ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2562

พูดขู่เข็ญโจทก์ว่า “มึงอยากตายหรือ”

พูดขู่เข็ญโจทก์ว่า “มึงอยากตายหรือ” เป็นการกระทำโดยจงใจทำให้โจทก์เสียหายเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ การตกใจกลัวถือเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน
คำพิพากษาฎีกาที่ 4571/2556(ถูกนำไปออกข้อสอบเนติคับ)
จำเลยถืออาวุธปืนติดตัวออกมาบริเวณทางเดินเท้าสาธารณะ ซึ่งอยู่ติดกับถนนสาธารณะ หลังจากมีปากเสียงกับโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหาย แล้วพูดขู่เข็ญโจทก์ว่า #มึงอยากตายหรือ เป็นการกระทำโดยจงใจทำให้โจทก์เสียหายเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 แม้ว่าจำเลยจะมิได้ยิงอาวุธปืนก็ตาม การที่จำเลย #ใช้อาวุธปืนข่มขู่โจทก์ เป็นการ#ทำให้โจทก์เสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของโจทก์ #เพราะทำให้โจทก์ตกใจกลัว #เป็นความเสียหายเกี่ยวกับความรู้สึกทางด้านจิตใจ #ซึ่งเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน ตาม ป.พ.พ. มาตรา 446 โจทก์มีสิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้

ปิดทางเข้าออกผู้อื่น

ปิดทางเข้าออกผู้อื่น แม้มิใช่ภาระจำยอมก็เป็นละเมิด
คำพิพากษาฎีกาที่ 246/2550 
แม้ทางพิพาทจะมิใช่ทางภาระจำยอม แต่โจทก์และบริวารก็ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกถนนสายบางนา-ตราด เพราะยังไม่มีทางอื่น การที่จำเลยที่ 1 นำดินมาปิดกั้นทางพิพาทและขุดรื้อทางพิพาทออก โดยยังไม่จัดทำถนนเส้นใหม่เพื่อให้โจทก์และบริวารใช้เป็นทางเข้าออกถนนสายบางนา-ตราด #ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ได้ และถือเป็นการละเมิดสิทธิการใช้ทางพิพาทต่อโจทก์ด้วย

รวมฎีกาเกี่ยวกับสถานที่จอดรถ

รวมฎีกาเกี่ยวกับสถานที่จอดรถ ถ้ารถยนต์หายใครมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบบ้าง….?
คำพิพากษาฎีกาที่ 1908/2559
จำเลยที่ 1 ผู้ว่าจ้างทำสัญญาว่าจ้างจำเลยที่ 2 ผู้รับจ้างให้ดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้ว่าจ้างไม่ได้ว่าจ้างให้ดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้พักอาศัย #อพาร์ตเม้น จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ตามสัญญาที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้พักอาศัยของอพาร์ตเม้นไม่ว่าผู้เช่าห้องพักจะจอดรถในอาคารหรือนอกอาคารจอดรถซึ่งจะเสียค่าบริการจอดรถเป็นรายเดือนหรือไม่ก็ตาม การรักษาความปลอดภัยในรถยนต์ไม่แตกต่างกันเพราะไม่ว่าจะจอดบริเวณใดจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้จัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยตรวจตรารักษาความปลอดภัยของรถยนต์ #การเรียกเก็บค่าจอดรถเป็นรายเดือนเป็นเพียงการอำนวยความสะดวกให้ผู้พักอาศัยเป็นทางเลือก หากต้องการจอดรถในอาคารเพื่อรถไม่เสียหายจากแสงแดดหรือฝนตกดังนี้ไม่อาจรับฟังเป็นปริยายถึงพฤติกรรมของจำเลยทั้งสองว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์สินของผู้พักอาศัย #ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะดูแลรักษาทรัพย์สินของผู้พักอาศัย การที่รถยนต์ที่ ส. เอาประกันภัยไว้กับโจทก์สูญหายไปจึงมิใช่ความผิดของจำเลยทั้งสอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 4125/2557
การที่จำเลยร่วมจัดที่จอดรถให้แก่ลูกค้าของจำเลยร่วมนั้น #ถือว่าเป็นการให้บริการอย่างหนึ่งของจำเลยร่วมเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าผู้มาใช้บริการ #ซึ่งถือได้ว่ามีผลโดยตรงต่อยอดการจำหน่ายสินค้า เมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดโดยปล่อยปะละเลยให้คนร้ายลักรถของผู้เอาประกันภัยซึ่งจอดรถอยู่ในลานจอดรถของจำเลยร่วมไป จำเลยร่วมจึงต้องร่วมรับผิด
คำพิพากษาฎีกาที่ 7471/2556
จำเลยเป็นบริษัทมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการห้างสรรพสินค้า ย่อมต้องให้ความสำคัญด้านบริการไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้าความปลอดภัย ความสะดวกสบายเพื่อสร้างความพอใจและดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการและซื้อสินค้า #เฉพาะอย่างยิ่งบริการเกี่ยวกับสถานที่จอดรถ เป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจของลูกค้าที่จะเข้าไปซื้อสินค้าหรือใช้บริการอื่น ๆ หรือไม่ ทั้งพ.ร.บ. ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาตรา 8 (9) , 34 #บัญญัติให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารต้องมีพื้นที่จอดรถเพื่ออำนวยความสะดวกแก่การจราจรทั้งจำเลยยังต้องคำนึงถึงความปลอกภัยของลูกค้าในชีวิตและทรัพย์สินและมีหน้าที่ดูแลด้วยตามสมควรมิใช่ปล่อยให้ลูกค้าระมัดระวังหรือเสี่ยงภัยเอง แม้จำเลยปิดประกาศไว้ว่าจะไม่รับผิดชอบต่อการสูญหายหรือเสียหายใดๆ #ก็เป็นเรื่องข้อกำหนดของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวไม่มีผลเป็นการยกเว้นความผิดในการกระทำละเมิดของจำเลย
#เปรียบเทียบโรงแรม
คำพิพากษาฎีกาที่ 10946/2557
การที่จำเลยที่ 2 จัดให้มีพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่ 1 ประจำอยู่บริเวณลานจอดรถของโรงแรมจำเลยที่ 2 ซึ่งพนักงานรักษาความปลอดภัยจะดูแลจัดให้รถยนต์ของผู้ที่เข้าพักในโรงแรมจำเลยที่ 2 จอดรถและคอยแจ้งผู้เข้าพักว่ามีห้องว่างหรือไม่ #การกระทำของจำเลยที่2ย่อมทำให้ผู้เข้าพักในโรงแรมของจำเลยที่2เข้าใจว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยของจำเลยที่1ดังกล่าวเป็นตัวแทนของจำเลยที่2ที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความปลอดภัย มิให้มีการโจรกรรมรถยนต์ของผู้เข้าพักแทนจำเลยที่ 2 ฉะนั้นจำเลยที่ 2 ในฐานะตัวการและเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดเพื่อความสูญหายอันเกิดแก่ทรัพย์สินของแขกอาศัยตาม ป.พ.พ. 427,425,674
#เปรียบเทียบอาคารชุด
คำพิพากษาฎีกาที่ 2369/2557
นิติบุคคลอาคารชุดที่ 3 ไม่มีหน้าที่รักษาทรัพย์ส่วนบุคคล มีเพียงหน้าที่ในการจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดที่เกิดเหตุ รวมทั้งมีอำนาจกระทำการใด ๆ เพื่อประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ตามข้อบังคับ และมติของจำเลยรวม ซึ่งข้อบังคับของนิติบุคคลอาคารชุดที่จำเลยที่ 3 ระบุว่า #จำเลยที่3มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการดูแลทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุด และให้มีอำนาจกระทำการใด ๆ ตามวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สูงสุดในการพักอาศัย และการใช้ทรัพย์ส่วนกลางร่วมกัน สัญญาที่จำเลยที 3 ว่าจ้างจำเลยที่ 2 รักษาความปลอดภัย ก็มีข้อความระบุชัดเจนว่า #จำเลยที่3จ้างจำเลยที่2รักษาความปลอดภัยให้แก่บรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่3ซึ่งหมายถึงทรัพย์ส่วนกลางของอาคารชุดเท่านั้นจึงไม่รวมไปถึงรถยนต์ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลของโจทก์ในความครอบครองของโจทก์ด้วย แม้ต่อมาจำเลยที่ 3 จะทำสัญญาว่าจ้างรักษาความปลอดภัยแก่บรรดาทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 เช่น การตรวจสอบสติกเกอร์ที่ติดรถยนต์ การรับบัตรอนุญาตจอดรถยนต์ และการตรวจสอบการขนของเจ้าออกอารคารตามระเบียบรักษาความปลอดภัย แต่เป็นเพียงมาตรการให้เกิดความปลอดภัย หรือความสงบเรียบร้อยในอาคารชุดเท่านั้น ทั้งเป็นการควบคุมการใช้สอยอาคารจอดรถ ซึ่งเป็นทรัพย์ส่วนกลางในอาคารชุดมิให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้ #หาได้มีความหมายครอบคลุมไปถึงการรักษาความปลอดภัยแก่ทรัพย์ส่วนบุคคลของผู้ใดเพราะไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลยที่3 #พฤติการณ์เช่าว่านั้นจึงไม่ก่อให้เกิดหน้าที่แก่จำเลยที่3ในอันที่จะต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแก่รถยนต์อันเป็นทรัพย์ส่วนบุคคลเป็นเจ้าของ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
#เปรียบเทียบผู้ให้บริการสถานที่ค้าปลีกส่งสินค้าทางการเกษตร
คำพิพากษาฎีกาที่ 726/2560 จำเลยที่ 1 ประกอบกิจการให้บริการสถานที่ค้าปลีกส่งสินค้าทางการเกษตร มิได้ยอมรับดูแลรักษาความปลอดภัยของรถที่มาจอด เพียงแต่จ้างจำเลยที่ 2 ตระเวนตรวจตรา จัดระบบ ควบคุมระเบียบการจราจรในโครงการตลอด ไม่มีกำหนดว่าพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องดูแลรถลูกค้า รถหายจะถือเป็นความประมาทของเจ้าพนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ได้ โจทก์ไม่อาจรับช่วงสิทธิผู้เอาประกันภัยมาเอาแก่จำเลยได้

หากฟังได้ว่าทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ย้อนศรประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกันได้

หากฟังได้ว่าทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ย้อนศรประมาทไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกันได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17868/2556
เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ในการขับรถของทั้งสองฝ่ายว่าฝ่ายใดประมาทยิ่งหย่อนกว่ากันแล้ว จะเห็นได้ว่า #หากจำเลยที่1ใช้ความระมัดระวังตามสมควรย่อมต้องมองเห็นรถจักรยานยนต์ที่ก.ขับมา และ #ต้องชะลอความเร็วไม่ให้เกิดการเฉี่ยวชนกัน ขณะเดียวกัน ก. ซึ่งขับรถจักรยานยนต์ย้อนเส้นทางเดินรถออกจากซอยก็จะต้องหยุดรถดูว่ามีรถแล่นมาทางด้านขวาหรือไม่ เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงขับออกไป แต่ทั้งจำเลยที่ 1 และ ก. หาได้กระทำไม่ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และ ก. #ประมาทไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน โจทก์และจำเลยที่ 1 #จึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายต่อกันได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 442 ประกอบมาตรา 223 จำเลยที่ 2 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่จำต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย

ด่ากันทางโทรศัพท์ ไม่ความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า

ด่ากันทางโทรศัพท์ ไม่ความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า
คำพิพากษาฎีกาที่ 3711/2557
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 แต่ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า จำเลยโทรศัพท์ไปหาผู้เสียหาย ด่าว่าและทวงเอกสารจากผู้เสียหาย ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอยู่ที่สถานีบริการขนส่ง ตำบลท้ายช้าง อำเภอเมืองพังงา จังหวัดพังงา จำเลยอยู่ที่ส่วนบริหารจัดการทรัพยากรป่าชายเลนที่ 2 ตำบลกะไหล อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา #ซึ่งเป็นสถานที่ห่างไกลกันคนละอำเภอ แต่องค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 นั้น #ถ้าเป็นการกล่าวด้วยวาจา ผู้กระทำต้องกล่าวซึ่งหน้าผู้เสียหาย เพราะบทบัญญัติมาตรานี้ #มีเจตนารมณ์ป้องกันเหตุร้ายที่อาจเข้าถึงตัวกันทันทีที่มีการกล่าวดูหมิ่น ดังนั้น ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบจึงยัง #ไม่เข้าองค์ประกอบความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
ลงฎีกานี้เพื่อเป็นความรู้ทางวิชาการนะครับไม่ได้สนับสนุนให้โทรไปด่ากัน 

คำที่พูดแล้วมีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า

คำที่พูดแล้วมีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า
#อีดอก
คำพิพากษาฎีกาที่ 2102/2521
จำเลยถ่มน้ำลายไปทางผู้เสียหายและด่าผู้เสียหายว่า พวกอีดอกดำ คำว่าอีดอก #เป็นถ้อยคำหยาบคาย สามัญชนฟังแล้วเข้าใจได้ชัดเจนอยู่ในตัวเองว่าผู้ถูกด่า เป็นหญิงไม่ดี จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393
#อีเหี้ย #อีสัตว์ #อีควาย
คำพิพากษาฎีกาที่ 5257/2548
จำเลยด่าว่าผู้เสียหายว่า ‘ อีเหี้ย อีสัตว์ อีควาย มึงคิดว่าเมียกูกินเงินไปหรือไง ’ และชี้มือไปที่ผู้เสียหาย ถ้อยคำดังกล่าว #นอกจากจะเป็นคำหยาบคายแล้ว ยังมีลักษณะเป็นการเปรียบเทียบผู้เสียหายเป็นสัตว์เลื้อยคลาน สัตว์สี่เท้า และกล่าวหาผู้เสียหายว่า ผู้เสียหายว่าภริยาจำเลยของจำเลยเอาเงินของกลุ่มแม่บ้านไปใช้เป็นการส่วนตัว ถ้อยคำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393
#อีตอแหล
คำพิพากษาฎีกาที่ 8919/2552 ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวต่อผู้เสียหายว่า “อีตอแหล มาดูผลงานของแก” เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า การดูหมิ่นผู้อื่น หมายถึง การดูถูกเหยียดหยาม สบประมาท หรือทำให้อับอาย การวินิจฉัยว่าการกล่าววาจาอย่างไรเป็นการดูหมิ่นผู้อื่นหรือไม่ จึงต้องพิจารณาว่า ถ้อยคำที่กล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามสบประมาทผู้ที่ถูกกล่าวหรือเป็นการทำให้ผู้ที่ถูกกล่าวอับอายหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นก็ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นแล้ว เมื่อตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายคำว่า “ตอแหล” ว่า เป็นคำด่าคนที่พูดเท็จ ซึ่งมีความหมายในทางเสื่อมเสีย การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวต่อผู้เสียหายจึงเป็นการพูด #ด่าผู้เสียหาย เป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทผู้เสียหายว่าเป็นคนพูดเท็จ จึงเป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393
#เฮงซวย
คำพิพากษาฎีกาที่ 1623/2551
ตามพจนานุกรมให้หมายความคำว่า “เฮงซวย” ว่า เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ คุณภาพต่ำ ไม่ดี ซึ่งมีความหมายในทางเสื่อมเสีย การที่จำเลยพูดใส่ผู้เสียหายด้วยความไม่พอใจว่า “ไอ้ทนายเฮงซวย” จึงเป็นถ้อยคำที่จำเลยด่าผู้เสียหาย #เป็นการดูถูกเหยียดหยามและสบประมาทผู้เสียหายว่าเป็นทนายความเฮงซวย เป็นความผิด ฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393
#ผู้หญิงต่ำๆ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2256/2537 จำเลยว่าผู้เสียหายที่ 1 ว่าเป็น ผู้หญิงต่ำ ๆ ต่อหน้าผู้อื่นซึ่งเป็นคำพูดที่เหยียดหยามผู้เสียหายที่ 1 ว่า เป็นผู้หญิงไม่ดี มีศักดิ์ศรีต่ำกว่าผู้หญิงทั่วไป เป็นการดูหมิ่นผู้เสียหายที่ 1ซึ่งหน้า #หาใช่เป็นคำพูดในเชิงปรารภปรับทุกข์ไม่ จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 393
#อีร้อยควย #อีดอกทอง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1442/2495
ด่าเขาว่า “อีร้อยควยอีดอกทอง” เป็นคำด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
#มารศาสนา
คำพิพากษาฎีกาที่ 3226/2525
คำว่า ‘มารศาสนา’ ตามความหมายในพจนานุกรม หมายถึง บุคคลผู้มีใจบาปหยาบช้า คอยกีดกันไม่ให้ผู้อื่นทำบุญและกีดกันบุญกุศลที่จะมาถึงตน ซึ่งเป็นบุคคลประเภทที่สาธารณชนย่อมรังเกียจที่จะคบหาสมาคมด้วย จำเลยพูดว่าผู้เสียหายด้วยถ้อยคำดังกล่าวต่อหน้าผู้เสียหาย จึงต้องมีความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393
#ไอ้หน้าโง่
คำพิพากษาฎีกาที่ 7572/2542
การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำต่อโจทก์ร่วมว่า “มึงเข้าไปในที่ของกูได้อย่างไร กูจะแจ้งข้อหาบุกรุกมึง มึงเป็นผู้ใหญ่บ้านได้อย่างไร ไม่รู้กฎหมาย ไม่รู้หน้าที่ ไอ้หน้าโง่ มึงต้องเจอกับกูแน่ที่ศาล” นั้น เห็นได้ว่าสรรพนามที่จำเลยใช้แทนตัวจำเลยและโจทก์ร่วมว่า กูและมึงนั้น #เป็นเพียงถ้อยคำไม่สุภาพส่วนถ้อยคำในทำนองว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่มีอำนาจหน้าที่ ไม่รู้กฎหมายและจะฟ้องร้องดำเนินคดีกับโจทก์ร่วมนั้น เป็นเพียงถ้อยคำต่อว่าโจทก์ร่วมที่เข้าไปในที่ดินของพ่อตาจำเลยโดยไม่ได้รับอนุญาต และแสดงเจตนาที่จะดำเนินคดีกับโจทก์ร่วมเท่านั้น ไม่ใช่ถ้อยคำที่ดูถูกเหยียดหยามโจทก์ร่วม แต่ที่จำเลยว่าโจทก์ร่วมว่าไอ้หน้าโง่ นั้น ถ้อยคำดังกล่าวแสดงอยู่ในตัวถึง #การหมิ่นเหยียดหยามโจทก์ร่วม แม้จะเป็นการกล่าวถ้อยคำดูหมิ่นโจทก์ร่วมในขณที่จำเลยและโจทก์ร่วมทะเลาะกันก็ต้องถือว่าจำเลยกล่าวโดยมีเจตนาดูหมิ่นโจทก์ร่วม

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

“บันดาลโทสะ ๔”

“บันดาลโทสะ ๔”
๑. จำเลยพบผู้ตายกอดจูบภรรยาตน จึงเข้าแทงผู้ตายในขณะนั้นในทันทีทันใดเป็นกรณีจำเลยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๑๘๘๓/๒๕๑๒
๒. จำเลยเกิดปากเสียงด่าทอ ใช้มือผลักอกซึ่งกันและกันกับพวกคนหนึ่งของผู้ตาย ผู้ตายเข้าห้ามให้แยกกันและใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ที โดยไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก จำเลยชักมีดออกมาแทงผู้ตายทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผลถึงแก่ความตาย จะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดกฎหมายไม่ได้ การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนถือเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้นเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา๙๘/๒๕๑๔
๓. พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก บุตรเขยฟันพ่อตาตายในขณะนั้นเป็นกากรกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา๑๖๐๖/๒๕๒๑
๔. ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่นจำเลยจึงทำร้ายผู้ตาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐และบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๓๓๑๕/๒๕๒๒
๕. การที่จำเลยยังติดตามให้ จ. กลับไปอยู่กับจำเลยและบุตร เมื่อจำเลยไปพบเห็น จ.กับผู้เสียหายอยู่กันตามลำพังในห้องน้ำในคืนเกิดเหตุนับได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ผุ้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและจำเลยย่อมเกิดอาการหึงหวงในฐานะที่ตนเองเป็นสามีของ จ. อยู่และบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้น จึงใช้มีดแทงผู้เสียหาย แม้จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกในห้องน้ำและแทงผู้เสียหายหลายครั้งต่อๆมาที่ประตูหน้าบ้าน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันอยู่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ จ ยังเป็นภรรยาจำเลย การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อตามจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ในทางใดทั้งจำเลยก็ไม่เคยพักอาศัยกับผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยพละการ จึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นความผิดฐานบุกรุก จำเลยไมได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายไม่ได้ตระเตรียมมีดของกลางเพื่อที่จะแทงผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วพบว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องน้ำกับ จ.เพียงสองต่อสอง จึงหยิบมีดที่พบวางอยู่ไปแทงผู้เสียหาย การบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายกับการแทงผู้เสียหาย เป็นเจตนาที่ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันแต่เกิดเป็นของครั้งแยกจากกัน เป็นความผิดสองกรรมต่างกันโดยเป็นความผิดสองฐานเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เกิดขึ้นเป็นสองครั้งแยกออกจากกันได้ เป็นความผิดสองกรรมต่างกันฐานบุกรุกในเวลากลางคืนและฐานพยายามฆ่า คำพิพากษาฎีกา ๗๑๔๖/๒๕๕๒
๖. จำเลยเป็นหญิงมีภาระต้องเลี้ยงดูตัวเอง เลี่ยงน้องให้ได้รับการศึกษาชั้นมหาวิทยาลัยและส่งเงินเลี้ยงบิดามารดา จำเลยรักใคร่ได้เสียกับผู้ตายจนจำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายก็ตีตัวออกห่างไม่ยอมพบ จำเลยโทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วย วันเกิดเหตุจำเลยไปคอยพบผู้ตายและพูดเรื่องที่จำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายบอกจำเลยให้เอาออกก็ไม่เอาออก ผู้ตายไม่ยอมรับเป็นพ่อของเด็ก และพูดว่า อยากหน้าด้านไปหาผู้ตายเอง พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้ดี อันเป็นการดูถูกเหยียดหยามกดขี่ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้นเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๔๖/๒๕๑๒
๗. พฤติการณ์ที่จำเลยมาทวงค่าจ้างที่ค้างจากผู้เสียหายที่เป็นนายจ้างแล้วถูกผัดผ่อนชำระอยู่หลายครั้งโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้กระทำการอื่นใดต่อจำเลยอีก เพียงเท่านี้ถือไม่ได้ว่า ผู้เสียหายได้ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงจะอ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะมาเป็นประโยชน์แก่ตนหาได้ไม่ คำพิพากษาฎีกา ๓๘๘๗/๒๕๔๒
ข้อสังเกต
๑.จำเลยพบผู้ตายกอดจูบภรรยาตน จึงเข้าแทงผู้ตายในขณะนั้น “ในทันทีทันใด” มีเกณฑ์ที่ต้องพิจารณา คือ
๑.๑ ชายหญิงจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่
๑.๑ หากจดทะเบียนสมรสกัน หญิงอยู่ในฐานะเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายที่ฝ่ายชายจะป้องกันชื่อเสียงเกียรติยศของตนที่จะไม่ให้ใครล่วงละเมิดในทางเพศกับภรรยาของตน ไม่ว่าภรรยาของตนจะยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบหรือไม่ก็ตาม แม้หญิงยินยอมจะทำให้การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจารก็ตาม แต่ฝ่ายชายซึ่งเป็นสามีย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันชื่อเสียงและเกียรติยศของตนได้ เพราะตนเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันไม่ให้ใครมาล่วงละเมิดทางเพศกับภรรยาของตนได้แม้หญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ชายอื่นล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ก็ตาม
๑.๒หากไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แม้จะแต่งงานกันก็ตาม หญิงก็อยู่ในฐานะนางบำเรอของฝ่ายชาย ฝ่ายชายไม่มีอะไรที่จะต้องป้องกันชื่อเสียงเกียรติ์ยศของตนไม่ว่าหญิงจะยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบหรือไม่ก็ตาม แต่อาจอ้างเป็นการที่ตนถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหงอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๑.๒การที่ภรรยาของตนกอดจูบกับชายอื่นนั้น ฝ่ายหญิงสมัครใจหรือไม่ ต้องพิจารณาว่า หญิงมีอายุเท่าใดซึ่งแยกพิจารณาได้ดังนี้
๑.๒.๑ หากหญิงอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์ แม้หญิงยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบหรือไม่ก็ตามก็เป็นการกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์ เป็นความผิดตาม ปอ. มาตรา ๒๗๙ ในกรณีดังกล่าวนี้แม้หญิงยินยอมหรือไม่ยินยอมก็เป็นความผิดตามกฎหมาย แต่เมื่อหญิงอายุยังไม่ครบ ๑๗ ปีบริบรูณ์ ชายหญิงไม่อาจทำการสมรสกันได้ตาม ปพพ มาตรา ๑๔๔๘ เว้นแต่มีเหตุอันควรและศาลอนุญาตให้ทำการสมรส เช่น หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งการสมรสตามกฎหมายจะกระทำได้เฉพาะมีการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นตาม ปพพ มาตรา ๑๔๕๗ หากมีการสมรสโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ปพพ มาตรา ๑๕๐๓ ให้ศาลมีอำนาจเพิกถอนการสมรสได้ ดังนั้นหากไม่มีเหตุอันควรที่ศาลจะอนุญาตให้ทำการสมรสได้ก่อนชายหญิงอายุครบ ๑๗ปีบริบรูณ์แล้ว หญิงจึงไม่ใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชาย ที่ฝ่ายชายจะอ้างการกระทำเพื่อเป็นการป้องกันการที่หญิงถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าหากมีความผิดพลาดในเรื่องอายุเกิดขึ้นแล้วมีการจดทะเบียนสมรสให้หญิงที่มีอายุยังไม่ครบ ๑๗ ปีบริบรูณ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาเพิกถอนการสมรส “ต้องถือว่า” หญิงยังเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายที่ฝ่ายชายจะอ้างว่ากระทำการเพื่อป้องกันหญิงซึ่งเป็นภรรยาของตนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศได้
๑.๒.๒ หญิงอายุเกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์
๑.๒.๒.๑ หากหญิงยินยอมให้กอดจูบไม่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ปอ มาตรา ๒๗๙ แต่ชายผู้เป็นสามีหากได้มีการจดทะเบียนสมรสเพราะหญิงมีอายุเกิน ๑๗ ปีบริบรูณ์ย่อมมีอำนาจในการป้องกันชื่อเสียงเกียรติยศของตนที่จะไม่ให้ชายอื่นล่วงละเมิดทางเพศกับภรรยาของตน แต่หากหญิงอายุเกิน ๑๕ปี แต่ไม่ถึง ๑๗ ปีบริบรูณ์ย่อมไม่อาจทำการสมรสกับชายได้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรและได้รับอนุญาตจากศาล หากไม่มีเหตุอันควรและศาลไม่อนุญาตให้สมรสได้ หญิงย่อมไม่ใช่ภรรยาของชายที่จะอ้างกระทำการเพื่อป้องกันชื่อเสียงและเกียรติ์ยศของตน แต่อาจอ้างว่าตนถูกข่มเหงอย่างร้ายรงด้วยเหตุไม่เป็นทำจึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๑.๒.๒.๒ หากหญิงอายุเกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์ไม่ยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบ ย่อมเป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า หากชายที่เป็นสามีพบเห็นก็สามารถอ้างกระทำการป้องกันสิทธิ์ของ “ ผู้อื่น” ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ เพราะการป้องกันตามกฎหมายมีทั้งการป้องกันสิทธิ์ของ “ ตัวเอง” และของ “ บุคคลอื่น” ที่ถูกล่วงละเมิดกฎหมายได้ ไม่ว่าหญิงนั้นจะอายุเกิน ๑๗ ปีบริบรูณ์ หรืออายุเกินกว่า ๑๕ปีบริบรูณ์แต่ยังไม่เกิน ๑๗ ปีบริบรูณ์ก็ตาม เมื่อหญิงไม่ยินยอม การล่วงละเมิดทางเพศแก่หญิงย่อมเป็นความผิดตามกฎหมายที่สามีแม้จะชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็สามารถป้องกันสิทธิ์ดังกล่าวได้
๑.๒.๒.๓ แต่หากไม่ได้เห็นขณะหญิงกำลังถูกกระทำอนาจาร ไม่ว่าหญิงจะอายุเกินกว่า ๑๕ ปีบริบรูณ์หรือไม่ก็ตาม โดยเป็นเพียงได้ยิน “คำบอกเล่า” ของหญิงที่เป็นภรรยาของตนเล่าให้ฟังถือได้ว่าภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายหมดไปแล้วย่อมไม่สามารถที่จะอ้างสิทธิ์ในการป้องกันได้ แต่ถือเป็นกรณีที่ตนถูกข่มเหงอย่างร้ายรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๒.การที่ผู้ตายเข้าห้ามจำเลยและพวกผู้ตายที่ทะเลาะด่าทอและใช้มือผลักอกกันไปมาให้แยกกันแล้วใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ที โดยไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายได้หมดไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่ “ใกล้จะถึง” หรือ “ถึงแล้ว” ที่จำเลยจะสามารถป้องกันภยันตรายอันละเมิดกฎหมายนั้นได้ จึงไม่อาจอ้างเป็นการกระทำโดยการป้องกันได้ ทั้งการที่ถูกตบหน้า ๑ ทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะใช้อาวุธอะไรทำร้ายจำเลยอีก การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายทันที การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้สัดส่วนกับการทำร้ายของผู้ตาย และไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จำเลยจะกระทำการเพื่อป้องกันตัวเอง
๓.แต่การจำเลยชักมีดออกมาแทงผู้ตายทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผลถึงแก่ความตาย นั้นเห็นว่าการแทงถึง ๓ ครั้งถูกในที่สำคัญของร่างกายเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำการเพื่อป้องกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดกฎหมายไม่ได้ แต่การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนถือเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้นเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
๔. พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก เป็นการข่มเหงบุตรเขยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่บุตรเขยฟันพ่อตาตายในขณะนั้นเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๕.คำด่าด้วยคำพูด กับการใช้อาวุธฟันทำร้ายโต้ตอบ ไม่ได้สัดส่วนในการกระทำ เป็นการกระทำการเกินสมควรแก่เหตุ
๖.ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่น ในสังคมไทยถือเท้าเป็นของต่ำ ส่วนศีรษะเป็นของสูง การที่เอาเท้าลูบศีรษะเล่นเท่ากับเอาของต่ำลูบของหัวเท่ากับการไม่ให้เกียรติ์ ถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยกระทำโต้ตอบไปในขณะนั้นจนผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐แต่อ้างกระทำความผิดไปโดยบันดาลโทสะได้
๗.การที่จำเลยยังติดตามให้ จ. ซึ่งเป็นภรรยากลับไปอยู่กับจำเลยและบุตร แสดงว่าจำเลยยังรักยังหวงแหนในตัว จ อยู่ เมื่อจำเลยไปพบเห็น จ.กับผู้เสียหายอยู่กันตามลำพังในห้องน้ำในคืนเกิดเหตุ คนทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่าผู้เสียหายกับ จ. ทำอะไรกันในห้องน้ำ นับได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและจำเลยย่อมเกิดอาการหึงหวงในฐานะที่ตนเองเป็นสามีของ จ. อยู่
๘.การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหาย ย่อมเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น แม้จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกในห้องน้ำและแทงผู้เสียหายหลายครั้งต่อๆมาที่ประตูหน้าบ้าน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ “ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันอยู่” ถือเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหง “ในขณะนั้น”เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๙.แม้ จ ยังเป็นภรรยาจำเลย การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อตามจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ในทางใดทั้งจำเลยก็ไม่เคยพักอาศัยกับผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยพละการ จึงเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นความผิดฐานบุกรุก ในเวลากลางคืนตาม ปอ มาตรา ๓๖๔,๓๖๕(๓)
๑๐.จำเลยไม่ได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และไม่ใช่การใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันควรตาม ปอ มาตรา ๓๖๔,๓๖๕(๑) เพราะไม่ได้ตระเตรียมมีดของกลางมาแต่แรกเพื่อที่จะแทงผู้เสียหาย แต่เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วพบว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องน้ำกับ จ.เพียงสองต่อสอง จึงหยิบมีดที่พบวางอยู่ไปแทงผู้เสียหาย การบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายกับการแทงผู้เสียหาย เป็นเจตนาที่ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันแต่เกิดเป็นของครั้งแยกจากกันเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นความผิดสองกรรมต่างกันโดยเป็นความผิดสองฐานเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เกิดขึ้นเป็นสองครั้งแยกออกจากกันได้ เป็นความผิดสองกรรมต่างกันฐานบุกรุกในเวลากลางคืนและฐานพยายามฆ่า
๑๑. จำเลยรักใคร่ได้เสียกับผู้ตายจนจำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายก็ตีตัวออกห่างไม่ยอมพบ จำเลยโทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วย วันเกิดเหตุจำเลยไปคอยพบผู้ตายและพูดเรื่องที่จำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายบอกจำเลยให้เอาออกก็ไม่เอาออก ผู้ตายไม่ยอมรับเป็นพ่อของเด็ก และพูดว่า “อยากหน้าด้านไปหาผู้ตายเอง พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้ดี” คำพูดของผู้ตายที่ให้เอาเด็กออกและไม่ยอมรับว่าเด็กเป็นบุตร เป็นการไม่ยอมรับผิเดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น หลอกกินฟรีแล้วก็ไม่รับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้น คำพูดที่ว่า “จำเลยหน้าด้านไปหาผู้ตายเอง พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้ดี” เท่ากับกล่าวหาว่าจำเลยเป็นหญิงส่ำส่อนใจง่าย ที่พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนให้รักนวลสงวนตัว อย่าไปมีอะไรกับผู้ชายหากยังไม่ได้ทำการแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีก่อน อันเป็นการดูถูกเหยียดหยามกดขี่ข่มเหงจำเลยและกล่าวพาดพิงไปถึงบิดามารดาจำเลยว่าเลี้ยงลูกไม่ดี ไม่สอนให้ลูกรักนวลสงวนตัว ประกอบทั้งพฤติกรรมที่ผู้ตายพยายามตีตัวออกห่าง โทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วยจนจำเลยต้องไปคอยดักพบผู้ตาย คำพูดและการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้นเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
๑๒. จำเลยมาทวงค่าจ้างที่ค้างจากผู้เสียหายที่เป็นนายจ้างแล้วถูกผัดผ่อนชำระอยู่หลายครั้ง แม้จำเลยจะเข้าใจว่า ผู้เสียหายคงมีเจตนาไม่ยอมจ่ายค่างจ้างให้ตน มีเจตนาโกงตัวเองและหลอกใช้ตัวเองทำงานก็ตาม แต่พฤติการณ์เพียงเท่านี้โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้กระทำการอื่นใดต่อจำเลยอีกอันเป็นการข่มเหงรังแกจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เพียงการไม่ยอมจ่ายค่าจ้างเท่านี้ถือไม่ได้ว่า ผู้เสียหายได้ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงจะอ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะมาเป็นประโยชน์แก่ตนหาได้ไม่ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยต้องดำเนินการเรียกร้องฟ้องร้องในทางแพ่งหรือติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองแรงงานว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้ไม่ จำเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

“บันดาลโทสะ ๓”

“บันดาลโทสะ ๓”
๑.ผู้ตายเมาสุราได้บังคับขู่เข็ญโดยใช้มือผลักอกจำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่มสุราด้วยและท้าให้ยิงกันพร้อมทำท่าล้วงอาวุธปืน เมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งไล่ตาม จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงทันที ถือได้ว่ากระทำไปโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม อัยการฟ้องให้ลงโทษตาม พรบ. อาวุธปืนฯ มาตรา ๗,๗๒ และข้อหาฆ่า ตาม ปอ มาตรา ๒๘๘ แม้ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ก็หมายถึงเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นเท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในข้อหาดังกล่าว ส่วนความผิดตาม พรบ. อาวุธปืนฯรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่อาจเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาตามพรบ.อาวุธปืนฯ คำพิพากษาฎีกา๑๒๓๑/๒๕๓๓
๒.ผู้ตายเมาสุรากล่าวว่าล่วงเกินจำเลยด้วยวาจาโดยกล่าวว่า “ ทำงานไม่เป็นแต่ได้ค่าแรงแพง ทำงานผิดแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ ทำงานเป็นช่างไม้ได้ไม่เท่าไหร่ทำเป็นอวดเก่ง” และด่าแม่จำเลย ผู้ตายพูดถากถางซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จำเลยจะกลับก็ไม่ยอมให้กลับ ผู้ตายกล่าววาจาและกระทำการอันเป็นการดูถูกเหยียดหยาม เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจนจำเลยบันดาลโทสะจึงไปหยิบค้อนมาตีผู้ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๕๔๙๕/๒๕๓๔
๓.การที่ผู้เสียหายอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับจำเลยมาก่อนแล้วได้หญิงอื่นมาเป็นภรรยาและไปอยู่กับหญิงนั้น เมื่อจำเลยขอให้ไปพบ ผู้เสียหายไม่ยอมไป วันเกิดเหตุจำเลยพบผู้เสียหายอยู่กับหญิงอื่นโดยนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวออกมาบอกว่าจะเลิกกับจำเลยและไล่ให้กลับบ้านทั้งบังตบหน้าอีก เป็นการข่มเหงน้ำใจจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตายไปในทันทีในระยะเวลาต่อเนื่องที่ยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แม้ไม่ได้ยกเหตุนี้ขึ้นต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดและความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและผู้เสียหายแล้วเห็นควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ตลอดไปถึงความผิดตามพรบ. อาวุธปืน ซึ่งจำเลยไม่ได้ฎีกาด้วยคำพิพากษาฏีกา ๖๕๕๘/๒๕๔๐
๔.ข. กล่าวเสียดสีไล่จำเลยออกจากวัดต่อหน้าชุมชน และยิงบิดาจำเลย โดยจำเลยไม่ได้วิวาทด้วย จำเลยยิง ข ตาย เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะคำพิพากษาฏีกา๕๑๘/๒๕๐๐
๕.ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่า เป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอ๊ดส์ เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยส่ำส่อนทางเพศ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย ๒ ครั้งในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ปวอ มาตรา๑๙๒วรรคท้าย,๒๑๕,๒๒๕คำพิพากษาฎีกา ๒๗๗๐/๒๕๔๔
๖. จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน ผู้ตายกับพวกเล่นการพนันแล้วทะเลาะกันส่งเสียงดังในยามวิกาล จำเลยที่อยู่บ้านใกล้ชิดติดกันย่อมมีความชอบธรรมที่จะไปร้องขอให้เบาๆลงหรือเลิกเล่นการพนัน แต่ผู้ตายกลับด่าว่าจำเลยแล้วเกิดชกต่อยกัน เมื่อมีคนมาห้าม จำเลยและผู้ตายยุติกันไปแล้ว แต่ผู้ตายหาได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้นไม่กลับเข้าไปในบ้านหยิบขวดมาตีศีรษะจำเลยเลือดไหล การที่จำเลยไปหยิบปืนในบ้านออกมายิงผู้ตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่ที่จำเลยยิง ว และ ศ ด้วย แม้คนทั้งสองจะเป็นบุตรภรรยาของผู้ตายและอยู่บ้านเดียวกับผู้ตายแต่คนทั้งสองก็ไม่ได้ร่วมทำร้ายจำเลยด้วย การที่จำเลยยิง ว. และ ศ. ถึงแก่ความตาย “ ในขณะนั้น” เป็นเพียงอารมณ์ร้อนแรงชั่วแล่นซึ่งไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๒๕๒/๒๕๒๘
๗.ผู้ตายและนายจำปาทะเลาะกัน ภรรยาผู้ตายพูดว่า “ นายจำปา” จำเลยร้องห้ามไม่ให้เข้าข้างสามี แล้วผู้ตายใช้มีดแทงจำเลย จำเลยวิ่งหนี แต่ก็ถูกชายสองคนในบ้านผู้ตายรุมตีและแทงจำเลย จำเลยวิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างบ้านผู้ตาย ๑ เส้น เอาปืนยิงผู้ตายทันทีทันใดในขณะนั้น โดยบันดาลโทสะด้วยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม คำพิพากษาฎีกา ๒๘๖/๒๕๐๙
๘.ผู้ตายวิ่งไล่น้องสาวจำเลยเพื่อจะข่มขืนจนมาถึงเรือนจำเลย แล้วร้องด่าท้าทายข้างนอกเรือนจำเลยอยู่ตลอดเวลา จนจำเลยระงับโทสะไม่อยู่คว้ามีดพร้าลงจากเรือนไล่ตามหลังผู้ตายไปทันในระยะ ๘ เส้น ละฟันผู้ตายตรงนั้น เป็นพฤตการณ์ถึงขนาดอันเป็นการถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและเป็นการทำในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิด ในขณะที่โทสะยังรุนแรงอยู่ ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น คำพิพากษาฏีกา ๑๒๖๐/๒๕๑๓
๙.จำเลยต่อยผู้เสียหายที่อกหลายครั้ง แพทย์ตรวจแล้วไม่พบบาดแผล ไม่มีรอยฟกซ้ำ เพียงแต่ผู้เสียหายบอกว่าเจ็บที่หน้าอกเวลากด แพทย์ลงความเห็นว่ากล้ามเนื้อที่หน้าอกซ้ำรักษา ๕ วันหาย ลักษณะบาดแผลเช่นนี้ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๒๙๕ จึงเป็นการทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๓๙๑ เท่านั้น การที่ ม. พี่ของจำเลยทราบจากคนอื่นพูดกันว่า ผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลย เมื่อพบผู้เสียหายจึงเข้าไปสอบถาม แล้วจำเลยก็ชกผู้เสียหายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลยใน “ ขณะเกิดเหตุ” ถือไม่ได้ว่ากระทำไปโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๓๐๗๔/๒๕๒๙
ข้อสังเกต
๑.การที่ผู้ตายใช้มือผลักอกจำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่มสุราด้วยเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายจำเลย เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ส่วนการท้าให้ยิงกันพร้อมทำท่าล้วงอาวุธปืน เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายร่างกายจำเลยด้วยการใช้อาวุธปืนยิงจำเลย เป็นการทำให้จำเลยเกิดความกลัว หรือตกใจด้วยการขู่เข็ญว่าผู้ตายจะใช้อาวุธปืนทำร้ายร่างกายจำเลยตาม ปอ มาตรา ๓๙๒ จึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งไล่ตาม จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงทันที ถือได้ว่ากระทำไปโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
๒.ในกรณีนี้ไม่อาจต่อสู้ว่าเป็นการกระทำความผิดโดยการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะยังไม่มีภยันตรายใดๆอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย เพราะไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนไล่ยิง เพียงแต่ผู้ตายท้าให้ยิงกันและทำท่าล้วงอาวุธปืนซึ่งจะมีอาวุธปืนจริงหรือไม่ จำเลยไม่อาจทราบได้ชัด หากผู้ตายมีอาวุธปืนจริงคงชักออกมาขู่ให้จำเลยกลัวแล้ว แต่ผู้ตายก็ไม่ได้ชักสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกจากเสื้อหรือกางเกง เป็นเพียงจำเลยเกิดความกลัวขึ้นมาเองและเข้าใจเองว่าผู้ตายมีอาวุธปืนจะไล่ยิงทำร้ายตน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า อาจเข้ากรณีตาม ปอ มาตรา ๖๒แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ โดยข้อเท็จจริงใดมีอยู่จริง คือหากข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าผู้ตายมีอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนไล่ยิงจำเลย ข้อเท็จจริงนี้ย่อมเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายเป็นภยันตรายที่ “ ใกล้จะถึง” หรือ “ ถึงแล้ว” ซึ่งจำเลยมีสิทธิ์ที่จะป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ ซึ่งจะทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดหากเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ปืนต่อปืนถือได้สัดส่วน และเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่ตนจะกระทำการป้องกันตัวเองให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายได้ หากไม่ยิงตอบโต้ตนเองก็อาจถูกยิงเสียชีวิตได้ แม้ข้อเท็จจริงไม่มีอยู่จริงว่าผู้ตายใช้อาวุธปืนไล่ยิง แต่จำเลยสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง จำเลยย่อมไม่มีความผิดโดยถือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดตาม ปอ มาตรา ๖๒,๖๘ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
๓.อัยการฟ้องให้ลงโทษตาม พรบ. อาวุธปืนฯ มาตรา ๗,๗๒ และข้อหาฆ่า ตาม ปอ มาตรา ๒๘๘ ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม หมายความว่าให้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นเท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยในความผิดฐานฆ่าจึงเป็นผู้เสียหายตาม ปวอ มาตรา ๒(๔) โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายในข้อหาดังกล่าว ส่วนความผิดตาม พรบ. อาวุธปืนฯถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยตาม รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายในความผิดตามพรบ.อาวุธปืนฯ โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่อาจเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาดังกล่าว
๔.คำพูดที่ว่า “ ทำงานไม่เป็นแต่ได้ค่าแรงแพง ทำงานผิดแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ ทำงานเป็นช่างไม้ได้ไม่เท่าไหร่ทำเป็นอวดเก่ง” แยกพิจารณาดังนี้
๔.๑ถ้อยคำว่า “ทำงานไม่เป็นแต่ได้ค่าแรงแพง” เป็นถ้อยคำเสียดสีทำนองว่าไม่มีความเป็นธรรมในสังคมที่คนทำงานไม่เป็น ไม่มีความสามารถ แต่ได้ค่าแรงมากกว่า ส่วนคนทำงานเป็นกลับได้ค่าแรงน้อยกว่า
๔.๒ถ้อยคำว่า “ ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด” เป็นถ้อยคำกล่าวหาว่าไม่มีความรับผิดชอบ ทำผิดก็ไม่ยอมรับว่าตนเองได้กระทำความผิด
๔.๓ถ้อยคำว่า “ทำงานเป็นช่างไม้ได้ไม่เท่าไหร่ทำเป็นอวดเก่ง” เป็นถ้อยคำบอกว่ารายได้จากการเป็นช่างไม้มีรายได้ไม่มากแต่ทำตัวอย่างกับว่ามีรายได้มากและความสามารถแค่เป็นช่างไม้แต่ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นคนเก่งมีความสามารถมาก
ส่วนถ้อยคำที่ “ด่าแม่จำเลย “ นั้น “อาจ” เป็นถ้อยคำที่เป็นการดูหมิ่น ใส่ความผู้อื่นโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังได้ ซึ่งแล้วแต่ถ้อยคำที่ด่าว่าเป็นถ้อยคำอะไร เช่นด่าว่า “ แม่มึงเป็นกระหรี่ชั้นต่ำ มึงก็เกิดจากการเป็นลูกกระหรี่ชั้นต่ำ ค่าตัวไม่กี่บาท” ถ้อยคำเหล่านี้หากกล่าวแก่บุคคลที่สามอาจเป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้
๕.การที่ผู้ตายพูดถากถางซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง เป็นการตอกย่ำให้จำเลยเจ็บใจ แม้จำเลยจะกลับก็ไม่ยอมให้กลับ การที่ผู้ตายกล่าววาจาและกระทำการดังกล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามจำเลยอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจนจำเลยบันดาลโทสะจึงกระทำตอบต่อผู้ตายผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” โดยไปหยิบค้อนมาตีผู้ตายจึง เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๖.แม้ผู้เสียหายอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับจำเลยอันถือได้ว่า ไม่ได้เป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ก็ต้องถือว่าจำเลยและผู้เสียหายมีความผูกพันธ์กันในทางครอบครัวแม้ไม่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมายก็ตาม
๗.การที่ผู้เสียหายได้หญิงอื่นมาเป็นภรรยาและไปอยู่กับหญิงนั้น ย่อมเป็นการทำร้ายน้ำใจจำเลยซึ่งเป็นหญิงที่แม้ไม่มีสถานะเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม และเป็นปมด้อยของหญิงที่มีสามีแล้วแต่สามีไม่ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย แต่ก็ยังคงมีความรักความผูกพันมีความหวงแหนในตัวผู้เสียหายที่เป็นสามีอยู่ ซึ่งเมื่อจำเลยขอให้ผู้เสียหายไปพบ ผู้เสียหายไม่ยอมไป ย่อมทำให้จำเลยเกิดความเครียดและยิ่งเกิดความหึงหวงมากขึ้นยิ่งในวันเกิดเหตุจำเลยพบผู้เสียหายอยู่กับหญิงอื่นโดยนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวซึ่งส่อให้เห็นว่าผู้เสียหายน่าจะเพิ่งมีอะไรกับหญิงอื่นในทางชู้สาว ยิ่งผู้เสียหายบอกว่าจะเลิกกับจำเลยและไล่ให้กลับบ้านทั้งยังตบหน้าอีก เป็นการทำร้ายร่างกายและเป็นการข่มเหงน้ำใจจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตายไปในทันทีในระยะเวลาต่อเนื่องที่ยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๘.แม้ไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่า การกระทำของตนเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ขึ้นต่อสู้ อันจะถือว่าไม่ได้เป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่ศาลฏีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ปวอ มาตรา ๑๙๕,๒๑๕,๒๒๕
๙. เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมด้วยการที่สามีไปมีผู้หญิงคนอื่นพร้อมขอเลิกและทำร้ายร่างกาย ประกอบความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและผู้เสียหายที่เป็นสามีภรรยากันแม้ไม่ใช่สามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุที่ศาลฏีกาจะรอการลงโทษได้ตาม ปอ มาตรา ๕๖ศาลฏีกาเห็นควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ตลอดไปถึงความผิดตามพรบ. อาวุธปืน ซึ่งจำเลยไม่ได้ฎีกาด้วย
๑๐.การที่ ข กล่าวถ้อยคำเสียดสีไล่จำเลยออกจากวัดต่อหน้าชุมชน เป็นการทำให้จำเลยได้รับความอับอายต่อหน้าบุคคลทั่วไป และเมื่อผู้ตายยิงบิดาจำเลยย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เพราะจำเลยไม่ได้วิวาทกับผู้ตาย ส่วนการที่ จำเลยยิง ข ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
๑๑.ในกรณีนี้ไม่อาจอ้างกระทำการเพื่อป้องกันภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายได้ เพราะภยันตรายที่เกิดแก่พ่อของจำเลยหมดสิ้นไปแล้วนับแต่ที่ผู้ตายได้ยิงพ่อจำเลย ไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดว่าผู้ตายจะยิงพ่อจำเลยอีก จึงไม่มีการกระทำที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายที่จะเกิดกับบิดาจำเลยที่จำเลยจะสามารถป้องกันภยันตรายของ “บุคคลอื่น” ได้ แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตาย “ในทันทีทันใด” นับแต่นั้นย่อมเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๒..ถ้อยคำที่ด่า มารดาจำเลยว่า “ เป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอ๊ดส์ ” เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยส่ำส่อนทางเพศ หาเลี้ยงชีพด้วยการค้าประเวณีซึ่งสังคมไทยยังไม่ยอมรับ และการถึงแก่ความตายด้วยโรคเอ๊ดส์แสดงว่าเมื่อค้าประเวณีแล้วไม่ทำการป้องกันจนติดโรคดังกล่าวจนถึงแก่ความตาย เป็นการกล่าวใส่ความผู้ตายต่อหน้าจำเลยซึ่งเป็นบุตร ในประการที่น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังจากบุคคลอื่นที่ได้ยินถ้อยคำนั้นได้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย ๒ ครั้งในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ปวอ มาตรา๑๙๒วรรคท้าย,๒๑๕,๒๒๕
๑๓..การที่ ผู้ตายกับพวกเล่นการพนันแล้วทะเลาะกันส่งเสียงดังในยามวิกาล ย่อมเป็นการทำให้เกิดเสียงหรือกระทำการอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควร จนทำให้ประชาชนเดือดร้อนรำคาญตาม ปอ มาตรา ๓๗๐ และเป็นการใช้สิทธิ์ในเจ้าของบ้านซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านข้างเคียงได้รับความเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่ตั้งแห่งบ้านจำเลยและบ้านผู้ตายที่อยู่ติดกันมาประกอบ จำเลยย่อมมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนรำคาญให้หมดไปโดยจำเลยที่อยู่บ้านใกล้ชิดติดกันย่อมมีความชอบธรรมที่จะไปร้องขอให้เบาๆลงหรือเลิกเล่นการพนัน
๑๔.แต่ผู้ตายกลับด่าว่าและแล้วเกิดชกต่อยกับจำเลย เมื่อมีคนมาห้าม จำเลยและผู้ตายยุติกันไปแล้ว การที่ผู้ตายไม่ได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้นแต่ได้กลับเข้าไปในบ้านหยิบขวดมาตีศีรษะจำเลยเลือดไหล ย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การวิวาทระหว่างผู้ตายกับจำเลยขาดตอนไปแล้ว ตั้งแต่ที่มีคนมาห้าม เมื่อการวิวาทขาดตอนไปแล้ว การที่ผู้ตาย กลับเข้าไปในบ้านหยิบขวดมาตีศีรษะจำเลยเลือดไหล ย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยไปหยิบปืนในบ้านออกมายิงผู้ตาย ในขณะนั้น ย่อมเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นในขณะที่โทสะยังมีอยู่ จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาบันดาลโทสะตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๗๒
๑๕.กรณีนี้ไม่อาจอ้างเป็นการกระทำโดยป้องกันได้เพราะเมื่อผู้ตายใช้ขวดตีจำเลยแล้วก็ไม่ได้กระทำการอื่นใดอันจะส่อให้เห็นว่าจะทำร้ายจำเลยอีก ภยันตรายที่เกิดแก่จำเลยหมดสิ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จำเลยจะต้องป้องกันภยันตรายที่เกิดการละเมิดกฎหมายที่มีอยู่แก่ตน จึงอ้างว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยป้องกันไม่ได้ ทั้งอาวุธที่ใช้ยิงผู้ตายเป็นปืน ไม่ได้สัดส่วนกับขวดที่ผู้ตายใช้ตีจำเลย ไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
๑๖.แต่การที่ที่จำเลยยิง ว และ ศ ด้วย แม้คนทั้งสองจะเป็นบุตรภรรยาของผู้ตายและอยู่บ้านเดียวกับผู้ตายแต่คนทั้งสองก็ไม่ได้ร่วมทำร้ายจำเลยด้วย การที่จำเลยยิง ว. และ ศ. ถึงแก่ความตาย “ ในขณะนั้น จึงเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา ตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๕๙
๑๗. จำเลยร้องห้ามไม่ให้ภรรยาผู้ตายเข้าข้างผู้ตายซึ่งเป็นสามีที่กำลังทะเลาะกับนายจำปา ผู้ตายใช้มีดแทงจำเลย จำเลยวิ่งหนี แต่ก็ถูกชายสองคนในบ้านผู้ตายรุมตีและแทงจำเลย จำเลยวิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างบ้านผู้ตาย ๑ เส้น ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายหมดไปแล้ว เพราะจำเลยกลับมาถึงบ้านแล้ว ไม่มีภยันตรายที่ “ใกล้จะถึงหรือถึงแล้ว”เกิดแก่จำเลยที่จะอ้างการกระทำโดยป้องกันได้ การที่จำเลยเอาปืนยิงผู้ตายทันทีทันใดในขณะนั้น เป็นการกระทำเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
๑๘.ผู้ตายวิ่งไล่น้องสาวจำเลยเพื่อจะข่มขืนจนมาถึงเรือนจำเลย เป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืน ที่จำเลยมีสิทธิ์ที่จะป้องกันอันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายแก่ “บุคคลอื่น” ได้ ผู้ตายร้องด่าท้าทายข้างนอกเรือนจำเลยอยู่ตลอดเวลา จนจำเลยระงับโทสะไม่อยู่คว้ามีดพร้าลงจากเรือนไล่ตามหลังผู้ตายไปทันในระยะ ๘ เส้น แล้วฟันผู้ตายตรงนั้น เป็นพฤตการณ์ถึงขนาดอันถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและเป็นการทำในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิด ในขณะที่โทสะยังรุนแรงอยู่ ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
๑๙. แม้จะต่อยที่อกหลายครั้ง แต่แพทย์ตรวจไม่พบบาดแผล ไม่มีรอยฟกซ้ำ เพียงแต่เจ็บที่หน้าอกเวลากด แพทย์ลงความเห็นว่ากล้ามเนื้อที่หน้าอกซ้ำรักษา ๕ วันหาย ลักษณะบาดแผลเช่นนี้ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๒๙๕ จึงเป็นการทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๓๙๑
๒๐.. การที่ รับฟังจากคนอื่นว่า ผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลย เมื่อพบผู้เสียหายจึงเข้าไปสอบถาม แล้วจำเลยก็ชกผู้เสียหายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลยใน “ ขณะเกิดเหตุ” ถือไม่ได้ว่าจำเลยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง จึงได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” ที่จะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

“บันดาลโทสะ ๒”

๑. ผู้ตายเมาสุราด่าจำเลยโดยไม่ออกชื่อแล้วเข้าบ้านไปถือดาบมาท้าทายจำเลย จำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วเดินเข้าไปหาผู้ตาย ต่างพูดท้าทายกัน ผู้ตายใช้ดาบฟันจำเลยก่อน จำเลยหลบทันและล้มลงยังพื้น จำเลยลุกขึ้นแล้วใช้ไม้ไผ่ที่ถือมาตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยถือไม้เดินไปหาผู้ตายเป็นการแสดงความสมัครใจจะต่อสู้กับผู้ตาย จำเลยอ้างป้องกันไม่ได้ การที่ผู้ตายมาด่าจำเลยแล้วกลับไปเอามีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก และยังเป็นฝ่ายลงมือฟันจำเลยก่อนด้วยเหตุเช่นนี้เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ถือว่าจำเลยตีผู้ตายอันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๕๕๐/๒๕๑๗
๒. จำเลยที่ ๑ ใช้มีดตี ก. ก่อนเพราะถูก ก. ด่าและทำร้ายร่างกาย แต่หลังจาก ก. ด่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๑ แล้ว ก.ได้เดินเข้าไปนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ในห้อง จำเลยที่ ๑ เดินเข้าไปหาไม้ที่หลังบ้านมีช่วงเวลาที่จะคิดได้ว่าสมควรทำร้าย ก. หรือไม่ จำเลยที่ ๑ หาไม้ได้แล้วเดินเข้าไปในตึก ในขณะที่ ก. กำลังนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ ก. แล้วใช้ไม้ตี แต่ ก.ยังมีลมหายใจและส่งเสียงร้อง จำเลยที่ ๑ เกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้องจึงใช้ผ้ารัดคอโดยแรงจนกระทั้งแน่นิ่งไปซึ่งเป็นการกระทำที่มีสาเหตุมาจากเกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้อง มิใช่สาเหตุมาจากถูกข่มเหง จึงไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ หลังจากจำเลยที่ ๑ ฆ่า ก. แล้วขณะกำลังหาที่ซุกซ่อนศพและกลบเกลื่อนหลักฐานอยู่นั้น ส. บุตรของ ก. ได้เข้ามาเห็นภาพภายในห้องที่เกิดเหตุซึ่งมีพิรุธผิดสังเกต จำเลยที่ ๑ เห็นเช่นนั้นจึงได้ใช้ไม้ตี ส.เพื่อปกปิดความผิดฐานฆ่า ก. จึงเป็นการฆ่า ส. เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยที่ ๑ ใช้ไม้ตี ส. หลายที เมื่อ ส. ยังไม่ตายจึงใช้ผ้ารัดคออีกจนถึงแก่ความตายเป็นวิธีธรรมดาในการฆ่าให้ถึงแก่ความตาย ไม่ใช่การฆ่าโดยทารุณโหดร้าย คำพิพากษาฏีกา ๗๐๘/๒๕๓๕
๓. ผู้ตายเอาเบียร์จากโต๊ะจำเลยที่ ๑ ไปดื่มโดยพละการ จนผู้ตายและจำเลยที่ ๑ ทะเลาะกัน ป. เข้าห้าม ผู้ตายเดินไปปากซอย จำเลยที่ ๑ กลับไปดื่มเบียร์ที่โต๊ะ ผู้ตายไม่ยอมเลิกแล้วต่อกันกลับไปท้าทายให้จำเลยที่ ๑ ชกต่อยกันอีก ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทงผู้ตายในเวลาเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกัน เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ การกระทำโดยบันดาลโทสะต้องพิจารณาว่าขณะนั้นโทสะของผู้กระทำผิดหมดสิ้นไปแล้วหรือหาไม่ พิจารณา จากพฤติการณ์อื่นประกอบ การที่จำเลยทั้งสองบันดาลโทสะจึงวิ่งไล่แทงผู้ตาย และจำเลยที่ ๒ แทงผู้ตายได้ในที่สุด เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน แสดงว่าขณะผู้ตายหนีต่อไปไม่ได้และใช้โต๊ะขึ้นกันนั้น โทสะของจำเลยทั้งสองยังไม่หมดไป คำพิพากษาฏีกา ๗๔๓/๒๕๔๑
๔. จำเลยเห็นผู้ตายกำลังกอดจูบภรรยาของตน จึงบันดาลโทสะเข้าแทงผู้ตายขณะนั้นทันทีเป็นกากรกระทำโดยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๘๘๓/๒๕๑๒
๕. จำเลยเกิดปากเสียงด่าทอแล้วใช้มือผลักซึ่งกันและกันกับพวกของผู้ตายผู้ตายเข้ามาห้ามให้แยกและใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ที โดยไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก จำเลยชักมีดแทงผู้ตายไปทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผล ถึงแก่ความตาย จำเลยจะอ้างว่าป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายหาได้ไม่ การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา๙๘/๒๕๑๔
๖. พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก บุตรเขยฟันพ่อตาตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา๑๖๐๖/๒๕๒๑
๗. ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่น จำเลยจึงทำร้ายผู้ตาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐ และบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา๓๓๑๕/๒๕๒๒
๘. ผู้ตายกับจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ผู้ตายเป็นคนโมโหร้าย จำเลยจะกลับไปเยี่ยมมารดา แต่ผู้ตายไม่ให้ไป และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ ด่าว่าจำเลยพร้อมตบตีจำเลยใช้ปืนของผู้ตายยิงผู้ตาย เพียงนัดเดียว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ทั้งยิงผู้ตายในขณะนั้น คำพิพากษาฏีกา๒๒๘๐/๒๕๒๗
๙. จำเลยเป็นอาจารย์ใหญ่ ผู้เสียหายเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ผู้เสียหายขอไปดื่มสุราที่บ้านจำเลยเพื่อจะเรียกร้องขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ เมื่อผู้เสียหายไปถึงบ้านจำเลย ผู้เสียหายมีอาการเมาสุรามากแล้ว จำเลยปฏิเสธการขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ผู้เสียหายแสดงอาการไม่พอใจ ทุบขวดและแก้วสุราอันเป็นการก้าวร้าวต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา จำเลยวิ่งหนี ผู้เสียหายวิ่งตามโดยถือคอขวดที่ทุบแตกซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธได้ในสภาพเช่นนั้นและยังเข้าโยกราวบันไดอันเป็นการพยายามทำให้เสียทรัพย์ แล้วกล่าวว่า “ มึงจะหนีไปไหน” ซึ่งเป็นกริยาที่พออนุมาณได้ว่าผู้เสียหายจะประทุษร้ายจำเลย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือแสดงกริยาอะไรที่เป็นการตอบโต้จะเข้าวิวาทกับผู้เสียหาย พฤติการณ์ของผู้เสียหายเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนมายิงผู้เสียหาย “ในขณะนั้น” เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๑๙๐๕/๒๕๒๘
๑๐. ผู้ตายกับภรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยทะเลาะกันอยู่ในห้องนอน และมีเสียงร้องดังจำเลยเปิดประตูเข้าไปดูเพื่อระงับเหตุ เห็นผู้ตายกำลังนั่งคล่อมทับเอามือจับที่คอภรรยาอยู่ จำเลยเดินเข้าไปกระชากไหล่จำเลยออกจากภรรยา ผู้ตายลุกขึ้นชกจำเลย ๑ ที แต่จำเลยหลบทัน จำเลยคว้าปืนลูกซองยาวซึ่งอยู่ในห้องนอนยิงผู้ตายไป ๑ นัด ถึงแก่ความตาย การที่จำเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับภรรยา แต่กลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยต่อย นับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควร และปราศจากความยำเกรงต่อจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะคำพิพากษาฎีกา ๕๑๘๙/๒๕๓๑
๑๑. ผู้ตายและจำเลยเป็นสามีภรรยากันก่อนเกิดเหตุผู้ตายด่าโคตรพ่อโคตรแม่จำเลย ว่าจำเลยเป็นกระหรี่ บุคคลต่ำต้อยยากจนไล่ออกจากบ้าน ใช้ไม้ขว้างจำเลย การด่าจำเลยในลักษณะดูถูกเหยียดหยาม ทั้งด่าไปถึงบุพการีจำเลยและใช้ไม้ขว้างแสดงกริยาคุกคามทำร้ายร่างกายจำเลยเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยรู้สึกเครียดแค้นเป็นอย่างมาก เป็นการข่มเหงจำเลยร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะคำพิพากษาฏีกา ๖๖๗๑/๒๕๓๑
ข้อสังเกต
๑การที่จำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วเดินเข้าไปหาผู้ตาย เมื่อถูกผู้ตายด่าและถือมีดดาบท้าทาย ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทพร้อมจะต่อสู้กับผู้ตาย ไม่ว่าใครจะทำใครก่อนไม่สำคัญ เมื่อสมัครใจวิวาทกันแล้วใครทำใครก่อนไม่สำคัญ แม้ผู้ตายใช้ดาบฟันจำเลยก่อน จำเลยหลบทันและล้มลงยังพื้น จำเลยลุกขึ้นแล้วใช้ไม้ไผ่ที่ถือมาตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยถือไม้เดินไปหาผู้ตายเป็นการแสดงความสมัครใจจะต่อสู้กับผู้ตาย ไม่ใช่มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจะเป็นเหตุให้เกิดสิทธิ์ในการป้องกันตัวแต่อย่างใดไม่ แม้ผู้ตายจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนโดยการด่าและท้าทายจำเลยก็ตามแต่ เมื่อจำเลยสมัครใจวิวาท ถือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ย่อมไม่อาจใช้สิทธิ์ในการป้องกันตัวได้ แม้ผู้ตายจะเป็นคนลงมือก่อน แต่เมื่อจำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วเดินเข้าไปหาผู้ตายประกอบทั้งผู้ตายและจำเลยต่างพูดท้าทายกันแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย แม้ผู้ตายมาด่าและท้าทายจำเลยก่อน แต่เมื่อจำเลยกลับไปอาวุธ เท่ากับสมัครใจวิวาทกับผู้ตาย จึงไม่ใช่การถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้
๒.แม้จำเลยที่ ๑จะถูก ก. ด่าและทำร้ายร่างกายก่อนก็ตาม แต่เมื่อ ก.ได้เดินเข้าไปนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ในห้อง ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้หมดไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงหรือถึงแล้วแต่อย่างใด ไม่อาจอ้างเหตุป้องกัน ตาม ปอ มาตรา ๖๘ ได้
๓.การที่จำเลยที่ ๑ เดินเข้าไปหาไม้ที่หลังบ้านย่อมอาจเกิดจากการมีโทสะที่ถูกด่าและถูกทำร้ายก่อนก็ตาม แต่ระยะเวลาที่หาไม้เพื่อจะมาทำร้าย ก. นั้น ย่อมมีช่วงเวลาที่จะคิดได้ว่าสมควรทำร้าย ก. หรือไม่ เมื่อจำเลยที่ ๑ หาไม้ได้แล้วเดินเข้าไปในตึก ในขณะที่ ก. กำลังนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ ในขณะนั้น ก. ไม่ได้ทำร้ายจำเลย “ในขณะ” หรือเป็นเวลา “ใกล้เคียง” กับที่ถูก ก. ด่าและทำร้ายร่างกาย อันจะถือได้ว่า กระทำโดยบันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ถูกข่มเหง “ ในขณะนั้น” เมื่อจำเลยที่ ๑ตี ก. ก. ยังมีลมหายใจและส่งเสียงร้อง จำเลยที่ ๑ เกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้องจึงใช้ผ้ารัดคอโดยแรงจนกระทั้งแน่นิ่งไปซึ่งเป็นการกระทำที่มีสาเหตุมาจากเกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้อง การใช้ผ้ารัดคอมิใช่สาเหตุมาจากถูกข่มเหงด่าทอหรือทำร้ายร่างกาย จึงไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ
๔.หลังจากจำเลยที่ ๑ ฆ่า ก. แล้วขณะกำลังหาที่ซุกซ่อนศพและกลบเกลื่อนหลักฐานอยู่นั้น ส. บุตรของ ก. ได้เข้ามาเห็นภาพภายในห้องที่เกิดเหตุซึ่งมีพิรุธผิดสังเกต จำเลยที่ ๑ เห็นเช่นนั้นจึงได้ใช้ไม้ตี ส.เพื่อปกปิดความผิดฐานฆ่า ก. จึงเป็นการฆ่า ส. เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตาม ปอ มาตรา ๒๘๙(๗) การที่ จำเลยที่ ๑ ใช้ไม้ตี ส. หลายที เมื่อ ส. ยังไม่ตายจึงใช้ผ้ารัดคออีกจนถึงแก่ความตายเป็นวิธีธรรมดาในการฆ่าให้ถึงแก่ความตาย ไม่ใช่การฆ่าโดยทารุณโหดร้ายตาม ปอ มาตรา ๒๘๙(๕)
๕.จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐาน ฆ่า ก โดยเจตนาตาม ปอ มาตรา ๒๘๘ ฐานฆ่า ส. โดยเจตนาเพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตาม ปอ มาตรา ๒๘๙(๗) กระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปตาม ปวอ มาตรา ๑๕๐ ทวิและฐานย้ายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายตาม ปอ มาตรา ๑๙๙ผู้ตายมี ๒ คน กระทำความผิดแก่ผู้ตายทั้งสองซึ่งเป็นคนละคนกัน กระทำความผิดหลายฐานจึงเป็นความผิดหลายกรรม ให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ปอ มาตรา ๙๑
๕. การที่ผู้ตายเอาเบียร์จากโต๊ะจำเลยที่ ๑ ไปดื่มโดยพละการย่อมเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ ซึ่งอาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ได้ เพราะผู้ตายไม่รู้จักหรือสนิทสนมกับจำเลยทั้งสองที่จะถือวิสาสะหยิบฉวยเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปได้โดยพละการ
๖. หลังจากที่ผู้ตายและจำเลยที่ ๑ ทะเลาะกันแล้วมีคนมาห้าม ผู้ตายเดินไปปากซอย จำเลยที่ ๑ กลับไปดื่มเบียร์ที่โต๊ะ การที่ผู้ตายไม่ยอมเลิกแล้วต่อกันกลับไปท้าทายให้จำเลยที่ ๑ ชกต่อยกันอีก ทั้งที่ผู้ตายเป็นฝ่ายผิดเป็นผู้ก่อเรื่อง แล้วเมื่อมีการทะเลาะวิวาทเมื่อมีคนมาห้ามและต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแล้วเรื่องก็น่าจะจบลง แต่การที่ผู้ตายกลับมาท้าทายให้จำเลยที่ ๑ เข้ามาชกต่อยถือได้ว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นมาใหม่เป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทงผู้ตายในเวลาเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกัน เป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงใน “ ขณะนั้น” การกระทำดังกล่าวจึงเป็นกากรกระทำโดยบันดาลโทสะ
๗. การกระทำโดยบันดาลโทสะต้องพิจารณาว่าขณะนั้นโทสะของผู้กระทำผิดหมดสิ้นไปแล้วหรือหาไม่ พิจารณา จากพฤติการณ์อื่นประกอบ การที่จำเลยทั้งสองบันดาลโทสะจึงวิ่งไล่แทงผู้ตาย และจำเลยที่ ๒ แทงผู้ตายได้ในที่สุด เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน แสดงว่าขณะผู้ตายหนีต่อไปไม่ได้และใช้โต๊ะขึ้นกันนั้น โทสะของจำเลยทั้งสองยังไม่หมดไป
๘. เมื่อสามีเห็นชายอื่นกำลังกอดจูบภรรยาของตน ต้องแยกพิจารณาดังนี้
๘.๑ชายหญิงจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่ ?
๘.๑.๑ หากชายหญิง “จดทะเบียนสมรสกัน” แม้ชายหญิงจดทะเบียนสมรสกันหากฝ่ายหญิง “ยินยอม” ให้ชายอื่นกอดจูบ เมื่อหญิงอายุเกินกว่า ๑๕ ปีบริบรูณ์หญิงยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบ การกระทำดังกล่าวย่อมไม่ใช้การกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า ๑๕ ปีโดยหญิงไม่ยินยอม จึงไม่ใช่ภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายที่สามีจะทำการป้องกันได้ แต่ก็ถือได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการหยามหมิ่นศักดิ์ศรีของฝ่ายชายอันเป็นการข่มเหงฝ่ายชายอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ฝ่ายชายเข้าแทงผู้ตายขณะนั้นทันทีเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ตาม ปอ มาตรา ๗๒ ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
๘.๑.๒ แต่หากชายหญิง “จดทะเบียนสมรสกัน “ แล้วมีชายอื่นมากอดจูบหญิงโดยหญิง “ไม่ยินยอม” เมื่อสามีมาพบ การกอดจูบภรรยาบุคคลอื่นโดยฝ่ายหญิงไม่ยินยอมย่อมเป็นการกระทำอนาจารบุคคลอายุกว่า ๑๕ ปี ชายผู้เป็นสามีเข้าทำร้ายย่อมอ้างป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของตน(สามีเพื่อไม่ให้ใครมาหมิ่นศักดิ์ศรีในการเป็นสามี)และของภรรยา สามีย่อมมีสิทธิ์ที่จะกระทำอย่างใดๆตามสมควรที่เป็นการกระทำที่เป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำเพื่อป้องกัน และการกระทำกับผลนั้นต้องได้สัดส่วนกันจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
๘.๑.๓ หากชายหญิง “ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน” หากฝ่ายหญิง “ยินยอม” ให้ชายอื่นมากอดจูบ ชายย่อมไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะป้องกันเพราะตนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับฝ่ายหญิง แต่ก็ถือเป็นการข่มเหงฝ่ายชายด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ซึ่งสามารถอ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๘.๑.๔ หากชายหญิง “ไม่จดทะเบียนสมรสกัน” หากมีชายอื่นมาล่วงละเมิดทางเพศ โดยฝ่ายหญิง “ ไม่ยินยอม” เมื่อชายหญิงไม่จดทะเบียนสมรสกัน ไม่ว่า หญิงยินยอม หรือไม่ยินยอม ให้ชายอื่นกอดจูบ ชายก็ไม่มีสิทธิ์ในเนื้อตัวร่างกายหญิงที่จะอ้างถึงศักดิ์ศรีการเป็นสามีที่ถูกบุคคลอื่นมาล่วงละเมิดได้ หากภยันตรายยังคง “ มีอยู่”หากชายจะใช้สิทธิ์ที่จะป้องกันฝ่ายหญิงก็เป็นไปตามหลักทั่วไปที่เมื่อพบภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับ “บุคคลอื่น” แล้วตนกระทำการเพื่อป้องกันสิทธิ์ของ “ ผู้อื่น” ให้พ้นจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย หากกระทำการพอสมควรแก่เหตุก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หากเกินแก่เหตุหรือกรณีแห่งการเหตุที่จำต้องกระทำการเพื่อป้องกันก็มีผลตามที่ ปอ มาตรา ๖๙ บัญญัติไว้ ไม่ว่าชายหญิงจะจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าหญิงยินยอมให้ชายอื่นล่วงละเมิดทางเพศก็ตาม เมื่อชายผู้เป็นสามีมาพบเห็นแม้ไม่ใช่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายก็ย่อมเกิดบันดาลโทสะได้โดยถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
๙.เกิดปากเสียงด่าทอแล้วใช้มือผลักซึ่งกันและกันกับพวกของผู้ตาย ผู้ตายเข้ามาห้ามให้แยก เป็นการกระทำเพื่อระงับเหตุร้าย ไม่ให้เกิดเหตุบานปลายออกไป แต่การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ทีย่อมเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและไม่มีอำนาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีกก็ตาม แต่ก็เป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ จำเลยชักมีดแทงผู้ตายไปทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผล จนผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจะอ้างว่าป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายหาได้ไม่ การกระทำที่จำเลยถูกทำร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้วเนื่องจากผู้ตายได้ตบหน้าจำเลยผ่านไปแล้ว และผู้ตายก็ไม่ได้แสดงกริยาว่าจะทำร้ายร่างกายจำเลยอีก จึงไม่มีภยันตรายอันละเมิดกฎหมายต่อผู้ตายที่ “ ใกล้จะถึง” หรือ “ ถึงแล้ว” ที่ จำเลยจะสามารถกระทำการเพื่อป้องกันตัวเองตาม ปอ มาตรา ๖๘ ได้ อีกทั้งผู้ตายทำร้ายจำเลยด้วยมือ แต่จำเลยตอบโต้ด้วยอาวุธมีด ซึ่งไม่ใช่การกระทำการอันเป็นวิธีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำการเพื่อป้องกัน เพราะจำเลยอาจกระทำการอย่างอื่นเพื่อป้องกันตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้มีดแทง ทั้งการที่จำเลยใช้มีดแทง ๓ ครั้ง แสดงให้เห็นว่า มีเจตนาทำร้ายให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำไม่ได้สัดส่วนและไม่ใช่วิธีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำ จึงไม่สามารถอ้างกระทำการเพื่อป้องกันตัวตามกฎหมายได้ การที่ผู้ตายตบหน้าจำเลย ย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยแทงผู้ตายในทันที ย่อมเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น จึงสามารถอ้างว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้
๑๓.การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อน เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตาม ปอ มาตรา ๓๙๑ เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น อ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๑๔.พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก เป็นความผิดฐานดูหมิ่นและหมิ่นประมาท แม้เป็นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย แต่การที่บุตรเขยฟันพ่อตาถึงแก่ความตาย ย่อมไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำการเพื่อป้องกันและการกระทำไม่ได้สัดส่วนกันเนื่องจากผู้ตายใช้คำพูดด่า แต่จำเลยใช้อาวุธฟันพ่อตาจนถึงแก่ความตาย จึงไม่สามารถอ้างกระทำการโดยป้องกันได้ แต่คำด่าทอเสียดสีถึงบุพการีย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธฟันผู้ตาย “ในขณะนั้น” ย่อม เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๕.ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่น เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เพราะเท้าเป็นของต่ำ ส่วนศีรษะเป็นของสูงที่สังคมไทยยังถือในเรื่องดังกล่าว การที่จำเลยใช้เท้าที่เป็นของต่ำฟาดลูบหัวจำเลยซึ่งเป็นของสูงเล่นย่อมไม่เป็นการให้เกียรติ์และดูถูกจำเลยว่าแม้เป็นเท้าที่เป็นของต่ำก็อยู่ระดับเสมอศีรษะจำเลยซึ่งเป็นของสูงของจำเลย จึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยจึงทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นความผิดฐานโดยไม่มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๖.การที่ผู้ตายซึ่งเป็นสามีของจำเลยโดยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ห้ามไม่ให้จำเลยกลับไปเยี่ยมมารดา และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ ด่าว่าจำเลยพร้อมตบตี การที่ไม่ยอมให้กลับบ้านไปพบมารดาย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจของจำเลยที่เป็นภรรยาที่ต้องการกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ต่างจังหวัด ส่วนคำพูดที่หาว่าจำเลยจะไปมีชู้ ก็เป็นการไม่ให้เกียรติ์จำเลยซึ่งเป็นหญิงว่าจะประพฤตินอกใจจำเลย การที่ผู้ตายใช้กำลังตบตีจำเลยอันเป็นการทำร้ายร่างกายผู้อื่น แม้จำเลยจะเป็นภรรยาผู้ตายที่แม้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ผู้ตายก็ไม่มีสิทธิ์ทุบตีทำร้ายร่างกายจำเลยได้ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนของผู้ตายยิงผู้ตาย “ในทีทันใด”นั้น และยิงเพียงเพียงนัดเดียว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
๑๗.การที่จำเลยซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ปฏิเสธไม่ยอมทำตามที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเดียวกันเรียกร้องขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ผู้เสียหายมีอาการเมาสุรามากแล้ว แสดงอาการไม่พอใจ ทุบขวดและแก้วสุราอันเป็นการก้าวร้าวและไม่ให้เกียรติ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา แม้จำเลยจะวิ่งหนี ผู้เสียหายยังวิ่งตามโดยถือคอขวดที่ทุบแตกซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธได้และยังเข้าโยกราวบันไดอันเป็นการพยายามทำให้เสีย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งราวบันไดอันเป็นความผิดฐานพยายามทำให้เสียทรัพย์ พร้อมพูดว่า “ มึงจะหนีไปไหน” เป็นกริยาที่อนุมานได้ว่าผู้เสียหายจะประทุษร้ายจำเลยเหมือนเช่นที่กำลังกระทำกับราวบันได เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือแสดงกริยาอะไรที่เป็นการตอบโต้อันจะเข้าข่ายวิวาทกับผู้เสียหาย พฤติการณ์ของผู้เสียหายเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนมายิงผู้เสียหาย “ในขณะนั้น” เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๘.จำเลยซึ่งเป็นพ่อตา เมื่อได้ยิน ผู้ตายกับภรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยทะเลาะกันอยู่ในห้องนอน และมีเสียงร้องดัง จำเลยย่อมมีสิทธิ์เข้าไประงับเหตุได้ การที่จำเลยเปิดประตูเข้าไปดูเพื่อระงับเหตุ พบเห็นผู้ตายกำลังนั่งคล่อมทับเอามือจับที่คอภรรยาอยู่ จำเลยย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันภยันตรายที่กำลังเกิดกับบุตรสาวของตนได้ การที่จำเลยเดินเข้าไปกระชากไหล่จำเลยออกจากภรรยาย่อมเป็นการระงับเหตุและป้องกันอันตรายให้บุตรสาว แต่เมื่อ ผู้ตายลุกขึ้นได้ชกจำเลย ๑ ที แต่จำเลยหลบทัน จำเลยคว้าปืนลูกซองยาวซึ่งอยู่ในห้องนอนยิงผู้ตายไป ๑ นัด ถึงแก่ความตาย การที่จำเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับภรรยา แต่กลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยต่อย นับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควร และปราศจากความยำเกรงต่อจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ
๑๙.แม้ผู้ตายและจำเลยเป็นสามีภรรยากันก็ตาม แต่การที่ผู้ตายด่าโคตรพ่อโคตรแม่จำเลย ว่าจำเลยเป็นกระหรี่ อันเป็นความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าและในความผิดฐานหมิ่นประมาทบิดามารดาจำเลย การกล่าวหาว่าจำเลยเป็นบุคคลต่ำต้อยยากจนพร้อมไล่ออกจากบ้าน ใช้ไม้ขว้างจำเลย อันเป็นการทำร้ายร่างกายจำเลย คำพูดในลักษณะดูถูกเหยียดหยาม ทั้งด่าไปถึงบุพการีจำเลยและใช้ไม้ขว้างแสดงกริยาคุกคามทำร้ายร่างกายจำเลยเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยรู้สึกเครียดแค้นเป็นอย่างมาก เป็นการข่มเหงจำเลยร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ.