ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2560

โกงค่าเช่าบ้าน

ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิของผู้ให้เช่า จึงเป็นเอกสารสิทธิ จำเลยนำใบเสร็จค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้น และเป็นเอกสารเท็จยื่นประกอบแบบใบขอเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกค่าเช่าบ้าน และจำเลยได้รับค่าเช่าบ้านจากคลังจังหวัดชุมพรไป กากรกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักคลังจังหวัด ช. หลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริงและโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สนง.คลังจังหวัด ช. หลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริง และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สนง.คลังจังหวัด ช. หลงเชื่อ ทำให้จำเลยจำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่สนง.คลังจังหวัดช. อันน่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ช. เจ้าหน้าที่คลังจังหวัด ช. กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงเป้นความผิดฐานฉ้อโกงและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมตาม ปอ มาตรา ๓๔๑,๒๖๘ เป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเอกสารและกรอกข้อความลงในเอกสารรับรองรับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จ ตาม ปอ มาตรา ๑๖๒(๔) เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ เมื่อเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๒(๔)ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ปรับบทลงโทษตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
การที่จำเลยดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัด ช.ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการของสนง.สหกรณ์จังหวัด ช. ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ช. ให้ทำการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ชง ในการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของข้าราชการและลูกจ้างในสนง.สหกรณ์จังหวัด ช. ทำการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินในแบบใบขอเบิกค่าเช่าบ้านโดยรู้อยู่แล้วว่าใบขอเบิกค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านเป็นเอกสารปลอมและมีข้อความเท็จ โดยจำเลยลงลายมือชื่ออนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านได้เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพำนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
เอกสารพิพาทเป็นเอกสารของจำเลยที่จำเลยนำเงินส่วนที่เบิกเกินไปคืนทางราชการและตามใบเสร็จของกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับเงินจากจำเลย ไม่ปรากฏได้มีการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในความผิดฐานฉ้อโกง ลำพังการที่จำเลยส่งเงินส่วนที่เบิกเกินคืนกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์รับไว้ ก็เป็นเพียงทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางแพ่งเท่านั้น ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางอาญา ถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันอันจะทำให้สิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงระงับตาม ปวอ มาตรา ๓๙(๒) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงและในความผิดฐานอื่น
การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านอันเป็นเอกสารสิทธิ์ซึ่งเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๖๕ เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่จำเลยนำแบบขอเบิกค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านอันเป็นเอกสารสิทธิ์ที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าวซึ่งมีข้อความเท็จเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ช. เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่ สนง.คลังจังหวัด ช.หลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านจริงและโดยการหลอกลวงทำให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่ สนง.คลังจังหวัด ช.หลงเชื่อ ทำให้จำเลยได้รับเงินตามที่ขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่คลังจังหวัด ช. อันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๔๑,๒๖๘ การที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงานกรอกข้อความได้รับรองคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านได้รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จอันเป้นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๒(๔) การที่จำเลยดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัด ช.ซึ่งเป็นหัวหน้าสนง.สหกรณ์จังหวัด ช. ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ช. ในการอนุมัติการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ช. ลงลายมือชื่ออนุมัติการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของจำเลยในแบบคำขอเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้นและมีข้อความอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ซี่งเป็นการกระทำคนละครั้งครากัน การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้าน นำใบเสร็จดังกล่าวไปประกอบการยื่นคำขอเบิกค่าเช่าบ้าน ลงลายมือชื่อรับรองการเบิกเงินค่าเช่าบ้านรวมทั้งลายมือชื่ออนุมัติจ่ายเงินค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนดังกล่าว แม้เป็นกากรกระทำต่างกรรมต่างวาระกันแต่ก็เป็นการกระทำโดยมีเจตนาและจุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือ มุ่งที่จะได้รับเงินค่าเช่าบ้าน การกระทำดังกล่าวตั้งแต่ปลอมใบเสร็จค่าเช่าบ้านจนถึงการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านจึงเป็นกระบวนการเดียวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยประสงค์ เป็นการกระทำต่อเนื่อง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกันในแต่ละเดือนแต่ละคำขอตาม ปอ มาตรา ๙๐ เมื่อกระทำการดังกล่าว ๑๒ เดือน เดือนละ ๑ ครั้ง รวม ๑๒ ครั้ง เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ปอ มาตรา ๙๑ ในแต่ละกรรมต้องลงบทกฎหมายที่หนักสุดคือตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา ๖๑๕๔/๒๕๔๐
ข้อสังเกต ๑.เอกสารสิทธิ์ เป็นเอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการ ก่อ เปลี่ยนแปลงโอนสงวน หรือระงับซึ่งสิทธิ์ ปอ มาตรา ๑(๙)
๒.ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ์ของผู้ให้เช่าที่ผู้เช่าเมื่อได้ชำระค่าเช่าให้ผู้ให้เช่าแล้ว สิทธิ์ในการทวงค่าเช่าจากผู้ให้เช่าย่อมหมดไป ใบเสร็จรับเงินค่าเช่า จึงเป็นเอกสารสิทธิ์
๓. โดยเจตนาทุจริต แสวงหาประโยชน์อันไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยนำใบเสร็จค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้นทั้งฉบับ โดยเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารเท็จว่ามีการเช่าบ้านและชำระค่าเช่าบ้านนำมายื่นประกอบแบบใบขอเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อเบิกค่าเช่าบ้าน และจำเลยได้รับค่าเช่าบ้านจากคลังจังหวัดชุมพรไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่า มีการเช่าบ้านกันจริงโดยมีใบเสร็จชำระค่าเช่าบ้านเป็นหลักฐาน ทั้งที่ความจริงไม่มีการเช่าบ้านกันจริง และไม่มีใบเสร็จรับชำระค่าเช่ากันจริงๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สำนักคลังจังหวัด ช. หลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริงและโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สนง.คลังจังหวัด ช. หลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินดังกล่าวจริง และโดยการหลอกลวงดังกล่าวทำให้เจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่สนง.คลังจังหวัด ช. หลงเชื่อ ทำให้จำเลยจำเลยได้รับเงินค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่สนง.คลังจังหวัด ช ผู้ถูกหลอกลวง. อันน่าจะเกิดความเสียหายต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ช. เจ้าหน้าที่คลังจังหวัด ช. กรมส่งเสริมสหกรณ์ จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ปอ มาตรา ๓๔๑
๔.จำเลยนำใบเสร็จรับเงินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิ์ที่จำเลยทำปลอมขึ้นมาทั้งฉบับเพื่อยื่นขอรับเงินค่าเช่าบ้าน โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อ สนง.คลังจังหวัด ช โดยกระทำการเพื่อให้คลังจังหวัด ช. หลงเชื่อว่าเป็นใบเสร็จรับเงินที่แท้จริงแล้วนำมายื่นเพื่อขอเบิกค่าเช่าบ้าน จึงเป็นการปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมตาม ปอ มาตรา ๒๖๔,๒๖๘ ซึ่ง ปอ มาตรา ๒๖๘ให้ลงโทษตาม ปอ มาตรา ๒๖๘ กระทงเดียว
๕จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่รับเอกสารและกรอกข้อความลงในเอกสาร รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จว่า ใบเสร็จค่าเช่าบ้านเป็นใบเสร็จอันแท้จริงมีการเช่าบ้านกันจริง มีการชำระค่าเช่าบ้านกันจริง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๒(๔) และฐานเป็นเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ เมื่อเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๒(๔)ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่ปรับบทลงโทษตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบททั่วไป
๖.จำเลยดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัด ช.ซึ่งเป็นหัวหน้าส่วนราชการของสนง.สหกรณ์จังหวัด ช. ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ช. ให้ทำการแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ช ในการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของข้าราชการและลูกจ้างในสนง.สหกรณ์จังหวัด ช. ทำการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินในแบบใบขอเบิกค่าเช่าบ้านโดยรู้อยู่แล้วว่าใบขอเบิกค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านเป็นเอกสารปลอมและมีข้อความเท็จเพราะไม่มีการเช่าบ้านกันจริงๆ จำเลยลงลายมือชื่ออนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านได้เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดและโดยทุจริตตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๗. แม้จะมีการนำเงินที่เบิกไปโดยไม่ชอบมาคืนทางราชการแล้วก็ไม่ลบล้างผลแห่งการกระทำความผิดที่เป็นอาญาแผ่นดิน แม้ความผิดฐานฉ้อโกงจะเป้นความผิดต่อส่วนตัว แต่เอกสารพิพาทที่เป็นเอกสารของจำเลยที่จำเลยนำเงินส่วนที่เบิกเกินไปคืนทางราชการและตามใบเสร็จของกรมส่งเสริมสหกรณ์ได้รับเงินจากจำเลย เมื่อไม่ปรากฏได้มีการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในความผิดฐานฉ้อโกงซึ่งเป็นความผิดต่อส่วนตัวที่สามารถยอมความกันได้ตาม ปอ มาตรา ๓๔๘แล้ว ลำพังการที่จำเลยส่งเงินส่วนที่เบิกเกินคืนกรมส่งเสริมสหกรณ์และกรมส่งเสริมสหกรณ์รับไว้ ก็เป็นเพียงทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางแพ่งฐานละเมิดตาม ปพพ มาตรา ๔๒๐เท่านั้น ไม่ทำให้จำเลยพ้นความรับผิดทางอาญา ถือไม่ได้ว่าเป็นการยอมความกันอันจะทำให้สิทธิ์ในการนำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงระงับตาม ปวอ มาตรา ๓๙(๒) พนักงานอัยการจึงมีอำนาจฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงและในความผิดฐานอื่น ตาม ปวอ มาตรา ๑๒๖ วรรคท้าย
๘..การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านขึ้นมาทั้งฉบับอันเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ์ เมื่อได้กระทำหลายเดือน การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๖๕ เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
๙.จำเลยนำแบบขอเบิกค่าเช่าบ้านและใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านอันเป็นเอกสารสิทธิ์ที่จำเลยทำปลอมขึ้นดังกล่าวซึ่งมีข้อความเท็จเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ช. เพื่อให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่ สนง.คลังจังหวัด ช.หลงเชื่อว่าจำเลยได้เช่าบ้านจริงและโดยการหลอกลวงทำให้เจ้าหน้าที่สนง.ตรวจเงินแผ่นดินเขตและเจ้าหน้าที่ สนง.คลังจังหวัด ช.หลงเชื่อ ทำให้จำเลยได้รับเงินตามที่ขอเบิกจ่ายไปจากเจ้าหน้าที่คลังจังหวัด ช. อันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๔๑,๒๖๘ ส่วนที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกรอกข้อความได้รับรองคำขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านได้รับรองเป็นหลักฐานซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๒(๔)
๑๐.การที่จำเลยดำรงตำแหน่งสหกรณ์จังหวัด ช.ซึ่งเป็นหัวหน้าสนง.สหกรณ์จังหวัด ช. ได้รับมอบหมายจากผู้ว่าราชการจังหวัด ช. ในการอนุมัติการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านแทนผู้ว่าราชการจังหวัด ช. ลงลายมือชื่ออนุมัติการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของจำเลยในแบบคำขอเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านตามใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้านที่จำเลยปลอมขึ้นและมีข้อความอันเป็นเท็จอันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ เป็นการกระทำคนละครั้งครากัน การที่จำเลยปลอมใบเสร็จรับเงินค่าเช่าบ้าน นำใบเสร็จดังกล่าวไปประกอบการยื่นคำขอเบิกค่าเช่าบ้าน ลงลายมือชื่อรับรองการเบิกเงินค่าเช่าบ้านรวมทั้งลายมือชื่ออนุมัติจ่ายเงินค่าเช่าบ้านในแต่ละเดือนดังกล่าว แม้เป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกันแต่ก็เป็นการกระทำโดยมีเจตนาและจุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือ มุ่งที่จะได้รับเงินค่าเช่าบ้าน การกระทำดังกล่าวตั้งแต่ปลอมใบเสร็จค่าเช่าบ้านจนถึงการอนุมัติให้เบิกจ่ายค่าเช่าบ้านจึงเป็นกระบวนการเดียวกันเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าเช่าบ้านตามที่จำเลยประสงค์ เป็นการกระทำต่อเนื่อง จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวกันในแต่ละเดือนแต่ละคำขอตาม ปอ มาตรา ๙๐ เมื่อกระทำการดังกล่าว ๑๒ เดือน เดือนละ ๑ ครั้ง รวม ๑๒ ครั้ง เป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตาม ปอ มาตรา ๙๑ ในแต่ละกรรมต้องลงบทกฎหมายที่หนักสุดคือตาม ปอ มาตรา ๑๕๗

ไม่มีความคิดเห็น: