ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

“บันดาลโทสะ ๔”

“บันดาลโทสะ ๔”
๑. จำเลยพบผู้ตายกอดจูบภรรยาตน จึงเข้าแทงผู้ตายในขณะนั้นในทันทีทันใดเป็นกรณีจำเลยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๑๘๘๓/๒๕๑๒
๒. จำเลยเกิดปากเสียงด่าทอ ใช้มือผลักอกซึ่งกันและกันกับพวกคนหนึ่งของผู้ตาย ผู้ตายเข้าห้ามให้แยกกันและใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ที โดยไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก จำเลยชักมีดออกมาแทงผู้ตายทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผลถึงแก่ความตาย จะอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดกฎหมายไม่ได้ การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนถือเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้นเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา๙๘/๒๕๑๔
๓. พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก บุตรเขยฟันพ่อตาตายในขณะนั้นเป็นกากรกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา๑๖๐๖/๒๕๒๑
๔. ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่นจำเลยจึงทำร้ายผู้ตาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐และบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๓๓๑๕/๒๕๒๒
๕. การที่จำเลยยังติดตามให้ จ. กลับไปอยู่กับจำเลยและบุตร เมื่อจำเลยไปพบเห็น จ.กับผู้เสียหายอยู่กันตามลำพังในห้องน้ำในคืนเกิดเหตุนับได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ผุ้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและจำเลยย่อมเกิดอาการหึงหวงในฐานะที่ตนเองเป็นสามีของ จ. อยู่และบันดาลโทสะขึ้นในขณะนั้น จึงใช้มีดแทงผู้เสียหาย แม้จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกในห้องน้ำและแทงผู้เสียหายหลายครั้งต่อๆมาที่ประตูหน้าบ้าน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันอยู่เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ จ ยังเป็นภรรยาจำเลย การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อตามจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ในทางใดทั้งจำเลยก็ไม่เคยพักอาศัยกับผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยพละการ จึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นความผิดฐานบุกรุก จำเลยไมได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหายไม่ได้ตระเตรียมมีดของกลางเพื่อที่จะแทงผู้เสียหายมาก่อนเกิดเหตุ แต่เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วพบว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องน้ำกับ จ.เพียงสองต่อสอง จึงหยิบมีดที่พบวางอยู่ไปแทงผู้เสียหาย การบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายกับการแทงผู้เสียหาย เป็นเจตนาที่ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันแต่เกิดเป็นของครั้งแยกจากกัน เป็นความผิดสองกรรมต่างกันโดยเป็นความผิดสองฐานเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เกิดขึ้นเป็นสองครั้งแยกออกจากกันได้ เป็นความผิดสองกรรมต่างกันฐานบุกรุกในเวลากลางคืนและฐานพยายามฆ่า คำพิพากษาฎีกา ๗๑๔๖/๒๕๕๒
๖. จำเลยเป็นหญิงมีภาระต้องเลี้ยงดูตัวเอง เลี่ยงน้องให้ได้รับการศึกษาชั้นมหาวิทยาลัยและส่งเงินเลี้ยงบิดามารดา จำเลยรักใคร่ได้เสียกับผู้ตายจนจำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายก็ตีตัวออกห่างไม่ยอมพบ จำเลยโทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วย วันเกิดเหตุจำเลยไปคอยพบผู้ตายและพูดเรื่องที่จำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายบอกจำเลยให้เอาออกก็ไม่เอาออก ผู้ตายไม่ยอมรับเป็นพ่อของเด็ก และพูดว่า อยากหน้าด้านไปหาผู้ตายเอง พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้ดี อันเป็นการดูถูกเหยียดหยามกดขี่ข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้นเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกาที่ ๘๔๖/๒๕๑๒
๗. พฤติการณ์ที่จำเลยมาทวงค่าจ้างที่ค้างจากผู้เสียหายที่เป็นนายจ้างแล้วถูกผัดผ่อนชำระอยู่หลายครั้งโดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้กระทำการอื่นใดต่อจำเลยอีก เพียงเท่านี้ถือไม่ได้ว่า ผู้เสียหายได้ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงจะอ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะมาเป็นประโยชน์แก่ตนหาได้ไม่ คำพิพากษาฎีกา ๓๘๘๗/๒๕๔๒
ข้อสังเกต
๑.จำเลยพบผู้ตายกอดจูบภรรยาตน จึงเข้าแทงผู้ตายในขณะนั้น “ในทันทีทันใด” มีเกณฑ์ที่ต้องพิจารณา คือ
๑.๑ ชายหญิงจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่
๑.๑ หากจดทะเบียนสมรสกัน หญิงอยู่ในฐานะเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายที่ฝ่ายชายจะป้องกันชื่อเสียงเกียรติยศของตนที่จะไม่ให้ใครล่วงละเมิดในทางเพศกับภรรยาของตน ไม่ว่าภรรยาของตนจะยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบหรือไม่ก็ตาม แม้หญิงยินยอมจะทำให้การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจารก็ตาม แต่ฝ่ายชายซึ่งเป็นสามีย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันชื่อเสียงและเกียรติยศของตนได้ เพราะตนเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันไม่ให้ใครมาล่วงละเมิดทางเพศกับภรรยาของตนได้แม้หญิงจะยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ชายอื่นล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่ก็ตาม
๑.๒หากไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน แม้จะแต่งงานกันก็ตาม หญิงก็อยู่ในฐานะนางบำเรอของฝ่ายชาย ฝ่ายชายไม่มีอะไรที่จะต้องป้องกันชื่อเสียงเกียรติ์ยศของตนไม่ว่าหญิงจะยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบหรือไม่ก็ตาม แต่อาจอ้างเป็นการที่ตนถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงกระทำต่อผู้ข่มเหงอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๑.๒การที่ภรรยาของตนกอดจูบกับชายอื่นนั้น ฝ่ายหญิงสมัครใจหรือไม่ ต้องพิจารณาว่า หญิงมีอายุเท่าใดซึ่งแยกพิจารณาได้ดังนี้
๑.๒.๑ หากหญิงอายุยังไม่เกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์ แม้หญิงยินยอมหรือไม่ยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบหรือไม่ก็ตามก็เป็นการกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์ เป็นความผิดตาม ปอ. มาตรา ๒๗๙ ในกรณีดังกล่าวนี้แม้หญิงยินยอมหรือไม่ยินยอมก็เป็นความผิดตามกฎหมาย แต่เมื่อหญิงอายุยังไม่ครบ ๑๗ ปีบริบรูณ์ ชายหญิงไม่อาจทำการสมรสกันได้ตาม ปพพ มาตรา ๑๔๔๘ เว้นแต่มีเหตุอันควรและศาลอนุญาตให้ทำการสมรส เช่น หญิงตั้งครรภ์ ซึ่งการสมรสตามกฎหมายจะกระทำได้เฉพาะมีการจดทะเบียนสมรสเท่านั้นตาม ปพพ มาตรา ๑๔๕๗ หากมีการสมรสโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าว ปพพ มาตรา ๑๕๐๓ ให้ศาลมีอำนาจเพิกถอนการสมรสได้ ดังนั้นหากไม่มีเหตุอันควรที่ศาลจะอนุญาตให้ทำการสมรสได้ก่อนชายหญิงอายุครบ ๑๗ปีบริบรูณ์แล้ว หญิงจึงไม่ใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของชาย ที่ฝ่ายชายจะอ้างการกระทำเพื่อเป็นการป้องกันการที่หญิงถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าหากมีความผิดพลาดในเรื่องอายุเกิดขึ้นแล้วมีการจดทะเบียนสมรสให้หญิงที่มีอายุยังไม่ครบ ๑๗ ปีบริบรูณ์ ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำพิพากษาเพิกถอนการสมรส “ต้องถือว่า” หญิงยังเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของฝ่ายชายที่ฝ่ายชายจะอ้างว่ากระทำการเพื่อป้องกันหญิงซึ่งเป็นภรรยาของตนที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศได้
๑.๒.๒ หญิงอายุเกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์
๑.๒.๒.๑ หากหญิงยินยอมให้กอดจูบไม่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ปอ มาตรา ๒๗๙ แต่ชายผู้เป็นสามีหากได้มีการจดทะเบียนสมรสเพราะหญิงมีอายุเกิน ๑๗ ปีบริบรูณ์ย่อมมีอำนาจในการป้องกันชื่อเสียงเกียรติยศของตนที่จะไม่ให้ชายอื่นล่วงละเมิดทางเพศกับภรรยาของตน แต่หากหญิงอายุเกิน ๑๕ปี แต่ไม่ถึง ๑๗ ปีบริบรูณ์ย่อมไม่อาจทำการสมรสกับชายได้ เว้นแต่มีเหตุอันสมควรและได้รับอนุญาตจากศาล หากไม่มีเหตุอันควรและศาลไม่อนุญาตให้สมรสได้ หญิงย่อมไม่ใช่ภรรยาของชายที่จะอ้างกระทำการเพื่อป้องกันชื่อเสียงและเกียรติ์ยศของตน แต่อาจอ้างว่าตนถูกข่มเหงอย่างร้ายรงด้วยเหตุไม่เป็นทำจึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๑.๒.๒.๒ หากหญิงอายุเกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์ไม่ยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบ ย่อมเป็นความผิดฐานกระทำอนาจาร ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมาย ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า หากชายที่เป็นสามีพบเห็นก็สามารถอ้างกระทำการป้องกันสิทธิ์ของ “ ผู้อื่น” ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศได้ เพราะการป้องกันตามกฎหมายมีทั้งการป้องกันสิทธิ์ของ “ ตัวเอง” และของ “ บุคคลอื่น” ที่ถูกล่วงละเมิดกฎหมายได้ ไม่ว่าหญิงนั้นจะอายุเกิน ๑๗ ปีบริบรูณ์ หรืออายุเกินกว่า ๑๕ปีบริบรูณ์แต่ยังไม่เกิน ๑๗ ปีบริบรูณ์ก็ตาม เมื่อหญิงไม่ยินยอม การล่วงละเมิดทางเพศแก่หญิงย่อมเป็นความผิดตามกฎหมายที่สามีแม้จะชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายก็สามารถป้องกันสิทธิ์ดังกล่าวได้
๑.๒.๒.๓ แต่หากไม่ได้เห็นขณะหญิงกำลังถูกกระทำอนาจาร ไม่ว่าหญิงจะอายุเกินกว่า ๑๕ ปีบริบรูณ์หรือไม่ก็ตาม โดยเป็นเพียงได้ยิน “คำบอกเล่า” ของหญิงที่เป็นภรรยาของตนเล่าให้ฟังถือได้ว่าภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายหมดไปแล้วย่อมไม่สามารถที่จะอ้างสิทธิ์ในการป้องกันได้ แต่ถือเป็นกรณีที่ตนถูกข่มเหงอย่างร้ายรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมจึงกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นอันเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๒.การที่ผู้ตายเข้าห้ามจำเลยและพวกผู้ตายที่ทะเลาะด่าทอและใช้มือผลักอกกันไปมาให้แยกกันแล้วใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ที โดยไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายได้หมดไปแล้ว จึงไม่มีภยันตรายที่ “ใกล้จะถึง” หรือ “ถึงแล้ว” ที่จำเลยจะสามารถป้องกันภยันตรายอันละเมิดกฎหมายนั้นได้ จึงไม่อาจอ้างเป็นการกระทำโดยการป้องกันได้ ทั้งการที่ถูกตบหน้า ๑ ทีโดยไม่ปรากฏว่าผู้ตายจะใช้อาวุธอะไรทำร้ายจำเลยอีก การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตายทันที การกระทำของจำเลยจึงไม่ได้สัดส่วนกับการทำร้ายของผู้ตาย และไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จำเลยจะกระทำการเพื่อป้องกันตัวเอง
๓.แต่การจำเลยชักมีดออกมาแทงผู้ตายทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผลถึงแก่ความตาย นั้นเห็นว่าการแทงถึง ๓ ครั้งถูกในที่สำคัญของร่างกายเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ ไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำการเพื่อป้องกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่ากระทำเพื่อป้องกันตนให้พ้นจากภยันตรายอันละเมิดกฎหมายไม่ได้ แต่การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนถือเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้นเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
๔. พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก เป็นการข่มเหงบุตรเขยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่บุตรเขยฟันพ่อตาตายในขณะนั้นเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น จึงเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๕.คำด่าด้วยคำพูด กับการใช้อาวุธฟันทำร้ายโต้ตอบ ไม่ได้สัดส่วนในการกระทำ เป็นการกระทำการเกินสมควรแก่เหตุ
๖.ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่น ในสังคมไทยถือเท้าเป็นของต่ำ ส่วนศีรษะเป็นของสูง การที่เอาเท้าลูบศีรษะเล่นเท่ากับเอาของต่ำลูบของหัวเท่ากับการไม่ให้เกียรติ์ ถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยกระทำโต้ตอบไปในขณะนั้นจนผู้ตายถึงแก่ความตาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐แต่อ้างกระทำความผิดไปโดยบันดาลโทสะได้
๗.การที่จำเลยยังติดตามให้ จ. ซึ่งเป็นภรรยากลับไปอยู่กับจำเลยและบุตร แสดงว่าจำเลยยังรักยังหวงแหนในตัว จ อยู่ เมื่อจำเลยไปพบเห็น จ.กับผู้เสียหายอยู่กันตามลำพังในห้องน้ำในคืนเกิดเหตุ คนทั่วไปย่อมเข้าใจได้ว่าผู้เสียหายกับ จ. ทำอะไรกันในห้องน้ำ นับได้ว่าเป็นพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายได้กระทำการอันเป็นการข่มเหงในทางจิตใจของจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรมและจำเลยย่อมเกิดอาการหึงหวงในฐานะที่ตนเองเป็นสามีของ จ. อยู่
๘.การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้เสียหาย ย่อมเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น แม้จำเลยแทงผู้เสียหายครั้งแรกในห้องน้ำและแทงผู้เสียหายหลายครั้งต่อๆมาที่ประตูหน้าบ้าน แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่ “ต่อเนื่องเกี่ยวพันกันอยู่” ถือเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหง “ในขณะนั้น”เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๙.แม้ จ ยังเป็นภรรยาจำเลย การที่จำเลยเข้าไปในบ้านผู้เสียหายเพื่อตามจำเลยโดยไม่ปรากฏว่าจำเลยกับผู้เสียหายมีความสัมพันธ์ในทางใดทั้งจำเลยก็ไม่เคยพักอาศัยกับผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิ์เข้าไปในบ้านผู้เสียหายโดยพละการ จึงเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยไม่มีเหตุอันควร เป็นความผิดฐานบุกรุก ในเวลากลางคืนตาม ปอ มาตรา ๓๖๔,๓๖๕(๓)
๑๐.จำเลยไม่ได้มีเจตนาแต่แรกที่จะเข้าไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย และไม่ใช่การใช้กำลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อเข้าไปในเคหสถานของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันควรตาม ปอ มาตรา ๓๖๔,๓๖๕(๑) เพราะไม่ได้ตระเตรียมมีดของกลางมาแต่แรกเพื่อที่จะแทงผู้เสียหาย แต่เมื่อจำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายแล้วพบว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องน้ำกับ จ.เพียงสองต่อสอง จึงหยิบมีดที่พบวางอยู่ไปแทงผู้เสียหาย การบุกรุกเข้าไปในบ้านผู้เสียหายกับการแทงผู้เสียหาย เป็นเจตนาที่ไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันแต่เกิดเป็นของครั้งแยกจากกันเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน เป็นความผิดสองกรรมต่างกันโดยเป็นความผิดสองฐานเกิดขึ้นพร้อมกัน แต่เกิดขึ้นเป็นสองครั้งแยกออกจากกันได้ เป็นความผิดสองกรรมต่างกันฐานบุกรุกในเวลากลางคืนและฐานพยายามฆ่า
๑๑. จำเลยรักใคร่ได้เสียกับผู้ตายจนจำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายก็ตีตัวออกห่างไม่ยอมพบ จำเลยโทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วย วันเกิดเหตุจำเลยไปคอยพบผู้ตายและพูดเรื่องที่จำเลยตั้งครรภ์ ผู้ตายบอกจำเลยให้เอาออกก็ไม่เอาออก ผู้ตายไม่ยอมรับเป็นพ่อของเด็ก และพูดว่า “อยากหน้าด้านไปหาผู้ตายเอง พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้ดี” คำพูดของผู้ตายที่ให้เอาเด็กออกและไม่ยอมรับว่าเด็กเป็นบุตร เป็นการไม่ยอมรับผิเดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น หลอกกินฟรีแล้วก็ไม่รับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้น คำพูดที่ว่า “จำเลยหน้าด้านไปหาผู้ตายเอง พ่อแม่ไม่สั่งสอนให้ดี” เท่ากับกล่าวหาว่าจำเลยเป็นหญิงส่ำส่อนใจง่าย ที่พ่อแม่ไม่เคยสั่งสอนให้รักนวลสงวนตัว อย่าไปมีอะไรกับผู้ชายหากยังไม่ได้ทำการแต่งงานให้ถูกต้องตามประเพณีก่อน อันเป็นการดูถูกเหยียดหยามกดขี่ข่มเหงจำเลยและกล่าวพาดพิงไปถึงบิดามารดาจำเลยว่าเลี้ยงลูกไม่ดี ไม่สอนให้ลูกรักนวลสงวนตัว ประกอบทั้งพฤติกรรมที่ผู้ตายพยายามตีตัวออกห่าง โทรศัพท์ไปหลายครั้งก็ไม่ยอมพูดด้วยจนจำเลยต้องไปคอยดักพบผู้ตาย คำพูดและการกระทำดังกล่าวจึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้นเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้นเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ
๑๒. จำเลยมาทวงค่าจ้างที่ค้างจากผู้เสียหายที่เป็นนายจ้างแล้วถูกผัดผ่อนชำระอยู่หลายครั้ง แม้จำเลยจะเข้าใจว่า ผู้เสียหายคงมีเจตนาไม่ยอมจ่ายค่างจ้างให้ตน มีเจตนาโกงตัวเองและหลอกใช้ตัวเองทำงานก็ตาม แต่พฤติการณ์เพียงเท่านี้โดยไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้กระทำการอื่นใดต่อจำเลยอีกอันเป็นการข่มเหงรังแกจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เพียงการไม่ยอมจ่ายค่าจ้างเท่านี้ถือไม่ได้ว่า ผู้เสียหายได้ข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงจะอ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะมาเป็นประโยชน์แก่ตนหาได้ไม่ แต่เป็นเรื่องที่จำเลยต้องดำเนินการเรียกร้องฟ้องร้องในทางแพ่งหรือติดต่อเจ้าหน้าที่คุ้มครองแรงงานว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้ไม่ จำเลยไม่มีสิทธิ์ที่จะไปทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย

ไม่มีความคิดเห็น: