ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

23.วิเชียร แสนมหายักษ์

23.วิเชียร แสนมหายักษ์ ผมมันแค่รายย่อย



น.ช.วิเชียร แสนมหายักษ์ อายุ 42 ปี หมายเลขประจำตัว 992/41 คดีนำยาเสพติดให้โทษฯเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรค 2, 65 วรรค 2, 66 วรรค 2 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 หมายเลขคดีดำที่ 7417/40 หมายเลขคดีแดงที่ 7691/41 ศาลจังหวัดเชียงราย เหตุเกิดพื้นที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ.2540 เวลา 16.30 น. บริเวณจุดตรวจใกล้สะพานพรมแดนไทย ตำบลแม่สาย อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.อ.แม่สาย และเจ้าหน้าที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ได้ทำการตั้งด่านตรวจค้นรถยนต์ที่ผ่านเข้าออกจากประเทศเพื่อนบ้าน พบรถกระบะหมายเลขทะเบียน พ-6271 จันทบุรี ขับข้ามพรมแดนเข้ามาจากประเทศพม่า จึงได้เรียกให้หยุดเพื่อทำการตรวจค้น

ภายในรถคันดังกล่าวเจ้าหน้าที่พบผู้ขับขี่ทราบชื่อในภายหลังว่านายวิเชียร แสนมหายักษ์ ขับมาลำพังเพียงคนเดียว ก่อนทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงความบริสุทธิ์ให้นายวิเชียรดูจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงได้ทำการตรวจค้นภายในรถกระบะอย่างละเอียด เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเคาะที่ฝากระโปรงปิดท้ายรถ มีเสียงทึบเหมือนมีอะไรซุกซ่อนอยู่ภายใน จึงใช้ไขควงขันนอตที่ปิดฝากระโปรงรถออกดู ปรากฏว่าพบยาบ้าบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกแบบปิดเปิด ห่อด้วยกระดาษสาแล้วพันด้วยเทปกาวจำนวน 25 ห่อ ห่อละ 10 ถุง ถุงละ 200 เม็ด รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 50,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในฝากระบะปิดท้ายรถคันดังกล่าว จึงได้ยึดของกลางทั้งหมดและจับกุมตัวนายวิเชียรมาทำการสอบสวน

จากการสอบสวนนายวิเชียร ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นเจ้าของยาบ้า และไม่เคยรู้เห็นยาบ้าจำนวนดังกล่าวมาก่อน โดยให้การว่า แต่เดิมตนได้ทำไร่อยู่ที่อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ต่อมานายสมาน ไม่ทราบนามสกุล ได้มาติดต่อให้ตนไปรับเหมาก่อสร้างที่ประเทศพม่า ก่อนถูกจับกุมตัว ตนได้ยืมรถกระบะของนางพุฒผู้ว่าจ้างซึ่งเป็นชาวพม่ามาใช้ โดยนำปั๊มลมที่ใช้สำหรับยิงตะปูมาซ่อมในประเทศไทย แต่เมื่อข้ามพรมแดนไทยเข้ามาแล้ว ได้ถูกค้นรถและมีการตรวจพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่ในฝากระบะปิดท้ายรถคันดังกล่าว ตนไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ที่แอบซุกซ่อนยาบ้ามากับรถ และขอยืนยันว่าไม่เคยเกี่ยวข้องกับยาบ้าหรือยาเสพติดประเภทต่างๆแต่อย่างใด

หลังการสอบสวนเสร็จสิ้น ได้ขออำนาจศาลฝากขังนายวิเชียรไว้ที่เรือนจำจังหวัดเชียงราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มอบสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานต่างๆให้อัยการ เพื่อทำการฟ้องร้องดำเนินคดีนายวิเชียรต่อศาลจังหวัดเชียงราย

ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น เชื่อว่านายวิเชียรได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง โดยนำยาเสพติดเข้ามาภายในราชอาณาจักรเพื่อจำหน่าย โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการบ่อนทำลายประเทศชาติอย่างร้ายแรงอีกด้วย จึงได้ตัดสินให้ประหารชีวิตนายวิเชียร โดยไม่มีการลดหย่อนโทษให้แต่อย่างใด และได้ส่งข.ช.วิเชียรมาควบคุมที่เรือนจำกลางบางขวาง

ข.ช.วิเชียรไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล แต่เนื่องจากมีโทษขั้นสูงสุด ศาลจังหวัดเชียงรายจึงได้ส่งเรื่องมาให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาอีกครั้ง ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น น.ช.วิเชียรได้สละสิทธิ์ในการยื่นฎีกาต่อศาลเป็นนักโทษเด็ดขาด แต่ได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์ และได้รอผลการพิจารณาอยู่ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1

วันที่ 18 เมษายน พ.ศ.2544 หลังจากที่ข้าพเจ้าได้รับแจ้งจากฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขังว่า ภายในวันนี้จะมีการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดจำนวน 5 รายแล้ว ข้าพเจ้าจึงไปจัดเตรียมสิ่งของที่จะต้องใช้ ทำการสวดมนต์ไหว้พระ บูชาท้าวเวชสุวรรณ ทำจิตใจให้สงบ รอเวลาที่จะเบิกตัวนักโทษทั้งหมดมาดำเนินการตามขั้นตอนการประหารชีวิตต่อไป

เวลา 16.10 น. เมื่อได้รับรายชื่อนักโทษที่จะต้องเข้าไปเบิกตัว และจัดแบ่งหน้าที่ในการรับผิดชอบแล้ว ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงทั้งหมดเข้าไปที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 เมื่อเจ้าหน้าที่ประจำตึกขังไขกุญแจเปิดตึก หลังจากที่ข้าพเจ้าตอบคำถามนักโทษบางรายแล้ว ได้แยกไปเบิกตัวน.ช.ลี ยวน กวง จึงไม่เห็นอาการของน.ช.วิเชียรแต่อย่างใด ทราบจากพี่เลี้ยงที่ดูแลในภายหลังว่า น.ช.วิเชียรลุกออกมาจากห้องแต่โดยดี และพูดกับพี่เลี้ยงที่ไปรับว่า “ผมพร้อมให้มารับตัวไปประหารตั้งนานแล้วครับ”

เมื่อนำตัวนักโทษประหารทั้งหมดมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ได้แยกย้ายกันพิมพ์ลายนิ้วมือนักโทษทั้งหมด เมื่อมาถึงน.ช.วิเชียรสารวัตรโกมลได้ถามว่า “คุณวิเชียรเมื่อคุณถูกตัดสินประหารชีวิต ทำไมคุณถึงไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล คุณไม่กลัวถูกยิงเป้าหรือไง”

น.ช.วิเชียรตอบว่า “สารวัตรครับ ผมมันแค่รายย่อยเท่านั้น ที่เขาขนกันทีเป็นสองสามแสนเม็ดโทษยังไม่ถึงประหาร ของผมแค่ห้าหมื่นเม็ดทำไมโทษถึงประหาร ผมหมดอารมณ์เลยตัดสินใจไม่ยื่นอุทธรณ์ อยากประหารก็ประหารไป แต่ทางศาลไม่ยอม ทำการยื่นอุทธรณ์ให้ผมเอง แล้วก็ตัดสินประหารผมมาเหมือนเดิม ทีแรกผมจะไม่ยื่นทูลเกล้าฯด้วยซ้ำไป แต่ทางเรือนจำได้เป็นธุระช่วยจัดการให้ ผมต้องขอขอบพระคุณเจ้าหน้าที่ทุกท่านมาก ที่ได้ช่วยเป็นธุระจัดการหนังสือทูลเกล้าฯให้กับผม

ผมรู้ว่าไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนอยากให้พวกผมถูกประหาร แต่เมื่อทุกคนต้องทำตามหน้าที่ ผมและเพื่อนนักโทษประหารทุกคนไม่ถือโทษโกรธหรอกครับ ผมเคยคุยกับเพื่อนๆในห้องขัง ทุกคนต่างพูดเหมือนกันว่า จะไม่โกรธไม่อาฆาตเจ้าหน้าที่ทุกคนที่เอาพวกผมไปประหาร แต่ที่พวกผมอาฆาตและสาบแช่งกันทุกวันนี้คือ พวกเจ้าหน้าที่ของรัฐที่ทำตัวเลวระยำทั้งหลาย โดยเฉพาะพวกสายล่อซื้อ พวกผมบางคนไม่เคยเห็นหรือแตะต้องยาเสพติดมาก่อนเลย พวกสายก็จะเข้ามาตีสนิท หาทางที่จะสร้างความไว้วางใจทุกวิถีทางให้กับคนที่ถูกเลือกเป็นเป้าหมาย บางคนคบหากันเป็นปีจนเหมือนเพื่อนรักกัน ไปไหนไปกันมีอะไรก็แบ่งกันใช้แบ่งกันกิน สามารถเข้าออกบ้านได้สะดวก หมาที่เลี้ยงไว้ยังไม่เห่าด้วยซ้ำไป

พอไอ้สายพวกนั้นเห็นว่าได้จังหวะดีแล้ว จะทำเป็นชวนเราหาเงินใช้อย่างง่ายๆและได้ครั้งละมากๆ ครั้งแรกถ้าเราปฏิเสธ สายก็จะชี้ให้เห็นความคุ้มค่าของเงินที่เราจะได้รับ และพยายามเน้นให้เห็นถึงความปลอดภัยจากฝ่ายกฎหมาย พอเราเริ่มคล้อยตามสายก็จะทำตัวอย่างให้เห็นว่าเป็นเรื่องง่ายๆ คนเราเมื่อเห็นว่ามีเงินจำนวนมากที่จะได้มาอย่างง่ายๆ โดยใช้เวลาขนส่งแค่ไม่นานก็ต้องเกิดความโลภ เมื่อเข้าทางมันแล้วสายก็จะทำเป็นว่าสามารถติดต่อลูกค้าได้แล้ว โดยสายรับหน้าที่ในการจัดหายาและจัดการแพ็คของให้เสร็จสรรพ แล้วจะมาบอกเราถึงสถานที่ส่งของ วิธีรับของ ตลอดจนความปลอดภัยของเรา

เมื่อเราไปถึงจุดนัดหมายสายก็จะทำเป็นว่าขอไปดูผู้มาติดต่อก่อน พอสายพ้นจากตัวเราไปแล้วทีนี้หละ ตำรวจที่นัดกันไว้ก็จะกรูกันเข้ามาล้อมกรอบจับกุมเราทันที แล้วจะไปสู้คดีอะไรกับเขาได้ ในเมื่อของก็อยู่ที่เรา เอาไปแถลงข่าวว่าตามมานานแล้วบ้าง รอดไปได้หลายครั้งแล้วบ้าง ได้ทั้งเงินรางวัลได้ทั้งผลงาน ส่วนคนที่ถูกจับจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างช่างมัน ไอ้พวกนี้นะครับ กรรมเวรจะต้องย้อนกลับมานำความฉิบหายให้พวกมันอย่างแน่นอน

ที่จริงแล้วพวกผมส่วนใหญ่ก็ทำจริงนั่นแหละครับ อันนี้ไม่ว่ากันเมื่อเขาสืบได้เขาก็ต้องจับ แต่ที่ไม่ได้ทำหรือหลอกให้ทำ ผมสงสารพวกนี้เหลือเกินครับ ตราบใดที่ยังมีเงินรางวัลนำจับเป็นของล่อใจ ผู้บริสุทธิ์อีกมากจะต้องตกเป็นเหยื่อของพวกชั่วๆพวกนี้อีกอย่างแน่นอน ผมยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐส่วนใหญ่จะทำงานกันอย่างซื่อสัตย์ แต่ไอ้แกะดำพวกนี้แหละครับที่ทำให้คนอื่นต้องมามัวหมองไปด้วย ถ้ารัฐบาลสืบให้ลึกลงไปจริงๆ จะเห็นว่าพวกนี้แหละเป็นตัวการใหญ่ในการติดต่อซื้อขายยาเสพติด ต้องปราบไอ้พวกนี้ก่อนครับ แล้วค่อยมาปราบพวกผม

อย่างของผมนี่ผมยอมรับว่าทำจริง แต่ผมมันแค่พ่อค้ารายย่อย รายใหญ่จริงๆไม่เห็นจะโดนจับกันสักที ถ้ายิงเป้านักโทษคดียาทุกคนแล้วยาเสพติดจะหมดไปจากประเทศ พวกผมทุกคนยินดีที่จะยอมให้เอาไปประหาร แต่เชื่อผมเถอะครับ ยาเสพติดไม่มีทางหมดไปจากประเทศไทยได้หรอกครับ ตราบใดที่ไม่เล่นงานรายใหญ่ๆระดับประเทศให้หมดเสียก่อน นักการเมืองบางคนนั่นแหละตัวดี รู้ๆกันอยู่ พวกตัวใหญ่ๆในวงราชการบางคนก็ใช่ กล้าที่จะจับพวกนี้มาประหารกันบ้างหรือเปล่า แค่เอ่ยชื่อประกาศออกมาให้สังคมรับรู้ยังไม่กล้ากันเลย แล้วชาติไหนยาเสพติดจะหมดไปจากประเทศไทยได้หละครับ”

หลังจากพิมพ์ลายนิ้วมือเสร็จ เวรผู้ใหญ่ได้เข้ามาอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรี ให้นักโทษประหารทั้งหมดฟัง และให้เซ็นทราบในคำสั่งนั้น เสร็จแล้วได้เปิดโอกาสให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมายตามสะดวก น.ช.วิเชียรได้พูดกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนว่า “ช่วยติดต่อให้ญาติผมมารับศพผมด้วยนะครับ ตามที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์นี้ บอกเขาว่าอย่าปล่อยให้ผมตายเป็นผีไม่มีญาติ แล้วให้ทำบุญไปให้ผมบ้าง” ข้าพเจ้าจึงถามไปว่า “แล้ววิเชียรชอบกินอะไรบ้าง ถ้ายังไงเดี๋ยวจะขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยจัดหามาให้”

น.ช.วิเชียรตอบว่า “วันนี้คงไม่ต้องหรอกครับผมกินอะไรไม่ลง แต่ถ้าจะทำบุญไปให้ ผมกินได้ทุกอย่างที่เป็นอาหารไทยๆ ถ้าวันนี้มีเหล้าสักหน่อยได้ก็ดีผมอยากกินย้อมใจ ถ้าถามผมว่าผมกลัวตายไหม ผมขอพูดอย่างเปิดอกเลยว่ากลัวมาก มีใครบ้างครับที่ไม่กลัวตาย ผมอยากให้ตัวผมเป็นนักโทษประหารคนสุดท้าย ผมสงสารเพื่อนๆทุกคนที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับผม”

ข้าพเจ้าพูดว่า “แล้วผมจะจัดการทำบุญไปให้ แต่เรื่องเหล้าคงจะหาให้ไม่ได้เพราะเป็นสิ่งของต้องห้าม ผมเองก็อยากให้การประหารชีวิตหมดไปเหมือนกัน เวลาผมพาใครไปประหารก็ตาม ผมอดสงสารทุกคนไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่าบางคนก่อคดีมาอย่างโหดเหี้ยมสมควรตาย ตราบใดที่คนเรายังไม่เลิกทำความผิด การประหารชีวิตคงจะหมดไปได้ยาก” น.ช.วิเชียรพยักหน้าพร้อมกับพูด “ครับหัวหน้าผมเข้าใจ”

พี่เลี้ยงได้ช่วยกันยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้นักโทษทั้งหมดกิน แต่ไม่มีใครแตะต้องอาหารแม้แต่น้อย เพียงแค่ดื่มน้ำเย็นกันเท่านั้น แล้วจึงนำนักโทษประหารที่นับถือศาสนาพุทธ ไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ ส่วนน.ช.รอมาลีซึ่งนับถือศาสนาอิสลาม ได้เปิดโอกาสให้ทำพิธีละหมาดที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ

เมื่อเสร็จพิธีทางศาสนาข้าพเจ้านำน.ช.ลี ยวน กวง ไปทำการประหารก่อนเป็นรายแรก และนำน.ช.ชู ชิน ก้วย น.ช.บุญเกิดไปทำการประหารเป็นชุดที่สอง เสร็จแล้วได้แจ้งให้พี่เลี้ยงที่มาเสริมกำลัง นำน.ช.วิเชียรและน.ช.รอมาลีมาส่งที่ศาลาเย็นใจ ซึ่งข้าพเจ้ารอรับตัวนักโทษทั้งคู่อยู่ที่ศาลาแห่งนี้

เมื่อพี่นำตัวทั้งคู่มาถึง น.ช.รอมาลีได้ขอทำละหมาดอีก ซึ่งก็ได้รับอนุญาตตามคำขอ ข้าพเจ้าจึงส่งดอกไม้ธูปเทียนให้น.ช.วิเชียร พี่เลี้ยงอีกนายทำการผูกตา แล้วนำน.ช.วิเชียรเข้าสู่ห้องประหารก่อน โดยนำตัวเข้าไปที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ทำการมัดตัวให้ติดกับหลักประหาร ตั้งเป้าตาวัวให้ตรงกับหัวใจ เอาทรายแห้งโรยรอบหลัก เสร็จแล้วข้าพเจ้าได้บอกกับน.ช.วิเชียรว่า “รอเดี๋ยวนะ ผมออกไปรับตัวบังก่อน คงจะละหมาดเสร็จแล้ว” น.ช.วิเชียรพูดว่า “อย่านานนักนะหัวหน้าผมเสียว”

หลังจากออกไปรอน.ช.รอมาลีละหมาดประมาณ 20 นาที และได้ปะทะคารมกับผู้ยิ่งใหญ่ไปนิดหน่อย ข้าพเจ้านำตัวน.ช.รอมาลีเข้ามาที่หลักประหารหลักที่สอง เมื่อน.ช.วิเชียรได้ยินเสียงตรวนของน.ช.รอมาลี จึงส่งเสียงพูดว่า “ทำไมนานเหลือเกิน ผมเสียวหลังจนไม่รู้ว่าจะเสียวยังไงแล้ว จะฆ่าจะแกงก็รีบๆทำเถอะ มันทรมานจิตใจผมเหลือเกิน” น.ช.รอมาลีส่งเสียงตอบไปว่า “ขอโทษทีเพื่อนที่ให้รอ ผมละหมาดนานไปหน่อย” เมื่อทำการผูกมัดตัวน.ช.รอมาลีเสร็จ ตั้งเป้าตาวัวเรียบร้อย พร้อมกับเอาทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร ข้าพเจ้าได้ทำการขออโหสิกรรมต่อนักโทษทั้งคู่อีกครั้ง แล้วจึงแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ

พลเล็งปืนเข้ามาทำหน้าที่บรรจุกระสุน และตั้งศูนย์ปืนทั้งสองกระบอก เสร็จแล้วเพชฌฆาตมือหนึ่งและสองเข้าทำการตรวจศูนย์ปืนอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าได้ที่ดีแล้ว หัวหน้าชุดประหารทำการสะบัดธงลงทันที “ปังๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงปืนทั้งสองกระบอกดังรัวออกมาเป็นชุด ใช้กระสุนสำหรับน.ช.วิเชียรทั้งสิ้น 11 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 18.37 น. โดยเพชฌฆาตมือหนึ่งเป็นผู้ทำการประหาร

เมื่อครบ 3 นาที ข้าพเจ้าและแพทย์ได้เข้าไปตรวจดูร่างของนักโทษทั้งคู่ที่หลักประหาร ปรากฏว่าได้สิ้นใจไปแล้วทั้ง 2 ราย หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำร่างทั้งคู่ลงจากหลักประหาร แล้วไปนำร่างนักโทษอีก 3 รายที่เก็บไว้ในห้องเล็ก ออกมานอนเรียงคว่ำหน้าที่หน้าหลักประหาร เสร็จแล้วเจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือได้เข้ามาทำหน้าที่ต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: