ค้นหาบล็อกนี้

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

“บันดาลโทสะ ๒”

๑. ผู้ตายเมาสุราด่าจำเลยโดยไม่ออกชื่อแล้วเข้าบ้านไปถือดาบมาท้าทายจำเลย จำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วเดินเข้าไปหาผู้ตาย ต่างพูดท้าทายกัน ผู้ตายใช้ดาบฟันจำเลยก่อน จำเลยหลบทันและล้มลงยังพื้น จำเลยลุกขึ้นแล้วใช้ไม้ไผ่ที่ถือมาตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยถือไม้เดินไปหาผู้ตายเป็นการแสดงความสมัครใจจะต่อสู้กับผู้ตาย จำเลยอ้างป้องกันไม่ได้ การที่ผู้ตายมาด่าจำเลยแล้วกลับไปเอามีดดาบมาท้าทายจำเลยอีก และยังเป็นฝ่ายลงมือฟันจำเลยก่อนด้วยเหตุเช่นนี้เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ถือว่าจำเลยตีผู้ตายอันเป็นการกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา ๕๕๐/๒๕๑๗
๒. จำเลยที่ ๑ ใช้มีดตี ก. ก่อนเพราะถูก ก. ด่าและทำร้ายร่างกาย แต่หลังจาก ก. ด่าและทำร้ายร่างกายจำเลยที่ ๑ แล้ว ก.ได้เดินเข้าไปนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ในห้อง จำเลยที่ ๑ เดินเข้าไปหาไม้ที่หลังบ้านมีช่วงเวลาที่จะคิดได้ว่าสมควรทำร้าย ก. หรือไม่ จำเลยที่ ๑ หาไม้ได้แล้วเดินเข้าไปในตึก ในขณะที่ ก. กำลังนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ ก. แล้วใช้ไม้ตี แต่ ก.ยังมีลมหายใจและส่งเสียงร้อง จำเลยที่ ๑ เกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้องจึงใช้ผ้ารัดคอโดยแรงจนกระทั้งแน่นิ่งไปซึ่งเป็นการกระทำที่มีสาเหตุมาจากเกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้อง มิใช่สาเหตุมาจากถูกข่มเหง จึงไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ หลังจากจำเลยที่ ๑ ฆ่า ก. แล้วขณะกำลังหาที่ซุกซ่อนศพและกลบเกลื่อนหลักฐานอยู่นั้น ส. บุตรของ ก. ได้เข้ามาเห็นภาพภายในห้องที่เกิดเหตุซึ่งมีพิรุธผิดสังเกต จำเลยที่ ๑ เห็นเช่นนั้นจึงได้ใช้ไม้ตี ส.เพื่อปกปิดความผิดฐานฆ่า ก. จึงเป็นการฆ่า ส. เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ จำเลยที่ ๑ ใช้ไม้ตี ส. หลายที เมื่อ ส. ยังไม่ตายจึงใช้ผ้ารัดคออีกจนถึงแก่ความตายเป็นวิธีธรรมดาในการฆ่าให้ถึงแก่ความตาย ไม่ใช่การฆ่าโดยทารุณโหดร้าย คำพิพากษาฏีกา ๗๐๘/๒๕๓๕
๓. ผู้ตายเอาเบียร์จากโต๊ะจำเลยที่ ๑ ไปดื่มโดยพละการ จนผู้ตายและจำเลยที่ ๑ ทะเลาะกัน ป. เข้าห้าม ผู้ตายเดินไปปากซอย จำเลยที่ ๑ กลับไปดื่มเบียร์ที่โต๊ะ ผู้ตายไม่ยอมเลิกแล้วต่อกันกลับไปท้าทายให้จำเลยที่ ๑ ชกต่อยกันอีก ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทงผู้ตายในเวลาเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกัน เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ การกระทำโดยบันดาลโทสะต้องพิจารณาว่าขณะนั้นโทสะของผู้กระทำผิดหมดสิ้นไปแล้วหรือหาไม่ พิจารณา จากพฤติการณ์อื่นประกอบ การที่จำเลยทั้งสองบันดาลโทสะจึงวิ่งไล่แทงผู้ตาย และจำเลยที่ ๒ แทงผู้ตายได้ในที่สุด เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน แสดงว่าขณะผู้ตายหนีต่อไปไม่ได้และใช้โต๊ะขึ้นกันนั้น โทสะของจำเลยทั้งสองยังไม่หมดไป คำพิพากษาฏีกา ๗๔๓/๒๕๔๑
๔. จำเลยเห็นผู้ตายกำลังกอดจูบภรรยาของตน จึงบันดาลโทสะเข้าแทงผู้ตายขณะนั้นทันทีเป็นกากรกระทำโดยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๘๘๓/๒๕๑๒
๕. จำเลยเกิดปากเสียงด่าทอแล้วใช้มือผลักซึ่งกันและกันกับพวกของผู้ตายผู้ตายเข้ามาห้ามให้แยกและใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ที โดยไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีก จำเลยชักมีดแทงผู้ตายไปทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผล ถึงแก่ความตาย จำเลยจะอ้างว่าป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายหาได้ไม่ การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อนเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา๙๘/๒๕๑๔
๖. พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก บุตรเขยฟันพ่อตาตายในขณะนั้น เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา๑๖๐๖/๒๕๒๑
๗. ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่น จำเลยจึงทำร้ายผู้ตาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐ และบันดาลโทสะ คำพิพากษาฏีกา๓๓๑๕/๒๕๒๒
๘. ผู้ตายกับจำเลยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ผู้ตายเป็นคนโมโหร้าย จำเลยจะกลับไปเยี่ยมมารดา แต่ผู้ตายไม่ให้ไป และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ ด่าว่าจำเลยพร้อมตบตีจำเลยใช้ปืนของผู้ตายยิงผู้ตาย เพียงนัดเดียว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ทั้งยิงผู้ตายในขณะนั้น คำพิพากษาฏีกา๒๒๘๐/๒๕๒๗
๙. จำเลยเป็นอาจารย์ใหญ่ ผู้เสียหายเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเดียวกัน ผู้เสียหายขอไปดื่มสุราที่บ้านจำเลยเพื่อจะเรียกร้องขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ เมื่อผู้เสียหายไปถึงบ้านจำเลย ผู้เสียหายมีอาการเมาสุรามากแล้ว จำเลยปฏิเสธการขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ผู้เสียหายแสดงอาการไม่พอใจ ทุบขวดและแก้วสุราอันเป็นการก้าวร้าวต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา จำเลยวิ่งหนี ผู้เสียหายวิ่งตามโดยถือคอขวดที่ทุบแตกซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธได้ในสภาพเช่นนั้นและยังเข้าโยกราวบันไดอันเป็นการพยายามทำให้เสียทรัพย์ แล้วกล่าวว่า “ มึงจะหนีไปไหน” ซึ่งเป็นกริยาที่พออนุมาณได้ว่าผู้เสียหายจะประทุษร้ายจำเลย โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือแสดงกริยาอะไรที่เป็นการตอบโต้จะเข้าวิวาทกับผู้เสียหาย พฤติการณ์ของผู้เสียหายเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนมายิงผู้เสียหาย “ในขณะนั้น” เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ คำพิพากษาฎีกา ๑๙๐๕/๒๕๒๘
๑๐. ผู้ตายกับภรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยทะเลาะกันอยู่ในห้องนอน และมีเสียงร้องดังจำเลยเปิดประตูเข้าไปดูเพื่อระงับเหตุ เห็นผู้ตายกำลังนั่งคล่อมทับเอามือจับที่คอภรรยาอยู่ จำเลยเดินเข้าไปกระชากไหล่จำเลยออกจากภรรยา ผู้ตายลุกขึ้นชกจำเลย ๑ ที แต่จำเลยหลบทัน จำเลยคว้าปืนลูกซองยาวซึ่งอยู่ในห้องนอนยิงผู้ตายไป ๑ นัด ถึงแก่ความตาย การที่จำเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับภรรยา แต่กลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยต่อย นับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควร และปราศจากความยำเกรงต่อจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะคำพิพากษาฎีกา ๕๑๘๙/๒๕๓๑
๑๑. ผู้ตายและจำเลยเป็นสามีภรรยากันก่อนเกิดเหตุผู้ตายด่าโคตรพ่อโคตรแม่จำเลย ว่าจำเลยเป็นกระหรี่ บุคคลต่ำต้อยยากจนไล่ออกจากบ้าน ใช้ไม้ขว้างจำเลย การด่าจำเลยในลักษณะดูถูกเหยียดหยาม ทั้งด่าไปถึงบุพการีจำเลยและใช้ไม้ขว้างแสดงกริยาคุกคามทำร้ายร่างกายจำเลยเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยรู้สึกเครียดแค้นเป็นอย่างมาก เป็นการข่มเหงจำเลยร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะคำพิพากษาฏีกา ๖๖๗๑/๒๕๓๑
ข้อสังเกต
๑การที่จำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วเดินเข้าไปหาผู้ตาย เมื่อถูกผู้ตายด่าและถือมีดดาบท้าทาย ถือได้ว่าจำเลยสมัครใจวิวาทพร้อมจะต่อสู้กับผู้ตาย ไม่ว่าใครจะทำใครก่อนไม่สำคัญ เมื่อสมัครใจวิวาทกันแล้วใครทำใครก่อนไม่สำคัญ แม้ผู้ตายใช้ดาบฟันจำเลยก่อน จำเลยหลบทันและล้มลงยังพื้น จำเลยลุกขึ้นแล้วใช้ไม้ไผ่ที่ถือมาตีผู้ตายถึงแก่ความตาย การที่จำเลยถือไม้เดินไปหาผู้ตายเป็นการแสดงความสมัครใจจะต่อสู้กับผู้ตาย ไม่ใช่มีภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง อันจะเป็นเหตุให้เกิดสิทธิ์ในการป้องกันตัวแต่อย่างใดไม่ แม้ผู้ตายจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนโดยการด่าและท้าทายจำเลยก็ตามแต่ เมื่อจำเลยสมัครใจวิวาท ถือมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดด้วย จึงไม่ใช่ผู้เสียหายโดยนิตินัย ย่อมไม่อาจใช้สิทธิ์ในการป้องกันตัวได้ แม้ผู้ตายจะเป็นคนลงมือก่อน แต่เมื่อจำเลยถือไม้ไผ่ด้ามพลั่วเดินเข้าไปหาผู้ตายประกอบทั้งผู้ตายและจำเลยต่างพูดท้าทายกันแสดงว่าจำเลยมีเจตนาทะเลาะวิวาทกับผู้ตาย แม้ผู้ตายมาด่าและท้าทายจำเลยก่อน แต่เมื่อจำเลยกลับไปอาวุธ เท่ากับสมัครใจวิวาทกับผู้ตาย จึงไม่ใช่การถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงไม่อาจอ้างเหตุบันดาลโทสะได้
๒.แม้จำเลยที่ ๑จะถูก ก. ด่าและทำร้ายร่างกายก่อนก็ตาม แต่เมื่อ ก.ได้เดินเข้าไปนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ในห้อง ภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายได้หมดไปแล้ว ไม่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงหรือถึงแล้วแต่อย่างใด ไม่อาจอ้างเหตุป้องกัน ตาม ปอ มาตรา ๖๘ ได้
๓.การที่จำเลยที่ ๑ เดินเข้าไปหาไม้ที่หลังบ้านย่อมอาจเกิดจากการมีโทสะที่ถูกด่าและถูกทำร้ายก่อนก็ตาม แต่ระยะเวลาที่หาไม้เพื่อจะมาทำร้าย ก. นั้น ย่อมมีช่วงเวลาที่จะคิดได้ว่าสมควรทำร้าย ก. หรือไม่ เมื่อจำเลยที่ ๑ หาไม้ได้แล้วเดินเข้าไปในตึก ในขณะที่ ก. กำลังนั่งซ่อมโทรศัพท์อยู่ ในขณะนั้น ก. ไม่ได้ทำร้ายจำเลย “ในขณะ” หรือเป็นเวลา “ใกล้เคียง” กับที่ถูก ก. ด่าและทำร้ายร่างกาย อันจะถือได้ว่า กระทำโดยบันดาลโทสะ โดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ถูกข่มเหง “ ในขณะนั้น” เมื่อจำเลยที่ ๑ตี ก. ก. ยังมีลมหายใจและส่งเสียงร้อง จำเลยที่ ๑ เกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้องจึงใช้ผ้ารัดคอโดยแรงจนกระทั้งแน่นิ่งไปซึ่งเป็นการกระทำที่มีสาเหตุมาจากเกรงว่าเพื่อนบ้านจะได้ยินเสียงร้อง การใช้ผ้ารัดคอมิใช่สาเหตุมาจากถูกข่มเหงด่าทอหรือทำร้ายร่างกาย จึงไม่ใช่การกระทำโดยบันดาลโทสะ
๔.หลังจากจำเลยที่ ๑ ฆ่า ก. แล้วขณะกำลังหาที่ซุกซ่อนศพและกลบเกลื่อนหลักฐานอยู่นั้น ส. บุตรของ ก. ได้เข้ามาเห็นภาพภายในห้องที่เกิดเหตุซึ่งมีพิรุธผิดสังเกต จำเลยที่ ๑ เห็นเช่นนั้นจึงได้ใช้ไม้ตี ส.เพื่อปกปิดความผิดฐานฆ่า ก. จึงเป็นการฆ่า ส. เพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตาม ปอ มาตรา ๒๘๙(๗) การที่ จำเลยที่ ๑ ใช้ไม้ตี ส. หลายที เมื่อ ส. ยังไม่ตายจึงใช้ผ้ารัดคออีกจนถึงแก่ความตายเป็นวิธีธรรมดาในการฆ่าให้ถึงแก่ความตาย ไม่ใช่การฆ่าโดยทารุณโหดร้ายตาม ปอ มาตรา ๒๘๙(๕)
๕.จำเลยที่ ๑ มีความผิดฐาน ฆ่า ก โดยเจตนาตาม ปอ มาตรา ๒๘๘ ฐานฆ่า ส. โดยเจตนาเพื่อปกปิดความผิดและเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ตาม ปอ มาตรา ๒๘๙(๗) กระทำการใดๆแก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้นในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไปตาม ปวอ มาตรา ๑๕๐ ทวิและฐานย้ายศพเพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตายตาม ปอ มาตรา ๑๙๙ผู้ตายมี ๒ คน กระทำความผิดแก่ผู้ตายทั้งสองซึ่งเป็นคนละคนกัน กระทำความผิดหลายฐานจึงเป็นความผิดหลายกรรม ให้ศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตาม ปอ มาตรา ๙๑
๕. การที่ผู้ตายเอาเบียร์จากโต๊ะจำเลยที่ ๑ ไปดื่มโดยพละการย่อมเป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจ ซึ่งอาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้าอันเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ได้ เพราะผู้ตายไม่รู้จักหรือสนิทสนมกับจำเลยทั้งสองที่จะถือวิสาสะหยิบฉวยเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปได้โดยพละการ
๖. หลังจากที่ผู้ตายและจำเลยที่ ๑ ทะเลาะกันแล้วมีคนมาห้าม ผู้ตายเดินไปปากซอย จำเลยที่ ๑ กลับไปดื่มเบียร์ที่โต๊ะ การที่ผู้ตายไม่ยอมเลิกแล้วต่อกันกลับไปท้าทายให้จำเลยที่ ๑ ชกต่อยกันอีก ทั้งที่ผู้ตายเป็นฝ่ายผิดเป็นผู้ก่อเรื่อง แล้วเมื่อมีการทะเลาะวิวาทเมื่อมีคนมาห้ามและต่างคนต่างแยกย้ายกันไปแล้วเรื่องก็น่าจะจบลง แต่การที่ผู้ตายกลับมาท้าทายให้จำเลยที่ ๑ เข้ามาชกต่อยถือได้ว่า ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุขึ้นมาใหม่เป็นการข่มเหงจำเลยทั้งสองอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดแทงผู้ตายในเวลาเกี่ยวเนื่องใกล้ชิดกัน เป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงใน “ ขณะนั้น” การกระทำดังกล่าวจึงเป็นกากรกระทำโดยบันดาลโทสะ
๗. การกระทำโดยบันดาลโทสะต้องพิจารณาว่าขณะนั้นโทสะของผู้กระทำผิดหมดสิ้นไปแล้วหรือหาไม่ พิจารณา จากพฤติการณ์อื่นประกอบ การที่จำเลยทั้งสองบันดาลโทสะจึงวิ่งไล่แทงผู้ตาย และจำเลยที่ ๒ แทงผู้ตายได้ในที่สุด เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน แสดงว่าขณะผู้ตายหนีต่อไปไม่ได้และใช้โต๊ะขึ้นกันนั้น โทสะของจำเลยทั้งสองยังไม่หมดไป
๘. เมื่อสามีเห็นชายอื่นกำลังกอดจูบภรรยาของตน ต้องแยกพิจารณาดังนี้
๘.๑ชายหญิงจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่ ?
๘.๑.๑ หากชายหญิง “จดทะเบียนสมรสกัน” แม้ชายหญิงจดทะเบียนสมรสกันหากฝ่ายหญิง “ยินยอม” ให้ชายอื่นกอดจูบ เมื่อหญิงอายุเกินกว่า ๑๕ ปีบริบรูณ์หญิงยินยอมให้ชายอื่นกอดจูบ การกระทำดังกล่าวย่อมไม่ใช้การกระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่า ๑๕ ปีโดยหญิงไม่ยินยอม จึงไม่ใช่ภยันตรายอันเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายที่สามีจะทำการป้องกันได้ แต่ก็ถือได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการหยามหมิ่นศักดิ์ศรีของฝ่ายชายอันเป็นการข่มเหงฝ่ายชายอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ฝ่ายชายเข้าแทงผู้ตายขณะนั้นทันทีเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ตาม ปอ มาตรา ๗๒ ศาลลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
๘.๑.๒ แต่หากชายหญิง “จดทะเบียนสมรสกัน “ แล้วมีชายอื่นมากอดจูบหญิงโดยหญิง “ไม่ยินยอม” เมื่อสามีมาพบ การกอดจูบภรรยาบุคคลอื่นโดยฝ่ายหญิงไม่ยินยอมย่อมเป็นการกระทำอนาจารบุคคลอายุกว่า ๑๕ ปี ชายผู้เป็นสามีเข้าทำร้ายย่อมอ้างป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมายเพื่อป้องกันสิทธิ์ของตน(สามีเพื่อไม่ให้ใครมาหมิ่นศักดิ์ศรีในการเป็นสามี)และของภรรยา สามีย่อมมีสิทธิ์ที่จะกระทำอย่างใดๆตามสมควรที่เป็นการกระทำที่เป็นวิถีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำเพื่อป้องกัน และการกระทำกับผลนั้นต้องได้สัดส่วนกันจึงเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย
๘.๑.๓ หากชายหญิง “ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน” หากฝ่ายหญิง “ยินยอม” ให้ชายอื่นมากอดจูบ ชายย่อมไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะป้องกันเพราะตนไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับฝ่ายหญิง แต่ก็ถือเป็นการข่มเหงฝ่ายชายด้วยเหตุไม่เป็นธรรม ซึ่งสามารถอ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๘.๑.๔ หากชายหญิง “ไม่จดทะเบียนสมรสกัน” หากมีชายอื่นมาล่วงละเมิดทางเพศ โดยฝ่ายหญิง “ ไม่ยินยอม” เมื่อชายหญิงไม่จดทะเบียนสมรสกัน ไม่ว่า หญิงยินยอม หรือไม่ยินยอม ให้ชายอื่นกอดจูบ ชายก็ไม่มีสิทธิ์ในเนื้อตัวร่างกายหญิงที่จะอ้างถึงศักดิ์ศรีการเป็นสามีที่ถูกบุคคลอื่นมาล่วงละเมิดได้ หากภยันตรายยังคง “ มีอยู่”หากชายจะใช้สิทธิ์ที่จะป้องกันฝ่ายหญิงก็เป็นไปตามหลักทั่วไปที่เมื่อพบภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมายเกิดขึ้นกับ “บุคคลอื่น” แล้วตนกระทำการเพื่อป้องกันสิทธิ์ของ “ ผู้อื่น” ให้พ้นจากการประทุษร้ายอันละเมิดกฎหมาย หากกระทำการพอสมควรแก่เหตุก็เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย หากเกินแก่เหตุหรือกรณีแห่งการเหตุที่จำต้องกระทำการเพื่อป้องกันก็มีผลตามที่ ปอ มาตรา ๖๙ บัญญัติไว้ ไม่ว่าชายหญิงจะจดทะเบียนสมรสกันหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าหญิงยินยอมให้ชายอื่นล่วงละเมิดทางเพศก็ตาม เมื่อชายผู้เป็นสามีมาพบเห็นแม้ไม่ใช่สามีโดยชอบด้วยกฎหมายก็ย่อมเกิดบันดาลโทสะได้โดยถือเป็นการข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
๙.เกิดปากเสียงด่าทอแล้วใช้มือผลักซึ่งกันและกันกับพวกของผู้ตาย ผู้ตายเข้ามาห้ามให้แยก เป็นการกระทำเพื่อระงับเหตุร้าย ไม่ให้เกิดเหตุบานปลายออกไป แต่การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลย ๑ ทีย่อมเป็นการกระทำที่ไม่สมควรและไม่มีอำนาจกระทำได้โดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะไม่ได้แสดงอาการว่าจะทำร้ายจำเลยด้วยอาวุธอะไรต่อไปอีกก็ตาม แต่ก็เป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ จำเลยชักมีดแทงผู้ตายไปทันทีถูกผู้ตายเป็นแผลฉกรรจ์ ๓ แผล จนผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจะอ้างว่าป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายหาได้ไม่ การกระทำที่จำเลยถูกทำร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้วเนื่องจากผู้ตายได้ตบหน้าจำเลยผ่านไปแล้ว และผู้ตายก็ไม่ได้แสดงกริยาว่าจะทำร้ายร่างกายจำเลยอีก จึงไม่มีภยันตรายอันละเมิดกฎหมายต่อผู้ตายที่ “ ใกล้จะถึง” หรือ “ ถึงแล้ว” ที่ จำเลยจะสามารถกระทำการเพื่อป้องกันตัวเองตาม ปอ มาตรา ๖๘ ได้ อีกทั้งผู้ตายทำร้ายจำเลยด้วยมือ แต่จำเลยตอบโต้ด้วยอาวุธมีด ซึ่งไม่ใช่การกระทำการอันเป็นวิธีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำการเพื่อป้องกัน เพราะจำเลยอาจกระทำการอย่างอื่นเพื่อป้องกันตัวได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้มีดแทง ทั้งการที่จำเลยใช้มีดแทง ๓ ครั้ง แสดงให้เห็นว่า มีเจตนาทำร้ายให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย การกระทำไม่ได้สัดส่วนและไม่ใช่วิธีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำ จึงไม่สามารถอ้างกระทำการเพื่อป้องกันตัวตามกฎหมายได้ การที่ผู้ตายตบหน้าจำเลย ย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยแทงผู้ตายในทันที ย่อมเป็นการกระทำต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น จึงสามารถอ้างว่ากระทำความผิดโดยบันดาลโทสะได้
๑๓.การที่ผู้ตายใช้มือตบหน้าจำเลยก่อน เป็นความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตาม ปอ มาตรา ๓๙๑ เช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่แทงผู้ตายไปในขณะนั้น เป็นการกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น อ้างการกระทำโดยบันดาลโทสะได้
๑๔.พ่อตาด่าบุตรเขยถึงตระกูล บุตรเขยห้ามก็ไม่ฟัง ด่าแล้วด่าอีก เป็นความผิดฐานดูหมิ่นและหมิ่นประมาท แม้เป็นภยันตรายอันละเมิดต่อกฎหมาย แต่การที่บุตรเขยฟันพ่อตาถึงแก่ความตาย ย่อมไม่ใช่วิถีทางน้อยที่สุดที่จะกระทำการเพื่อป้องกันและการกระทำไม่ได้สัดส่วนกันเนื่องจากผู้ตายใช้คำพูดด่า แต่จำเลยใช้อาวุธฟันพ่อตาจนถึงแก่ความตาย จึงไม่สามารถอ้างกระทำการโดยป้องกันได้ แต่คำด่าทอเสียดสีถึงบุพการีย่อมเป็นการข่มเหงจำเลยด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้อาวุธฟันผู้ตาย “ในขณะนั้น” ย่อม เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๕.ผู้ตายเมาสุราเอาเท้าฟาดหัวจำเลยลูบเล่น เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม เพราะเท้าเป็นของต่ำ ส่วนศีรษะเป็นของสูงที่สังคมไทยยังถือในเรื่องดังกล่าว การที่จำเลยใช้เท้าที่เป็นของต่ำฟาดลูบหัวจำเลยซึ่งเป็นของสูงเล่นย่อมไม่เป็นการให้เกียรติ์และดูถูกจำเลยว่าแม้เป็นเท้าที่เป็นของต่ำก็อยู่ระดับเสมอศีรษะจำเลยซึ่งเป็นของสูงของจำเลย จึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยจึงทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ย่อมเป็นความผิดฐานโดยไม่มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตามความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๐เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๖.การที่ผู้ตายซึ่งเป็นสามีของจำเลยโดยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ห้ามไม่ให้จำเลยกลับไปเยี่ยมมารดา และกล่าวหาจำเลยว่าจะไปมีชู้ ด่าว่าจำเลยพร้อมตบตี การที่ไม่ยอมให้กลับบ้านไปพบมารดาย่อมเป็นการทำร้ายจิตใจของจำเลยที่เป็นภรรยาที่ต้องการกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ต่างจังหวัด ส่วนคำพูดที่หาว่าจำเลยจะไปมีชู้ ก็เป็นการไม่ให้เกียรติ์จำเลยซึ่งเป็นหญิงว่าจะประพฤตินอกใจจำเลย การที่ผู้ตายใช้กำลังตบตีจำเลยอันเป็นการทำร้ายร่างกายผู้อื่น แม้จำเลยจะเป็นภรรยาผู้ตายที่แม้ไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่ผู้ตายก็ไม่มีสิทธิ์ทุบตีทำร้ายร่างกายจำเลยได้ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนของผู้ตายยิงผู้ตาย “ในทีทันใด”นั้น และยิงเพียงเพียงนัดเดียว เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ เพราะถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม
๑๗.การที่จำเลยซึ่งเป็นอาจารย์ใหญ่ปฏิเสธไม่ยอมทำตามที่ผู้เสียหายซึ่งเป็นครูอยู่ในโรงเรียนเดียวกันเรียกร้องขอเป็นผู้ช่วยอาจารย์ใหญ่ ผู้เสียหายมีอาการเมาสุรามากแล้ว แสดงอาการไม่พอใจ ทุบขวดและแก้วสุราอันเป็นการก้าวร้าวและไม่ให้เกียรติ์ต่อจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชา แม้จำเลยจะวิ่งหนี ผู้เสียหายยังวิ่งตามโดยถือคอขวดที่ทุบแตกซึ่งสามารถใช้เป็นอาวุธได้และยังเข้าโยกราวบันไดอันเป็นการพยายามทำให้เสีย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า ทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งราวบันไดอันเป็นความผิดฐานพยายามทำให้เสียทรัพย์ พร้อมพูดว่า “ มึงจะหนีไปไหน” เป็นกริยาที่อนุมานได้ว่าผู้เสียหายจะประทุษร้ายจำเลยเหมือนเช่นที่กำลังกระทำกับราวบันได เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยได้พูดหรือแสดงกริยาอะไรที่เป็นการตอบโต้อันจะเข้าข่ายวิวาทกับผู้เสียหาย พฤติการณ์ของผู้เสียหายเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม การที่จำเลยคว้าอาวุธปืนมายิงผู้เสียหาย “ในขณะนั้น” เป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ
๑๘.จำเลยซึ่งเป็นพ่อตา เมื่อได้ยิน ผู้ตายกับภรรยาซึ่งเป็นบุตรสาวจำเลยทะเลาะกันอยู่ในห้องนอน และมีเสียงร้องดัง จำเลยย่อมมีสิทธิ์เข้าไประงับเหตุได้ การที่จำเลยเปิดประตูเข้าไปดูเพื่อระงับเหตุ พบเห็นผู้ตายกำลังนั่งคล่อมทับเอามือจับที่คอภรรยาอยู่ จำเลยย่อมมีสิทธิ์ที่จะป้องกันภยันตรายที่กำลังเกิดกับบุตรสาวของตนได้ การที่จำเลยเดินเข้าไปกระชากไหล่จำเลยออกจากภรรยาย่อมเป็นการระงับเหตุและป้องกันอันตรายให้บุตรสาว แต่เมื่อ ผู้ตายลุกขึ้นได้ชกจำเลย ๑ ที แต่จำเลยหลบทัน จำเลยคว้าปืนลูกซองยาวซึ่งอยู่ในห้องนอนยิงผู้ตายไป ๑ นัด ถึงแก่ความตาย การที่จำเลยเข้าไประงับเหตุระหว่างผู้ตายกับภรรยา แต่กลับถูกผู้ตายซึ่งเป็นบุตรเขยต่อย นับได้ว่าผู้ตายได้กระทำการอันไม่สมควร และปราศจากความยำเกรงต่อจำเลยซึ่งเป็นพ่อตาซึ่งมีอายุมากแล้ว เป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่ใช้ปืนยิงผู้ตายในขณะนั้น เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยบันดาลโทสะ
๑๙.แม้ผู้ตายและจำเลยเป็นสามีภรรยากันก็ตาม แต่การที่ผู้ตายด่าโคตรพ่อโคตรแม่จำเลย ว่าจำเลยเป็นกระหรี่ อันเป็นความผิดฐานดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าและในความผิดฐานหมิ่นประมาทบิดามารดาจำเลย การกล่าวหาว่าจำเลยเป็นบุคคลต่ำต้อยยากจนพร้อมไล่ออกจากบ้าน ใช้ไม้ขว้างจำเลย อันเป็นการทำร้ายร่างกายจำเลย คำพูดในลักษณะดูถูกเหยียดหยาม ทั้งด่าไปถึงบุพการีจำเลยและใช้ไม้ขว้างแสดงกริยาคุกคามทำร้ายร่างกายจำเลยเช่นนั้น ย่อมทำให้จำเลยรู้สึกเครียดแค้นเป็นอย่างมาก เป็นการข่มเหงจำเลยร้ายแรงด้วยเหตุไม่เป็นธรรม การที่จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ.

ไม่มีความคิดเห็น: