- ประมวลกฎหมายอาญา ม. 210, 295
- ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 วรรคหนึ่ง, 195 วรรคสอง, 225
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกสมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 ซึ่งเป็นความผิดที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงองค์ประกอบความผิดว่า ความผิดนั้นมีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป แม้โจทก์จะมีคำขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตาม ป.อ. มาตรา 210 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งห้าตามมาตรา 210 วรรคสอง ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 210, 289, 290 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1102/2561 ของศาลชั้นต้น และเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 หนึ่งในสามตามกฎหมายจำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ และจำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษระหว่างพิจารณานายสมศรี บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายธีรศักดิ์ ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวม 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้องจำเลยทั้งห้าให้การในคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้องศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 จำเลยที่ 1 มีความผิดตามมาตรา 290 วรรคสอง, 289 (4) ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 อายุตั้งแต่สิบแปดปีแต่ยังไม่เกินยี่สิบปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 8 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรคนละ 2 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 3 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 ปี 8 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้ต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1094/2561 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลให้รอการลงโทษจึงไม่อาจนับโทษต่อ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ในข้อหาร่วมกันทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน กับให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ยกคำร้องที่ขอให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ชำระค่าสินไหมทดแทน ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 โดยคู่ความมิได้โต้แย้งในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2561 เวลากลางคืน มีการแสดงหมอลำที่บ้านชาติ หมู่ที่ 5 และที่บ้านหัวฝาย หมู่ที่ 6 จำเลยทั้งห้ากับพวกชมการแสดงหมอลำที่บ้านหัวฝายก่อนแล้วจึงพากันไปชมการแสดงที่บ้านชาติ จนกระทั่งใกล้เวลา 1 นาฬิกา ของวันที่ 8 เมษายน 2561 มีกลุ่มวัยรุ่นไม่ทราบว่ามาจากหมู่บ้านใดเข้ามาล้อมจำเลยทั้งห้ากับพวกแล้วขว้างขวดใส่ เป็นเหตุให้นายสุริยันต์หรือโก๊ะตี๋ พวกของจำเลยทั้งห้าได้รับบาดเจ็บเลือดออกที่บริเวณใบหน้า เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณงานเข้าห้ามทั้งสองกลุ่มไม่ให้วิวาทกันและนำจำเลยทั้งห้ากับพวกออกจากงานโดยตามไปส่งจนถึงบ้านหัวฝาย ต่อมาเวลา 1 นาฬิกาเศษ ของวันเกิดเหตุ ขณะที่ผู้ตายเดินอยู่บนถนนสายบ้านเปือยใหญ่ – บ้านชาติ บริเวณหน้าที่ทำการองค์การบริหารส่วนตำบลเปือยใหญ่ จำเลยที่ 1 กับพวกขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาพบจึงขว้างขวดเบียร์ใส่ เตะ ถีบ และกระทืบใบหน้ากับศีรษะของผู้ตายหลายครั้ง ผู้ตายถูกนำส่งโรงพยาบาลและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา เนื่องจากสมองได้รับบาดเจ็บมีเลือดออกจากการกระแทกของแข็งไม่มีคมอย่างแรง สำหรับความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่มีคู่ความฎีกา จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 คดีส่วนแพ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 8 เมษายน 2561 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง และยกคำร้องในส่วนของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 ไม่มีคู่ความอุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจรตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 หรือไม่ เห็นว่า แม้พยานโจทก์ดังกล่าวหลีกเลี่ยงไม่เบิกความว่าที่หน้าร้านค้ายายขาวที่บ้านหัวฝายมีการพูดคุยตกลงกันว่าจะไปทำร้ายกลุ่มวัยรุ่นบ้านชาติเพื่อเป็นการแก้แค้นที่นายสุริยันต์ถูกทำร้ายบาดเจ็บมาก่อนก็ตาม แต่โจทก์ก็มีนายภัควัตรเบิกความยืนยันว่า ที่หน้าร้านค้ายายขาวมีการพูดคุยตกลงกันว่าจะไปเอาคืน ซึ่งหมายถึงแก้แค้นกลุ่มวัยรุ่นบ้านชาติ แต่พยานไม่ไปเพราะพาน้องอายุยังน้อยมาด้วยจึงกลับบ้านพร้อมกับรถกระบะของนายสมหวัง นายภัควัตรรู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเบิกความได้ต่อเนื่องเชื่อมโยงและสมเหตุสมผล ทั้งสอดคล้องกับคำเบิกความตอนหนึ่งของนายสุริยันต์ที่ว่ากลุ่มนายสมหวังกลับบ้านไปก่อน คำเบิกความของนายภัควัตรจึงมีน้ำหนักให้รับฟัง การที่พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อหาและดำเนินคดีแก่นายภัควัตรก็เนื่องจากนายภัควัตรไม่ได้ร่วมเดินทางไปก่อเหตุด้วย หาได้มีข้อพิรุธว่าจะเป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดเพื่อให้ตนเองพ้นผิดอย่างที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างในฎีกาไม่ เมื่อฟังคำเบิกความของนายภัควัตรประกอบกับพยานโจทก์ปากอื่น ๆ ที่ว่ามีการรวมตัวกันที่หน้าร้านค้ายายขาวที่บ้านหัวฝายก่อนเดินทางไปบ้านชาติ ซึ่ง ณ ที่นั้นมีนายสุริยันต์ที่เพิ่งถูกทำร้ายมาและยังมีบาดแผลบนใบหน้าให้เห็นอยู่ด้วย ทั้งมีการชักชวนนายวิชัย นายอนุรักษ์และนายพลากรให้ร่วมเดินทางไปบ้านชาติด้วย อันเป็นพฤติกรรมรวบรวมพรรคพวกเพื่อไปก่อเหตุมากกว่าไปชมการแสดงหมอลำตามข้ออ้าง ซึ่งขณะนั้นการแสดงน่าจะเลิกแล้ว เมื่อถึงที่เกิดเหตุพบผู้ตายเดินอยู่บนถนนเพียงลำพังก็เข้าทำร้ายทันที โดยนายสุริยันต์เบิกความถึงเหตุการณ์ในช่วงนี้ว่า มีคนในกลุ่มพยานตะโกนว่าผู้ตายเป็นคนขว้างขวดใส่พยาน พยานจึงขว้างขวดเบียร์ใส่ผู้ตายและพวกพยานเข้ารุมทำร้ายผู้ตาย ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนเป็นข้อบ่งชี้ว่า ก่อนเกิดเหตุมีการคบคิดประชุมวางแผนและตกลงกันที่หน้าร้านค้ายายขาวที่บ้านหัวฝายว่าจะไปแก้แค้นกลุ่มวัยรุ่นบ้านชาติ โดยมีการตระเตรียมขวดเบียร์ที่ใช้ขว้างผู้ตายไปด้วย แม้นายสุริยันต์จะเบิกความอ้างว่าเรื่องที่ตนเองถูกทำร้ายและต้องการแก้แค้นนั้นเป็นความคิดอยู่ในใจไม่ได้บอกพวกของตนก็ตาม แต่เป็นข้ออ้างที่ขัดต่อเหตุผลเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกันทันที ในชั้นสอบสวนนายสุริยันต์นายวิชัยและนายอนุรักษ์ก็ได้ให้การไว้ในฐานะพยานโดยมีรายละเอียดข้อเท็จจริงตรงกันว่าก่อนเกิดเหตุมีการประชุมกันที่หน้าร้านค้ายายขาวที่บ้านหัวฝายว่า จะกลับไปเอาคืนหรือแก้แค้นกลุ่มวัยรุ่นที่ทำร้ายนายสุริยันต์ ซึ่งมีจำเลยที่ 2 เข้าร่วมประชุมด้วย โดยพันตำรวจโทศราวุธ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรโนนศิลา เบิกความยืนยันว่า ในการสอบปากคำพยานทั้งสามปากดังกล่าวมีผู้ปกครองหรือบุคคลที่พยานไว้วางใจร่วมฟังการสอบสวนและได้สอบสวนต่อหน้าสหวิชาชีพ นายสุริยันต์และนายอนุรักษ์ให้การในวันรุ่งขึ้นหลังเกิดเหตุ ส่วนนายวิชัยให้การหลังเกิดเหตุเพียงสองวัน เชื่อว่าขณะนั้นไม่มีโอกาสคิดปรุงแต่งเรื่องเพื่อกลั่นแกล้งปรักปรำหรือช่วยเหลือจำเลยที่ 2 กับพวก แม้บันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนจะเป็นพยานบอกเล่า แต่ตามสภาพ ลักษณะ แหล่งที่มา และข้อเท็จจริงแวดล้อมของบันทึกคำให้การดังกล่าว น่าเชื่อว่าจะพิสูจน์ความจริงได้ จึงเป็นพยานหลักฐานที่รับฟังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (1) การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและสหวิชาชีพหาได้มีการจูงใจหรือกระทำโดยไม่ชอบอย่างที่จำเลยที่ 2 กล่าวอ้างในฎีกาไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 อยู่ในเหตุการณ์ตลอดตั้งแต่ตอนชมการแสดงหมอลำที่บ้านหัวฝายแล้วย้ายไปชมการแสดงที่บ้านชาติ ตอนเกิดเหตุที่นายสุริยันต์ได้รับบาดเจ็บที่บ้านชาติ ตอนกลับมารวมตัวกันที่หน้าร้านค้ายายขาวที่บ้านหัวฝาย ตลอดจนตอนกลับไปที่บ้านชาติอีกครั้งและเกิดเหตุทำร้ายผู้ตายซึ่งเป็นวัยรุ่นกลุ่มบ้านชาติ เช่นนี้ย่อมรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมคบคิดประชุมวางแผนและตกลงว่าจะไปทำร้ายผู้อื่นด้วย เมื่อเป็นการสมคบกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันเป็นซ่องโจร โดยหาจำต้องเป็นการสมคบเพื่อทำร้ายบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะเจาะจงอย่างที่จำเลยที่ 2 ฎีกาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้นอย่างไรก็ตาม คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งห้ากับพวกสมคบกันเพื่อกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ซึ่งเป็นความผิดที่บัญญัติไว้ในภาค 2 และความผิดนั้นมีกำหนดโทษจำคุกอย่างสูงตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงองค์ประกอบความผิดว่า ความผิดนั้นมีระวางโทษถึงประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิตหรือจำคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้นไป แม้โจทก์จะมีคำขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 ศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งห้าตามมาตรา 210 วรรคสอง ไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่ง ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 210 วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ให้จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 คนละ 1 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 3 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 4 เดือน ส่วนโทษของจำเลยที่ 1 และนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น