ดินที่อยู่ต่ำกว่าก็ตาม เจ้าของที่ดินต่ำจะไปฟ้องเจ้าของที่ดินสูงว่าทำละเมิดต่อตนไม่ได้
๔.และหากเจ้าของที่ดินต่ำไปกั้นคันนาให้สูงขึ้น ทำให้น้ำไหลบ่าไม่ได้เป็นเหตุให้นาทางเหนือน้ำ น้ำท่วม ทำนาไมได้ เป็นการใช้สิทธิ์ไม่สุจริตตาม ปพพ มาตรา ๕ เป็นการใช้สิทธิ์ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เป็นการอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ปพพ มาตรา ๔๒๑) เป็นการกระทำละเมิดตาม ปพพ มาตรา ๔๒๐ เป็นการใช้สิทธิ์ของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุอันควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์มาคำนึงประกอบ เจ้าของที่ดินแปลงทางเหนือมีสิทธิ์จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องขอให้ เปิดคันนาให้น้ำไหลตามสภาพเดิม พร้อมเรียกค่าทดแทนในความเสียหายที่เกิดได้ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๗
๕.หากเจ้าของนาทางเหนือไม่ใช้สิทธิ์ฟ้องศาลตามข้อสังเกตข้อ ๒ แต่ใช้กำลังเข้าไปทำลายคันนาเสียเอง เป็นการทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ ซึ่งคันนาของเจ้าของที่ดินแปลงต่ำ เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ แต่อาจอ้างการกระทำโดยป้องกัน โดยอ้างว่า จำเป็นต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิ์ในนาข้าวของตนไม่ให้ต้องเสียหายจากการกระทำของจำเลยที่ปิดกั้นน้ำโดยไม่มีอำนาจอันเป็นการกระทำการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฏหมาย( ปพพ มาตรา ๕,๔๒๐,๔๒๑, ) เป็นภยันตรายที่ใกล้ถึงหรือถึงแล้ว หากได้กระทำพอสมควรแก่เหตุไม่มีความผิดตามกฎหมาย ปอ มาตรา ๖๘ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ แต่นักกฎหมายบางคนอาจมองว่า เป็นการกระทำด้วยความจำเป็นเพื่อให้ตนเองพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้โดยวิธีอื่นใด โดยภยันตรายไม่ได้เกิดจากความผิดของตนอันเป็นการกระทำด้วยความจำเป็นตาม ปอ มาตรา ๖๗ หากกระทำไปพอสมควรแก่เหตุพอควรแก่กรณีแห่งความจำเป็นแล้วไม่ต้องรับโทษ ตาม ปอ มาตรา ๖๗ และมีนักกฎหมายอีกฝ่ายเห็นว่า การที่เจ้าของที่ดินแปลงสูงไปทำลายคันกั้นน้ำเสียเองโดยไม่ไปใช้สิทธิ์ทางศาลตาม ปพพ มาตรา ๕,๔๒๐,๔๒๑,๑๓๓๗ ย่อมเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฏหมายไม่อาจอ้างการกระทำป้องกันหรือจำเป็นได้ แต่อย่างไรก็ดีไม่ว่าจะอ้างเป็นการกระทำโดยป้องกันหรือจำเป็นได้หรือไม่อย่างไร แต่มูลเหตุในการกระทำผิดเพื่อป้องกันทรัพย์สินของตนคือนาข้าวไม่ให้เสียหาย หากศาลจะฟังว่าเป็นความผิดก็เป็นดุลพินิจที่ศาลจะลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษได้
๖.การฟ้องขอให้เปิดคันนาที่จำเลยกั้นสูงขึ้นกว่าเดิม ทำให้น้ำไหลบ่าไม่ได้เป็นเหตุให้น้ำท่วมนาโจทก์ ทำนาไม่ได้ ทำให้ข้าวกล้าในนาที่ปลักดำไว้เสียหาย พร้อมเรียกค่าเสียหาย แม้ในขณะฟ้องยังไม่ได้ปลูกข้าวยังไม่เสียหายในเรื่องข้าวก็ดี ศาลก็พิพากษาให้เปิดคันนาให้น้ำไหลไปตามสภาพเดิมได้ แต่ค่าเสียหายที่อ้างว่าข้าวกล้าที่ปลักดำไว้เสียหายนั้น เมื่อยังไม่ได้ปลูกข้าว จึงไม่มีข้าวที่จะเสียหายตามที่โจทก์อ้าง ค่าเสียหายในส่วนนี้โจทก์เรียกไม่ได้ ผมว่าตั้งรูปคดีผิด จริงๆน่าจะตั้งรูปคดีเป็นว่าเมื่อปิดกั้นแล้วทำให้น้ำท่วมไม่สามารถทำนาได้ หากสามารถทำนาได้จะได้ผลผลิตเท่าไหร่ แต่เมื่อไม่สามารถทำนาได้จึงได้รับความเสียหายในส่วนนี้ การไปตั้งประเด็นว่าข้าวกล้าเสียหายทั้งที่ยังไม่ได้ปลูกข่าวย่อมไม่มีความเสียหายในส่วนนี้ แม้การฟ้องเท็จในคดีแพ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติว่าเป็นความผิดก็ตาม แต่ตอนสืบพยานการนำสืบและการเบิกความในศาลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ นำสืบหรือแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จได้ ตาม ปอ มาตรา ๑๗๗, ๑๘๐
๗.ที่ดินโจทก์เป็นที่ดินสูง ที่ดินจำเลยเป็นที่ดินต่ำ การที่โจทก์ระบายน้ำฝนตามธรรมชาติจากที่ดินโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยไปสู่ลำน้ำ เป็นกรณีที่จำเลยต้องยอมรับตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙,๑๓๔๐ เพราะเป็นน้ำที่ไหลตามธรรมดาจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ ไม่ได้เกิดจากการกระทำของมนุษย์
๘.น้ำที่ไหลเข้ามาในที่ดินจำเลยในที่ดินจำเลยไปยังที่ดินโจทก์ผ่านท่อส่งน้ำที่ฝังไว้ใต้ดินเพื่อชักน้ำเข้ามาใช้เป็นทอดๆ เป็นท่อส่งน้ำที่ทำขึ้นเองเพื่อเป็นการเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ท่อน้ำดังกล่าวไม่ใช่น้ำที่ไหลตามธรรมชาติจากที่ดินสูงมาที่ดินต่ำ ไม่ใช่น้ำซึ่งไหลตามธรรมดาตามธรรมชาติจากที่สูงสู่ที่ต่ำที่เจ้าของที่ดินแปลงต่ำต้องยอมรับกรรม ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ แต่อย่างใดไม่ เป็นกรณีที่เจ้าของที่ดินแปลงสูงใช้สิทธิ์ของตนในการระบายน้ำผ่านท่อส่งน้ำเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินแปลงต่ำได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อน เกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุอันควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์มาคำนึงประกอบ เจ้าของที่ดินแปลงต่ำมีสิทธิ์จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปโดยฟ้องขอให้ เอาท่อที่ฝังดินออกเพื่อให้น้ำไหลตามสภาพเดิม พร้อมเรียกค่าทดแทนในความเสียหายที่เกิดได้ตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๗
๙..แม้ฟังว่าที่ดินโจทก์อยู่สูงกว่าที่ดินจำเลยโดยธรรมชาติ โจทก์ก็ไม่อาจขอให้จำเลยปิดทางระบายน้ำได้ เพราะกรณีที่เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำซึ่งไหลเพราะระบายจากที่สูงมาในที่ดินตนตาม ปพพ มาตรา ๑๓๔๐ นั้น หมายถึงน้ำตามธรรมชาติ เช่น น้ำฝน เป็นต้น หาใช่น้ำใช้แล้วหรือน้ำโสโครก ดังเช่นกรณีโจทก์ไม่ เมื่อไม่ใช่น้ำตามธรรมชาติแต่เป็นน้ำใช้แล้วหรือน้ำโสโครกที่ระบายลงมาสู่ที่ดินต่ำ เจ้าของที่ดินต่ำไม่จำต้องยอมรับ แต่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อให้เจ้าของที่ดินแปลงสูงจัดการกับการระบายน้ำโสโครกไม่ให้ไหลมาในที่ดินของตนซึ่งอยู่ต่ำกว่าได้
๑๐.จำเลยทำคันดินให้สูงขึ้นเป็นทำนบปิดลำห้วยซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะตอนเหนือนาโจทก์ปิดตาย ไม่ยอมให้น้ำไหลตามธรรมชาติ เป็นเหตุให้ตอนใต้ของทำนบน้ำแห้ง โจทก์ทำนาไม่ได้ เมื่อไม่มีกฎหมายที่บัญญัติไว้ในเรื่องนี้โดยตรง ไม่มีจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นที่จะยกมาปรับ จึงต้องนำ ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ซึ่งเป็นกฎหมายใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ปพพ มาตรา ๔มาใช้ในการวินิจฉัย การทำนบปิดลำห้วยซึ่งเป็นทางน้ำสาธารณะตอนเหนือนาโจทก์ปิดตาย เป็นการกระทำที่ถือไม่ได้ว่า เป็นการชักเอาน้ำไว้ตามความหมายใน ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ เพราะการชักน้ำเอาไว้ใช้ต้องไม่เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควร และต้องไม่เป็นที่เสียหายเสื่อมเสียสิทธิ์แก่เจ้าของที่ดินแปลงอื่นด้วย จำเลยไม่มีสิทธิ์ทำทำนบเก็บกักน้ำไว้ใช้คนเดียว จำเลยไม่มีสิทธิ์กระทำดังนั้น การกระทำของจำเลย จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้เปิดทำนบหรือรื้อถอนทำลายทำนบนั้นเพื่อให้สภาพที่ดินกลับเป็นไปตามเดิมได้
๑๑.คลองสาธารณะตื้นเขิน รัฐบาลขายให้เอกชนนั้น โดยปกติแล้วคลองสาธารณะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินประเภทประชาชนใช้ร่วมกันตาม ปพพ มาตรา ๑๓๐๔(๒) จะโอนให้แก่กันไม่ได้ เว้นแต่อาศัยกฎหมายเฉพาะหรือพระราชกฤษฏีกา ปพพ มาตรา ๑๓๐๕ ดังนั้น การที่รัฐบาลขายคลองสาธารณะที่ตื้นเขินให้แก่ประชาชนต้องออกเป็นกฏหมายเฉพาะหรือพระราชกษฤฏีกาเพื่อเพิกถอนสภาพการเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เมื่อขายคลองดังกล่าวไปแล้วคลองดังกล่าวไม่นับว่าเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินต่อไป เจ้าของที่ดินต่ำจึงต้องรับน้ำซึ่งไหลตามธรรมดาจากที่สูงมายังที่ของตน แต่ไม่จำต้องรับน้ำที่ใช้แล้วระบายทิ้งจากที่ดินแปลงสูง
๑๒.เจ้าของที่ดินจำต้องรับน้ำที่ไหลตามธรรมดา(ปพพ มาตรา ๑๓๓๙)หรือเพราะการระบายน้ำจากที่ดินสูงมาสู่ที่ของตน(ปพพ มาตรา ๑๓๔๐)ถ้าได้รับความเสียหายเพราะการระบายน้ำ ก็มีสิทธิ์เรียกร้องให้เจ้าของที่ดินสูงจัดทำทางระบายน้ำหรือมีสิทธิ์เรียกค่าทดแทนโดยการฟ้องศาล แต่ ถ้าหากปิดกั้นเสียเองโดยลำพังเป็นเหตุให้เจ้าของที่ดินสูงได้รับความเสียหายต้องรับผิด
๑๓. ปพพ มาตรา ๑๓๓๙ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินสูงมีสิทธิ์ “กันน้ำ” เอาไว้ใช้เพียงจำเป็นแก่ที่ดินได้ ส่วน ปพพ มาตรา ๑๓๕๕ เป็นเรื่องเจ้าของที่ดินริมน้ำหรือทางน้ำผ่านไม่มีสิทธิ์ “ชักน้ำ” เอาไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของตนตามสมควร เป็นเหตุให้เสื่อมเสียแก่ที่ดินแปลงอื่นซึ่งอยู่ตามทางนั้น คำว่า “ ชักน้ำ” หรือ “กันน้ำ” น่าจะอยู่ในความหมายเดียวกัน คือ “การกักเก็บน้ำไว้ใช้” นั้นเอง
๑๔.โจทก์ใช้น้ำจากลำเหมืองสาธารณะตามที่โจทก์มีสิทธิ์ และหากมีการแบ่งเฉลี่ยการใช้น้ำระหว่างโจทก์จำเลยแล้ว ก็จะมีน้ำใช้พอทั้งสองฝ่าย การที่โจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มของโจทก์ในช่วงเกิดเหตุที่เป็นฤดูแล้งมีน้ำน้อยไม่พอแก่การทำนาของราษฏร์ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ชักเอาน้ำไว้เกินกว่าที่จำเป็นแก่ประโยชน์ของโจทก์ตามสมควร อันเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๕ จึงไม่เป็นการใช้สิทธิ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นอันจะเป็นการกระทำอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปพพ มาตรา ๔๒๑ ปัญหาที่เกิดคือช่วงนาแล้งน้ำน้อย หากเฉลี่ยน้ำกันแล้วก็พอใช้ แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมกัน แต่เมื่อโจทก์เปิดน้ำเข้าฟาร์มตนเองตามสมควร ไม่ได้เก็บกักไว้ใช้คนเดียวจนคนอื่นใช้ไม่ได้ การกระทำของโจทก์จึงไม่เป็นการทำละเมิด
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)