ค้นหาบล็อกนี้

วันพุธที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

“ทางจำเป็น”

๑.ที่ดินจดคลองตื้นเขินประชาชนไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้มานานแล้ว ทางอื่นออกไม่ได้ จึงใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินที่ล้อม คำพิพากษาฏีกา ๒๐๗๓/๒๕๒๐
๒.ที่ดินที่ถูกล้อมชอบที่จะเปิดทางผ่านที่ดินที่ล้อมไปสู่ทางสาธารณะโดยเลือกเอาทางที่จะก่อความเสียหายน้อยที่สุดแก่ที่ดินที่ถูกล้อม คำพิพากษาฏีกา ๒๙๓๙/๒๕๑๙
๓.ทางจำเป็นต้องเลือกทำพอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิ์ผ่าน โดยสียหายน้อยที่สุดแก่ที่ดินที่ล้อม เปิดทาง ๕ เมตรเหมาะสมแล้ว จะนำประกาศคณะปฏิวัติฉบับ ๒๘๖ให้เปิดทางกว้าง ๘ เมตรไม่ได้ คำพิพากษาฏีกา ๑๓๗๐/๒๕๒๐
๔.ที่ดินโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยทั้งสองและของผู้มีชื่อปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แม้ทางตะวันออกจะติดลำรางสาธารณะแต่สภาพปัจจุบันตื้นเขินไม่สามารถใช้สัญจรมาได้ ๑๐ ปี ถือไม่ได้ที่ดินโจทก์ติดทางสาธารณะ เมื่อวัดจากที่ดินของโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองออกสู่ทางสาธารณะ เป็นระยะใกล้ที่สุด โจทก์ย่อมใช้สิทธิ์ทางจำเป็นเหนือที่ดินจำเลยทั้งสอง คำพิพากษาฏีกา ๘๓๗/๒๕๓๘
๕.ตามปพพ มาตรา ๑๓๔๙วรรคแรกไม่ได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดคือให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่นั้นมีทางสาธารณะได้เท่านั้น ได้ความว่าหากโจทก์ผ่านที่ดินจำเลย โจทก์สามารถไปตามทางจนในที่สุดภุงทางสาธารณะได้ เช่นนี้ ที่ดินจำเลยย่อมเป็นทางจำเป็น แม้จะฟังว่าเมื่อเดินผ่านที่ดินจำเลยแล้วต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นอีก แม้เจ้าของที่ดินอื่นจะไม่ได้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อโต้แย้งสิทธิ์โจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า เจ้าของที่ดินแปลงอื่นยินยอมให้โจทก์ผ่านหรือไม่ เมื่อที่ดินโจทก์ที่ดินจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินเดียวกัน และที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์มีสิทธิ์เรียกร้องเอาทางเดินในที่ดินที่แบ่งแยกได้ คำพิพากษาฏีกา๖๙๓๐/๒๕๔๐
๖.ที่ดินจำเลยเป็นถนนซอยเชื่อมถนนสายอื่นในหมู่บ้าน รถยนต์สามารถแล่นเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ย่อมขอผ่านเป็นทางจำเป็นซึ่งเป็นที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุดและเกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด เพราะที่ดินจำเลยมีสภาพเป็นถนนเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยภายในหมู่บ้านผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้ว ส่วนความจำเป็นของโจทก์ผู้มีสิทธิ์ผ่านนั้น แต่ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องทางจำเป็น ถ้าจำเป็นผู้มีสิทธิ์สามารถสร้างถนนเป็นทางผ่านได้ มิได้จำกัดให้ใช้เฉพาะทางเดินเท้าเท่านั้น ทั้งตามสภาพความจำเป็นของคนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ย่อมต้องมีรถยนต์เป็นพาหนะ ฉะนัน้ที่ศาลล่างกำหนดให้จำเลยรื้อรั่วในที่ดินจำเลยเพื่อเปิดเป็นทางเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์กว้างแปลงละ ๓.๕ เมตรจึงเหมาะสมแล้ว
๗.ที่ดินตกอยู่ที่ล้อม โจทก์ย่อมได้รับการคุ้มครองถึงการใช้ยานพาหนะผ่านทางในสภาพที่เป็นถนน มิได้จำกัดเฉพาะให้ใช้ทางเดินด้วยเท้าเท่านั้น และตามสภาพความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันรถยนต์เป็นพาหนะที่จำเป็น ที่พิพาทอยู่ห่างถนน ๒๐๐ เมตร เป็นพื้นที่มีความเจริญมีอาคารสูงหลายหลังอยู่ห่างย่านการค้า ๕๐๐ เมตร หากมีการพัฒนาที่ดินเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและเป็นการพัฒนาบ้านเมืองไปสู่ความเจริญแล้ว สมควรเปิดทางเพื่อให้รถเข้าออกได้ คำพิพากษาฏีกา ๓๗๕๘/๒๕๔๓
๘.ผู้ใช้ที่ดินผ่านทางที่ดินที่ล้อมอยู่ต้องใช้ค่าทดแทน เมื่อเจ้าของที่ดินที่ผ่านทางยังไม่เรียกร้อง ผู้ใช้ทางก็ฟ้องขอให้เปิดทางโดยไม่ต้องเสนอค่าทดแทนก่อน คำพิพากษาฏีกา ๘๘๑/๒๕๑๘
๙.ผู้มีสิทธิ์ใช้ทางจำเป็นต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ ศาลไม่พิพากษาให้ค่าทดแทนในคดีที่ฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นเพราะโจทก์ไม่ได้ฟ้องแย้ง ประเด็นจึงต่างกับคดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าทดแทนการใช้ทางผ่านที่ดินโจทก์ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ คำพิพากษาฏีกา ๒๑๙๖/๒๕๒๒
๑๐.แม้ปพพ มาตรา ๑๓๔๙ กำหนดให้ผู้มีสิทธิ์ใช้ทางจำเป็นมีหน้าที่ต้องให้ค่าทดแทนแก่ผู้เปิดทางก็ตาม แต่ก็ไม่ได้บังคับให้ใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้สิทธิ์ได้ ในทางตรงกันข้ามเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีหน้าที่ต้องเปิดทางให้ผ่านและถมีสิทธิ์เรียกค่าทดแทน เมื่อโจทก์ไม่เสนอค่าทดแทนแก่จำเลย และจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องค่าทดแทน จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก คำพิพากษาฏีกา ๗๔/๒๕๔๐
ข้อสังเกต ๑. ที่ดินที่ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกถึงสาธารณะได้ เจ้าของที่ดินจะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ไปออกทางสาธารณะได้ ปพพ มาตรา ๑๓๔๙
๒.ที่ดินที่ปิดล้อมทำให้ไม่สามารถออกทางสาธารณะได้นั้นไม่จำเป็นต้องถูกปิดล้อมด้วยที่ดินทั้งสี่ด้าน อาจถูกปิดล้อมด้วยที่ดินบ้างหรือบางด้านอาจถูกปิดล้อมด้วยสระ บึง ทะเลหรือมีที่ชันอันระดับที่ดินกับทางสาธารณะสูงกว่ากันมาก” เช่น เป็นภูเขา หรือที่ดินสูงการเดินทางไม่สะดวก ก็อาจเดินผ่านที่ดินแปลงอื่นที่อยู่อีกทิศเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้ ปพพ มาตรา ๑๓๔๙วรรคสอง
๓.วิธีผ่านที่ดินที่ปิดล้อมนั้นต้องเลือกพอแก่ความจำเป็นโดยคำนึงที่ดินที่ล้อมอยู่ให้เสียหายน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ และหากจำเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกปิดล้อมจะสร้างถนนเป็นทางผ่านได้ ปพพ มาตรา ๑๓๔๙วรรคสาม โดยเจ้าของที่ดินที่ถูกปิดล้อมต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการที่ต้องผ่านทาง ค่าเสียหายนอกจากการสร้างถนนสามารถกำหนดเป็นเงินรายปีได้ ปพพ มาตรา ๑๓๔๙วรรคท้าย ทางจำเป็นที่จะใช้เป็นทางผ่านออกสู่ทางสาธารณะได้ต้องใช้พอควรแก่ความจำเป็นและก่อความเสียหายน้อยที่สุดแก่ที่ดินที่ขอผ่านทาง เจตนารมณ์ของกฎหมายต้องการคุ้มครองเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมอยู่จนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ให้มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นหลัก ส่วนประเด็นเรื่องค่าทดแทนเป็นประเด็นรองและเป็นหน้าที่ของเจ้าของที่ดินที่ถูกผ่านทางต้องฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทน หรือไปฟ้องเป็นคดีใหม่เรียกค่าทดแทน หากในคดีนี้ไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนก็จะไม่มีประเด็นเรื่องค่าทดแทนความเสียหายคงมีเฉพาะประเด็นที่ดินถูกล้อมจนไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะหรือไม่ และเส้นทางที่ผ่านนี้ก่อความเสียหายให้เจ้าของที่ดินที่ถูกผ่านทางน้อยที่สุดหรือไม่อย่างไรเท่านั้น
๔.ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่หากปรากฏว่าสามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ แต่ต้องข้ามสะพานหรือเดินบนสะพานไม้ลำบาก เป็นทางคดเคี้ยวมีระยะทางไกลกว่าจึงจะสามารถออกสู่ทางสาธารณะได้เมื่อมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แม้การออกไปทางสาธารณะไม่สะดวกก็จะถือว่าเป็นกรณีที่ดินถูกปิดล้อมไม่มีท่างออกสู่ทางสาธารณะไม่ได้ จึงไม่อาจขอใช้ทางจำเป็นตามกฎหมายได้ กฎหมายคำนึงถึงสิทธิ์ของเจ้าของที่ดินที่จะถูกผ่านทางที่อาจได้รับความเสียหาย เมื่อมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้แม้ไม่สะดวกก็จะมาฟ้องขอเปิดทางจำเป็นไม่ได้
๕.บทบัญญัตินี้เป็นบทกฏหมายที่ทำให้การกระทำของเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อมออกจนไม่มีทางสู่ทางสาธารณะสามารถผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุกในทางอาญา และไม่ถือเป็นการกระทำละเมิดในทางแพ่ง
๖.ค่าทดแทนที่จ่ายนี้เป็นการทดแทนชดเชยความเสียหายที่เจ้าของที่ดินจำต้องยอมให้เจ้าของที่ดินที่ถูกปิดล้อมผ่านทาง แต่ค่าทดแทนนี้ไม่ใช่ค่าซื้อที่ดิน เพราะที่ดินยังเป็นของเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ มิใช่เป็นของเจ้าของที่ดินที่ถูกล้อม
๗.การผ่านทางหาก เจ้าของที่ดินที่ถูกปิดล้อมไม่มีความจำเป็นต้องใช้รถ ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำถนนเพื่อให้รถเข้าออกได้เพื่อผ่านทาง คงผ่านทางได้เฉพาะการเดินเท้าเท่านั้น เป็นเรื่องความจำเป็นและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเจ้าของที่ดินที่ถูกผ่านทาง หากเป็นการทำทางเดินความเสียหายย่อมน้อยกว่าการทำถนนเพื่อให้รถวิ่งเพื่อผ่านทาง ทั้งการทำถนนอาจต้องมีการตัดต้นไม้ซึ่งก็จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินได้ แต่หากเป็นที่รกร้างว่างเปล่าความเสียหายก็เกิดน้อยกว่าที่ดินที่เป็นสวนผลไม้แล้วต้องตัดต้นไม้เพื่อทำทาง ค่าทดแทนในการใช้ประโยชน์ในที่ดินที่จำต้องยอมให้เขาผ่านทางก็คล้ายกับสัญญาเช่าที่ดินในส่วนนั้นเพราะกรรมสิทธิ์ในทางที่ผ่านยังเป็นของเจ้าของที่ดินที่ปิดล้อมอยู่ เมื่อค่าทดแทนมีลักษณะคล้ายการเช่าที่ดินจึงอาจจ่ายค่าทดแทนเป็นงวดๆหรือเหมาจ่ายก็ได้แล้วแต่จะตกลงกัน
๘.ที่ดินจดคลองตื้นเขินประชาชนไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรได้มานานแล้ว เมื่อคลองตื่นเขินไม่สามารถใช้สัญจรไปมาได้ แม้ยังคงเป็นที่สาธารณะอยู่แต่ก็ไม่ใช่ทางสาธารณะที่ใช้สัญจรไปมาได้ เมื่อไม่มี ทางอื่นให้ออกได้ จึงใช้ทางจำเป็นผ่านที่ดินที่ล้อม
๙.ที่ดินที่ถูกล้อมชอบที่จะเปิดทางผ่านที่ดินที่ล้อมไปสู่ทางสาธารณะโดยเลือกเอาทางที่จะก่อความเสียหายน้อยที่สุดแก่ที่ดินที่ถูกล้อม
๑๐.ทางจำเป็นต้องเลือกทำพอสมควรแก่ความจำเป็นของผู้มีสิทธิ์ผ่าน โดยเสียหายน้อยที่สุดแก่ที่ดินที่ล้อมเมื่อมีความจำเป็นเพียง ๕ เมตรที่จะทำทางได้แล้วการ เปิดทาง ๕ เมตรก็เหมาะสมแล้ว จะนำประกาศคณะปฏิวัติฉบับ ๒๘๖ให้เปิดทางกว้าง ๘ เมตรไม่ได้เพราะไม่ใช่ความจำเป็นที่พอสมควรแก่การผ่านทาง ทั้งการเปิดกว้าง ๘ เมตรย่อมก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินเพิ่มขึ้น
๑๑.ที่ดินโจทก์ถูกที่ดินของจำเลยทั้งสองและของผู้มีชื่อปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แม้ทางตะวันออกจะติดลำรางสาธารณะแต่สภาพปัจจุบันตื้นเขินไม่สามารถใช้สัญจรมาได้ ๑๐ ปี ถือไม่ได้ที่ดินโจทก์ติดทางสาธารณะเพราะเมื่อตื้นเขินไม่สามารถใช้เป็นทางสัญจรไปมาได้จึงไม่ใช่ทางสาธารณะ แต่ต้องถือว่าที่ดินถูกปิดล้อมไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ เมื่อวัดจากที่ดินของโจทก์ผ่านที่ดินจำเลยทั้งสองออกสู่ทางสาธารณะ เป็นระยะใกล้ที่สุด โจทก์ย่อมใช้สิทธิ์ทางจำเป็นเหนือที่ดินจำเลยทั้งสองมากกว่าใช้สิทธิ์เอาแก่การผ่านทางของผู้มีชื่อ เป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียงน้อยที่สุด
๑๒.ตามปพพ มาตรา ๑๓๔๙วรรคแรกไม่ได้บัญญัติว่าทางจำเป็นต้องเชื่อมกับทางสาธารณะโดยตรง ความมุ่งหมายที่สำคัญที่สุดคือให้ที่ดินที่ถูกล้อมอยู่ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะนั้นมีทางที่จะออกสู่ทางสาธารณะได้ เมื่อได้ความว่าหากโจทก์ผ่านที่ดินจำเลย โจทก์สามารถไปตามทางจนในที่สุดถึงทางสาธารณะได้ เช่นนี้ ที่ดินจำเลยย่อมเป็นทางจำเป็น แม้จะฟังว่าเมื่อเดินผ่านที่ดินจำเลยแล้วต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นอีกก็ไม่ใช่ข้อสาระสำคัญ กฎหมายไม่ได้บัญญัติว่าการผ่านที่ดินคนอื่นไปสู่ทางสาธารณะนั้นให้ผ่านได้เฉพาะที่ดินแปลงเดียวเจ้าของเดียว แม้จะเป็นที่ดินที่ต้องผ่านหลายแปลงหากผ่านแล้วสามารถออกสู่ทางสาธารณะได้ก็ถือเป็นไปตามเจตนารมย์ของกฎหมายแล้ว ดังนั้นเมื่อที่ดินถูกปิดล้อมแล้วได้ผ่านที่ดินที่ปิดล้อมไปแล้วยังต้องผ่านที่ดินคนอื่นอีกเพื่อไปสู่ทางสาธารณะก็ไม่เป็นข้อขัดข้องประการใด แม้เจ้าของที่ดินอื่นจะไม่ได้ร้องสอดเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเพื่อโต้แย้งสิทธิ์โจทก์ ก็เป็นเพียงคดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า “เจ้าของที่ดินแปลงอื่นยินยอมให้โจทก์ผ่านหรือไม่” หากยินยอมก็เป็นเรื่องความสมัครใจ โดยความยินยอมไม่ก่อให้การผ่านทางเป็นละเมิดหรือเป็นความผิดฐานบุกรุก อีกทั้งเมื่อที่ดินโจทก์ที่ดินจำเลยเป็นที่ดินที่แบ่งแยกมาจากที่ดินเดียวกัน เมื่อแบ่งแยกแล้วทำให้โจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์จึงมีสิทธิ์เรียกร้องเอาทางเดินในที่ดินที่แบ่งแยกเพื่อออกสู่ทางสาธารณะได้
๑๓.ที่ดินจำเลยเป็นถนนซอยเชื่อมถนนสายอื่นในหมู่บ้าน รถยนต์สามารถแล่นเข้าออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ย่อมขอผ่านเป็นทางจำเป็นซึ่งเป็นที่ใกล้ทางสาธารณะที่สุดและเกิดความเสียหายแก่จำเลยน้อยที่สุด เพราะที่ดินจำเลยมีสภาพเป็นถนนเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยภายในหมู่บ้านผ่านเข้าออกสู่ทางสาธารณะอยู่แล้วไม่จำต้องตัดถนนผ่าน ไม่จำต้องตัดฟันต้นไม้เพื่อทำถนนแต่อย่างใด ในเรื่องความจำเป็นของโจทก์ผู้มีสิทธิ์ผ่านนั้นเมื่อดูตามเจตนารมณ์ของกฎหมายในเรื่องทางจำเป็น ถ้าจำเป็นต้องสร้างถนน ผู้มีสิทธิ์ผ่านทางสามารถสร้างถนนเป็นทางผ่านได้ มิได้จำกัดให้ใช้เฉพาะทางเดินเท้าเท่านั้น ทั้งตามสภาพความจำเป็นของคนที่อยู่อาศัยในหมู่บ้าน ย่อมต้องมีรถยนต์เป็นพาหนะ ฉะนั้นที่ศาลล่างกำหนดให้จำเลยรื้อรั่วในที่ดินจำเลยเพื่อเปิดเป็นทางเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์กว้างแปลงละ ๓.๕ เมตรจึงเหมาะสมแล้ว
๑๔.ที่ดินตกอยู่ที่ล้อม โจทก์ย่อมได้รับการคุ้มครองถึงการใช้ยานพาหนะผ่านทางในสภาพที่เป็นถนน มิได้จำกัดเฉพาะให้ใช้ทางเดินด้วยเท้าเท่านั้น โดยตามสภาพความเจริญของบ้านเมืองในปัจจุบันรถยนต์เป็นพาหนะที่จำเป็น ที่พิพาทอยู่ห่างถนน ๒๐๐ เมตร เป็นพื้นที่มีความเจริญมีอาคารสูงหลายหลังอยู่ห่างย่านการค้า ๕๐๐ เมตร หากมีการพัฒนาที่ดินเพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดและเป็นการพัฒนาบ้านเมืองไปสู่ความเจริญแล้ว สมควรเปิดทางเพื่อให้รถเข้าออกได้
๑๕.ผู้ใช้ที่ดินผ่านทางที่ดินที่ล้อมอยู่ต้องใช้ค่าทดแทน เมื่อเจ้าของที่ดินที่ผ่านทางยังไม่เรียกร้อง ผู้ใช้ทางก็ฟ้องขอให้เปิดทางโดยไม่ต้องเสนอค่าทดแทนก่อน นั้นก็คือสิทธิ์ในการฟ้องเรียกค่าทดแทนที่ผ่านที่ดินของตนไปทางสาธารณะนั้นเจ้าของที่ดินที่ถูกผ่านทางต้องฟ้องร้องเรียกเอาค่าทดแทนจากผู้ผ่านทาง หากไม่เรียกร้อง ไม่มีการฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนเข้ามาในคดีหรือไม่มีการฟ้องเป็นคดีใหม่เพื่อเรียกค่าทดแทนแล้ว ย่อมไม่มีประเด็นที่ศาลจะให้ค่าทดแทนได้เพราะ ปวพ มาตรา ๑๔๒ ห้ามไม่ให้พิพากษาหรือมีคำสั่งเกินกว่าที่กล่าวมาในคำฟ้อง
๑๖.ผู้มีสิทธิ์ใช้ทางจำเป็นต้องใช้ค่าทดแทนแก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่ เมื่อจำเลยไมได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนแล้วศาลไม่พิพากษาให้ค่าทดแทนในคดีที่ฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็นเพราะเมื่อไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจึงไม่มีประเด็นเรื่องค่าทดแทนว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ในการผ่านทาง เมื่อนำมาฟ้องเรียกค่าทดแทนเป็นอีกคดีหนึ่ง ประเด็นในคดีนี้จึงต่างกับคดีก่อนที่มีประเด็นเพียงควรให้ผ่านที่ดินแปลงที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะหรือไม่ เมื่อคดีนี้ซึ่งโจทก์ฟ้องจำเลยเรียกค่าทดแทนการใช้ทางผ่านที่ดินโจทก์ ส่วนคดีก่อนเป็นเรื่องการฟ้องเพื่อขอให้ผ่านทาง ประเด็นแห่งคดีจึงต่างกัน แม้จะมีคู่ความเดียวกันก็ตามแต่ก็ไม่ได้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกับในคดีก่อนแต่อย่างใดไม่ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตาม ปวพ มาตรา๑๔๘
๑๗.แม้ปพพ มาตรา ๑๓๔๙ กำหนดให้ผู้มีสิทธิ์ใช้ทางจำเป็นมีหน้าที่ต้องให้ค่าทดแทนแก่ผู้เปิดทางก็ตาม แต่ก็ไม่ได้บังคับให้ใช้ค่าทดแทนก่อนจึงจะใช้สิทธิ์ขอให้เปิดทางได้ ในทางตรงกันข้ามเจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มีหน้าที่ต้องเปิดทางให้ผ่านและมีสิทธิ์เรียกค่าทดแทน เมื่อโจทก์ไม่เสนอค่าทดแทนแก่จำเลย เป็นหน้าที่จำเลยต้องฟ้องแย้งเข้ามาเพื่อขอค่าทดแทนในการที่ผ่านที่ดินของตน หรือไม่ก็ต้องไปฟ้องเป็นคดีใหม่เพื่อเรียกค่าทดแทน เมื่อจำเลยไม่ได้ฟ้องแย้งเรียกค่าทดแทนจากโจทก์ จึงไม่มีประเด็นเรื่องค่าทดแทนที่ศาลจะวินิจฉัย จึงเป็นเรื่องที่ จำเลยชอบที่จะว่ากล่าวเอากับโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งต่างหากจากคดีนี้

ไม่มีความคิดเห็น: