ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

22.ลี ยวน กวง, ชู ชิน ก้วย, บุญเกิด จิตรปราณี แก๊งค้ายาข้ามชาติ

22.ลี ยวน กวง, ชู ชิน ก้วย, บุญเกิด จิตรปราณี แก๊งค้ายาข้ามชาติ



น.ช.ลี ยวน กวง อายุ 48 ปี (สัญชาติฮ่องกง) หมายเลขประจำตัว 148/40 น.ช.ชู ชิน ก้วย อายุ 34 ปี (สัญชาติพม่า) หมายเลขประจำตัว 149/40 น.ช.บุญเกิด จิตรปราณี อายุ 41 ปี หมายเลขประจำตัว 150/40 คดีร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครอง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66 วรรค 2, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 91 หมายเลขคดีดำที่ 890/37 หมายเลขคดีแดงที่ 1662/40 ศาลอาญากรุงเทพฯ ผลงานการจับกุมของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ร่วมกับสำนักงานปราบปรามยาเสพติดของประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย

วันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ.2536 นายโจ(นามสมมุติ) เจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดของประเทศสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้รับการติดต่อจากพ่อค้ายาเสพติดทราบชื่อว่านายอัลเบิร์ต โดยนายอัลเบิร์ตบอกว่ารู้จักกับพ่อค้ายาเสพติดซึ่งกำลังหาทางส่งเฮโรอีนจำนวนมากไปยังประเทศไต้หวัน หากว่านายโจสนใจที่จะเป็นผู้นำส่งเฮโรอีนดังกล่าว นายอัลเบิร์ตยินดีที่จะนำนายโจไปทำความรู้จักกับพ่อค้ายาเสพติดคนดังกล่าว ซึ่งนายโจได้ตอบตกลงทันที

หลังจากนั้นนายอัลเบิร์ตได้นำนายโจไปพบกับพ่อค้าคนดังกล่าว ที่ห้องโถงรับแขกชั้นล่างของทางโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ทราบชื่อว่านายลี ยวน กวง ชาวฮ่องกง แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีผู้คนพลุกพล่าน จึงได้ย้ายไปตกลงกันในห้องอาหารของทางโรงแรม โดยตกลงกันว่านายโจจะรับจ้างขนเฮโรอีนไปประเทศไต้หวันจำนวน 50 ตัว (1 ตัวมีน้ำหนัก 700 กรัม) คิดค่าจ้างเป็นเงินทั้งสิ้น 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ

หลังจากตกลงราคากันได้แล้วทั้งหมดได้แยกย้ายกันไป โดยจะทำการนัดส่งมอบของกันอีกครั้งหนึ่งในภายหลัง จากนั้นนายโจได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปราบปรามยาเสพติดของประเทศไทย วางแผนที่จะจับกุมกลุ่มพ่อค้ายาเสพติดดังกล่าวต่อไป

วันที่ 6 ธันวาคม พ.ศ.2536 นายโจได้รับการติดต่อจากนายลี ยวน กวง ให้ไปพบที่ห้องอาหารของทางโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ในเวลา 11.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้วางแผนการจับกุมพ่อค้ากลุ่มนี้ทันที เมื่อนายโจไปถึงที่นัดหมายพบนายลี ยวน กวง มากับชายอีกคนหนึ่งทราบชื่อว่านายชู ชิน ก้วย เชื้อสายจีนไต้หวัน สัญชาติพม่า นายลี ยวน กวงได้ชวนนายโจให้ไปรับของที่ห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ 3 ถนนรามคำแหง ทั้งหมดจึงนั่งรถแท็กซี่ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจปลอมเป็นผู้ขับไปที่ห้างดังกล่าว โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกระจายกำลังกันสะกดรอยตามไปห่างๆ

เมื่อไปถึงนายชู ชิน ก้วย ได้แวะพูดคุยกับชายคนหนึ่ง ทราบชื่อในภายหลังว่านายบุญเกิด จิตรปราณี ชาวจังหวัดสมุทรสาคร และให้นายโจกับนายลี ยวน กวง ไปนั่งรอภายในห้างสรรพสินค้า สักครู่นายชู ชิน ก้วย และนายบุญเกิดได้เดินเข้ามารวมกลุ่ม นายลี ยวน กวง และนายชู ชิน ก้วย ได้ให้นายโจไปกับนายบุญเกิดเพื่อตรวจเช็คของที่ลานจอดรถด้านหลังห้างสรรพสินค้า โดยทั้งคู่นั่งรออยู่ที่เดิมภายในห้างดังกล่าว

นายบุญเกิดได้พานายโจไปที่รถกระบะมิตซูบิซิ สีน้ำเงินเข้ม หมายเลขทะเบียน 1 ผ –8133 กทม. และให้นายโจเข้าไปตรวจดูกระเป๋าเดินทางซึ่งวางไว้ที่เบาะหลัง เมื่อเปิดออกดูพบว่ามีเฮโรอีนบรรจุอยู่ในกระเป๋าจำนวนมาก นายโจจึงส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ซุ่มอยู่เข้าทำการจับกุมตัวนายบุญเกิด ขณะเดียวกันนายลี ยวน กวง และนายชู ชิน ก้วย ได้เดินออกไปทางประตูหน้าห้างแล้วแยกทางกันหลบหนี โดยนายชู ชิน ก้วย นั่งรถแท็กซี่หายออกไป เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าทำการจับกุมตัวนายลี ยวน กวง ไว้ได้ แล้วนำตัวมาที่รถกระบะคันดังกล่าวเพื่อทำการตรวจค้น

จากการตรวจค้นภายในรถคันดังกล่าว พบเฮโรอีนอัดแท่งจำนวน 100 แท่ง (2 แท่งเท่ากับ 1 ตัว) น้ำหนักรวมทั้งสิ้น 34,589 กรัม จึงได้ทำการยึดเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวและนำนายลี ยวน กวง กับนายบุญเกิดไปทำการสอบสวนที่กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมตัวนายชู ชิน ก้วย ได้ที่ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขารัชดาภิเษก จึงนำตัวมาสอบสวนร่วมกับพวกที่ถูกจับกุมได้ก่อนหน้านี้ในทันที

จากการสอบสวนทั้งหมดได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา โดยให้การว่าไม่เคยรู้เห็นเฮโรอีนจำนวนดังกล่าวมาก่อนเลย แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานเพียงพอ จึงส่งมอบสำนวนการสอบสวนและพยานหลักฐานต่างๆให้อัยการ เพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีทั้ง 3 คน ต่อศาลอาญากรุงเทพฯ และได้ขออำนาจศาลฝากขังทั้ง 3 คนไว้ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษ บางเขน

ผลการพิจารณาของศาลชั้นต้น ได้ตัดสินให้ประหารชีวิตทั้งสามคนโดยไม่มีการลดหย่อนโทษให้ และได้ส่งตัวทั้งสามมาควบคุมตัวไว้ที่เรือนจำกลางบางขวาง ทั้งสามได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาล ผลการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้น ทั้งสามได้ยื่นฎีกาต่อศาลอีก ผลการพิจารณาของศาลฎีกา ได้ตัดสินยืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ ทั้งหมดได้ทำหนังสือถวายฎีกาทูลเกล้าฯขอพระราชทานอภัยโทษตามสิทธิ์ และรอผลการพิจารณาอยู่ที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ.2544 เวลา 11.00 น. ข้าพเจ้าได้รับแจ้งอย่างเป็นความลับว่า ในวันนี้จะมีการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดจำนวน 5 ราย ข้าพเจ้าจึงไปจัดเตรียมสิ่งของที่จะต้องใช้ และทำการสวดมนต์ไหว้พระ บูชาท้าวเวชสุวรรณ พร้อมกับทำจิตใจให้สงบ รอเวลาที่จะเบิกตัวนักโทษทั้งหมดมาดำเนินการตามขั้นตอนการประหารชีวิต

เวลา 16.10 น. ข้าพเจ้าได้รับรายชื่อนักโทษที่จะต้องเข้าไปเบิกตัวทั้งหมดคือ น.ช.ลี ยวน กวง น.ช.ชู ชิน ก้วย น.ช.บุญเกิด จิตรปราณี น.ช.วิเชียร แสนมหายักษ์ น.ช.รอมาลี ตาเย๊ะ จึงได้จัดแบ่งหน้าที่ในการดูแลและเบิกตัวนักโทษประหารทั้งหมด โดยข้าพเจ้ารับหน้าที่เบิกตัวและดูแลน.ช.ลี ยวน กวง

เมื่อเข้าไปที่หมวดควบคุมนักโทษประหารแดน 1 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงกีต้าร์และเสียงร้องเพลงเฮฮาดังมาจากในตึกขัง เมื่อเสียงไขกุญแจเปิดประตูตึกได้ดังขึ้น เสียงร้องเพลงและเสียงกีต้าร์ได้หยุดลงทันที ความเงียบสงบได้เข้ามาแทนที่ ข้าพเจ้าเดินเข้าไปภายในตึกขัง นักโทษประหารรายหนึ่งได้พูดกับข้าพเจ้า “เพิ่งยิงไปเมื่อพุธที่แล้ว อาทิตย์ละครั้งเลยหรือครับ วันนี้กี่คนครับ” ข้าพเจ้าชูมือให้ดูพร้อมกับกางนิ้วทั้ง 5 ออก มีเสียงร้องว่า “โฮ่ เล่นทีเดียวตั้ง 5 คน ผมโดนด้วยไหมครับ” ข้าพเจ้าตอบไป “รอด” นักโทษคนนั้นถอนหายใจโล่งอก

เมื่อข้าพเจ้าไปหยุดยืนที่หน้าห้องขังของน.ช.ลี ยวน กวง และน.ช.ชู ชิน ก้วย ซึ่งทั้งสองถูกขังอยู่ห้องเดียวกันและนั่งคุยกันอยู่ ข้าพเจ้าส่งเสียงเรียก “ลี ยวน กวง” คนที่สะดุ้งสุดตัวกลับเป็นน.ช.ชู ชิน ก้วย และส่งเสียงร้องว่า “อั๊วซี้เลี้ยว” น.ช.ลี ยวน กวง เอื้อมมือไปตบไหล่น.ช.ชู ชิน ก้วย พร้อมกับลุกขึ้นยืนและส่งมือไปให้น.ช.ชู ชิน ก้วย จับและจูงมือกันเดินออกมาที่ประตูห้อง เมื่อออกมาพ้นประตูห้อง ข้าพเจ้าสวมกุญแจมือน.ช.ลี ยวน กวง พี่เลี้ยงอีกนายสวมกุญแจมือน.ช.ชู ชิน ก้วย ทำการตรวจค้นตัว พี่เลี้ยงนายอื่นได้แยกย้ายกันไปเบิกตัวนักโทษอีก 3 ราย

น.ช.ลี ยวน กวง ถามข้าพเจ้า “หัวหน้าคับ ผงขอพกสถางทูกก่องล่ายไม้” (หัวหน้าครับ ผมขอพบสถานทูตก่อนได้ไหม) ข้าพเจ้าตอบว่า “ไม่ได้หรอก แต่เดี๋ยวจะให้เขียนจดหมายถึงญาติ ลื้อค่อยเขียนจดหมายฝากให้สถานทูตตอนนั้นก็ได้” ส่วนน.ช.ชู ชิน ก้วย สะอื้นฮักมีน้ำตาไหลออกมาพร้อมกับพูดว่า “ขอผงโทกับไปบ้างล่ายไม้” (ขอผมโทรกลับไปบ้านได้ไหม) พี่เลี้ยงอีกนายตอบว่า “ไม่ได้เหมือนกัน โทรศัพท์เป็นของต้องห้ามลื้อก็รู้”

เมื่อนำนักโทษประหารทั้งหมดมาถึงหมวดผู้ช่วยเหลือฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนประวัติผู้ต้องขัง ได้แยกย้ายกันพิมพ์ลายนิ้วมือนักโทษทั้งหมด น.ช.ลี ยวน กวง และน.ช.ชู ชิน ก้วย ได้ร้องขอบุหรี่สูบและส่งเสียงคุยกันเป็นภาษาจีน ส่วนน.ช.บุญเกิดได้ขอน้ำเย็นดื่มพร้อมกับพูดว่า “ผมไม่น่าไปคบกับสองคนนั่นเลย ทำให้ผมซวยไปด้วย”

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร เข้ามาทำการตรวจสอบประวัติบุคคล สารวัตรโกมลได้ขานชื่อขึ้นมาว่า “ลี ยวน กวง” น.ช.ลี ยวน กวง ได้ตอบไปว่า “ค้าผง”(ครับผม) ข้าพเจ้าจึงแกล้งแหย่ไปว่า “ลื้อไม่ต้องไปบอกตำรวจเขาหรอกว่าลื้อค้าผง เขารู้กันหมดแล้ว” น.ช.ลี ยวน กวง หัวเราะแหะๆพร้อมกับพูด “หัวหน้าล้อผงเล่งไปล่าย ผงพูกว่าค้าผงไม่ใช่ผงค้าผง” (หัวหน้าล้อผมเล่นไปได้ ผมพูดว่าครับผมไม่ใช่ผมค้าผง) ทุกคนต่างหัวเราะขึ้นมาได้ บรรยากาศตึงเครียดเริ่มผ่อนคลาย

น.ช.ชู ชิน ก้วยเริ่มมีสีหน้าดีขึ้น น.ช.บุญเกิดพูดว่า “สองคนนั่นพูดไทยไม่ชัดหรอกครับหัวหน้า” ข้าพเจ้าตอบไปว่า “ผมรู้แล้วแต่ผมล้อเล่น ผมเห็นลี ยวน กวงท่าทางน่าจะเป็นคนคุยสนุก” น.ช.ลี ยวน กวงยิ้มแล้วพูด “ขอกคุงหัวหน้า นักเข่าทำไมมากังเยอะจังละคับ ผงขอพูกกักนักเข่าล่ายบั้งไม้”(ขอบคุณหัวหน้า นักข่าวทำไมมากันเยอะจังละครับ ผมขอพูดกับนักข่าวได้บ้างไหม) ข้าพเจ้าตอบว่าเดี๋ยวผมจะถามผู้ใหญ่ให้ แล้วได้คำตอบมาว่าไม่อนุญาต

ข้าพเจ้าเดินเข้าไปตบไหล่ปลอบใจน.ช.ชู ชิน ก้วย “อั๊วอยากให้ลื้อทำใจ ยังไงก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว” น.ช.ชู ชิน ก้วยพูดว่า “แต่ผงไม่ใช่คงไท ไม่น่าปะหางผงเลย ขอผงพกสถางทูกก่องล่ายไม้ โทละสักไปก็ยังลี”(แต่ผมไม่ใช่คนไทย ไม่น่าประหารผมเลย ขอผมพบสถานทูตก่อนได้ไหม โทรศัพท์ไปก็ยังดี) ข้าพเจ้าตอบไปว่า “เรื่องโทรศัพท์กับเรื่องสถานทูตตัดทิ้งไปได้เลย ผู้ใหญ่คงไม่ให้แน่ ชู ชิน ก้วยต้องเข้าใจนะ ถึงชู ชิน ก้วยจะไม่ใช่คนไทย แต่เข้ามาทำผิดในเมืองไทย ภายใต้กฎหมายของไทย ก็ต้องรับโทษตามกฎหมายของไทย เวลาคนไทยไปอยู่ประเทศอื่น เมื่อทำความผิด ก็ต้องรับโทษตามกฎหมายของประเทศนั้นเช่นกัน” น.ช.ชู ชิน ก้วย จึงนั่งคอตกลงไปอีก

น.ช.บุญเกิดพูดขึ้นบ้าง “ถ้าผมไม่ร่วมมือกับพวกนี้ ผมคงไม่ต้องมาเป็นอย่างนี้หรอก ผมไม่น่าเห็นแก่เงินเลย เขาเสนอเงินค่าจ้างให้ผมดี ให้ผมช่วยขับรถส่งของให้ ทำไปทำมาไปติดต่อเอาสายสืบฝรั่งเข้า เลยพาซวยกันหมด เงินก็ไม่ได้ใช้ซักบาท แล้วยังต้องมาตายโดยขึ้นชื่อว่าเป็นนักโทษประหารอีก ถ้ามีอภินิหารช่วยผมรอดไปได้ ผมจะบวชไม่สึกเลยจริงๆ” เสียดายที่อภินิหารที่ว่าคงไม่มีมาช่วยซะแล้ว

หลังจากพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจสอบประวัติบุคคลเสร็จ เวรผู้ใหญ่เข้ามาทำการอ่านคำสั่งจากสำนักนายกรัฐมนตรี และให้ทั้งหมดเซ็นทราบในคำสั่งนั้น จากนั้นได้ให้ทำพินัยกรรมและเขียนจดหมายตามสะดวก น.ช.ลี ยวน กวง และน.ช.ชู ชิน ก้วย ได้เขียนจดหมายขึ้นมาคนละ 2 ฉบับ และขอร้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนฯช่วยเป็นธุระจัดส่งให้ถึงสถานทูตของแต่ละคน ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนฯรับปากที่จะจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย

เสร็จแล้วพี่เลี้ยงได้ช่วยกันยกอาหารมื้อสุดท้ายมาให้นักโทษทั้งหมดกิน แต่ทุกคนต่างปฏิเสธอาหารมื้อนี้ ขอแค่น้ำเย็นกันเท่านั้น ข้าพเจ้าและพี่เลี้ยงจึงนำนักโทษประหารที่นับถือศาสนาพุทธจำนวน 4 รายเข้าไปฟังเทศนาธรรมจากพระสงฆ์ ภายในห้องเยี่ยมนักโทษสำหรับทนาย ส่วนน.ช.รอมาลี ตาเย๊ะ ได้ให้ประกอบพิธีละหมาดภายในหมวดผู้ช่วยเหลือฯ หลังฟังเทศน์เสร็จ ข้าพเจ้าได้นำน.ช.ลี ยวน กวง ไปทำการประหารก่อนเป็นรายแรก โดยให้นักโทษที่เหลือทั้ง 4 รายรออยู่ที่หมวดผู้ช่วยเหลือฯ น.ช.ลี ยวน กวง โผเข้ากอดน.ช.ชู ชิน ก้วย พร้อมกับจับมือล่ำลากัน แล้วหันไปจับมือน.ช.บุญเกิดพร้อมกับพูดว่า “อั๊วไปก่องน่อ เลี้ยวเจอกังที่ซาหวัง” (อั๊วไปก่อนนะ แล้วเจอกันที่สวรรค์)

ระหว่างที่ข้าพเจ้านำน.ช.ลี ยวน กวง เดินผ่านศาลาเฉลิมพระเกียรติ์ฯ นักข่าวจำนวนมากทั้งโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ ต่างถ่ายรูปกันวูบวาบไปหมด น.ช.ลี ยวน กวงพูดกับข้าพเจ้าว่า “ต้องยิ้งหน่อย เวลาเมียผงเห็งเข่าจะล่ายรู้ว่าผงเค่งแข็ง” (ต้องยิ้มหน่อย เวลาเมียผมเห็นข่าวจะได้รู้ว่าผมเข็มแข็ง) แล้วน.ช.ลี ยวน กวง ได้ยิ้มให้ช่างภาพและเดินพูดคุยกับข้าพเจ้าไปตลอดทาง เมื่อผ่านศาลเจ้าพ่อเจตคุปต์ข้าพเจ้าบอกให้น.ช.ลี ยวน กวง ยกมือไหว้ น.ช.ลี ยวน กวง ถามข้าพเจ้าว่า “เหมืองกักเง็กเซียงฮ่องเต้ไช่ไม้” (เหมือนกับเง็กเซียนฮ่องเต้ใช่ไหม) ข้าพเจ้าตอบว่า “ใช่คล้ายๆกันแต่คนไทยเรียกว่าเจ้าพ่อเจตคุปต์”

เมื่อถึงศาลาเย็นใจ ข้าพเจ้าได้ให้นั่งที่เก้าอี้ขาว หยิบดอกไม้ธูปเทียนส่งให้ พี่เลี้ยงอีกนายเอาผ้าดิบผูกตา แล้วช่วยกันประคองเข้าสู่ห้องประหาร โดยนำเข้าไปที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง ทำการผูกมัดตัวให้ติดกับหลักประหาร ทำการตั้งเป้าตาวัว เอาทรายแห้งโรยรอบหลัก แล้วทำการขออโหสิกรรมอีกครั้ง น.ช.ลี ยวน กวง ได้พูดคำสุดท้ายว่า “ผงซี้เลี้ยวทังบุงให้ล่วย” (ผมตายแล้วทำบุญให้ด้วย)

พลเล็งปืนเข้าทำการบรรจุกระสุน ตั้งศูนย์ปืนให้ตรงกับเป้าตาวัว เพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตรงดีแล้วได้แจ้งความพร้อมต่อหัวหน้าชุดประหาร ธงแดงได้สะบัดลงทันที “ปัง ปังๆๆๆๆๆๆ” เสียงปืนดังขึ้น 8 นัด ทำการประหารเมื่อเวลา 17.50 น. เมื่อเสียงปืนสงบ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงร้องครางและได้ยินคำพูดเป็นภาษาจีนดังแผ่วๆ ออกมาจากหลักประหาร เมื่อเข้าไปตรวจดูพบว่าน.ช.ลี ยวน กวง ยังไม่สิ้นใจดีสามารถสะบัดหัวไปมา พร้อมกับยังคงส่งเสียงครางไม่หยุด จึงแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ

เพชฌฆาตมือหนึ่งเข้าทำหน้าที่อีกครั้ง ธงแดงได้สะบัดลง “ปัง ปังๆๆๆๆๆ” เสียงปืนดังขึ้นอีก 7 นัด รวมใช้กระสุนในการประหารน.ช.ลี ยวน กวง ทั้งสิ้น 15 นัด เมื่อครบ 3 นาทีได้เข้าไปตรวจดูอีกครั้ง ปรากฏว่าได้สิ้นใจไปแล้ว จึงนำร่างลงจากหลักประหารแล้วนำไปเก็บไว้ในห้องเล็ก จากนั้นจึงออกไปรอรับตัวน.ช.ชู ชิน ก้วย และน.ช.บุญเกิดที่ศาลาเย็นใจ

เมื่อพี่เลี้ยงที่มาเสริมกำลัง นำตัวน.ช.ชู ชิน ก้วย และน.ช.บุญเกิดมาถึง ได้ให้ทั้งคู่นั่งที่เก้าอี้ขาว ข้าพเจ้าหยิบดอกไม้ธูปเทียนส่งให้ทั้งคู่ น.ช.บุญเกิดถามว่า “เฮียเขาไปแล้วใช่ไหมครับ” ข้าพเจ้ายกมือตบหลังเบาๆแทนคำตอบ พี่เลี้ยงอีกสองนายหยิบผ้าผูกตาให้ทั้งคู่ เสร็จแล้วได้ช่วยกันประคองทั้ง 2 คนเข้าสู่ห้องประหาร โดยนำน.ช.ชู ชิน ก้วย เข้าไปผูกมัดตัวที่หลักประหารหลักที่หนึ่ง น.ช.บุญเกิดเข้าผูกมัดตัวที่หลักประหารหลักที่สอง ซึ่งน.ช.ชู ชิน ก้วย ส่งเสียงพูดตลอดว่า “อั๊วซี้เลี้ยว อั๊วซี้เลี้ยว ๆ” เมื่อผูกมัดตัวทั้งคู่เสร็จ ทำการตั้งเป้าตาวัว เอาทรายแห้งโรยรอบหลักประหาร ข้าพเจ้าได้ทำการขออโหสิกรรมทั้งคู่อีกครั้ง แล้วแจ้งให้หัวหน้าชุดประหารทราบ

พลเล็งปืนเข้ามาทำการบรรจุกระสุน ตั้งศูนย์ปืนทั้ง 2 กระบอกให้ตรงกับเป้าตาวัว เพชฌฆาตมือหนึ่งและสองเข้าตรวจสอบศูนย์ปืนอีกครั้ง เมื่อพร้อมแล้วธงแดงได้สะบัดลง “ปังๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงปืนทั้งสองกระบอกดังรัวออกมาพร้อมกัน ใช้กระสุนสำหรับน.ช.ชู ชิน ก้วย ทั้งสิ้น 11 นัดโดยเพชฌฆาตมือหนึ่ง ใช้กระสุนสำหรับน.ช.บุญเกิดทั้งสิ้น 9 นัดโดยเพชฌฆาตมือสอง ทำการประหารทั้งคู่เมื่อเวลา 18.13 น.

เมื่อครบ 3 นาที ข้าพเจ้าและแพทย์ได้เข้าไปตรวจดูร่างนักโทษทั้งคู่ที่หลักประหาร ปรากฏว่าทั้งคู่ได้สิ้นใจไปแล้ว หัวหน้าชุดประหารจึงสั่งให้นำร่างทั้งคู่ลงจากหลักประหาร แล้วนำไปเก็บไว้ในห้องเล็ก เสร็จแล้วข้าพเจ้าจึงได้ออกไปรอรับตัวน.ช.วิเชียรและน.ช.รอมาลีที่ศาลาเย็นใจ เพื่อนำตัวเข้าทำการประหารชีวิตเป็นชุดต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: