ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

“บันดาลโทสะ ๓”

“บันดาลโทสะ ๓”
๑.ผู้ตายเมาสุราได้บังคับขู่เข็ญโดยใช้มือผลักอกจำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่มสุราด้วยและท้าให้ยิงกันพร้อมทำท่าล้วงอาวุธปืน เมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งไล่ตาม จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงทันที ถือได้ว่ากระทำไปโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม อัยการฟ้องให้ลงโทษตาม พรบ. อาวุธปืนฯ มาตรา ๗,๗๒ และข้อหาฆ่า ตาม ปอ มาตรา ๒๘๘ แม้ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ก็หมายถึงเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นเท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหายในข้อหาดังกล่าว ส่วนความผิดตาม พรบ. อาวุธปืนฯรัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่อาจเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาตามพรบ.อาวุธปืนฯ คำพิพากษาฎีกา๑๒๓๑/๒๕๓๓
๒.ผู้ตายเมาสุรากล่าวว่าล่วงเกินจำเลยด้วยวาจาโดยกล่าวว่า “ ทำงานไม่เป็นแต่ได้ค่าแรงแพง ทำงานผิดแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ ทำงานเป็นช่างไม้ได้ไม่เท่าไหร่ทำเป็นอวดเก่ง” และด่าแม่จำเลย ผู้ตายพูดถากถางซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง จำเลยจะกลับก็ไม่ยอมให้กลับ ผู้ตายกล่าววาจาและกระทำการอันเป็นการดูถูกเหยียดหยาม เป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจนจำเลยบันดาลโทสะจึงไปหยิบค้อนมาตีผู้ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๕๔๙๕/๒๕๓๔
๓.การที่ผู้เสียหายอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับจำเลยมาก่อนแล้วได้หญิงอื่นมาเป็นภรรยาและไปอยู่กับหญิงนั้น เมื่อจำเลยขอให้ไปพบ ผู้เสียหายไม่ยอมไป วันเกิดเหตุจำเลยพบผู้เสียหายอยู่กับหญิงอื่นโดยนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวออกมาบอกว่าจะเลิกกับจำเลยและไล่ให้กลับบ้านทั้งบังตบหน้าอีก เป็นการข่มเหงน้ำใจจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตายไปในทันทีในระยะเวลาต่อเนื่องที่ยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แม้ไม่ได้ยกเหตุนี้ขึ้นต่อสู้ ศาลก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดและความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและผู้เสียหายแล้วเห็นควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ตลอดไปถึงความผิดตามพรบ. อาวุธปืน ซึ่งจำเลยไม่ได้ฎีกาด้วยคำพิพากษาฏีกา ๖๕๕๘/๒๕๔๐
๔.ข. กล่าวเสียดสีไล่จำเลยออกจากวัดต่อหน้าชุมชน และยิงบิดาจำเลย โดยจำเลยไม่ได้วิวาทด้วย จำเลยยิง ข ตาย เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะคำพิพากษาฏีกา๕๑๘/๒๕๐๐
๕.ผู้เสียหายตะโกนด่าถึงมารดาจำเลยว่า เป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอ๊ดส์ เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยส่ำส่อนทางเพศ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย ๒ ครั้งในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ปวอ มาตรา๑๙๒วรรคท้าย,๒๑๕,๒๒๕คำพิพากษาฎีกา ๒๗๗๐/๒๕๔๔
๖. จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายก่อเหตุก่อน ผู้ตายกับพวกเล่นการพนันแล้วทะเลาะกันส่งเสียงดังในยามวิกาล จำเลยที่อยู่บ้านใกล้ชิดติดกันย่อมมีความชอบธรรมที่จะไปร้องขอให้เบาๆลงหรือเลิกเล่นการพนัน แต่ผู้ตายกลับด่าว่าจำเลยแล้วเกิดชกต่อยกัน เมื่อมีคนมาห้าม จำเลยและผู้ตายยุติกันไปแล้ว แต่ผู้ตายหาได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้นไม่กลับเข้าไปในบ้านหยิบขวดมาตีศีรษะจำเลยเลือดไหล การที่จำเลยไปหยิบปืนในบ้านออกมายิงผู้ตายจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ แต่ที่จำเลยยิง ว และ ศ ด้วย แม้คนทั้งสองจะเป็นบุตรภรรยาของผู้ตายและอยู่บ้านเดียวกับผู้ตายแต่คนทั้งสองก็ไม่ได้ร่วมทำร้ายจำเลยด้วย การที่จำเลยยิง ว. และ ศ. ถึงแก่ความตาย “ ในขณะนั้น” เป็นเพียงอารมณ์ร้อนแรงชั่วแล่นซึ่งไม่อาจอ้างได้ว่าเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๒๕๒/๒๕๒๘
๗.ผู้ตายและนายจำปาทะเลาะกัน ภรรยาผู้ตายพูดว่า “ นายจำปา” จำเลยร้องห้ามไม่ให้เข้าข้างสามี แล้วผู้ตายใช้มีดแทงจำเลย จำเลยวิ่งหนี แต่ก็ถูกชายสองคนในบ้านผู้ตายรุมตีและแทงจำเลย จำเลยวิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างบ้านผู้ตาย ๑ เส้น เอาปืนยิงผู้ตายทันทีทันใดในขณะนั้น โดยบันดาลโทสะด้วยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม คำพิพากษาฎีกา ๒๘๖/๒๕๐๙
๘.ผู้ตายวิ่งไล่น้องสาวจำเลยเพื่อจะข่มขืนจนมาถึงเรือนจำเลย แล้วร้องด่าท้าทายข้างนอกเรือนจำเลยอยู่ตลอดเวลา จนจำเลยระงับโทสะไม่อยู่คว้ามีดพร้าลงจากเรือนไล่ตามหลังผู้ตายไปทันในระยะ ๘ เส้น ละฟันผู้ตายตรงนั้น เป็นพฤตการณ์ถึงขนาดอันเป็นการถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและเป็นการทำในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิด ในขณะที่โทสะยังรุนแรงอยู่ ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น คำพิพากษาฏีกา ๑๒๖๐/๒๕๑๓
๙.จำเลยต่อยผู้เสียหายที่อกหลายครั้ง แพทย์ตรวจแล้วไม่พบบาดแผล ไม่มีรอยฟกซ้ำ เพียงแต่ผู้เสียหายบอกว่าเจ็บที่หน้าอกเวลากด แพทย์ลงความเห็นว่ากล้ามเนื้อที่หน้าอกซ้ำรักษา ๕ วันหาย ลักษณะบาดแผลเช่นนี้ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๒๙๕ จึงเป็นการทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๓๙๑ เท่านั้น การที่ ม. พี่ของจำเลยทราบจากคนอื่นพูดกันว่า ผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลย เมื่อพบผู้เสียหายจึงเข้าไปสอบถาม แล้วจำเลยก็ชกผู้เสียหายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลยใน “ ขณะเกิดเหตุ” ถือไม่ได้ว่ากระทำไปโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๓๐๗๔/๒๕๒๙
ข้อสังเกต
๑.การที่ผู้ตายใช้มือผลักอกจำเลยหลายครั้งเพื่อให้จำเลยไปดื่มสุราด้วยเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายจำเลย เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ส่วนการท้าให้ยิงกันพร้อมทำท่าล้วงอาวุธปืน เป็นการขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้ายร่างกายจำเลยด้วยการใช้อาวุธปืนยิงจำเลย เป็นการทำให้จำเลยเกิดความกลัว หรือตกใจด้วยการขู่เข็ญว่าผู้ตายจะใช้อาวุธปืนทำร้ายร่างกายจำเลยตาม ปอ มาตรา ๓๙๒ จึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เมื่อจำเลยวิ่งหนี ผู้ตายวิ่งไล่ตาม จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงทันที ถือได้ว่ากระทำไปโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” เป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
๒.ในกรณีนี้ไม่อาจต่อสู้ว่าเป็นการกระทำความผิดโดยการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย เพราะยังไม่มีภยันตรายใดๆอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย เพราะไม่ปรากฏว่าผู้ตายได้ใช้อาวุธปืนไล่ยิง เพียงแต่ผู้ตายท้าให้ยิงกันและทำท่าล้วงอาวุธปืนซึ่งจะมีอาวุธปืนจริงหรือไม่ จำเลยไม่อาจทราบได้ชัด หากผู้ตายมีอาวุธปืนจริงคงชักออกมาขู่ให้จำเลยกลัวแล้ว แต่ผู้ตายก็ไม่ได้ชักสิ่งหนึ่งสิ่งใดออกจากเสื้อหรือกางเกง เป็นเพียงจำเลยเกิดความกลัวขึ้นมาเองและเข้าใจเองว่าผู้ตายมีอาวุธปืนจะไล่ยิงทำร้ายตน ซึ่งในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า อาจเข้ากรณีตาม ปอ มาตรา ๖๒แห่งประมวลกฎหมายอาญาได้ โดยข้อเท็จจริงใดมีอยู่จริง คือหากข้อเท็จจริงมีอยู่ว่าผู้ตายมีอาวุธปืนและใช้อาวุธปืนไล่ยิงจำเลย ข้อเท็จจริงนี้ย่อมเป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายเป็นภยันตรายที่ “ ใกล้จะถึง” หรือ “ ถึงแล้ว” ซึ่งจำเลยมีสิทธิ์ที่จะป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้ ซึ่งจะทำให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดหากเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ปืนต่อปืนถือได้สัดส่วน และเป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่ตนจะกระทำการป้องกันตัวเองให้พ้นจากภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายได้ หากไม่ยิงตอบโต้ตนเองก็อาจถูกยิงเสียชีวิตได้ แม้ข้อเท็จจริงไม่มีอยู่จริงว่าผู้ตายใช้อาวุธปืนไล่ยิง แต่จำเลยสำคัญผิดว่ามีอยู่จริง จำเลยย่อมไม่มีความผิดโดยถือเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายโดยสำคัญผิดตาม ปอ มาตรา ๖๒,๖๘ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ
๓.อัยการฟ้องให้ลงโทษตาม พรบ. อาวุธปืนฯ มาตรา ๗,๗๒ และข้อหาฆ่า ตาม ปอ มาตรา ๒๘๘ ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม หมายความว่าให้เข้ามาเป็นโจทก์ร่วมได้เฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่นเท่านั้น เพราะโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยในความผิดฐานฆ่าจึงเป็นผู้เสียหายตาม ปวอ มาตรา ๒(๔) โจทก์ร่วมจึงเป็นผู้เสียหายในข้อหาดังกล่าว ส่วนความผิดตาม พรบ. อาวุธปืนฯถือไม่ได้ว่าโจทก์ร่วม ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดของจำเลยตาม รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหายในความผิดตามพรบ.อาวุธปืนฯ โจทก์ร่วมไม่ใช่ผู้เสียหายจึงไม่อาจเป็นโจทก์ร่วมในข้อหาดังกล่าว
๔.คำพูดที่ว่า “ ทำงานไม่เป็นแต่ได้ค่าแรงแพง ทำงานผิดแล้วไม่ยอมรับผิดชอบ ทำงานเป็นช่างไม้ได้ไม่เท่าไหร่ทำเป็นอวดเก่ง” แยกพิจารณาดังนี้
๔.๑ถ้อยคำว่า “ทำงานไม่เป็นแต่ได้ค่าแรงแพง” เป็นถ้อยคำเสียดสีทำนองว่าไม่มีความเป็นธรรมในสังคมที่คนทำงานไม่เป็น ไม่มีความสามารถ แต่ได้ค่าแรงมากกว่า ส่วนคนทำงานเป็นกลับได้ค่าแรงน้อยกว่า
๔.๒ถ้อยคำว่า “ ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด” เป็นถ้อยคำกล่าวหาว่าไม่มีความรับผิดชอบ ทำผิดก็ไม่ยอมรับว่าตนเองได้กระทำความผิด
๔.๓ถ้อยคำว่า “ทำงานเป็นช่างไม้ได้ไม่เท่าไหร่ทำเป็นอวดเก่ง” เป็นถ้อยคำบอกว่ารายได้จากการเป็นช่างไม้มีรายได้ไม่มากแต่ทำตัวอย่างกับว่ามีรายได้มากและความสามารถแค่เป็นช่างไม้แต่ทำตัวเหมือนตัวเองเป็นคนเก่งมีความสามารถมาก
ส่วนถ้อยคำที่ “ด่าแม่จำเลย “ นั้น “อาจ” เป็นถ้อยคำที่เป็นการดูหมิ่น ใส่ความผู้อื่นโดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังได้ ซึ่งแล้วแต่ถ้อยคำที่ด่าว่าเป็นถ้อยคำอะไร เช่นด่าว่า “ แม่มึงเป็นกระหรี่ชั้นต่ำ มึงก็เกิดจากการเป็นลูกกระหรี่ชั้นต่ำ ค่าตัวไม่กี่บาท” ถ้อยคำเหล่านี้หากกล่าวแก่บุคคลที่สามอาจเป็นการใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สามอันจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้
๕.การที่ผู้ตายพูดถากถางซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง เป็นการตอกย่ำให้จำเลยเจ็บใจ แม้จำเลยจะกลับก็ไม่ยอมให้กลับ การที่ผู้ตายกล่าววาจาและกระทำการดังกล่าวเป็นการดูถูกเหยียดหยามจำเลยอันเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจนจำเลยบันดาลโทสะจึงกระทำตอบต่อผู้ตายผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” โดยไปหยิบค้อนมาตีผู้ตายจึง เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๖.แม้ผู้เสียหายอยู่กินฉันท์สามีภรรยากับจำเลยอันถือได้ว่า ไม่ได้เป็นสามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม เพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ก็ต้องถือว่าจำเลยและผู้เสียหายมีความผูกพันธ์กันในทางครอบครัวแม้ไม่ได้รับการรับรองและคุ้มครองตามกฎหมายก็ตาม
๗.การที่ผู้เสียหายได้หญิงอื่นมาเป็นภรรยาและไปอยู่กับหญิงนั้น ย่อมเป็นการทำร้ายน้ำใจจำเลยซึ่งเป็นหญิงที่แม้ไม่มีสถานะเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม และเป็นปมด้อยของหญิงที่มีสามีแล้วแต่สามีไม่ยอมจดทะเบียนสมรสด้วย แต่ก็ยังคงมีความรักความผูกพันมีความหวงแหนในตัวผู้เสียหายที่เป็นสามีอยู่ ซึ่งเมื่อจำเลยขอให้ผู้เสียหายไปพบ ผู้เสียหายไม่ยอมไป ย่อมทำให้จำเลยเกิดความเครียดและยิ่งเกิดความหึงหวงมากขึ้นยิ่งในวันเกิดเหตุจำเลยพบผู้เสียหายอยู่กับหญิงอื่นโดยนุ่งผ้าขนหนูเพียงผืนเดียวซึ่งส่อให้เห็นว่าผู้เสียหายน่าจะเพิ่งมีอะไรกับหญิงอื่นในทางชู้สาว ยิ่งผู้เสียหายบอกว่าจะเลิกกับจำเลยและไล่ให้กลับบ้านทั้งยังตบหน้าอีก เป็นการทำร้ายร่างกายและเป็นการข่มเหงน้ำใจจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตายไปในทันทีในระยะเวลาต่อเนื่องที่ยังมีโทสะอยู่ เป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๘.แม้ไม่ได้ยกข้อต่อสู้ว่า การกระทำของตนเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ขึ้นต่อสู้ อันจะถือว่าไม่ได้เป็นข้อที่ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ก็ตาม แต่ศาลฏีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ปวอ มาตรา ๑๙๕,๒๑๕,๒๒๕
๙. เมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งการกระทำความผิดที่จำเลยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมด้วยการที่สามีไปมีผู้หญิงคนอื่นพร้อมขอเลิกและทำร้ายร่างกาย ประกอบความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยและผู้เสียหายที่เป็นสามีภรรยากันแม้ไม่ใช่สามีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายก็ตาม พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุที่ศาลฏีกาจะรอการลงโทษได้ตาม ปอ มาตรา ๕๖ศาลฏีกาเห็นควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยในความผิดฐานนี้ตลอดไปถึงความผิดตามพรบ. อาวุธปืน ซึ่งจำเลยไม่ได้ฎีกาด้วย
๑๐.การที่ ข กล่าวถ้อยคำเสียดสีไล่จำเลยออกจากวัดต่อหน้าชุมชน เป็นการทำให้จำเลยได้รับความอับอายต่อหน้าบุคคลทั่วไป และเมื่อผู้ตายยิงบิดาจำเลยย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เพราะจำเลยไม่ได้วิวาทกับผู้ตาย ส่วนการที่ จำเลยยิง ข ตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
๑๑.ในกรณีนี้ไม่อาจอ้างกระทำการเพื่อป้องกันภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายได้ เพราะภยันตรายที่เกิดแก่พ่อของจำเลยหมดสิ้นไปแล้วนับแต่ที่ผู้ตายได้ยิงพ่อจำเลย ไม่ปรากฏพฤติการณ์ใดว่าผู้ตายจะยิงพ่อจำเลยอีก จึงไม่มีการกระทำที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายที่จะเกิดกับบิดาจำเลยที่จำเลยจะสามารถป้องกันภยันตรายของ “บุคคลอื่น” ได้ แต่การกระทำดังกล่าวเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยยิงผู้ตาย “ในทันทีทันใด” นับแต่นั้นย่อมเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๒..ถ้อยคำที่ด่า มารดาจำเลยว่า “ เป็นโสเภณีและถึงแก่กรรมด้วยโรคเอ๊ดส์ ” เป็นการกล่าวหาว่ามารดาจำเลยส่ำส่อนทางเพศ หาเลี้ยงชีพด้วยการค้าประเวณีซึ่งสังคมไทยยังไม่ยอมรับ และการถึงแก่ความตายด้วยโรคเอ๊ดส์แสดงว่าเมื่อค้าประเวณีแล้วไม่ทำการป้องกันจนติดโรคดังกล่าวจนถึงแก่ความตาย เป็นการกล่าวใส่ความผู้ตายต่อหน้าจำเลยซึ่งเป็นบุตร ในประการที่น่าจะเป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรผู้ตายเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชังจากบุคคลอื่นที่ได้ยินถ้อยคำนั้นได้ เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยตบหน้าผู้เสียหาย ๒ ครั้งในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ ศาลลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ปวอ มาตรา๑๙๒วรรคท้าย,๒๑๕,๒๒๕
๑๓..การที่ ผู้ตายกับพวกเล่นการพนันแล้วทะเลาะกันส่งเสียงดังในยามวิกาล ย่อมเป็นการทำให้เกิดเสียงหรือกระทำการอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควร จนทำให้ประชาชนเดือดร้อนรำคาญตาม ปอ มาตรา ๓๗๐ และเป็นการใช้สิทธิ์ในเจ้าของบ้านซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นเหตุให้จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านข้างเคียงได้รับความเดือดร้อนเกินที่ควรคิดหรือคาดหมายได้ว่าจะเป็นไปตามปกติ เมื่อเอาสภาพและตำแหน่งที่ตั้งแห่งบ้านจำเลยและบ้านผู้ตายที่อยู่ติดกันมาประกอบ จำเลยย่อมมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติการเพื่อยังความเสียหายหรือความเดือดร้อนรำคาญให้หมดไปโดยจำเลยที่อยู่บ้านใกล้ชิดติดกันย่อมมีความชอบธรรมที่จะไปร้องขอให้เบาๆลงหรือเลิกเล่นการพนัน
๑๔.แต่ผู้ตายกลับด่าว่าและแล้วเกิดชกต่อยกับจำเลย เมื่อมีคนมาห้าม จำเลยและผู้ตายยุติกันไปแล้ว การที่ผู้ตายไม่ได้หยุดยั้งเพียงแค่นั้นแต่ได้กลับเข้าไปในบ้านหยิบขวดมาตีศีรษะจำเลยเลือดไหล ย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การวิวาทระหว่างผู้ตายกับจำเลยขาดตอนไปแล้ว ตั้งแต่ที่มีคนมาห้าม เมื่อการวิวาทขาดตอนไปแล้ว การที่ผู้ตาย กลับเข้าไปในบ้านหยิบขวดมาตีศีรษะจำเลยเลือดไหล ย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยไปหยิบปืนในบ้านออกมายิงผู้ตาย ในขณะนั้น ย่อมเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นในขณะที่โทสะยังมีอยู่ จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ มีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาบันดาลโทสะตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๗๒
๑๕.กรณีนี้ไม่อาจอ้างเป็นการกระทำโดยป้องกันได้เพราะเมื่อผู้ตายใช้ขวดตีจำเลยแล้วก็ไม่ได้กระทำการอื่นใดอันจะส่อให้เห็นว่าจะทำร้ายจำเลยอีก ภยันตรายที่เกิดแก่จำเลยหมดสิ้นไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จำเลยจะต้องป้องกันภยันตรายที่เกิดการละเมิดกฎหมายที่มีอยู่แก่ตน จึงอ้างว่าการกระทำนั้นเป็นการกระทำโดยป้องกันไม่ได้ ทั้งอาวุธที่ใช้ยิงผู้ตายเป็นปืน ไม่ได้สัดส่วนกับขวดที่ผู้ตายใช้ตีจำเลย ไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
๑๖.แต่การที่ที่จำเลยยิง ว และ ศ ด้วย แม้คนทั้งสองจะเป็นบุตรภรรยาของผู้ตายและอยู่บ้านเดียวกับผู้ตายแต่คนทั้งสองก็ไม่ได้ร่วมทำร้ายจำเลยด้วย การที่จำเลยยิง ว. และ ศ. ถึงแก่ความตาย “ ในขณะนั้น จึงเป็นการฆ่าคนตายโดยเจตนา ตาม ปอ มาตรา ๒๘๘,๕๙
๑๗. จำเลยร้องห้ามไม่ให้ภรรยาผู้ตายเข้าข้างผู้ตายซึ่งเป็นสามีที่กำลังทะเลาะกับนายจำปา ผู้ตายใช้มีดแทงจำเลย จำเลยวิ่งหนี แต่ก็ถูกชายสองคนในบ้านผู้ตายรุมตีและแทงจำเลย จำเลยวิ่งกลับบ้านซึ่งอยู่ห่างบ้านผู้ตาย ๑ เส้น ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายหมดไปแล้ว เพราะจำเลยกลับมาถึงบ้านแล้ว ไม่มีภยันตรายที่ “ใกล้จะถึงหรือถึงแล้ว”เกิดแก่จำเลยที่จะอ้างการกระทำโดยป้องกันได้ การที่จำเลยเอาปืนยิงผู้ตายทันทีทันใดในขณะนั้น เป็นการกระทำเพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
๑๘.ผู้ตายวิ่งไล่น้องสาวจำเลยเพื่อจะข่มขืนจนมาถึงเรือนจำเลย เป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายเป็นความผิดฐานพยายามข่มขืน ที่จำเลยมีสิทธิ์ที่จะป้องกันอันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายแก่ “บุคคลอื่น” ได้ ผู้ตายร้องด่าท้าทายข้างนอกเรือนจำเลยอยู่ตลอดเวลา จนจำเลยระงับโทสะไม่อยู่คว้ามีดพร้าลงจากเรือนไล่ตามหลังผู้ตายไปทันในระยะ ๘ เส้น แล้วฟันผู้ตายตรงนั้น เป็นพฤตการณ์ถึงขนาดอันถือได้ว่าเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและเป็นการทำในระยะเวลาต่อเนื่องกระชั้นชิด ในขณะที่โทสะยังรุนแรงอยู่ ถือได้ว่าเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น
๑๙. แม้จะต่อยที่อกหลายครั้ง แต่แพทย์ตรวจไม่พบบาดแผล ไม่มีรอยฟกซ้ำ เพียงแต่เจ็บที่หน้าอกเวลากด แพทย์ลงความเห็นว่ากล้ามเนื้อที่หน้าอกซ้ำรักษา ๕ วันหาย ลักษณะบาดแผลเช่นนี้ไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๒๙๕ จึงเป็นการทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นอันตรายแก่กายและจิตใจตาม ปอ มาตรา ๓๙๑
๒๐.. การที่ รับฟังจากคนอื่นว่า ผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลย เมื่อพบผู้เสียหายจึงเข้าไปสอบถาม แล้วจำเลยก็ชกผู้เสียหายทันทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายพูดจาดูหมิ่นมารดาจำเลยใน “ ขณะเกิดเหตุ” ถือไม่ได้ว่าจำเลยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง จึงได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหง “ ในขณะนั้น” ที่จะเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ

ไม่มีความคิดเห็น: