ค้นหาบล็อกนี้

วันจันทร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2560

“ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตอน ๒ “

๑. จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนและมีตำแหน่งเป็นสารวัตรปกครองป้องกัน เข้าไปในบ้านโจทก์เพื่อตามหาโจทก์เกี่ยวกับเรื่องที่จำเลยจับโจทก์ในข้อหามีอาวุธปืน โดย จ. คนเฝ้าบ้านโจทก์อนุญาตให้เข้าไป จำเลยเข้าไปในห้องนอนโจทก์ เมื่อไม่พบโจทก์ก็ออกมาทันที ยังไม่เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตาม ปอ มาตรา ๓๖๒,๓๖๕ และไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา ๓๙๖๒/๒๕๒๗
๒. การดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง กระทำการขนส่งอันมีลักษณะเช่นเดียวกับหรือคล้ายกับผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางหรือมีลักษณะเป็นการแย่งผลประโยชน์กับผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางในเส้นทางที่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางได้รับอนุญาตตาม พรบ. การขนส่ง พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น รถยนต์ของกลางย่อมเป็นหลักฐานสำคัญแห่งองค์ความผิดที่จะกระทำให้ทราบข้อเท็จจริงตลอดจนพฤติการณ์ต่างๆอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหาและเพื่อรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิด พนักงานสอบสวนมีอำนาจที่จะยึดรถยนต์ไว้เป็นพยานหลักฐานประกอบคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๘๕,๑๓๑ คำพิพากษาฏีกา ๒๙๒๒/๒๕๒๘
๓. สารวัตรตำรวจและสารวัตรปกครองป้องกันเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตาม ปวอ มาตรา ๒(๑๗) มีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้นตามมาตรา ๙๒วรรคท้าย เมื่อมีเหตุอันควงเชื่อได้ว่ามีของที่ได้มาโดยผิดกฎหมายอยู่ในบ้าน หากไม่ทำการตรวจค้นเสียในวันเกิดเหตุ ของที่อยู่ในบ้านอาจถูกขนไปเสีย การตรวจค้นต่อหน้าเจ้าของ หรือผู้ครอบครองบ้านที่เกิดเหตุและโดยไม่ได้ทำลายกุญแจก็ไม่อาจทำได้ ทั้งการตรวจค้นของจำเลยซึ่งเป็นสารวัตรตำรวจได้กระทำต่อหน้าพยานสองคน จึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วย ปวอ มาตรา๙๒,๙๔,๑๐๒ ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗,๓๕๘,๓๖๒,๓๖๔,๓๖๕(๒) เมื่อมีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้นและมีพฤติการณ์ที่ออกหมายค้นและทำการตรวจค้นได้ ดังนั้นหมายค้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ก็ไม่ทำให้จำเลยไม่มีอำนาจค้นคำพิพากษาฏีกา๔๗๙๑/๒๕๒๘
๔. ปอ. มาตรา ๑๕๗ เป็นบทบัญญัติที่ต้องการเอาโทษแก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ แต่กลับปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตอนหนึ่ง และเอาโทษแก่เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกตอนหนึ่ง คำว่า “ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” หมายความถึงเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดด้วย ดังนั้นหากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยมิชอบเป็นการกระทำต่อเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรงและเป็นการกระทำให้บุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหาย เอกชนย่อมเป็นผู้เสียหายตาม ปวอ มาตรา ๒(๔)ได้ คำฟ้องของโจทก์ไมได้บรรยายถึงหน้าที่ตลอดจนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ มาในฟ้อง ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วย ปวอ มาตรา ๑๕๘(๕) ปัญหาว่าจำเลยที่ ๓ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑นอกจากเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการแล้วยังเป็นตำแหน่งทางฝ่ายบริหารมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการผู้อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาได้ด้วย ถือเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ์และศักดิ์ศรีสูงกว่าตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฏีกาซึ่งเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการอย่างเดียว ฉะนั้นการแต่งตั้งโจทก์จากผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฏีกาให้ดำรงค์ตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จึงเป็นการปูนบำเหน็จความดีความชอบให้โจทก์เป็นการขัดกับการที่โจทก์ยังมีโทษงดบำเหน็จอยู่ การที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการหาข้อยุติความขัดแย้งเกี่ยวกับมติ กต ที่ เห็นชอบในการแต่งตั้งโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นการใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ในทางบริหารราชการแผ่นดิน และที่สำคัญยิ่งก็คือ การจะนำเรื่องใดเสนอให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งทุกเรื่องนั้นต้องเป็นข้อยุติว่าเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฏหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการแล้ว การที่จำเลยที่ ๒พยายามหาข้อยุติความเห็นที่ขัดแย้งเกี่ยวกับมติ กต ที่แต่งตั้งโจทก์ และยังไม่อาจนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไปนั้น หาใช่จำเลยที่ ๒ มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ จำเลยที่ ๔ ดำรงตำแหน่งประธานศาลฏีกาเป็นประธาน กต โดยตำแหน่ง ในการประชุม กต ประธาน กต เป็นประธานที่ประชุม โดยทั่วไปแล้วในการประชุมประธานที่ประชุมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการประชุมและรับผิดชอบดำเนินการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นผลดีทางราชการ หากไม่มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น กรณีมีเหตุจำเป็นและสมควร ประธานที่ประชุมจะเลื่อนหรือปิดการประชุมย่อมทำได้ ได้ความว่าเมื่อตอนเช้า จำเลยที่ ๔มีคำสั่งให้ดำเนินการประชุม กต ไป ที่ประชุมพิจารณาเรื่องต่างๆจนกระทั้งถึงวาระแต่งตั้งข้าราชการตุลาการ จำเลยที่ ๓ แถลงขอให้ที่ประชุมเลื่อนวาระนี้ไปก่อน โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นว่า มีเรื่องที่จำต้องปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่อีกและเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง จำเลยที่ ๔ ได้ชี้แจงและขอให้ที่ประชุมเลื่อนวาระดังกล่าวออกไป โดยแจ้งว่าการเลื่อนออกไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ในที่สุดส่วนใหญ่ที่ประชุมเห็นว่าไม่สมควรให้มีการเลื่อน จำเลยที่ ๔ จึงอาศัยอำนาจประธานสั่งให้เลื่อนและปิดประชุม โดยมีเหตุผลมาจากการขอร้องของนายพลเอก ส นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อให้เกิดผลดีต่อบ้านเมืองในทุกๆด้านตามรัฐประศาสน์นโยบายโดยเฉพาะเป็นผู้มีหน้าที่นำมติ กต ที่เห็นชอบแต่งตั้งโจทก์ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เมื่อพลเอก ส. เห็นว่า โจทก์ยังมีโทษทางวินัยอยู่และการแต่งตั้งโจทก์เป็นการขัดกับพระราชกระแสเช่นนี้ การที่จำเลยที่ ๔ ขอให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน โดยแจ้งว่าการเลื่อนจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ ๔ ได้พิจารณาถึงเหตุผลและความเหมาะสมในหลายๆด้านแล้วจึงได้สั่งให้เลื่อนการประชุมและปิดประชุม หากจำเลยที่ ๔ มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ จำเลยที่ ๔ จะไม่นำเรื่องการแต่งตั้งโจทก์บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมก็ย่อมได้ ทั้งๆที่จำเลยที่ ๔ ก็รู้ว่า โจทก์มีโทษทางวินัยอยู่ การที่ต่อมาภายหลังมีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนการประชุม จึงไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๔ สั่งเลื่อนการประชุมและปิดประชุมโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ คำพิพากษาฏีกา๔๘๘๑/๒๕๔๑
๕. จำเลยทั้งสามเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีอำนาจสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิด แกล้งจับผู้เสียหายอ้างว่าเมาสุราอาละวาดทั้งที่ไม่เป็นความจริง อันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ และนำตัวผู้เสียหายออกจากบ้านไปไว้ที่แห่งหนึ่ง แล้วปล่อยตัวผู้เสียหายไป อันเป็นความผิดฐานหน่วงเหนียวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพตาม ปอ มาตรา ๓๑๐ แม้เป็นการกระทำหลายอย่างแต่ด้วยเจตนาอันเดียว คือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นการกะทำต่อเนื่องกัน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จำเลยที่ ๑ จับมือผู้เสียหายกระชากโดยแรงจนผู้เสียหายล้มลงได้รับบาดเจ็บที่นิ้วและหัวเข่า ใช้เวลารักษา ๕ วัน พฤติการณ์แสดงจำเลยที่ ๑ มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยที่ ๑ รับผิดตาม ปอ มาตรา ๒๙๕ คำพิพากษาฏีกา ๒๔๔๔/๒๕๒๑
๖. ตามระเบียบการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้และตามคำสั่งป่าไม้เขตที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ จำเลยจักต้องทำบุญชีอนุญาตชักลากไม้ด้วย การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบรูณ์ การทำบัญชีชักลากไม้เป็นเท็จกับการประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้องตามระเบียบจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฏหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก่อนแล้วทำบัญชีอนุญาตชักลากก็หาทำให้การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๐,๑๖๒ แต่ละกรรมเป็นความผิดตาม ปอ มารตรา ๑๕๗ด้วย ลงโทษตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ ๕ ปี ข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย การกระทำของจำเลยตามปอ มาตรา ๑๖๐,๑๖๒เป็นกรรมเดียวกัน แก้เป็นจำเลยมีผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๐,๑๖๒,๑๕๗ ลงโทษตาม มาตรา ๑๕๗ซึ่งเป็นบทหนัก ถือไม่ได้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยกระทงเดียว ๑๐ ปี เป็นการเพิ่มโทษจำเลยไม่ชอบด้วย ปวอ มาตรา ๒๑๒คำพิพากษาฏีกา ๑๐๑/๒๕๒๔
๗. นายกเทศมนตรีและปลัดเทศบาลซึ่งเป็นเจ้าพนักงานได้ร่วมกันออกประกาศเพิ่มเติมคุณวุฒิของผู้สมัครสอบแข่งขันภายหลังครบระยะเวลารับสมัครเพื่อแสดงว่า ส. มีวุฒิตามที่ประกาศรับสมัครสอบคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นพนักงานครูเทศบาล ซึ่งตามประกาศเดิมแล้ว ส.มีวุฒิไม่ตรงตามที่ราชการกำหนด เมื่อ ส. สอบได้ และได้รับการบรรจุแต่งตั้ง ย่อมทำให้ผู้ที่สอบได้อื่นแต่ยังไมได้รับการบรรจุได้รับความเสียหาย เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ปอ มาตรา ๑๕๗คำพิพากษาฏีกาที่ ๒๔๑๘/๒๕๒๖
๘. ใบอนุญาตทะเบียนรถมี ๒ ฉบับ ต้นฉบับเก็บรักษาไว้ที่แผนกทะเบียนยานพาหนะ ฉบับปลายมอบให้เจ้าของรถ จำเลยเป็นตำรวจปฏิบัติหน้าที่อยู่ในแผนกทะเบียนยานพาหนะได้ลงรายการเสียภาษีประจำปีในใบอนุญาตทะเบียนรถฉบับปลายทางและทำเรื่องราวโอนรถนั้นไปต่างจังหวัดทั้งๆที่ไม่มีใบอนุญาตทะเบียนรถฉบับต้นฉบับมาตรวจสอบและลงรายการคู่กัน ส่อแสดงว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าฉบับปลายเป็นเอกสารปลอม แต่ยังขืนดำเนินการให้ผู้มาขอโอนไป มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗,๒๖๘ คำพิพากษาฏีกาที่ ๒๕๒๐/๒๕๒๖
๙. จำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมผู้เสียหายที่ได้ก่อการทะเลาะวิวาทก่อนหน้านั้น แต่เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทได้ยุติลงแล้ว เหตุวิวาทยังไม่ชัดแจ้งว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด ไม่ใช่การกระทำความผิดซึ่งหน้า โดยมีคู่กรณีกับผู้เสียหายชี้ให้จับ แต่ไม่ได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบ ทั้งไม่มีเหตุสงสัยว่ากระทำผิดมาแล้วจะหลบหนี จำเลยซึ่งไม่มีหมายจับไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะจับผู้เสียหาย จำเลยจับผู้เสียหายโดยไม่แจ้งข้อหา ไม่ทำบันทึกจับกุม ไม่ส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี กลับนำไปควบคุมตัวที่ด่านตรวจ ชี้เจตนาจำเลยว่า กระทำโดยโกรธแค้น แสดงอำนาจเพื่อข่มขู่กลั่นแกล้งผู้เสียหายให้เดือดร้อนเสียหาย เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องรุนแรงต่อความรู้สึกของประชาชนไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ คำพิพากษาฏีกา ๔๒๔๓/๒๕๔๒
๑๐. แม้ตามระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯ มาตรา๒๗ ให้เป็นอำนาจของประธานคณะกรรมการอัยการ(กอ) ที่จะเสนอ กอ ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งข้าราชการอัยการนอกจากตำแหน่งอัยการผู้ช่วย แต่จำเลยซึ่งเป็นอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุดในฐานะผู้บังคับบัญชาของข้าราชการอัยการทั่วประเทศ ในการใช้อำนาจบริหารงานบุคคลยังมีอำนาจเสนอตารางประวัติการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อประกอบการพิจารณาในการปฏิบัติหน้าที่ของประธาน กอ. รวมทั้งมีอำนาจเสนอเรื่องต่อ กอ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๑ การทำตารางประวัติการปฏิบัติราชการเสนอ กอ เพื่อพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการอัยการ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายของจำเลย อำนาจของอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุดในเรื่องนี้มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจในเชิงดุลพินิจที่อาจเลือกวินิจฉัยหรือเลือกกระทำได้หลายอย่างที่ชอบด้วยกฎหมาย การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ นี้นอกจากหมายความพึงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นการกระทำนอกขอบเขตแห่งอำนาจหรือโดยปราศจากอำนาจประการหนึ่ง เป็นการฝ่าฝืนต่อวิถีปฏิบัติราชการทางปกครองอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการนั้นประการหนึ่ง และเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติบัญญัติแห่งกฏหมายอีกประการหนึ่งแล้วยังหมายถึงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ใช้เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบอีกด้วย การใช้อำนาจดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาสั่งการหรือเลือกกระทำตามที่เห็นว่าเหมาะสมโดยศาลไม่แทรกแซงนั้นหมายความว่า เมื่อผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจไปในทางใดแล้ว ศาลต้องยอมรับการใช้ดุลพินิจนั้น แต่การใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาจะต้องอยู่ภายในขอบเขตของความชอบด้วยกฏหมายคือต้องไม่ใช่การใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ มิใช่การใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจหรือโดยปราศจากเหตุผล การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งต่างๆนั้นรวมทั้งตำแหน่งอัยการพิเศษฝ่ายนั้นมีการพิจารณาอาวุโส ประกอบ การที่จำเลยเสนอตารางประวัติการปฏิบัติราชการแก่ประธาน กอ เพื่อแต่งตั้งอัยการพิเศษฝ่ายโดยเสนอชื่อบุคคลที่มีอาวุโสต่ำกว่าโจทก์ไว้เป็นอันดับสูงกว่าโจทก์ถึงสามครั้ง เพราะถือเอาสาเหตุที่จำเลยมีสาเหตุส่วนตัวกับโจทก์ เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยไม่ชอบมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน มีความผิด ปอ มาตรา ๙๑,๑๕๗คำพิพากษาฏีกา๗๖๖๓/๒๕๔๓
๑๑. จำเลยเป็นข้าราชการครูมีหน้าที่ปฏิบัติราชการของวิทยาลัยเทคนิค ร. ได้รับมอบหมายจากผู้อำนวยการซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาให้มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างต่อเติมมหาวิทยาลัยอาชีวศึกษา ส. ซึ่งเป็นงานราชการของวิทยาลัยเทคนิค. ร. จำเลยจึงเป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างปรับปรุงต่อเติมอาคารวิทยาลัยอาชีวศึกษา ส. ซึ่งเป็นงานราชการของวิทยาลัยเทคนิค ร. ดูแลวัสดุที่เหลือใช้จากการก่อสร้าง การที่จำเลยนำเหล็กไลท์เกจอันเป็นวัสดุที่เหลือใช้ซึ่งอยู่ในหน้าที่ดูแลรับผิดชอบของจำเลยไปเก็บไว้ที่ร้าน ก. และให้ ก. เอาเหล็กดังกล่าวไปเสีย จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อกรมอาชีวศึกษาและเป็นการแสวงหาประโยชน์อันมิควรได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ จำเลยรับราชการครูหน้าที่หลักคือการสอนหนังสือ การได้รับแต่งตั้งจากผู้บังคับบัญชาให้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ราชการพิเศษในการควบคุมการก่อสร้างต่อเติมอาคารวิทยาลัยอาชีวศึกษา ส. งานที่ได้รับมอบหมายลุล่วงไปได้ด้วยดี การที่จำเลยทุจริตเอาเหล็กไปขายก็เป็นเหล็กที่เหลือจากการก่อสร้างต่อเติมและมีราคาไม่มาก พฤติการณ์จำเลยไม่ร้ายแรง จำเลยรับราชการโดยไม่มีเรื่องเสื่อมเสียมาก่อนสมควรรอการลงโทษจำเลย คำพิพากษาฏีกา ๑๑๖๑/๒๕๓๘
๑๒. จำเลยเป็นพลตำรวจหนีราชการแต่ยังมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิด ได้ประสพเหตุการณ์กระทำผิดทางอาญาได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่จะจับคนร้ายโดยเข้าขัดขวางพูดจาขู่พยานผู้รู้เห็นไม่ให้ยืนยันว่ารู้เห็นการกระทำผิด การละเว้นปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้เป็นการละเว้นโดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของทรัพย์ เป้นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา ๑๐๒๒/๒๕๐๕
๑๓. ตำรวจเข้าไปในสำนักค้าประเวณีขณะเปิดทำการค้าประเวณี ประกาศตนว่าเป็นตำรวจและจับหญิงโสเภณีไปจากสถานค้าประเวณีแล้วมอบหญิงดังกล่าวให้กับพวกของตนโดยไม่ได้นำมาดำเนินคดีตามกฏหมาย ย่อมเกิดความเสียหายต่อราชการตำรวจ เป็นการละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ คำพิพากษาฏีกา ๑๔๕๐/๒๕๑๓
๑๔. จำเลยเป็นตำรวจ ร่วมกับพวกช่วยพาคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายไปเสียจากที่ควบคุมเพื่อไม่ให้ถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศลาวตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยกับพวกนำรถมารับคนลาวดังกล่าวไป จำเลยเห็นแต่ละเลยไม่จับกุมมีความผิดตามพรบ. คนเข้าเมืองฯ มาตรา ๕๘ แต่ยังถือไม่ได้ว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าท่าโดยไม่ชอบ คำพิพากษาฏีกา ๖๓๘/๒๕๒๓
๑๕. ตามพระราชบัญญัติเทศบาล๒๔๙๖ มาตรา ๕๓ เทศบาลไม่มีหน้าที่ตามกฏหมายที่จะต้องรับถนนที่มีผู้ยกให้และผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีอำนาจสั่งให้เทศบาลรับถนนที่มีผู้ยกให้ดังกล่าว นอกจากมีอำนาจควบคุมดูแลเทศบาลให้ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฏหมายดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๗๑ เท่านั้น จำเลยเป็นนายกเทศมนตรีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดที่สั่งให้จำเลยรับถนนที่โจทก์กับผู้มีชื่อยกให้ การกระทำจำเลยไม่ผิด ปอ มาตรา ๑๖๕ พรบ.เทศบาล ๒๔๙๖ มาตรา ๕๐(๒),๕๓ เทศบาลมีหน้าที่จัดให้มีการบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ หาได้บัญญัติให้เทศบาลหรือจำเลยมีหน้าที่ต้องระวังแนวเขตและลงชื่อรับทราบแนวเขตตาม ประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา ๗๐ไม่ แม้จำเลยไม่ยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางสวาธารณะ ก็ไม่เป็นความผิดตามปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา๒๖๓๓/๒๕๒๓
๑๖. พนักงานที่ดินอำเภอรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะในการรังวัดจากผู้มายื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิ์ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ภายในเขตท้องที่อำเภอของตน โดยไมได้ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้มายื่นเรื่องราว ไม่ได้นำเงินลงบัญชีไว้เป็นหลักฐาน ไม่ได้ดำเนินการให้เรื่องราวของผู้มาติดต่อลุล่วงไปจนกระทั้งย้ายไปที่อื่นก็ไม่ได้คืนเงินให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา ๓๐๔/๒๕๐๗
๑๗. กำนันถูกแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการโครงการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน เป็นเจ้าพนักงานอยู่แล้วตามพรบ.ลักษณะปกครองท้องที่ ๒๔๕๗ เบิกเงินมาจ่ายแก่ผู้รับเหมาในขณะที่ถนนยังไม่เสร็จ แต่เบิกมาเพื่อจะจ่ายให้ผุ้รับเหมาทำงานต่อไปได้ มิเช่นนั้นต้องส่งเงินคืนคลัง กำนันจ่ายเงินแก่ผู้รับเหมาไปแล้ว ขาดเจตนาแจ้งความเท็จตาม ปอ มาตรา ๕๙ เป็นเหตุในลักษณะแห่งคดีใช้ตลอดถึงจำเลยที่ไม่ได้ฏีกาด้วยตาม ปวอ มาตรา ๒๑๓,๒๒๕ แต่เมื่อรับเงินมาแล้วกำนันละเว้นไม่ดำเนินการให้ผู้รับเหมาดำเนินงานต่อไปให้เสร็จตามสัญญา เป็นการทุจริตเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา ๓๘/๒๕๒๔
๑๘. โจทก์เป็นพระภิกษุในวัดที่จำเลยเป็นเจ้าอาวาส โจทก์ถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนธรรมกับหญิง จำเลยตั้งกรรมการทำการสอบสวนโดยจำเลยเป็นประธานกรรมการ แม้ในการสอบสวนจำเลยจะการสอบสวนผู้กล่าวหาซึ่งเป็นพระภิกษุสามเณรพร้อมๆกันลับหลังโจทก์ โดยอนุญาตให้พระภิกษาบางองค์ตอบแทนกัน และไม่เรียกพยานโจทก์มาสอบสวนอันไม่ต้องด้วยพระธรรมวินัย ระเบียบข้อบังคับและกฎของมหาเถรสมาคม ในที่สุดจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากวัด โดยการสอบสวนไม่ได้ความชัดว่า โจทก์ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา การกระทำของจำเลยก็เป็นเรื่องผิดระเบียบการสอบสวนเท่านั้น การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากวัดโดยอาศัยอำนาจตาม พรบ. คณะสงฆ์ฯ พ.ศ. ๒๕๐๕ เพื่อให้มีความสงบสุขภายในวัด ไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา ๑๐๙๖/๒๕๑๓
๑๙. จำเลยเป็นตำรวจมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาและจับผู้กระทำผิด กฎหมาย การที่จำเลยทราบจากผู้เสียหายว่า มีคนร้ายลักทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยพูดว่า เรื่องนี้พอสืบได้แต่ต้องไถ่ทรัพย์คืนโดยไม่ปรากฏจำเลยได้รู้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์หรือรับของโจร และไม่ทราบทรัพย์ที่ถูกลักเก็บรักษาไว้ที่ใด ทั้งยังไม่มีการแจ้งความออกหมายจับผู้หนึ่งผู้ใดมาดำเนินคดีหรือนำทรัพย์ที่ถูกลักไปมาคืนผู้เสียหายหรือส่งมอบพนักงานสอบสวน ถือไมได้ว่ากากรกระทำจำเลยเป็นการละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา ๕๐๕๓/๒๕๓๐
๒๐. พระภิกษุเจ้าอาวาสไปสนทนากับหญิงสาวบนบ้านในเวลากลางคืน จำเลยซึ่งเป็นตำรวจและชาวบ้านออกประกาศโฆษณาทางเครื่องขยายเสียงว่าโจทก์กระทำผิดวินัยสงฆ์ ไม่ยอมให้โจทก์กลับวัด ไม่ยอมให้โจทก์ลงจากบ้าน แล้วนำตัวส่งพนักงานสอบสวน เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่า โจทก์กระทำผิดวินัยสงฆ์จึงได้ควบคุมโจทก์ไว้ก่อนเพื่อป้องกันเหตุร้ายอันอาจเกิดขึ้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชน ไม่ผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗,๓๐๙,๓๑๐ เมื่อศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโดยข้อเท็จจริง ฏีกาของโจทก์ว่า จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ ทั้งโจทก์ไม่ได้ทำผิดวินัยจึงเป็นการฏีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ปวอ มาตรา ๒๒๐ คำพิพากษาฏีกา๑๐๘๕/๒๕๒๗
๒๑. จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนปล่อยตัวผู้ต้องหารวมสามคน แล้วนำผู้มีชื่อเข้าเป็นผู้ต้องหาแทนขณะควบคุมผู้ต้องหาทั้งสามดังกล่าวกับพวกจากศาลจังหวัดสมุทรปราการเพื่อไปคุมขังที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอพระประแดง แต่จำเลยไมได้เรียกรับเงินจากผู้ต้องหาเป็นการตอบแทนที่จำเลยปล่อยผู้ต้องหาดังกล่าวไป ทั้งผู้มีชื่อที่จำเลยนำเข้ามาแทนผู้ต้องหาที่จำเลยปล่อยตัวไปก็ไม่ปรากฏว่าเขข้ามาแทนที่โดยไม่สมัครใจ ส่วนศาลจังหวัดสมุทรปราการ แม้ได้อนุญาตให้ผัดฟ้องฝากขังผู้ต้องหาตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวนก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฏหมายบัญญัติไว้เพื่อควบคุมการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนให้เป็นไปโดยถูกต้อง มิใช่ผู้ที่จะเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบจากการดำเนินคดีหรือไม่ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแต่อย่างใด คดีไม่พอฟังว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ผู้มีชื่อ โดยเจตนาทุจริต อันจะเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ กากรกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๒๐๔ วรรคสองเท่านั้น คำพิพากษาฏีกา๔๖๗๗/๒๕๓๔
๒๒. การที่จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมิชอบตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส๓ก) ลงลายมือชื่อออก นส๓ก ระบุชื่อ ต. เป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครองตามเรื่องราวเท็จ เอกสารปลอมที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องนำเสนอโดยไมได้ตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงตามอำนาจหน้าที่อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติการโดยไม่ชอบเท่านั้น ไม่ปรากฏจำเลยมีเจตนาพิเศษละเว้นไม่ตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมที่ดิน ต. หรือ ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติการาตามหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ คำพิพากษาฏีกา๓๒๙๕/๒๕๔๓
๒๓. จำเลยที่ ๑ เป็นวิศวกรผู้คำนวณโครงการรับน้ำหนักอาคารจำเลยที่ ๙ ในการปลูกสร้างย่อมต้องทราบดีอยู่แล้วว่าอาคารดังกล่าวได้กำหนดการรับน้ำหนักได้เพียง ๔ ชั้นรวมชั้นใต้ดิน แต่จำเลยที่ ๑ มาคำนวณต่อเติมอาคารโดยที่ทราบดีอยู่แล้วว่าอาคารเดิมรับน้ำหนักส่วนที่ต่อเติมไม่ได้ และยังใช้ฐานรากและเสาร์ในแนว ซี ซึ่งออกแบบให้รับน้ำหนักไว้เพียงสองชั้น เป็นจุดเชื่อต่ออาคารเดิมและอาคารที่ต่อเติมทำให้น้ำหนักอาคารทั้งหมดเทลงเสาและฐานรากในแนวซีให้ต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก จำเลยที่ ๑ เบิกความยอมรับว่าได้ดูแบบแปลนของอาคารเดิม ดูสภาพอาคารที่มีอยู่เดิมและทราบว่าเสาเข็มในแนวซีต้นที่ ๑๗๖มีขนาดและส่วนประกอบผิดไปจากแปลน แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ไม่ปฏิบัติการตามวิธีการอันพึงกระทำในการออกแบบ เพราะเดิมจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ เมื่อพบเห็นสภาพอาคารก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนเช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องหาข้อมูลที่ถูกต้องให้ได้มากที่สุดว่าโครงสร้างอาคารเดิมมั่นคงแข็งแรงพอรับน้ำหนักอาคารในสวนที่ต่อเติมได้อีกหรือไม่ โดยการสอบถามหรือขอข้อมูลเดิมจากสถาปนิกและวิศวกรที่ออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเดิมเติม แต่จำเลยที ๑ ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้เหตุที่อาคารจำเลยที่ ๙ พังลงจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายเพราะจำเลยที ๑ คำนวณออกแบบโครงสร้างและการรับน้ำหนักของอาคารไม่ถูกต้องตามหลักวิชาวิศวกรรมศาสตร์เป็นผลเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑โดยตรง การกระทำของจำเลยที ๑ผิดตาม ปอ. มาตรา ๒๒๗,๒๓๘ กรรมการของจำเลยที่ ๙ ตลอดจนจำเลยที ๑๕ไมได้เป็นวิศวกรยอมไม่อาจทราบถึงความมั่นคงแข็งแรงของอาคารจำเลยที ๙ ว่า จะตอเติมได้หรือไม่และใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าการประกอบกิจการโรงแรมต้องตอใบอนุญาตทุกปีและจำเลยที ๙ ได้รับใบอุญาติให้ประกอบกิจการโรงแรมตลอดมาก่อนออกใบอนุญาตในแต่ละปีจะมีเจ้าพนักงานของเทศบาลและของจังหวัดมาตรวจสอบอาคารด้านความมั่นคงปลอดภัย ความสะอาด การระบายอากาศและสุขอนามัยซึงเจ้าพนักงานดังกล่าวไม่เคยทักท้วงว่า อาคารจำเลยที ๙ ไมมันคงปลอดภัยแต่อย่างใด ประกอบกับกรรมการของจำเลยที่ ๙ตลอดจนจำเลยที ๑๕ล้วนแต่ทำงานหรือใช้ประโยชน์อยู่ในอาคารดังกล่าวทั้งสิ้น หากทราบว่าอาคารไม่มั่นคงปลอดภัยย่อมไม่มีผู้ใดยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปทำงานหรือใช้ประโยชน์อาคารจำเลยที ๙ อย่างแน่นอนเพราะทุกคนย่อมรักชีวิตของตนยิ่งกว่าผลประโยชน์รายได้ทางธุรกิจ พยานหลักฐานที่นำสืบว่า จำเลยที่๙,ที่๑๐และที่๑๒ถึงที่ ๑๕กระทำความผิดตาม ปอ. มาตรา ๒๙๑ จึงยังมีความสงสัยตามสมควรตาม ปวอ มาตรา ๒๒๗วรรคสอง การขอตรวจคำขอก่อสร้างหรือต่อเติมอาคารนั้น พรบ.ควบคุมอาคารฯ มาตรา ๒๘ บัญญัติว่า ในกรณีผู้คำนวณแบบแปลน รายการประกอบแบบแปลนและรายการคำนวณทีได้ยื่นมาพร้อมคำขอตามมาตรา ๒๑,๒๒,๒๓,๒๔เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฏหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรมให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาแต่เฉพาะในส่วนทีเกี่ยวกับรายละเอียดตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฏกระทรวง “ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คำขอก่อสร้างต่อเติมอาคารของจำเลยที ๙ มีจำเลยที ๑ ซึ่งเป็นวิศวกรได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมเป็นผู้ออกแบบคำนวณโครงสร้างและลงชื่อรับรองมาด้วย จำเลยที่ ๓ถึงที่ ๖ ซึ่งเป็นเจ้าพักงานท้องถิ่นย่อมไม่จำต้องตรวจแบบแปลนหรือรายการคำนวณโครงสร้างเพื่อให้ทราบว่าโครงสร้างอาคารเดิมมีความมันคงแข็งแรงเพียงพอทีจะรับน้ำหนักอาคารต่อเติมได้หรือไม่ เพราะเป็นลายละเอียดตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ทั้งจำเลยที ๑ ยังบันทึกหมายเหตุไว้ในใบประการคำนวณว่าได้ทำการตรวจสอบดูแล้วฐานรากและส่วนของอาคารเดิมสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมได้มาแสดงด้วย ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๓ถึงที่ ๖ตรวจคำขอตอเติมอาคารจำเลยที ๙และทำคำเสนอต่อจำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ว่าควรอนุญาตให้จำเลยที ๙ต่อเติมอาคารได้ยอมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว ส่วนจำเลยที่ ๗ และที่ ๘ นั้น พิจารณาและสั่งอนุญาตให้ต่อเติมได้ตามความเห็นทีเสนอขึ้นมาโดยชอบของจำเลยที่ ๓ถึงที่ ๖ ไม่ปรากฏจากการนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๘ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดอันเป็นเจตนาพิเศษซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗อย่างไร จำเลยที่๓ ถึงที่ ๘ย่อมไม่มีความผิดตามกฏหมายดังกล่าว คำพิพากษาฏีกา๓๗๙๓/๒๕๔๓
ข้อสังเกต ๑.การที่เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนและเป็นสารวัตรปกครองป้องกัน เข้าไปในบ้านผู้ต้องหาเพื่อตามตัวผู้ต้องหาเกี่ยวกับเรื่องที่ตนจับผู้ต้องหาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย โดย คนเฝ้าบ้านผู้ต้องหาอนุญาตให้เข้าไป ได้ จึงเป็นการเข้าไปในเคหสถานของผู้อื่นโดย “ได้รับอนุญาต” และ “โดยมีเหตุอันควร” แม้ไม่มีหมายจับ ไม่มีหมายค้น และไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะจับและตรวจค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายก็ตาม แต่การที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในบ้านได้และการเข้าไปก็เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายในความผิดอื่นที่เจ้าของบ้านเป็นผู้กระทำความผิด จึงเป็นการเข้าไปโดย” ได้รับอนุญาต “ และ เข้าไป “ โดยมีเหตุอันควร” ไม่ครบองค์ประกอบความผิดฐานบุกรุกตาม ปอ มาตรา ๓๖๒,๓๖๕
๒.แม้ว่าจะมีการเข้าไปในห้องนอนผู้ต้องหาก็ตาม ซึ่งดูเหมือนว่าการอนุญาตให้เข้าไปในบ้านคงให้เข้าไปได้เฉพาะบางพื้นที่และคงสงวนสิทธิ์ในห้องนอนซึ่งเป็นสิทธิ์ส่วนตัวก็ตาม แต่ที่ต้องเข้าไปในห้องนอนเพื่อตามตัวผู้ต้องหาเพราะไม่พบผู้ต้องหาอยู่ในบริเวณบ้านจึงได้เข้าไปในห้องนอน หากพบอยู่บริเวณบ้านคงไม่ตามเข้าไปดูในห้องนอน และตอนที่เข้าไปในตอนแรกก็อาจไม่ทราบว่าห้องดังกล่าวเป็นห้องนอน และเมื่อเข้าไปแล้วไม่พบตัวก็ออกมาทันที แสดงให้เห็นว่า การเข้าไปดังกล่าวเพื่อกระทำการตามหน้าที่ไม่มีเจตนาที่จะรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุขตาม ปอ มาตรา ๓๖๒,๓๖๕ การกระทำดังกล่าวจึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ เพราะเข้าไปโดยได้รับอนุญาตให้เข้าไปได้ และเข้าไปเพื่อติดตามนำมาดำเนินคดีซึ่งเป็นการกระทำโดยชอบด้วยหน้าที่
๓. ทรัพย์ที่ได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด เป็นทรัพย์ที่ต้องถูกริบตาม ปอ มาตรา ๓๓ ซึ่งพนักงานสอบสวนสามารถรวบรวมหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถกระทำได้ เพื่อจะทราบข้อเท็จจริงรวมทั้งพฤติการณ์ต่างๆอันเกี่ยวกับคดีเพื่อรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิดหรือความบริสุทธ์ของผู้ต้องหาตาม ปวอ มาตรา ๑๓๑ .ซึ่งใน ปวอ มาตรา ๘๕วรรคแรก ให้อำนาจพนักงานสอบสวนในการยึดทรัพย์หรือสิ่งของต่างๆที่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานได้ โดยสามารถยึดไว้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด และหากศาลไม่ได้มีคำสั่งเป็นอย่างอื่นแล้ว คือ ไม่ได้มีคำสั่งให้ริบของกลาง แล้ว เมื่อเสร็จสิ้นคดีแล้วก็ให้คืนแก่ผู้ต้องหาหรือผู้อื่นที่มีสิทธิ์เรียกร้องขอคืนสิ่งของนั้น ตาม ปวอ มาตรา ๘๕ วรรคท้าย ๔.การดำเนินคดีในความผิดฐานร่วมกันโดยไม่ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งไม่ประจำทาง กระทำการขนส่งอันมีลักษณะเช่นเดียวกับหรือคล้ายกับผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางหรือมีลักษณะเป็นการแย่งผลประโยชน์กับผู้ได้รับอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางในเส้นทางที่ผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบการขนส่งประจำทางได้รับอนุญาตตาม พรบ. การขนส่ง พ.ศ. ๒๕๒๒ นั้น รถยนต์ของกลางย่อมเป็นหลักฐานสำคัญแห่งองค์ความผิดที่จะกระทำให้ทราบข้อเท็จจริงตลอดจนพฤติการณ์ต่างๆอันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหาและเพื่อรู้ตัวผู้กระทำความผิดและพิสูจน์ให้เห็นความผิด เพราะต้องทำการตรวจสอบจากรถยนต์ว่าเป็นรถคันนี้หมายเลขทะเบียนนี้ มีเลขเชสซีร์รถหมายเลขนี้ มีสีรถสีนี้หรือไม่ที่ได้รับอนุญาตให้นำมาประกอบการขนส่งในเส้นทางนี้ ทั้ง รถได้รับการตรวจสภาพและมีอุปกรณ์ประจำรถครบถ้วนที่สามารถให้ความปลอดภัยแก่ผู้โดยสารหรือไม่ และรถคันดังกล่าวได้รับอนุญาตให้นำมาประกอบการขนส่งในเส้นทางพิพาทนี้หรือไม่อย่างไร พนักงานสอบสวนจึงมีอำนาจที่จะยึดรถยนต์ไว้เป็นพยานหลักฐานประกอบคดีจนกว่าคดีจะถึงที่สุดตาม ปวอ มาตรา ๘๕,๑๓๑ ไม่เป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๕.สารวัตรตำรวจและสารวัตรปกครองป้องกันเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตาม ปวอ มาตรา ๒(๑๗) มีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้นตามมาตรา ๙๒วรรคท้าย เมื่อมีเหตุอันควงเชื่อได้ว่ามีของที่ได้มาโดยผิดกฎหมายอยู่ในบ้าน หากไม่ทำการตรวจค้นเสียในวันเกิดเหตุ ของที่อยู่ในบ้านอาจถูกขนไปเสีย เป็นบทบัญญัติในกฎหมายเก่าก่อนปี พ.ศ. ๒๕๔๗ แต่หลังจากปี พ.ศ. ๒๕๔๗เป็นต้นมาการตรวจค้นต้องมีหมายค้นหรือมีคำสั่งศาล เว้นแต่เข้าข้อยกเว้นตาม ปวอ มาตรา ๙๒(๑)ถึง(๔)
๖. การตรวจค้นต่อหน้าเจ้าของ หรือผู้ครอบครองบ้านที่เกิดเหตุ หากไม่ได้ทำลายกุญแจก็ไม่อาจเข้าไปตรวจค้นได้ สิ่งของที่อยู่ในบ้านอาจถูกขนไปเสีย หากจะไปขอหมายค้นมาในภายหลังก็จะไม่ทันการและจะไม่สามารถพบสิ่งของที่ใช้ในการกระทำความผิด หรือมีไว้เป็นความผิดภายในบ้าน จึงจำเป็นต้องทำลายกุญแจเพื่อเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยดังกล่าว แม้เป็นการทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือไร้ประโยชน์ซึ่งกุญแจก็ตาม แต่ก็ไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลเพื่อให้ทรัพย์ดังกล่าวเสียหาย จึงขาดเจตนาที่จะกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ตาม ปอ มาตรา ๓๕๗ อีกทั้งใน ปวอ มาตรา ๙๔วรรคท้าย ให้อำนาจเจ้าพนักงานใน การตรวจค้นในเคหสถานในกรณีที่เจ้าของ คนที่อยู่ในที่รโหฐานนั้นหรือผู้รักษาสถานที่นั้นไม่ยินยอมให้เข้าไปเจ้าพนักงานผู้มีตำแหน่งสารวัตรตำรวจมีอำนาจใช้กำลังเพื่อเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นการเปิด ทำลายประตู หน้าต่าง รั่ว หรือสิ่งกีดขวางในทำนองอื่นก็ได้ การทำลายกุญแจเพื่อเข้าไปในเคหสถานจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
๗. เมื่อผู้ตรวจค้นเป็นสารวัตรตำรวจและสารวัตรปกครองป้องกันเป็นตำรวจชั้นผู้ใหญ่ตาม ปวอ มาตรา ๒(๑๗) มีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้นตามมาตรา ๙๒วรรคท้าย เมื่อมีเหตุอันควงเชื่อได้ว่ามีของที่ได้มาโดยผิดกฎหมายอยู่ในบ้าน หากไม่ทำการตรวจค้นเสียในวันเกิดเหตุ ของที่อยู่ในบ้านอาจถูกขนไปเสีย แม้เข้าตรวจค้นโดยไม่มีหมายค้นก็ไม่ถือว่าเป็นการเข้าไปในเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยไม่มีเหตุอันควรอันจะเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุขแต่อย่างใดไม่ การกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันบุกรุกโดยมีอาวุธ(เจ้าหน้าที่ตำรวจมักพกอาวุธปืนด้วยขณะกระทำการตามหน้าที่) ตาม ปอ มาตรา ๘๓,๓๖๒,๓๖๕(๒)
๘.การเข้าตรวจค้นที่ ได้กระทำต่อหน้าพยานสองคนซึ่งเจ้าพนักงานร้องขอให้มาเป็นพยานโดยก่อนลงมือตรวจค้น ผู้ตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์ก่อนที่จะตรวจค้นเท่าที่จะสามารถกระทำได้ต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัวของผู้นั้น หรือหากไม่สามารถหาบุคคลดังกล่าวได้ เมื่อได้ตรวจค้นต่อหน้าบุคคลอื่นอย่างน้อยสองคนที่เจ้าหน้าที่ร้องขอให้เป็นพยานก็เป็นอันเพียงพอ การตรวจค้นดังกล่าวจึงเป็นการกระทำโดยชอบด้วย ปวอ มาตรา๙๒,๙๔,๑๐๒ ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗,๓๕๘,๓๖๒,๓๖๔,๓๖๕(๒)
๙.เมื่อมีอำนาจตรวจค้นโดยไม่ต้องมีหมายค้นและมีพฤติการณ์ที่ออกหมายค้นและทำการตรวจค้นได้ ดังนั้นหมายค้นจะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ หรือแม้ไม่มีหมายค้น ก็ไม่ทำให้ผู้ตรวจค้นซึ่งเป็นสารวัตรตำรวจและสารวัตรปกครองป้องกัน ไม่มีอำนาจค้นแต่อย่างใดไม่
๑๐.ปอ. มาตรา ๑๕๗ เป็นบทบัญญัติที่ต้องการเอาโทษแก่เจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ แต่กลับปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดตอนหนึ่ง และเอาโทษแก่เจ้าพนักงานที่ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตอีกตอนหนึ่ง คำว่า “ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด” หมายความถึงเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลหรือเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดด้วย
๑๑.ปกติความผิดเกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ราชการ รัฐจะเป็นผู้เสียหาย ราษฏร์มักไม่ใช่ผู้เสียหายเว้นแต่การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดผลหรือความเสียหายโดยตรงต่อราษฏร์นั้น ดังนั้นหากการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานโดยมิชอบเป็นการกระทำต่อเอกชนผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรงและเป็นการกระทำให้บุคคลดังกล่าวได้รับความเสียหาย เอกชนย่อมเป็นผู้เสียหายตาม ปวอ มาตรา ๒(๔)ได้ นั้นก็คือ ความผิดเกี่ยวตำแหน่งหน้าที่ราชการ ผู้ที่เสียหายโดยตรงคือรัฐ ซึ่งรัฐจะต้องดำเนินการเอง โดยเอกชนมักไม่ใช่ผู้เสียหายในความผิดที่กระทำต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ เว้นเสียแต่การกระทำดังกล่าวก่อให้เกิดผลหรือความเสียหายโดยตรงต่อเอกชน หรือคนธรรมดาจึงเป็นผู้เสียหายในความผิดที่เกี่ยวกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐได้
๑๒.คำฟ้องของโจทก์ไมได้บรรยายถึงหน้าที่ตลอดจนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ มาในฟ้อง ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วย ปวอ มาตรา ๑๕๘(๕) เพราะเป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่มีข้อเท็จจริงและลายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับตัวบุคคลเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี เพราะการฟ้องว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องบรรยายให้เห็นว่าจำเลยมีหน้าที่ตามที่กฎหมายให้อำนาจไว้อย่างไร แล้วจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวโดยไม่ชอบอย่างไร จึงจะเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ได้ แต่เมื่อไม่บรรยายฟ้องถึงหน้าที่ตลอดจนการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ ๓ มาในฟ้อง ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ของจำเลยที่ ๓ จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมไม่ชอบด้วย ปวอ มาตรา ๑๕๘(๕) เมื่อเป็นฟ้องที่ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้อันทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหาได้ดี ไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ปัญหาว่าจำเลยที่ ๓ กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ศาลจึงไม่รับวินิจฉัยให้
๑๓. ตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑นอกจากเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการแล้วยังเป็นตำแหน่งทางฝ่ายบริหารมีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ผู้พิพากษาและเจ้าหน้าที่ธุรการผู้อยู่ภายใต้อำนาจบังคับบัญชาได้ด้วย ถือเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ์และศักดิ์ศรีสูงกว่าตำแหน่งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฏีกาซึ่งเป็นตำแหน่งทางฝ่ายตุลาการอย่างเดียว ฉะนั้นการแต่งตั้งโจทก์จากผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฏีกาให้ดำรงค์ตำแหน่งอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๑ จึงเป็นการปูนบำเหน็จความดีความชอบให้โจทก์เป็นการขัดกับการที่โจทก์ยังมีโทษงดบำเหน็จอยู่ ซึ่งการถูกงดบำเหน็จมักไม่ได้รับการแต่งตั้งในลักษณะที่ก้าวหน้าหรือได้รับการปูนบำเหน็จขึ้น
๑๔.การที่จำเลยที่ ๒ ดำเนินการหาข้อยุติความขัดแย้งเกี่ยวกับมติ กต ที่ เห็นชอบในการแต่งตั้งโจทก์ดังกล่าว จึงเป็นการใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ในทางบริหารราชการแผ่นดิน และที่สำคัญยิ่งก็คือ การจะนำเรื่องใดเสนอให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงแต่งตั้งทุกเรื่องนั้นต้องเป็นข้อยุติว่าเป็นเรื่องที่ชอบด้วยกฏหมายและระเบียบแบบแผนของทางราชการแล้ว การที่จำเลยที่ ๒พยายามหาข้อยุติความเห็นที่ขัดแย้งเกี่ยวกับมติ กต ที่แต่งตั้งโจทก์ และยังไม่อาจนำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อดำเนินการต่อไปนั้น หาใช่จำเลยที่ ๒ มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบเพื่อให้โจทก์เสียหายแต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๑๕. จำเลยที่ ๔ ดำรงตำแหน่งประธานศาลฏีกาเป็นประธาน กต โดยตำแหน่ง ในการประชุม กต ประธาน กต เป็นประธานที่ประชุม โดยทั่วไปแล้วในการประชุมประธานที่ประชุมเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการประชุมและรับผิดชอบดำเนินการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นผลดีทางราชการ หากไม่มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น กรณีมีเหตุจำเป็นและสมควร ประธานที่ประชุมจะเลื่อนหรือปิดการประชุมย่อมทำได้
๑๖.ได้ความว่าเมื่อตอนเช้า จำเลยที่ ๔มีคำสั่งให้ดำเนินการประชุม กต ไป ที่ประชุมพิจารณาเรื่องต่างๆจนกระทั้งถึงวาระแต่งตั้งข้าราชการตุลาการ จำเลยที่ ๓ แถลงขอให้ที่ประชุมเลื่อนวาระนี้ไปก่อน โดยชี้แจงเหตุผลและความจำเป็นว่า มีเรื่องที่จำต้องปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอยู่อีกและเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง จำเลยที่ ๔ ได้ชี้แจงและขอให้ที่ประชุมเลื่อนวาระดังกล่าวออกไป โดยแจ้งว่าการเลื่อนออกไปเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ส่วนใหญ่ที่ประชุมเห็นว่าไม่สมควรให้มีการเลื่อน จำเลยที่ ๔ จึงอาศัยอำนาจประธานสั่งให้เลื่อนและปิดประชุม โดยมีเหตุผลมาจากการขอร้องของพลเอก ส นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อให้เกิดผลดีต่อบ้านเมืองในทุกๆด้านตามรัฐประศาสน์นโยบายโดยเฉพาะเป็นผู้มีหน้าที่นำมติ กต ที่เห็นชอบแต่งตั้งโจทก์ขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เมื่อพลเอก ส. เห็นว่า โจทก์ยังมีโทษทางวินัยอยู่และการแต่งตั้งโจทก์เป็นการขัดกับพระราชกระแสเช่นนี้ การที่จำเลยที่ ๔ ขอให้เลื่อนการประชุมออกไปก่อน โดยแจ้งว่าการเลื่อนจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เป็นการแสดงให้เห็นว่า จำเลยที่ ๔ ได้พิจารณาถึงเหตุผลและความเหมาะสมในหลายๆด้านแล้วจึงได้สั่งให้เลื่อนการประชุมและปิดประชุม หากจำเลยที่ ๔ มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ จำเลยที่ ๔ จะไม่นำเรื่องการแต่งตั้งโจทก์บรรจุเข้าระเบียบวาระการประชุมก็ย่อมได้ ทั้งๆที่จำเลยที่ ๔ ก็รู้ว่า โจทก์มีโทษทางวินัยอยู่ การที่ต่อมาภายหลังมีเหตุจำเป็นต้องเลื่อนการประชุม จึงไม่เชื่อว่าจำเลยที่ ๔ สั่งเลื่อนการประชุมและปิดประชุมโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์
๑๗. ตำรวจ แกล้งจับผู้เสียหายอ้างว่าเมาสุราอาละวาดทั้งที่ไม่เป็นความจริง อันเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๑๘. การนำตัวผู้เสียหายออกจากบ้านไปไว้ที่แห่งหนึ่ง แล้วปล่อยตัวผู้เสียหายไป เป็นการหน่วงเหนียวหรือกักขังทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพร่างกายอันเป็นความผิดฐานหน่วงเหนียวกักขังให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพตาม ปอ มาตรา ๓๑๐ แม้เป็นการกระทำหลายอย่างแต่ด้วยเจตนาอันเดียว คือเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท
๑๙.การ จับมือผู้เสียหายกระชากโดยแรงจนผู้เสียหายล้มลงได้รับบาดเจ็บที่นิ้วและหัวเข่า ใช้เวลารักษา ๕ วันแสดงว่า มีเจตนาทำร้ายผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย จำเลยที่ ๑ รับผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม ปอ มาตรา ๒๙๕
๒๐.ตามระเบียบแล้วการตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้และตามคำสั่งป่าไม้เขตที่ให้จำเลยออกไปตรวจวัดประทับตราอนุญาตชักลากไม้ จำเลยจักต้องทำบุญชีอนุญาตชักลากไม้ด้วยเพื่อควบคุมการชักลากไม้ไม่ให้มีการสวมไม้อื่นปะปนเข้ามาในจำนวนไม้ที่ถูกต้อง การที่จำเลยทำบัญชีอนุญาตชักลากไม้เป็นเท็จก็เพื่อให้การประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้อง ตามระเบียบเสร็จสิ้นไปโดยบริบรูณ์ การทำบัญชีชักลากไม้เป็นเท็จกับการประทับตราอนุญาตชักลากไม้ไม่ถูกต้องตามระเบียบจึงเป็นการกระทำหลายอย่างคือมีการทำบัญชีชักลากไม้กับการประทับตราชักลากไม้อันเป็นเท็จโดยมีเจตนาเดียวคือต้องการชักลากไม้จำนวนที่ไม่ถูกต้อง จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฏหมายหลายบท แม้ขั้นตอนที่จะต้องกระทำ จำเลยต้องประทับตราอนุญาตชักลากไม้ก่อนแล้วทำบัญชีอนุญาตชักลากก็หาทำให้การกระทำของจำเลยเป็นสองกรรมต่างกันไม่
๒๑.เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๐,๑๖๒ แต่ละกรรมและเป็นความผิดตาม ปอ มารตรา ๑๕๗ด้วย ลงโทษตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทหนักทั้งสองกระทง จำคุกกระทงละ ๕ ปี ส่วนข้อหาทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติให้ยกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติด้วย ข้อหาอื่นจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัย การกระทำของจำเลยตามปอ มาตรา ๑๖๐,๑๖๒เป็นกรรมเดียวกัน แก้เป็นจำเลยมีผิดตาม ปอ มาตรา ๑๖๐,๑๖๒,๑๕๗ ลงโทษตาม มาตรา ๑๕๗ซึ่งเป็นบทหนัก ถือไม่ได้โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยหนักขึ้น เพราะโจทก์อุทธรณ์เฉพาะข้อหาทำไม้ ส่วนข้อหาอื่นเป็นอันยุติไปแล้วเพราะโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์คำพิพากษา ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกเพียง ๕ ปี การที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยกระทงเดียว ๑๐ ปี เป็นการเพิ่มโทษจำเลยไม่ชอบด้วย ปวอ มาตรา ๒๑๒เพราะโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ขอเพิ่มโทษจำเลย
๒๒.การที่ผู้สมัครสอบมีวุฒิการศึกษาไม่ตรงตามที่ราชการกำหนด ต่อมาได้มีการเพิ่มคุณสมบัติสอบภายหลังครบกำหนดระยะเวลาสมัครสอบแล้วโดยเพิ่มวุฒิการศึกษาเพิ่มเติมเพิ่มขึ้นเพื่อให้ตรงกับวุฒิการศึกษาของพวกตนให้มีสิทธิ์สอบได้ จนเป็นเหตุให้ผู้นั้นสามารถสอบได้และได้รับการบรรจุแต่งตั้ง ย่อมทำให้ผู้ที่สอบได้อื่นแต่ยังไม่ได้รับการบรรจุซึ่งอาจสอบได้คะแนนไม่ดีอยู่อันดับท้ายๆอาจไมได้รับเรียกชื่อเพื่อเข้ารับราชการย่อมได้รับความเสียหาย การกระทำดังกล่าวจึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๒๓.หรือแม้มีการแก้วุฒิการศึกษาเพื่อช่วยให้พวกของตนมีสิทธิ์สอบได้โดยทำการแก้ไขภายหลังจากที่ครบกำหนดระยะเวลาการสมัครไปแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะสามารถสอบได้หรือไม่ได้ก็ตาม ผู้ทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมวุฒิการศึกษาย่อมมีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ความผิดไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มวุฒิการสมัครสอบเข้าไปแล้ว ผู้นั้นต้องสอบได้แม้สอบไม่ได้ ก็ตามผู้แก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมวุฒิก็เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ความผิดอยู่ที่พ้นกำหนดการรับสมัครสอบไปแล้วไปทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมวุฒิเพื่อช่วยพวกของตนให้มีคุณสมบัติสอบได้
๒๔. การลงรายการเสียภาษีประจำปีในใบอนุญาตทะเบียนรถฉบับปลายทางและทำเรื่องราวโอนรถนั้นไปต่างจังหวัดต้องมีต้นฉบับใบอนุญาตทะเบียนรถฉบับปลายซึ่งทางราชการมอบให้ไว้กับเจ้าของผู้ครอบครองรถเพื่อนำมาตรวจสอบเปรียบเทียบกับทะเบียนรถต้นฉบับที่เก็บไว้ที่แผนกทะเบียนยานพาหนะ
๒๕. การลงรายการเสียภาษีประจำปีในใบอนุญาตทะเบียนรถฉบับปลายทางและทำเรื่องราวโอนรถนั้นไปต่างจังหวัดทั้งๆที่ไม่มีใบอนุญาตทะเบียนรถฉบับต้นฉบับมาตรวจสอบและลงรายการคู่กัน ส่อแสดงว่าจำเลยทราบอยู่แล้วว่าฉบับปลายเป็นเอกสารปลอมหรือรถที่จะนำมาโอนไปต่างจังหวัดอาจได้มาจากการกระทำความผิดจึงไม่มีใบอนุญาตทะเบียนรถฉบับปลายทางมาแสดง เพื่อจะได้ทำการตรวจสอบและลงรายการคู่กัน การที่เจ้าหน้าที่ยอมลงรายการเสียภาษีประจำปี ส่อแสดงว่าทราบอยู่แล้วว่าฉบับปลายเป็นเอกสารปลอม แต่ยังขืนดำเนินการให้ผู้มาขอโอนไป จึงเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและใช้เอกสารปลอมอันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗,๒๖๘
๒๖. เมื่อไม่ใช่ความผิดซึ่งหน้าและยังไม่แน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นฝ่ายผิด การที่คู่กรณีกับผู้เสียหายชี้ให้จับ โดยยังไม่ได้ร้องทุกข์ไว้ตามระเบียบ ทั้งไม่มีเหตุสงสัยว่ากระทำผิดมาแล้วจะหลบหนีเมื่อไม่มีหมายจับ ไม่เข้าข้อยกเว้นตามกฎหมายที่จะสามารถทำการจับกุมได้โดยไม่ต้องมีหมายจับ ตามปวอ มาตรา๗๘ การจับกุมจึงเป็นการจับโดยไม่ชอบ ทั้งเมื่อจับกุมแล้ว ไม่แจ้งข้อหา ไม่ทำบันทึกจับกุม ไม่ส่งมอบตัวให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี เป็นการไม่ปฏิบัติตาม ปวอ มาตรา ๘๔, วรรคแรก,(๑)แต่ กลับนำไปควบคุมตัวที่ด่านตรวจ เจือสมกับที่ผู้เสียหายนำสืบว่าเคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้จับกุมมาก่อน การจับกุมดังกล่าวจึงเป็นการหน่วงเหนียวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพร่างกาย และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการโดยไม่ชอบด้วยหน้าที่ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗,๓๑๐ พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องรุนแรงต่อความรู้สึกของประชาชนไม่มีเหตุที่จะรอการลงโทษ
๒๗.แม้ตามระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการฯ มาตรา๒๗ ให้เป็นอำนาจของประธานคณะกรรมการอัยการ(กอ) ที่จะเสนอ กอ ให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งข้าราชการอัยการนอกจากตำแหน่งอัยการผู้ช่วย แต่จำเลยซึ่งเป็นอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุดในฐานะผู้บังคับบัญชาของข้าราชการอัยการทั่วประเทศ ในการใช้อำนาจบริหารงานบุคคลยังมีอำนาจเสนอตารางประวัติการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อประกอบการพิจารณาในการปฏิบัติหน้าที่ของประธาน กอ. รวมทั้งมีอำนาจเสนอเรื่องต่อ กอ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๑ การทำตารางประวัติการปฏิบัติราชการเสนอ กอ เพื่อพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการอัยการ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฏหมายของจำเลย อำนาจของอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุดในเรื่องนี้มีลักษณะเป็นการใช้อำนาจในเชิงดุลพินิจที่อาจเลือกวินิจฉัยหรือเลือกกระทำได้หลายอย่างที่ชอบด้วยกฎหมาย
๒๘.การปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของอธิบดีกรมอัยการหรืออัยการสูงสุด.ตามปอ มาตรา ๑๕๗ นี้นอกจากหมายความพึงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นการกระทำนอกขอบเขตแห่งอำนาจหรือโดยปราศจากอำนาจประการหนึ่ง เป็นการฝ่าฝืนต่อวิถีปฏิบัติราชการทางปกครองอันเป็นสาระสำคัญที่กำหนดไว้สำหรับการนั้นประการหนึ่ง และเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติบัญญัติแห่งกฏหมายอีกประการหนึ่งแล้วยังหมายถึงการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่ใช้เป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบอีกด้วย การใช้อำนาจดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาสั่งการหรือเลือกกระทำตามที่เห็นว่าเหมาะสมโดยศาลไม่แทรกแซงนั้นหมายความว่า เมื่อผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจไปในทางใดแล้ว ศาลต้องยอมรับการใช้ดุลพินิจนั้น แต่การใช้ดุลพินิจของผู้บังคับบัญชาจะต้องอยู่ภายในขอบเขตของความชอบด้วยกฏหมายคือต้องไม่ใช่การใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ มิใช่การใช้ดุลพินิจตามอำเภอใจหรือโดยปราศจากเหตุผล
๒๙. การแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งต่างๆนั้นรวมทั้งตำแหน่งอัยการพิเศษฝ่ายนั้นมีการพิจารณาอาวุโส ประกอบ การที่จำเลยเสนอตารางประวัติการปฏิบัติราชการแก่ประธาน กอ เพื่อแต่งตั้งอัยการพิเศษฝ่ายโดยเสนอชื่อบุคคลที่มีอาวุโสต่ำกว่าโจทก์ไว้เป็นอันดับสูงกว่าโจทก์ถึงสามครั้งโดยไม่ปรากฏว่าบุคคลนั้นถูกสอบสวนทางวินัยหรือมีข้อบกพร่องที่ไม่เหมาะสมที่จะได้รับการบรรจุแต่งตั้งในตำแหน่งนั้นๆ หรือมีสภาพป่วยทางกายจนไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนั้นๆได้ จนต้องมีการนำอัยการที่อาวุโสน้อยกว่าข้ามไปดำรงตำแหน่งแทน แต่การแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งที่ถือเอาสาเหตุที่จำเลยมีสาเหตุส่วนตัวกับโจทก์หรือการใช้ระบบอุปถัมภ์ย่อมเป็นการใช้ดุลพินิจในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ไม่ชอบ โดยในคดีนี้ปรากฏว่าถือเอาสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนทำให้โจทก์ถูกบุคคลที่อาวุโสต่ำกว่าได้รับตำแหน่งไปจึง เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ จึงเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยไม่ชอบมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าพนักงาน มีความผิด ปอ มาตรา ๙๑,๑๕๗
๓๐.แม้ไม่ใช่หน้าที่โดยตรงของตนในการรับราชการ แต่เมื่อได้รับมอบหมายแต่งตั้งจากผู้บังคับบัญชาให้ทำหน้าที่อื่นด้วย ก็ต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายลุล่วงไปได้ด้วยดี เช่นเป็นครูมีหน้าที่สอนหนังสือแต่ได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ควบคุมการก่อสร้างปรับปรุงต่อเติมอาคาร เมื่อมีวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้าง แล้วนำวัสดุที่เหลือใช้ซึ่งอยู่ในหน้าที่ดูแลรับผิดชอบของตนไปเก็บไว้ที่ร้าน ของบุคคลภายนอก. และให้ บุคคลภายนอกนำวัสดุดังกล่าวไปเสีย จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ ทำให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ
๓๑.แม้เป็นตำรวจหนีราชการตราบใดยังไม่ถูกปลดหรือถูกไล่หรือให้ออกจากราชการแล้วยังมีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิด ได้ เมื่อประสพเหตุการณ์กระทำผิดทางอาญาได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่จะจับคนร้าย แต่กับเข้าขัดขวางพูดจาขู่พยานผู้รู้เห็นไม่ให้ยืนยันว่ารู้เห็นการกระทำผิด การละเว้นปฏิบัติหน้าที่เช่นนี้เป็นการละเว้นโดยไม่ชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของทรัพย์ เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ และเป็นเจ้าพักงานที่มีหน้าที่สืบสวนคดีอาญากระทำการด้วยประการใดๆเพื่อช่วยผู้อื่นที่เป็นผู้กระทำความผิดอันไม่ใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษตาม ปอ มาตรา๑๘๙,๒๐๐เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงบทหนักตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๓๒.ตำรวจจับหญิงโสเภณีไปจากสถานค้าประเวณีในขณะค้าประเวณีแล้วมอบหญิงดังกล่าวให้กับพวกของตนโดยไม่ได้นำมาดำเนินคดีตามกฏหมาย ย่อมเกิดความเสียหายต่อราชการตำรวจ เป็นการละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ และเป็นเจ้าพนักงานที่มีหน้าที่สืบสวนคดีอาญากระทำการด้วยประการใดๆเพื่อช่วยผู้อื่นที่เป็นผู้กระทำความผิดอันไม่ใช่ความผิดลหุโทษเพื่อไม่ให้ต้องรับโทษตาม ปอ มาตรา๑๘๙,๒๐๐เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทลงบทหนักตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๓๓.การที่ตำรวจ ร่วมกับพวกช่วยพาคนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยฝ่าฝืนกฎหมายไปเสียจากที่ควบคุมเพื่อไม่ให้ถูกส่งตัวกลับไปยังประเทศลาวตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่ ทั้งเมื่อเห็นมีการนำรถมารับคนลาวดังกล่าวไป แต่ละเลยไม่จับกุมมีความผิดตามพรบ. คนเข้าเมืองฯ มาตรา ๕๘ แต่ยังถือไม่ได้ว่าปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบ เป็นเพราะมาตรา ๕๘ เป็นบทเฉพาะที่บัญญัติการกระทำดังกล่าวไว้แล้วจึงไม่ผิดบททั่วไปอีก ด้วยความเครารพในคำพิพากษาฏีกาในความเห็นส่วนตัวเห็นว่าการกระทำดังกล่าวยังเป็นความผิดตามปอ มาตรา ๑๘๙,๒๐๐ด้วย และเข้าองค์ประกอบความผิดตามปอ มาตรา ๑๕๗ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทต้องลงตามบทหนัก
๓๔.ตามพระราชบัญญัติเทศบาล๒๔๙๖ มาตรา ๕๓ เทศบาลไม่มีหน้าที่ตามกฏหมายที่จะต้องรับถนนที่มีผู้ยกให้และผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีอำนาจสั่งให้เทศบาลรับถนนที่มีผู้ยกให้ดังกล่าว นอกจากมีอำนาจควบคุมดูแลเทศบาลให้ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฏหมายดังที่บัญญัติไว้ใน มาตรา ๗๑ เท่านั้น
๓๕.จำเลยเป็นนายกเทศมนตรีไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดที่สั่งให้จำเลยรับถนนที่โจทก์กับผู้มีชื่อยกให้ การกระทำจำเลยไม่ผิด ปอ มาตรา ๑๖๕ พรบ.เทศบาล ๒๔๙๖ มาตรา ๕๐(๒),๕๓ เพราะเทศบาลไม่มีหน้าที่ตามกฏหมายที่จะต้องรับถนนที่มีผู้ยกให้และผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มีอำนาจสั่งให้เทศบาลรับถนนที่มีผู้ยกให้ดังกล่าวได้
๓๖.เทศบาลมีหน้าที่จัดให้มีการบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ หาได้บัญญัติให้เทศบาลหรือจำเลยมีหน้าที่ต้องระวังแนวเขตและลงชื่อรับทราบแนวเขตตาม ประมวลกฎหมายที่ดินฯ มาตรา ๗๐ไม่ แม้จำเลยไม่ยอมลงชื่อรับรองแนวเขตทางสวาธารณะ ก็ไม่เป็นความผิดตามปอ มาตรา ๑๕๗
๓๗.” รับเงินแล้วไม่ออกใบเสร็จ”...พนักงานที่ดินอำเภอรับเงินค่าธรรมเนียมและค่าพาหนะในการรังวัดจากผู้มายื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิ์ทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ภายในเขตท้องที่อำเภอของตน โดยไม่ได้ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้มายื่นเรื่องราว ไม่ได้นำเงินลงบัญชีไว้เป็นหลักฐาน ไม่ได้ดำเนินการให้เรื่องราวของผู้มาติดต่อลุล่วงไปจนกระทั้งย้ายไปที่อื่นก็ไม่ได้คืนเงินให้แก่ผู้ยื่นเรื่องราว เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ หรือแม้จะคืนเงินให้ผู้ยื่นเรื่องราวก็ไม่ทำให้ความผิดที่เกิดขึ้นแล้วไม่เป็นความผิดหรือระงับไป ใบเสร็จเป็นเอกสารสารที่เป็นหลักฐานแห่งการระงับสิทธิ์ที่จะต้องมาจ่ายเงินค่าธรรมเนียมอีก การที่ได้รับใบเสร็จย่อมแสดงว่ามีการชำระกันเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อรับเงินแล้วไม่ออกใบเสร็จ ไม่ได้นำเงินที่ได้มาลงบัญชีไว้ ย่อมอาจเกิดข้อโต้ถียงกันในภายหลังว่ามีการชำระค่าธรรมเนียมแล้วหรือไม่อย่างไร ใบเสร็จดังกล่าวจึงเป็นเอกสารสิทธิ์
๓๘.กำนัน เป็นเจ้าพนักงานตามพรบ.ลักษณะปกครองท้องที่ ๒๔๕๗ เมื่อถูกแต่งตั้งเป็นประธานกรรมการโครงการสร้างถนนเข้าหมู่บ้าน แล้วเบิกเงินมาจ่ายแก่ผู้รับเหมาในขณะที่ถนนยังไม่เสร็จ แต่เบิกมาเพื่อจะจ่ายให้ผู้รับเหมาทำงานต่อไปได้ มิเช่นนั้นต้องส่งเงินคืนคลัง การเบิกเงินมาจ่ายผู้รับเหมาเพื่อให้สามารถดำเนินการก่อสร้างต่อไปได้แม้กำนันจ่ายเงินแก่ผู้รับเหมาไปแล้ว แต่เมื่อกระทำไปโดยเจตนาเพื่อให้งานเดินต่อไปไม่ต้องส่งเงินคืนคลังเพราะทำงานไม่แล้วเสร็จ แม้อาจไม่ถูกต้องตามระเบียบแต่ประโยชน์ที่ได้จากการสร้างถนนก็เป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ ไม่มีเจตนาประสงค์ต่อผลในการแจ้งความเท็จ จึงขาดเจตนาแจ้งความเท็จตาม ปอ มาตรา ๕๙ เหตุดังกล่าวเป็นเหตุในลักษณะแห่งคดีใช้ตลอดถึงจำเลยที่ไม่ได้ฏีกาด้วยตาม ปวอ มาตรา ๒๑๓,๒๒๕
๓๙.แต่เมื่อรับเงินมาแล้วกำนันละเว้นไม่ดำเนินการให้ผู้รับเหมาดำเนินงานต่อไปให้เสร็จตามสัญญา เป็นการทุจริตเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๔๐. โจทก์เป็นพระภิกษุถูกกล่าวหาว่าเสพเมถุนธรรมกับหญิง จำเลยเป็นเจ้าอาวาส ตั้งกรรมการทำการสอบสวนโดยจำเลยเป็นประธานกรรมการ แม้ในการสอบสวนจำเลยจะการสอบสวนผู้กล่าวหาซึ่งเป็นพระภิกษุสามเณรพร้อมๆกันลับหลังโจทก์ โดยอนุญาตให้พระภิกษาบางองค์ตอบแทนกัน และไม่เรียกพยานโจทก์มาสอบสวนอันไม่ต้องด้วยพระธรรมวินัย ระเบียบข้อบังคับและกฎของมหาเถรสมาคม ก็เป็นเรื่องผิดระเบียบในการสอบสวนเท่านั้น
๔๑.แม้ในที่สุดจำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากวัด โดยการสอบสวนไม่ได้ความชัดว่า โจทก์ได้กระทำความผิดตามที่ถูกกล่าวหา การกระทำของจำเลยก็เป็นเรื่องผิดระเบียบการสอบสวนเท่านั้น การที่จำเลยมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากวัดโดยอาศัยอำนาจตาม พรบ. คณะสงฆ์ฯ พ.ศ. ๒๕๐๕ เพื่อให้มีความสงบสุขภายในวัด เมื่อกระทำไปโดยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๔๒.ตำรวจมีอำนาจสืบสวนคดีอาญาและจับผู้กระทำผิดกฎหมาย การที่ทราบจากผู้เสียหายว่า มีคนร้ายลักทรัพย์ผู้เสียหาย แล้วพูดว่า “ เรื่องนี้พอสืบได้แต่ต้องไถ่ทรัพย์คืน” โดยไม่ปรากฏได้รู้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์หรือรับของโจร และไม่ทราบทรัพย์ที่ถูกลักเก็บรักษาไว้ที่ใด ทั้งยังไม่มีการแจ้งความออกหมายจับผู้หนึ่งผู้ใดมาดำเนินคดีหรือนำทรัพย์ที่ถูกลักไปมาคืนผู้เสียหายหรือส่งมอบพนักงานสอบสวน ถือไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ เพราะการที่จะได้ทรัพย์คืนนั้นบางครั้งผู้ที่รับทรัพย์ไว้อาจได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายบางฉบับ การจะได้ทรัพย์คืนต้องชดใช้ราคา เช่นใน ปพพ มาตรา ๑๓๓๒ ซื้อทรัพย์มาโดยสุจริตในการขายทอดตลาด ในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าที่ขายของนั้น ไม่จำต้องคืนทรัพย์เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคา หรือในกรณีตาม ปพพ มาตรา ๑๓๓๐ ซื้อโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาล หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลาย ย่อมไม่เสียไป แม้ภายหลังพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์ที่ได้นั้นไม่ใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือผู้ล้มละลาย ดังนั้นคำพูดที่ว่า “เรื่องนี้พอสืบได้แต่ต้องไถ่ทรัพย์คืน” เพียงเท่านี้โดยไม่ปรากฏได้รู้ว่าผู้ใดเป็นคนร้ายที่ลักทรัพย์หรือรับของโจร และไม่ทราบทรัพย์ที่ถูกลักเก็บรักษาไว้ที่ใด ทั้งยังไม่มีการแจ้งความออกหมายจับผู้หนึ่งผู้ใดมาดำเนินคดีหรือนำทรัพย์ที่ถูกลักไปมาคืนผู้เสียหายหรือส่งมอบพนักงานสอบสวน ถือไม่ได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๔๓. พระภิกษุเจ้าไปสนทนากับหญิงสาวบนบ้านในเวลากลางคืนตามลำพังย่อมไม่ถูกต้อง จำเลยซึ่งเป็นตำรวจและชาวบ้านออกประกาศโฆษณาทางเครื่องขยายเสียงว่าโจทก์กระทำผิดวินัยสงฆ์ ไม่ยอมให้โจทก์กลับวัด ไม่ยอมให้โจทก์ลงจากบ้าน แล้วนำตัวส่งพนักงานสอบสวน เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อว่า โจทก์กระทำผิดวินัยสงฆ์จึงได้ควบคุมโจทก์ไว้ก่อนเพื่อป้องกันเหตุร้ายอันอาจเกิดขึ้น เป็นการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชน ไม่งั้นหากยอมให้กลับวัด และยอมให้ลงจากบ้านอาจเกิดความไม่สงบภายในชุมชนได้ การควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินการทางสงฆ์หรือเพื่อดำเนินการสึกออกจากสมณเพศย่อมเป็นทางเลือกที่ดี ไม่มีความผิดฐานหน่วงเหนียวกักขังทำให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบตาม ปอ มาตรา ๑๕๗,๓๐๙,๓๑๐ แต่อย่างใดไม่
๔๔. ข้อเท็จจริงว่า” จำเลยกลั่นแกล้งโจทก์ ทั้งโจทก์ไม่ได้ทำผิดวินัย” เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลล่างทั้งสองศาลยกฟ้องโจทก์ คดีต้องห้ามฏีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตาม ปวอ มาตรา ๒๒๐
๔๕..จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนปล่อยตัวผู้ต้องหารวมสามคน แล้วนำผู้มีชื่อเข้าเป็นผู้ต้องหาแทนขณะควบคุมผู้ต้องหาทั้งสามดังกล่าวกับพวกจากศาลจังหวัดสมุทรปราการเพื่อไปคุมขังที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอพระประแดง แต่จำเลยไมได้เรียกรับเงินจากผู้ต้องหาเป็นการตอบแทนที่จำเลยปล่อยผู้ต้องหาดังกล่าวไป ทั้งผู้มีชื่อที่จำเลยนำเข้ามาแทนผู้ต้องหาที่จำเลยปล่อยตัวไปก็ไม่ปรากฏว่าเข้ามาแทนที่โดยไม่สมัครใจ ส่วนศาลจังหวัดสมุทรปราการ แม้ได้อนุญาตให้ผัดฟ้องฝากขังผู้ต้องหาตามคำร้องขอของพนักงานสอบสวนก็เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ที่กฏหมายบัญญัติไว้เพื่อควบคุมการดำเนินคดีของพนักงานสอบสวนให้เป็นไปโดยถูกต้อง มิใช่ผู้ที่จะเข้าไปมีส่วนรับผิดชอบจากการดำเนินคดีหรือไม่ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาแต่อย่างใด คดีไม่พอฟังว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ ผู้มีชื่อ โดยเจตนาทุจริต อันจะเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ควบคุมดูแลผู้ถูกคุมขังตามอำนาจศาล กระทำด้วยประการใดๆให้ผู้ถูกคุมขังนั้นพ้นจากการควบคุมโดยผู้ถูกคุมขังมีจำนวนตั้งแต่สามคนขึ้นไป ตาม ปอ มาตรา ๒๐๔ วรรคสองเท่านั้น
๔๖.ด้วยความเครารพในคำพิพากษาฏีกา ความผิดตามปอ มาตรา ๑๕๗ เป็นกรณีเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต แม้การปล่อยตัวไปจะไม่ปรากฏว่ามีการเรียกรับเงินจากผู้ต้องหาเป็นการตอบแทนที่จำเลยปล่อยผู้ต้องหาดังกล่าวไปก็ตาม แต่การปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังไปก็เป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบโดยมีเจตนาปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังไป และแม้การนำผู้มีชื่อที่นำเข้ามาแทนผู้ต้องหาที่ปล่อยตัวไปก็ไม่ปรากฏว่าเข้ามาแทนที่โดยไม่สมัครใจก็ตาม ก็เป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยหน้าที่ ผู้ที่มารับสมอ้างเป็นผู้ต้องหาแทนมักได้รับเงินเป็นค่าตอบแทนหรือมีบุญคุณที่ต้องทดแทนกัน ประเด็นว่า ผู้มาสวมชื่อแทนผู้ต้องหานั้นจะเต็มใจหรือถูกบังคับมาน่าไม่เป็นประเด็นในส่วนนี้ การกระทำดังกล่าวย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อศาลแล้วเพราะหากศาลเชื่อว่าเป็นผู้กระทำผิดจริงแล้วพิพากษาลงโทษไปย่อมเป็นการพิพากษาลงโทษแก่บุคคลที่ไม่ได้กระทำความผิด แต่บุคคลที่กระทำความผิดกลับไม่ได้รับโทษ กรณีเปลี่ยนตัวผู้ต้องหามักเป็นคดีการพนันที่ข้าราชการถูกจับได้ในวงการพนัน หากถูกดำเนินคดีไปก็ต้องออกจากราชการ จึงต้องหาวิธีเลี่ยงไม่ให้ต้องรับโทษโดยการเปลี่ยนตัวผู้ต้องหาโดยนำบุคคลอื่นมาสวมเป็นผู้ต้องหาแทนตน เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วต้องถือตามคำพิพากษาครับ
๔๗.การที่จะมีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยมิชอบตาม ปอ มาตรา ๑๕๗ ต้องประกอบด้วยเจตนาพิเศษ คือ ต้องเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (นส๓ก) ลงลายมือชื่อออก นส๓ก ระบุชื่อ ต. เป็นผู้มีสิทธิ์ครอบครองตามเรื่องราวเท็จ เอกสารปลอมที่ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องนำเสนอโดยไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงตามอำนาจหน้าที่อันเป็นการละเว้นการปฏิบัติการโดยไม่ชอบเท่านั้น ไม่ปรากฏจำเลยมีเจตนาพิเศษละเว้นไม่ตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมที่ดิน ต. หรือ ผู้หนึ่งผู้ใด ไม่ผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติการาตามหน้าที่โดยมิชอบ ตาม ปอ มาตรา ๑๕๗
๔๘.ด้วยความเครารพในคำพิพากษา ในความเห็นส่วนตัวเห็นว่า การไม่ตรวจสอบให้ดีถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้ปฏิบัติงานถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ที่ต้องทำการตรวจสอบให้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อนที่ตนจะมีความเห็นและคำสั่ง มิเช่นนั้นทุกคนก็จะอ้างว่าตนไม่ได้ตรวจสอบหรือตรวจสอบไม่ดี ซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการได้ เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วต้องถือตามคำพิพากษาครับ
๔๙.วิศวกรผู้คำนวณโครงการรับน้ำหนักอาคาร ในการปลูกสร้างย่อมต้องทราบดีอยู่แล้วว่าอาคารดังกล่าวรับน้ำหนักได้เพียงไร เมื่อทราบว่าสามารถรับน้ำหนักได้เพียง ๔ ชั้นรวมชั้นใต้ดิน การคำนวณต่อเติมอาคารโดยที่ทราบดีอยู่แล้วว่าอาคารเดิมรับน้ำหนักส่วนที่ต่อเติมไม่ได้ และยังใช้ฐานรากและเสาร์ในแนว ซี ซึ่งออกแบบให้รับน้ำหนักไว้เพียงสองชั้น เป็นจุดเชื่อต่ออาคารเดิมและอาคารที่ต่อเติมทำให้น้ำหนักอาคารทั้งหมดเทลงเสาและฐานรากในแนวซีให้ต้องรับน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก การยอมรับว่าได้ดูแบบแปลนของอาคารเดิม ดูสภาพอาคารที่มีอยู่เดิมและทราบว่าเสาเข็มในแนวซีต้นที่ ๑๗๖มีขนาดและส่วนประกอบผิดไปจากแปลน แสดงให้เห็นว่าเป็นการไม่ปฏิบัติการตามวิธีการอันพึงกระทำในการออกแบบ
๕๐.แม้จะไม่ได้เป็นผู้ออกแบบมาตั้งแต่ต้น แต่ เมื่อพบเห็นสภาพอาคารก่อสร้างผิดไปจากแบบแปลนโดยว่าเสาเข็มในแนวซีต้นที่ ๑๗๖มีขนาดและส่วนประกอบผิดไปจากแปลน เช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องห่าข้อมูลที่ถูกต้องให้ได้มากที่สุดว่าโครงสร้างอาคารเดิมมั่นคงแข็งแรงพอรับน้ำหนักอาคารในสวนทีต่อเติมได้อีกหรือไม่ โดยการสอบถามหรือขอข้อมูลเดิมจากสถาปนิกและวิศวกรที่ออกแบบและคำนวณโครงสร้างอาคารเดิมเติม แต่ ก็หาได้กระทำเช่นนั้นไม่ จนเป็นเหตุให้อาคาร พังลงจนเป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตายเพราะการ คำนวณออกแบบโครงสร้างและการรับน้ำหนักของอาคารไม่ถูกต้องตามหลักวิชาวิศวกรรมศาสตร์เป็นผลเกิดจากการกระทำโดยตรง เป็นความผิดฐานเป็นผู้มีวิชาชีพในการออกแบบ ควบคุม หรือทำการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์วิธีการอันพึงกระทำการนั้นๆในประการที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นจนเป็นเหตุให้มีผู้อื่นถึงแก่ความตายผิดตาม ปอ. มาตรา ๒๒๗,๒๓๘
๕๑. กรรมการและบุคคลอื่นที่ ไมได้เป็นวิศวกรยอมไม่อาจทราบถึงความมั่นคงแข็งแรงของอาคาร ว่า จะต่อเติมได้หรือไม่และใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่าการประกอบกิจการโรงแรมต้องต่อใบอนุญาตทุกปีและจำเลยที ๙ ได้รับใบอุญาติให้ประกอบกิจการโรงแรมตลอดมาก่อนออกใบอนุญาตในแต่ละปีจะมีเจ้าพนักงานของเทศบาลและของจังหวัดมาตรวจสอบอาคารด้านความมันคงปลอดภัย ความสะอาด การระบายอากาศและสุขอนามัยซึ่งเจ้าพนักงานดังกล่าวไม่เคยทักท้วงว่า อาคาร ไม่มั่นคงปลอดภัยแต่อย่างใด ประกอบกับกรรมการตลอดจนจำเลยอื่นล้วนแต่ทำงานหรือใช้ประโยชน์อยู่ในอาคารดังกล่าวทั้งสิ้น หากทราบว่าอาคารไม่มั่นคงปลอดภัยย่อมไม่มีผู้ใดยอมเสี่ยงชีวิตเข้าไปทำงานหรือใช้ประโยชน์อาคาร อย่างแน่นอนเพราะทุกคนยอมรักชีวิตของตนยิ่งกว่าผลประโยชน์รายได้ทางธุรกิจ พยานหลักฐานที่นำสืบ จึงยังมีความสงสัยตามสมควรตาม ปวอ มาตรา ๒๒๗วรรคสอง การขอตรวจคำขอก่อสร้างหรือต่อเติมอาคารนั้น พรบ.ควบคุมอาคารฯ มาตรา ๒๘ บัญญัติว่า ในกรณีผู้คำนวณแบบแปลน รายการประกอบแบบแปลนและรายการคำนวณทีได้ยื่นมาพร้อมคำขอตามมาตรา ๒๑,๒๒,๒๓,๒๔เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมตามกฏหมายว่าด้วยวิชาชีพวิศวกรรมให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นตรวจพิจารณาแต่เฉพาะในส่วนทีเกี่ยวกับรายละเอียดตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดในกฏกระทรวง “ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คำขอก่อสร้างต่อเติมอาคารมีวิศวกรผู้ได้รับใบอนุญาตให้เป็นผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมเป็นผู้ออกแบบคำนวณโครงสร้างและลงชื่อรับรองมาด้วย จำเลยที่ ๓ถึงที่ ๖ ซึ่งเป็นเจ้าพักงานท้องถิ่นย่อมไม่จำต้องตรวจแบบแปลนหรือรายการคำนวณโครงสร้างเพื่อให้ทราบว่าโครงสร้างอาคารเดิมมีความมันคงแข็งแรงเพียงพอทีจะรับน้ำหนักอาคารต่อเติมได้หรือไม่ เพราะเป็นลายละเอียดตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ทั้งจำเลยที ๑ ยังบันทึกหมายเหตุไว้ในใบประการคำนวณว่าได้ทำการตรวจสอบดูแล้วฐานรากและส่วนของอาคารเดิมสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมได้มาแสดงด้วย ดังนั้นการที่จำเลยที่ ๓ถึงที่ ๖ตรวจคำขอต่อเติมอาคารจำเลยที ๙และทำคำเสนอต่อจำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ว่าควรอนุญาตให้จำเลยที ๙ต่อเติมอาคารได้ย่อมเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบแล้ว
๕๒.ส่วนจำเลยที่ ๗ และที่ ๘ ที่ พิจารณาและสั่งอนุญาตให้ต่อเติมได้ตามความเห็นที่เสนอขึ้นมาโดยชอบของจำเลยที่ ๓ถึงที่ ๖ ไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ ๓ ถึงที่ ๘ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดอันเป็นเจตนาพิเศษซึ่งเป็นองค์ประกอบของความผิดตาม ปอ มาตรา ๑๕๗อย่างไร จำเลยที่๓ ถึงที่ ๘ย่อมไม่มีความผิดตามกฏหมายดังกล่าว
๕๓.ตามคำพิพากษาฏีกานี้คือมีการตรวจสภาพอาคารก่อนต่อใบอนุญาตตามความเป็นจริงมีการตรวจกันจริงๆผลจึงเป็นไปตามคำพิพากษานี้ แต่ในทางปฏิบัติแล้วอาคารบางแห่งไม่ได้มีการตรวจกันอย่างเป็นจริง การตรวจก็ทำไปแบบพอเป็นพิธี อาคารมีการก่อสร้างผิดแบบมาแต่เริ่มแรก ไม่ทราบเจ้าหน้าที่อนุญาตให้สร้างได้อย่างไง เช่น ไม่มีทางหนีไฟ ผมเคยไปตรวจโรงแรมปรากฏว่ามีทางหนีไฟจากชั้น ๓ ถึงชั้น ๑ แต่จากชั้นที่ ๙ มาชั้นที่ ๓ ไม่มีทางหนีไฟ หากไฟไหม้แล้วทำอย่างไรจะให้กระโดดจากชั้นที่ ๙ มาชั้นที่ ๓ อย่างนั้นหรือ? อาคารบางแห่งไม่มีทางหนีไฟเลย บางแห่งทางหนีไฟเป็นช่องที่มีฝาปิดโดยช่องอยู่ที่พื้นเวลาใช้ต้องยกฝาออกแล้วลอดตัวลงช่องกระโดดลงไปในชั้นที่ต่ำกว่าซึ่งไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ทราบอาคารเหล่านี้ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างมาได้อย่างไร และได้ต่อใบอนุญาตทุกปี เมื่อทำการทักท้วงเท่ากับเป็นการชี้ความผิดผู้ที่อนุญาตและผู้ต่อใบอนุญาตในปีก่อนๆ ดังนั้นการไม่เคยทักท้วงว่า อาคาร ไม่มั่นคงปลอดภัยแต่อย่างใด ย่อมไม่เกิดขึ้น การไปตรวจอาคารบางแห่งก็มานั่งตรวจกันบนโต๊ะไม่มีการตรวจอาคารกันจริงๆ แล้วแต่ความซวยว่าหากไม่มีไฟไหม้ ไม่มีคนตาย คนอนุญาต คนต่อใบอนุญาตก็รอดตัวไป หากวันใดไฟไหม้หรือมีภัยพิบัติเกิดขึ้นมีคนถึงแก่ความตาย คนอนุญาตและคนต่อใบอนุญาตก็ต้องมารับผิด ผมเคยทักท้วงเรื่องอาคารสร้างไม่ถูกต้องขอให้แก้ไขซึ่งต้องทำการทุบตึกบางส่วนและสร้างใหม่ให้ถูกตามที่กฎหมายกำหนด ด้วยการไม่ลงชื่อในแบบการตรวจสอบอาคารในขณะที่กรรมการอื่นลงชื่อ แต่ปรากฏว่า มีคำสั่งเปลี่ยนตัวคนที่มาทำการตรวจสอบอาคาร โดยผมได้รับคำสั่งไม่ให้มาตรวจสอบอาคารร่วมกับหน่วยงานอื่น ก็ถือว่าเป็นโชดดีที่ผมไม่ต้องมาทำงานตรงนี้ต่อไป ไม่ต้องไปรบหรือทะเลาะกับหน่วยงานอื่น และโชดดีที่ไม่มีไฟไหม้ ไม่มีภัยพิบัติ ไม่งั้นคนอนุญาตให้สร้างอาคาร คนต่อใบอนุญาตซึ่งมีหลายหน่วยงานที่พิจารณาร่วมกันคงต้องมาร่วมกันเป็นจำเลยร่วมแน่นอน

ไม่มีความคิดเห็น: