ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

“เดือดร้อนรำคาญ”

๑.ทราบก่อนซื้อที่ดินว่าจำเลยจะปรับปรุงยกระดับถนน คาดหมายได้ว่าการยกระดับถนนอาจทำให้บ้านและที่ดินที่กำลังจะซื้อถูกถนนบังลมและแสงแดด เท่ากับยอมรับสถานการณ์ดังกล่าว เมื่อเทียบประโยชน์ที่ประชาชนทั่วไปจะได้ความสะดวกความเจริญจากการยกระดับถนนที่อาจทำให้โจทก์อาจขาดความสะดวกไปบ้าง ความเสียหายที่เกิดไม่เกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมาย โจทก์ต้องยอมรับเอาเช่นดังบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกับโจทก์ในสังคมยอมรับการก่อสร้างปรับปุงยกระดับถนน จึงยังไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๔๐๑/๒๕๑๘
๒.การที่ไม่สามารถนำรถเข้าออกตึกแถวได้ ไม่ใช่กรณีเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหายหรือเดือดร้อนจากการใช้ที่สาธารณะ แต่การที่ไม่สามารถใช้ทางเดินเท้าอันเป็นที่สาธารณะเป็นทางเข้าออกของรถยนต์ เป็นการใช้สิทธิ์ในที่สาธารณะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปใช้อยู่ การสร้างสะพานลอยข้ามถนนในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์คนทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สิทธิ์ที่จะใช้ที่สาธารณะมากกว่าประชาชนคนอื่นหมดไปบ้าง แต่ยังไม่เป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมาย คำพิพากษาฏีกา ๔๒๒๔/๒๕๓๓๓
๓.กรณีได้รับความเดือดร้อนรำคาญหรือไม่เพียงใด ต้องถือตามความรู้สึกของบุคคลธรรมดา ที่ศาลชั้นต้นชี้ว่า เสียงและการสั่นสะเทือนจากการทุบทองคำเปลวที่ห้องจำเลยถึงขนาดเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร ก็อาศัยข้อมูลจากการเดินเผชิญสืบสถานที่พิพาทเป็นสำคัญ ทั้งนี้เป็นความรู้สึกของศาลชั้นต้นประกอบด้วยผู้พิพากษาสองนายที่เป็นคนธรรมดามีหน้าที่ให้ความเที่ยงธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีทั้งปวง มีน้ำหนักรับฟังได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๓๒๙/๒๕๒๔
๔.สร้างบ้านในกรุงเทพอันเป็นเมืองหลวงมีประชากรหนาแน่น มีอาคารบ้านเรือนตึกพาณิชย์อยู่กันหนาแน่น ใกล้ถนนรัชดาภิเษกตัดถนนลาดพร้าวเป็นย่านที่มีความเจริญ มีที่ว่างที่ดินน้อยและราคาแพง จึงต้องมีการก่อสร้างสูงเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด การที่ปลูกบ้านในละแวกดังกล่าวย่อมคาดหมายได้ว่าอาจมีผู้ปลูกอาคารสูงใกล้บ้านบังลมแสงแดดและทัศนียภาพ อันเป็นไปตามปกติและตามสมควร แม้จะก่อสร้างอาคารผนังทึบไม่มีช่องระบายลม แต่กระแสลมและแสงสว่างยังคงพัดผ่านและส่องมาที่บ้านได้พอสมควร ประกอบทั้งโจทก์ก็ติดเครื่องปรับอากาศอยู่แล้ว เพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในกรุงเทพ เพื่อความสะดวกของโจทก์เอง หาใช่การก่อสร้างของจำเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวไม่ การที่สร้างอาคารสูงบังบ้านโจทก์หาเป็นการใช้สิทธ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ เพราะเพราะกรณีตามปพพ มาตรา ๔๒๑ ต้องเป็นการแกล้งโดยมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาของสิทธิ์นั้น แม้ผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้างก็ไม่เป็นการละเมิด เมื่อไม่ปรากฏว่าการก่อสร้างอาคารได้กระทำโดยการกลั่นแกล้งโดยมุ่งความเสียหายแก่โจทก์ฝ่ายเดียว การใช้สิทธิ์ในการก่อสร้างและดัดแปลงอาคาร ถือไม่ได้ว่าเป็นการอันไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่จะรื้อถอนอาคารและกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้สอยอาคารของโจทก์ คำพิพากษาฏีกา ๓๘๑๕/๒๕๔๐
๕.ปลูกเรือนในคันคลองที่สาธารณะอันเป็นสาธารณะอันเป็นสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันบังหน้าดินของโจทก์ที่โจทก์จะปลูกบ้านจัดสรรในที่ดินของโจทก์ โจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยหน้าดินยังว่างไม่มีสิ่งใดปิดกั้นถึง ๑๐๐ เมตร ถือไม่ได้ว่าเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษไม่มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนเรือนออกไป คำพิพากษาฏีกา ๕๔๗/๒๕๒๕
๖.จอดเรือในคลองห่างที่ดินโจทก์ ๑๘ เมตรเศษ และมีเรือจอดก่อนที่โจทก์จะมาปลูกบ้านในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ใช้คลองได้สะดวกเพราะมีสะพานท่าเทียบเรือสาธารณะติดกับหน้าที่ดินโจทก์ จำเลยหาได้จอดเรือปิดหน้าที่ดินโจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิ์เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายเป็นพิเศษไม่ คำพิพากษาฏีกา ๓๕๗๘/๒๕๓๒
๗.การที่เดือดร้อนถึงกับจะใช้สิทธิ์เพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไป ต้องได้ความว่าเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร บ้านและที่ดินตั้งอยู่ในช่วงติดต่อระหว่างถนนกับซอยซึ่งมีระดับต่างกันมาก หากไม่ทำถนนเชื่อมต่อกัน ชาวบ้านรวมทั้งโจทก์ จำเลยก็ไม่อาจใช้ซอยต่อไปยังถนนได้ เมื่อพิจารณาตำแหน่งบ้านและที่ดินโจทก์ประกอบกับสภาพถนนและซอยแล้ว กำแพงถนนไม่ได้ปิดกั้นหน้าบ้านโจทก์และอยู่ห่างบ้านโจทก์ ๓ เมตร ไม่ถือเดือดร้อนเกินควรจนไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติอันควรสำหรับสภาพและท้องที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้ คำพิพากษาฏีกา ๒๔๑๔/๒๕๓๔
๘.ปลูกบ้านในที่ริมตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ไม่ได้รุกล้ำไปในที่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ทำเขื่อนกั้นน้ำในที่ดินที่จำเลยปลูกบ้าน แต่มีสิทธิ์ทำเขื่อนในที่ดินในแนวเขตโจทก์ ทั้งยังมีทางอื่นที่สามารถลงสู่คลองได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตรงที่จำเลยปลูกบ้าน ไม่ได้เสียหายเป็นพิเศษ คำพิพากษาฏีกา ๓๑๔๓/๒๕๒๔,๖๑๑/๒๕๐๗,๒๕๙๖/๒๕๑๙,๒๕๗๒/๒๕๒๐,๖๓๗/๒๕๒๓,๒๗๕/๒๕๒๔,๓๔๒๔/๒๕๓๓
๙.สร้างคอกวัวและกองฟางไว้ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินโจทก์ยาว ๑๐ วา เหลือช่องให้โจทก์เข้าออกถนนได้ ๒ วา ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินมีความยาว ๑๒ วา เข้าออกถนนได้ตามสิทธิ์ของโจทก์ การใช้สิทธิ์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะได้เป็นไปตามปกติ โจทก์มีสิทธิ์ดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นสิ้นไป มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางออกไปได้ คำพิพากษาฏีกา๖๕๓//๒๕๓๙
๑๐.แม้โรงเรือนจำเลยไม่บังที่ดินโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกในที่ชายตลิ่งด้านที่ดินโจทก์ติดริมคลอง กีดกั้นระหว่างที่ดินโจทก์กับคลอง ทำให้ที่ดินโจทก์ด้านนั้นถูกลิดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์มีสิทธิ์ให้รื้อถอนโรงเรือนได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๐๓๕/๒๕๐๖
๑๑.จำเลยปลูกบ้านที่ชายตลิ่งหน้าที่ดินโจทก์ บังที่ดินโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย ไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ดินชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นได้ต่อไป ถือได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนเรือนให้พ้นหน้าที่ดินเพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตในที่ดินของโจทก์อีกแปลงซึ่งอยู่ติดกันโดยโจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองได้สะดวกโจทก์ไม่เสียหายหาได้ไม่ ปพพ มาตรา ๑๓๓๗คุ้มคลองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน)แต่ละแปลงไป คำพิพากษาฏีกา ๒๐๗๒/๒๕๑๗
ข้อสังเกต ๑.กรณีที่มีบุคคลใดใช้สิทธิ์ของตนเป็นเหตุให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเสียหาย หรือเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ และเหตุผลอันควร เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่อยู่แห่งทรัพย์สินมาคำนึงประกอบ เจ้าของอสังหาริมทรัพย์มีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไป ทั้งไม่ลบล้างที่จะเรียกค่าสินไหมทดแทน ปพพ มาตรา ๑๓๓๗
๒.การใช้สิทธิ์ซึ่งมีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่นเป็นการอันไม่ชอบ ปพพ มาตรา ๔๒๑
๓. การใช้สิทธิ์แห่งตน หรือในการชำระหนี้ ต้องกระทำโดยสุจริต ปพพ มาตรา ๕
๔.ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า บุคคลทุกคนกระทำการโดยสุจริต ปพพ มาตรา ๖
๕.การที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์จะใช้สิทธิ์ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนให้สิ้นไปจากการที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์อื่นใช้สิทธิ์ของเขาเป็นเหตุให้เราเดือดร้อนเสียหายนั้น ต้องเป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนรำคาญเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันสมควร มีคำพิพากษาฏีกาที่๑๖๔๒/๒๕๐๖,๗๐๒/๒๕๐๗,๖๔๗/๒๕๑๓,๒๐๗๒/๒๕๑๗,๑๕๙๘/๒๕๒๓,๑๐๑๑/๒๕๒๔,๔๔๓๓/๒๕๓๓,๑๑๘๑/๒๕๓๘ วินิจฉัยว่าต้องเป็นความเสียหายที่ “ เป็นพิเศษ” จึงจะเป็นการเดือดร้อนรำคาญ หากไม่เสียหายเป็นพิเศษก็ไม่ใช่การเดือดร้อนรำคาญ (คำพิพากษาฏีกา ๖๑๑/๒๕๐๗,๒๕๙๖/๒๕๑๙,๒๕๗๒/๒๕๒๐,๓๑๔๓/๒๕๒๔,๕๔๗/๒๕๒๕,๒๙๘๑/๒๕๒๘,๓๕๗๘/๒๕๓๒,๒๙๒๐/๒๕๓๗ ดังนั้นการขาดความสะดวกสบายไปบ้างยังไม่ถือเป็นความเสียหายพิเศษ
๖.รู้อยู่แล้วก่อนซื้อที่ดินว่าจะมีการทำถนนซึ่งอาจทำให้ตนไม่ได้รับความสะดวกสบายบ้างที่ถนนอาจปิดกั้นแสงแดดหรือแรงลม แต่ก็ยังซื้อ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าจึงถือไม่ได้ว่าได้รับความเสียหายเกินกว่าที่ควรคาดหมายได้ อีกทั้งก็ยังมีผู้อื่นในละแวกเดียวกันต้องรับผลดังกล่าวด้วย แต่ประชาชนดังกล่าวสามารถอยู่ได้ นั้นก็คือการดูความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษต้องดูคนอื่นในสถานที่ใกล้เคียงกันว่าสามารถอยู่ได้ด้วยหรือไม่ อีกทั้งการสร้างทางก็เป็นประโยชน์แก่คนโดยส่วนรวม แม้จะมีใครต้องเสียความสะดวกสบายไปบ้างแต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแล้วทุกคนต้องร่วมรับในผลนั้น ถือไม่ได้ว่าได้รับความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษ
๗.แต่หากข้อเท็จจริงเป็นว่า มีการสร้างถนนในภายหลังคำวินิจฉัยของศาลอาจเปลี่ยนหรืออาจเหมือนเดิมก็ได้ โดยศาลอาจมองว่าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เราอาจต้องสละอะไรบางส่วนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม ทั้งเราเองก็ได้ประโยชน์จากการสร้างถนนนั้นด้วย
๘..การที่เคยใช้ทางเท้าอันเป็นที่สาธารณะเป็นทางเข้าออกของรถยนต์ เป็นการใช้สิทธิ์ในที่สาธารณะเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปใช้อยู่ ทั้งเป็นความผิดตามกฎหมายที่ห้ามไม่ให้รถทุกชนิดใช้ทางเท้าเป็นเส้นทางเดินรถ การสร้างสะพานลอยข้ามถนนในที่สาธารณะเพื่อประโยชน์คนทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ทำให้สิทธิ์ที่จะใช้ที่สาธารณะมากกว่าประชาชนคนอื่นหมดไปบ้าง แต่ยังไม่เป็นความเสียหายหรือเดือดร้อนเกินที่ควรคาดหมาย นั้นก็คือศาลคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าที่จะคำนึงประโยชน์ส่วนบุคคล อีกทั้งการใช้ประโยชน์ส่วนบุคคลในทางเท้าที่สาธารณะก็เป็นการเป็นการเอาเปรียบคนอื่นอยู่แล้ว แม้ต่อมาจะมีการสร้างสะพานลอยอาจขวางหน้าบ้านหรือก่อความไม่สะดวกแก่เจ้าของบ้านก็ตาม ก็ยังไม่ถือเป็นความเสียหายเป็นพิเศษ
๙.ผู้พิพากษาในฐานะบุคคลธรรมดาเมื่อเดินเผชิญสืบที่เกิดเหตุย่อมใช้ความรู้สึกส่วนตัวในฐานะเป็นบุคคลธรรมดาคนหนึ่งว่า หากต้องตกอยู่ในสภาพนี้จะได้รับความเดือดร้อนรำคาญเกินกว่าที่คนทั่วไปจะสามารถทนได้หรือไม่ นั้นก็คือ กรณีได้รับความเดือดร้อนรำคาญหรือไม่เพียงใด ต้องถือตามความรู้สึกของบุคคลธรรมดา การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เสียงและการสั่นสะเทือนจากการทุบทองคำเปลวที่ห้องจำเลยถึงขนาดเดือดร้อนรำคาญเกินสมควร โดยอาศัยข้อมูลจากการเดินเผชิญสืบสถานที่พิพาทเป็นสำคัญ อันเป็นความรู้สึกของศาลชั้นต้นประกอบด้วยผู้พิพากษาสองนายในฐานะที่เป็นคนธรรมดามีหน้าที่ให้ความเที่ยงธรรมแก่ผู้มีอรรถคดีทั้งปวง มีน้ำหนักรับฟังได้
๑๐.ความเสียหายเดือดร้อนรำคาญหรือไม่ พิจารณาจากคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงมีความรู้สึกอย่างไร ไม่ใช่เอาความรู้สึกโจทก์มาเป็นเกณฑ์ นั้นคือเอาวิญญูชนมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา ทั้งอาจต้องพิจารณาจากสภาพตำแหน่งที่ตั้งของทรัพย์นั้นด้วย เช่นอยู่ในย่านชนบท หรือในเมืองหลวง ในย่านอุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม ผู้ที่อ้างว่าได้รับความเดือดร้อนรำคาญนั้นรู้อยู่ก่อนหรือไม่ว่าสภาพแวดล้อมเป็นแบบนั้นมีเสียง มีกลิ่น มีควันก็ยังย้ายเข้ามาอยู่ เท่ากับยอมรับในสิ่งที่เป็นไปตามธรรมดาที่มีมาก่อนที่จะย้ายเข้ามาอยู่ หรือสภาพแวดล้อมเพิ่งเปลี่ยนไปทีหลังจากที่เราเข้ามาอยู่ และต้องคำนึงถึงสถานที่ตั้งของผู้ได้รับความเสียหาย อยู่ใกล้ไกลจากสถานที่ตั้งของผู้ก่อให้เกิดความเสียหายมากน้อยเพียงใด ยิ่งไกลผลกระทบยิ่งมีน้อยหรือไม่มีเลย ทั้งต้องดูว่าการใช้สิทธิ์ของบุคคลภายนอกนั้นส่งผลกระทบแก่เรามากน้อยเพียงใด ส่งผลกระทบอย่างไร เรายังมีทางอื่นที่สามารถกระทำได้หรือไม่อย่างไร เช่นสร้างบ้านปิดทาง แต่ยังมีทางเข้าออกอื่นที่สามารถเข้าออกได้หรือไม่อย่างไร บางครั้งอาจต้องดูประเพณีและธรรมเนียมที่กระทำกัน เช่น มีหลุมฝังศพคนตายในบริเวณบ้าน แม้ห่าง ๑๐ เมตร แต่ก็เป็นที่หวาดกลัวและกดดันทางจิตใจ ไม่มีใครเขาเอาศพมาเก็บไว้ในบ้าน ย่อมเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป ทั้งเกิดความน่ากลัว ถือเป็นความเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษได้
๑๑.การปลูกบ้านในเมืองหลวงมีข้อควรพิจารณาคือ
๑๑.๑บ้านในกรุงเทพอันเป็นเมืองหลวงมีประชากรหนาแน่น มีอาคารบ้านเรือนตึกพาณิชย์อยู่กันหนาแน่น
๑๑.๒บ้านที่อยู่ใกล้ถนนเป็นย่านที่มีความเจริญ
๑๑.๓เมื่อมีที่ว่างของที่ดินน้อย ที่ดินจึงมีราคาแพง จึงต้องมีการก่อสร้างสูงเพื่อให้ได้ประโยชน์มากที่สุด
๑๑.๔ การที่ปลูกบ้านในละแวกดังกล่าวย่อมคาดหมายได้ว่าอาจมีผู้ปลูกอาคารสูงใกล้บ้านบังลมแสงแดดและทัศนียภาพ อันเป็นไปตามปกติและตามสมควร หรือบ้านที่ปลูกทีหลังจะถมดินให้สูงกว่าบ้านเราเพื่อไม่ให้น้ำท่วมในที่ดินของเขา
๑๑.๕ อีกทั้งการก่อสร้างดังกล่าวยังต้องได้รับการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ของรัฐที่จะอนุญาตให้สร้างอาคารได้ ซึ่งการจะอนุญาตหรือไม่นั้นเป็นไปตามที่กฏหมายกำหนดไว้
๑๑.๖ แม้จะก่อสร้างอาคารจะมีผนังทึบไม่มีช่องระบายลม แต่กระแสลมและแสงสว่างยังคงพัดผ่านและส่องมาที่บ้านได้พอสมควร หาใช่ปิดกั้นทึบจนไม่มีลมไม่มีแดด
๑๑.๗ประกอบทั้งโจทก์ก็ติดเครื่องปรับอากาศเพราะสภาพอากาศที่ร้อนอบอ้าวในกรุงเทพ เพื่อความสะดวกของโจทก์เอง ทำให้เห็นว่าโจทก์ไม่ได้สนใจต่ออากาศตามธรรมชาติ แม้จะมีลมหรือไม่มีลมก็ไม่ใช่สาระสำคัญ หาใช่การก่อสร้างของจำเลยทำให้อากาศร้อนอบอ้าวไม่
๑๑.๘การที่สร้างอาคารสูงในกรุงเทพที่ไม่ขัดต่อเทศบัญยัติหรือกฏหมายอื่นใดที่จำกัดความสูงของอาคารไว้บังบ้านโจทก์หาเป็นการใช้สิทธ์ที่มีแต่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ไม่ เพราะเพราะกรณีตามปพพ มาตรา ๔๒๑ ต้องเป็นการแกล้งโดยมุ่งต่อผลคือความเสียหายแก่ผู้อื่น แต่ถ้าเป็นการกระทำโดยประสงค์ต่อผลอันเป็นธรรมดาของสิทธิ์นั้น แม้ผู้กระทำจะเห็นว่าผู้อื่นจะได้รับความเสียหายบ้างก็ไม่เป็นการละเมิด
๑๑.๙เมื่อไม่ปรากฏว่าการก่อสร้างอาคารได้กระทำโดยการกลั่นแกล้งโดยมุ่งความเสียหายแก่โจทก์ฝ่ายเดียว การใช้สิทธิ์ในการก่อสร้างและดัดแปลงอาคาร ถือไม่ได้ว่าเป็นการอันไม่ชอบ ไม่มีเหตุที่จะรื้อถอนอาคารและกำหนดค่าขาดประโยชน์จากการใช้สอยอาคารของโจทก์
๑๒.คันคลองที่สาธารณะอันเป็นสาธารณะอันเป็นสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ปพพ มาตรา ๑๓๐๔(๒) การที่จำเลยปลูกเรือนที่คันคลองสาธารณะบังหน้าดินของโจทก์ที่โจทก์จะปลูกบ้านจัดสรรในที่ดินของโจทก์ เมื่อโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ โดยหน้าดินยังว่างไม่มีสิ่งใดปิดกั้นถึง ๑๐๐ เมตร แม้การที่จำเลยสร้างเรือนบังหน้าที่ดินของโจทก์แม้จะทำให้บรรยากาศในการมองเสียไปบ้าง อาจมีการปิดกั้นสายลมและแสงแดดไปบ้าง แต่เมื่อยังมีที่ว่างตั้ง ๑๐๐ เมตร ทั้งที่ดังกล่าวก็เป็นคันคลองสาธารณะที่ประชาชนทั่วไปทั้งโจทก์และจำเลยใช้ร่วมกัน จึงถือไม่ได้ว่าเดือดร้อนรำคาญเป็นพิเศษไม่มีอำนาจฟ้องให้รื้อถอนเรือนออกไป
๑๓.จอดเรือในคลองห่างที่ดินโจทก์ ๑๘ เมตรเศษ และมีเรือจอดก่อนที่โจทก์จะมาปลูกบ้านในที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วก่อนที่จะมาปลุกบ้านว่ามีเรือจอดอยู่บริเวณนี้อยู่แล้ว การที่โจทก์มาปลูกบ้านเท่ากับต้องยอมรับว่า ตนอาจไม่ได้รับความสะดวกสบายเพราะมีเรือจอดอยู่ อีกทั้งโจทก์ยังสามารถใช้คลองได้สะดวกเพราะมีสะพานท่าเทียบเรือสาธารณะติดกับหน้าที่ดินโจทก์สามารถสัญจรไปมาได้ จำเลยหาได้จอดเรือปิดหน้าที่ดินโจทก์ อันเป็นการใช้สิทธิ์เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เสียหายเป็นพิเศษไม่
๑๔.การที่เดือดร้อนถึงกับจะใช้สิทธิ์เพื่อยังความเดือดร้อนให้สิ้นไป ต้องได้ความว่าเดือดร้อนเกินกว่าที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติและเหตุอันควร บ้านและที่ดินตั้งอยู่ในช่วงติดต่อระหว่างถนนกับซอยซึ่งมีระดับต่างกันมาก หากไม่ทำถนนเชื่อมต่อกัน ชาวบ้านรวมทั้งโจทก์ จำเลยก็ไม่อาจใช้ซอยต่อไปยังถนนได้ เมื่อพิจารณาตำแหน่งบ้านและที่ดินโจทก์ประกอบกับสภาพถนนและซอยแล้ว กำแพงถนนไม่ได้ปิดกั้นหน้าบ้านโจทก์และอยู่ห่างบ้านโจทก์ ๓ เมตร ไม่ถือเดือดร้อนเกินควรจนไม่อาจคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติอันควรสำหรับสภาพและท้องที่เกี่ยวข้องนั้น ไม่มีสิทธิ์ฟ้องเพื่อยังความเสียหายหรือเดือดร้อนนั้นให้สิ้นไปได้
๑๕.ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ใครหาอาจอ้างสิทธิ์ใช้ยันรัฐได้ แต่ระหว่างราษฏร์ด้วยกันใครเข้าครอบครองใช้สิทธิ์ก่อนย่อมมีสิทธิ์ดีกว่าผู้เข้าครอบครองที่หลัง ดังนั้นแม้จำเลยจะปลูกบ้านในที่ริมตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน เมื่อไม่ได้รุกล้ำไปในที่โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิ์ทำเขื่อนกั้นน้ำในที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านแม้ที่ดินดังกล่าวจะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน แต่โจทก์มีสิทธิ์ทำเขื่อนในที่ดินในแนวเขตโจทก์ อีกทั้งยังโจทก์มีทางอื่นที่สามารถลงสู่คลองได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านตรงที่จำเลยปลูกบ้าน ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่ได้เสียหายเป็นพิเศษที่จะมีสิทธิ์ปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายนั้นได้
๑๖.สร้างคอกวัวและกองฟางไว้ที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดินบังหน้าที่ดินโจทก์ยาว ๑๐ วา เหลือช่องให้โจทก์เข้าออกถนนได้ ๒ วา ทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้หน้าที่ดินอันเป็นทางสาธารณะมีความยาว ๑๒ วา เข้าออกถนนได้ตามสิทธิ์ของโจทก์ ถือว่าระยะ ๑๒ วามีความยาวพอสมควร การสร้างสิ่งปลูกสร้างในที่สาธารณะจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ตามปกติ การใช้สิทธิ์ของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้รับความเดือดร้อนเสียหายเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายว่าจะได้เป็นไปตามปกติ โจทก์มีสิทธิ์ดำเนินการให้ความเสียหายและเดือดร้อนนั้นสิ้นไป มีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนคอกวัวและขนย้ายกองฟางออกไปได้
๑๗.แม้โรงเรือนจำเลยไม่บังที่ดินโจทก์ด้านถนนหลวง แต่ก็ปลูกในที่ชายตลิ่งด้านที่ดินโจทก์ติดริมคลอง กีดกั้นระหว่างที่ดินโจทก์กับคลอง ทำให้ที่ดินโจทก์ด้านนั้นถูกลิดรอนความสะดวกไปบ้าง โจทก์มีสิทธิ์ให้รื้อถอนโรงเรือนได้
๑๘.จำเลยปลูกบ้านที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินหน้าที่ดินโจทก์ บังที่ดินโจทก์ ย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่ดินติดต่อที่ชายตลิ่งเสียหาย ไม่อาจใช้หรือรับประโยชน์จากที่ดินชายตลิ่งอันเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นได้ต่อไป เมื่อไม่สามารถใช้หรือได้รับประโยชน์จากที่เคยได้รับถือได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ มีสิทธิ์ฟ้องบังคับให้รื้อถอนเรือนให้พ้นหน้าที่ดินเพื่อยังความเสียหายให้สิ้นไปได้ จำเลยจะอ้างว่าโจทก์มีท่าน้ำเป็นสะพานคอนกรีตในที่ดินของโจทก์อีกแปลงซึ่งอยู่ติดกันโดยโจทก์สามารถใช้สะพานนี้ลงคลองได้สะดวกโจทก์ไม่เสียหายหาได้ไม่ ปพพ มาตรา ๑๓๓๗คุ้มคลองเจ้าของอสังหาริมทรัพย์(ที่ดิน)แต่ละแปลงไปหาใช่คุ้มครองที่ดินหลายแปลงที่อยู่ติดกันไม่

ไม่มีความคิดเห็น: