ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

คำรับอันเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของจำเลย


  • ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 91, 265, 268, 335
  • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 226/3, 227/1

        คำรับของจำเลยทั้งสองแม้จะถือว่าเป็นคำรับอันเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของจำเลยทั้งสองและสามารถใช้ยันจำเลยทั้งสองในชั้นพิจารณาของศาลได้ก็ตาม แต่โจทก์ต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบให้มั่นคงว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำผิดตามคำรับด้วยจึงจะลงโทษจำเลยทั้งสองได้แม้จำเลยที่ 2 ปลอมใบส่งสินค้าและนำใบส่งสินค้าปลอมไปใช้ภายหลังจากที่จำเลยที่ 2 ได้ลักทรัพย์ของนายจ้างสำเร็จไปแล้ว แต่ก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกัน โดยจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะนำเอกสารปลอมที่ทำขึ้นไปใช้เป็นหลักฐานเพื่อปกปิดการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ที่ตนก่อขึ้น ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตาม ป.อ. มาตรา 90
        โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 334, 335, 261, 265, 268 ริบใบส่งสินค้าปลอมของกลาง และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินที่ผู้เสียหายยังไม่ได้รับคืน 488,254 บาท แก่ผู้เสียหายจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ประกอบมาตรา 83 และจำเลยที่ 2 มีความผิดตามมาตรา 265, 268 วรรคแรก การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง จำคุกจำเลยที่ 1 กระทงละ 4 ปี รวม 21 กระทง เป็นจำคุก 84 ปี จำคุกจำเลยที่ 2 กระทงละ 4 ปี รวม 29 กระทงเป็นจำคุก 116 ปี ฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานใช้เอกสารสิทธิปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 วรรคแรก (ที่ถูก มาตรา 265) แต่กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 2 ปีรวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 2 ทั้งสิ้น 124 ปี แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 20 ปี และคงให้จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 20 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนเงินแก่ผู้เสียหาย 451,561บาท และให้จำเลยที่ 2 คืนเงินแก่ผู้เสียหาย 36,693 บาท คำขออื่นให้ยก
        จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
        ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265 (เดิม), 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 265 (เดิม) มาตรา 335 (11) วรรคแรก (เดิม) การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานลักทรัพย์นายจ้างกับฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานลักทรัพย์นายจ้าง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (11) วรรคแรก (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 8 ปี ให้จำเลยที่ 2 คืนเงินแก่ผู้เสียหาย 93,385 บาท ข้อหาและคำขออื่นสำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
        โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
        ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า สำหรับคดีในส่วนของจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง กับความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดทั้งสามฐานตามฟ้อง ข้อดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการแรกว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ และจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คำรับของจำเลยทั้งสอง แม้จะถือว่าเป็นคำรับอันเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของจำเลยทั้งสองและสามารถใช้ยันจำเลยทั้งสองในชั้นพิจารณาของศาลได้ก็ตาม แต่โจทก์ต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบให้มั่นคงว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำผิดตามคำรับด้วย จึงจะลงโทษจำเลยทั้งสองได้ ซึ่งแม้โจทก์จะมีนางสาวบุณยพรพนักงานบัญชีของผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความ แต่นางสาวบุณยพรก็เบิกความปากเดียวลอย ๆ โดยไม่มีพยานบุคคลหรือพยานเอกสารสนับสนุนให้เห็นว่าผู้เสียหายยังไม่ได้รับเงินค่าสินค้าจากลูกค้าทั้ง 18 ราย จริงดังที่อ้าง พยานหลักฐานโจทก์ข้างต้นจึงมีข้อพิรุธบกพร่องและไม่ได้ทำให้คำรับของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักมั่นคงขึ้นแต่อย่างใด ดังนี้ เมื่อข้อนำสืบของโจทก์ที่วินิจฉัยเป็นลำดับมา มีแต่คำรับของจำเลยทั้งสองโดยไม่มีพยานหลักฐานประกอบอื่นมาแสดงให้เห็นว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้กระทำความผิด คดีจึงมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง และจำเลยที่ 2 กระทำความผิดตามฟ้อง ดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งสองในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามฟ้องข้อดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างกับฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม หรือไม่เห็นว่า เอกสารสิทธิที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายขายมีอำนาจจัดทำในหน้าที่เพียงคนเดียว ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 จัดทำใบส่งสินค้ารายการเดียวกันซ้ำกัน โดยมีข้อความแตกต่างกัน และมีลายมือชื่อปลอมของผู้ที่เกี่ยวข้องอยู่ในเอกสารดังกล่าวโดยเจ้าของลายมือชื่อที่แท้จริงมิได้รู้เห็นยินยอมย่อมแสดงให้เห็นถึงข้อพิรุธอย่างชัดแจ้งของจำเลยที่ 2 ทั้งการที่จำเลยที่ 2 พิมพ์ใบส่งสินค้าซ้ำขึ้นมาโดยมีการแก้ไขข้อความในเอกสารและมีการลงลายมือชื่อปลอมของผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็ทำให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 2 ว่าจะทำใบส่งสินค้าปลอมไปใช้ปกปิดการกระทำของตนที่ได้ลักเงินค่าสินค้าของผู้เสียหายไปนั่นเอง ส่วนที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า ใบส่งสินค้าสามารถสั่งพิมพ์ได้เพียงครั้งเดียว และหากจะสั่งพิมพ์ซ้ำครั้งต่อไประบบจะล็อกไว้โดยต้องขออนุญาตผู้บริหารของผู้เสียหายเสียก่อนจึงจะสั่งพิมพ์ได้นั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 เบิกความปากเดียวโดยไม่มีพยานหลักฐานมานำสืบหักล้างให้เห็นประจักษ์ จึงง่ายแก่การกล่าวอ้าง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง กับฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอม รวม 4 กระทง และให้จำเลยที่ 2 คืนเงินแก่ผู้เสียหาย 93,385 บาท มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประการสุดท้ายมีว่า ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างตามฟ้องเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 ปลอมใบส่งสินค้าและนำใบส่งสินค้าปลอมไปใช้ภายหลังจากที่จำเลยที่ 2 ได้ลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างสำเร็จไปแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกันโดยจำเลยที่ 2 มีเจตนาที่จะนำเอกสารปลอมที่ทำขึ้นไปใช้เป็นหลักฐานเพื่อปกปิดการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ที่ตนก่อขึ้น ดังนี้ ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้างจึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกันอันเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานลักทรัพย์ที่เป็นของนายจ้าง ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 ในความผิดตามฟ้องข้อดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกันพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบใบส่งสินค้าปลอมของกลาง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5

ไม่มีความคิดเห็น: