ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2560

ขอลดหย่อนโทษคดียาเสพติดตามมาตรา 100/2-ให้ข้อมูลเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพนักงานสอบสวน

แม้ใน มาตรา 100/2 จะให้ศาลมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้ก็ตาม แต่ไม่ใช่บทบังคับศาล ดังนั้นจึงเป็นดุลพินิจของศาลตามที่ศาลจะเห็นสมควร และในทางนำสืบก็ต้องปรากฏว่าให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานสอบสวน  คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 5,000,000 บาท ศาลอุทธรณ์ พิพากษาจำคุก 37 ปี 6 เดือน และปรับ 3,750,000 บาท  จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2  ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
              คำพิพากษาศาลฎีกาที่  3072/2553
 พนักงานอัยการจังหวัดเชียงราย       โจทก์
 
          แม้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 จะให้ศาลมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ก็ตาม แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาตามที่เห็นสมควร มิใช่บทบังคับ ซึ่งข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งตำหนิรูปพรรณ ก. และ ป. ให้พนักงานสอบสวนทราบ จนมีการออกหมายจับบุคคลทั้งสอง แต่ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนสามารถจับกุม ก. และ ป. มาดำเนินคดีได้หรือไม่ อย่างไร คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยจึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานสอบสวน จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะกำหนดโทษจำเลยให้น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้
________________________________



          โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 และริบของกลาง
          จำเลยให้การปฏิเสธ
          ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3), 66 วรรคสาม, 102 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 5,000,000 บาท ริบของกลาง
          จำเลยอุทธรณ์
          ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (3), 66 วรรคสาม, 102 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุม ชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 แล้ว คงจำคุก 37 ปี 6 เดือน และปรับ 3,750,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ให้กักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
            จำเลยฎีกา
            ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ...ที่จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายขอให้ลงโทษสถานเบาตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 100/2 นั้น เห็นว่า แม้บทบัญญัติดังกล่าวจะให้ศาลมีอำนาจลงโทษผู้กระทำความผิดน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นได้ก็ตาม แต่ก็เป็นดุลพินิจของศาลที่จะพิจารณาตามที่เห็นสมควรมิใช่บทบังคับ ซึ่งข้อเท็จจริงที่จำเลยแจ้งตำหนิรูปพรรณนางกิตติมาและนายประกาศให้พนักงานสอบสวนทราบ จนมีการออกหมายจับบุคคลทั้งสอง แต่ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนสามารถจับกุมนายกิตติมาและนายประกาศมาดำเนินคดีได้หรือไม่ อย่างไร คำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยจึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยให้ข้อมูลที่สำคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานสอบสวน ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 5 ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสี่ นับว่าเป็นคุณแก่จำเลยมากแล้วจึงไม่มีเหตุสมควรที่ศาลฎีกาจะกำหนดโทษจำเลยให้น้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดไว้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
          พิพากษายืน

ไม่มีความคิดเห็น: