ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

“พรากเพราะรัก หรืออายุเป็นเหตุ”

๑. ความผิดฐานพรากผู้เยาว์มุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลมิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพราก ทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆอันเป็นผลกระทบกระทั้งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยาย ไม่ว่าผู้เยาว์จะไปอยู่ที่แห่งใด หากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลยังเอาใจใส่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา หรือผู้ดูแลตลอดเวลา กฎหมายไม ได้จำกัดว่า พรากโดยวิธีการอย่างใดและไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองโดยมีผู้ชักนำหรือไม่มีผู้ชักนำก็ตาม ก็เป็นความผิดทั้งสิ้น การที่ผู้เยาว์ไปหาจำเลยที่บ้าน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายนัดหมายชักชวนกันก่อนแล้วจำเลยร่วมประเวณีกับผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือยินยอมจากบิดามารดาของผู้เยาว์ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ถูกพรากไปโดยปริยาย การที่ผู้เยาว์โทรศัพท์หาจำเลยว่า จะหนีออกจากบ้านไปพัทยาและนัดพบจำเลย เมื่อพบกันจำเลยไม่ยอมให้ผู้เยาว์ไปตามลำพังแต่จำเลยขอไปด้วย โดยเปิดห้องพักอยู่ด้วยกัน ๒ คืน ผู้เยาว์เป็นผู้ชำระห้องพักและค่าใช้จ่าย ทึ้งผู้เยาว์ยังให้เงินจำเลยเป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนีด้วยก็ตาม แต่จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ทุกคืน พฤติการณ์จำเลยไม่ใช่ไปเป็นเพื่อนแต่เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารทั้งสองกรณี คำพิพากษาฏีกาที่ ๒๔๙๒/๒๕๕๒
๒. ผู้เสียหายอายุ ๑๖ ปีเศษ อาศัยและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา แม้ผู้เสียหายไปเที่ยวที่ไหนกลับเมื่อใดก็ได้ ก็ยังอยู่ในอำนาจปกครองบิดามารดา จำเลยพบผู้เสียหายที่งานบวชพระแล้วพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราด้วยความสมัครใจผู้เสียหาย เป็นการล่วงอำนาจปกครองบิดามารดาเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ พรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจหรือไม่ ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ปอ มาตรา ๓๑๘ ทางพิจารณาได้ความทำผิดตามปอ มาตรา ๓๑๙ ศาลปรับบทลงโทษไม่ใช่เรื่องทางพิจารณาต่างจากฟ้อง คำพิพากษาฏีกา ๔๔๖๕/๒๕๓๐
๓. จำเลยมีภรรยาอยู่แล้ว ยังไม่ได้เลิกกับภรรยา ได้พาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีโดยไม่มีเจตนาเลี้ยงดูผู้เสียหายฉันท์ภรรยา เมื่อทราบว่าการกระทำของตนเป้นความผิดจึงให้มารดาไปขอขมาและนำเงินชดใช้ค่าเสียหายให้เพื่อไม่ให้ดำเนินคดีกับจำเลย แม้ฟังว่าผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลยลัได้ร่วมประเวณีกับจำเลยก็เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ คำพิพากษาฏีกา๑๒๘๗/๒๕๓๓
๔. ผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย หลังจากจำเลยพาผู้เสียหายไปแล้ว ญาติทั้งสองฝ่ายตกลงจัดพิธีแต่งงาน มีการมอบสินสอดทองมั่นให้ผู้ใหญ่ฝ่ายผู้เสียหายรับไปบางส่วน เมื่อจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาถึงบ้าน ญาติผู้ใหญ่ผู้เสียหายจัดพิธีบอกผีบ้านผีเรือนตามประเพณีก่อนให้ผู้เสียหายเข้าบ้านพฤติการณ์ที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นมีเจตนาพาไปเป็นภรรยาตั้งแต่แรก จำเลยไม่มีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเป็นภรรยา แม้ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ก็ไม่เป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของมารดา แม้จำเลยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายระหว่างพักอยู่ด้วยกัน ก็ไม่ใช่การพาไปเพื่อการอนาจาร ไม่เป้นความผิดฐานพาผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร คำพิพากษาฏีกา ๔๕๘๗/๒๕๓๒
๕. ผู้เสียหายอายุ ๑๕ ปีเศษ ไปอยู่กับญาติที่บ้านอยู่ใกล้กัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะทะเลาะกับมารดาหรือมารดานำไปฝากก็ไม่ถือพ้นอำนาจปกครองของมารดา การที่ญาติผู้เสียหายอนุญาตให้ผู้เสียหายไปเอาหม้อยากับจำเลย แล้วจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายสมัครใจยินยอมก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหาย ทำให้กระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหาย เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร คำพิพากษาฏีกา ๖๒๓๙/๒๕๓๑
๖. ผู้เสียหายอายุ ๑๕ ปีเศษไม่ได้พักอาศัยกับมารดา เพราะมารดานำไปฝากไว้กับผู้อื่นก็ไม่ถือพ้นจากอำนาจปกครองของมารดา พาผู้เสียหายไปโดยมารดาไม่ยินยอมเป็นการล่วงอำนาจปกครองมารดา แม้ผู้เสียหายสมัครใจยินยอมก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมจากมารดา เป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากมารดา กากรกระทำอนาจารตาม ปอ มาตรา ๒๘๒และ ๓๑๙ หมายถึงการกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของบุคคลอื่น ซึ่งต้องเป็นการกระทำต่อเนื้อตัวร่างกายของบุคคลโดยตรงจะทำในที่รโหฐานหรือในที่สาธารณะก็ไม่มีผลแตกต่างกัน การที่ชายอื่นร่วมประเวณีกับผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ที่ถูกจำเลยพาไปในห้อองของโรงแรม แม้เป็นที่มิดชิด แต่ก็เป็นการกระทำในทางที่ไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำเพื่ออนาจาร คำพิพากษาฏีกา ๑๖๒๗/๒๕๓๙
๗. คำว่า “ ผู้ปกครอง”ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ หมายถึงผู้ใช้อำนาจปกครองอย่างบิดามารดา ผั้เสียหายเป็นผู้ปกครองและดูแลผู้เยาว์ในฐานะน้าและนายจ้าง โดยได้รับมอบหมายจากบิดามารดาของผู้เยาว์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง การที่จำเลยพาผู้เยาว์ไปจากผู้เสียหายโดยปราศจากเหตุอันควรเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙. คำพิพากษาฏีกา ๕๐๓๘/๒๕๓๙
๘. ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไปทำงานพักอยู่ที่บ้าน น. ต่อมาผู้เสียหายเดินทางกลับบ้านที่ตราดเพื่อเที่ยวสงกรานต์ ระหว่างนั้นบิดามารดาผู้เสียหายอนุญาตให้ไปส่งพี่สาวที่สถานีขนส่ง แล้วจำเลยพาผู้เสียหายไปดังนี่ ถือว่าระหว่างผู้เสียหายทำงานพักอยู่ที่บ้าน น. ผู้เสียหายย่อมอยู่ในความปกครองของ น. ที่กรุงเทพ ผู้เสียหายย่อมอยู่ในความคุ้มครองของ น. เมื่อผู้เสียหายเดินทางมาบ้านที่ตราด ผู้เสียหายย่อมอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่บิดามารดาอนุญาตให้ไปส่งพี่สาวที่สถานีขนส่งไม่เป็นเหตุให้พ้นจากความปกครองของบิดามารดา เมื่อจำเลยพาไปจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากบิดามารดา ตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ ซึ่ง ปอ มาตรา ๓๑๙ ตระหนักว่าผู้เยาว์อายุไม่เกิน ๑๘ ปี ยังขาดความสำนึกต่อเลห์กลทุรชนอาจถูกชักจูงให้หลงเชื่อโดยง่าย สภาพที่บิดามารดาพยายามตามเรื่องที่บุตรหายไป แสดงว่าผู้เสียหายไม่ได้มีความประพฤติส่ำส่อนจนบิดามารดาหมดความห่วงใย การที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปก่อความทุกข์ใจใหญ่หลวงแก่บิดามารดา พฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีเหตุรอการลงอาญา คำพิพากษาฏีกา๑๘๐๐/๒๕๔๑
๙. เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากพาผู้เสียหายที่เป็นหญิงอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาเพื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต แม้ผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลยก็เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ คำพิพากษาฏีกา ๑๐๙๗/๒๕๑๓
๑๐. จำเลยเขียนจดหมายนัดผู้เสียหายอายุ ๑๔ ปีไปอยู่ด้วยกัน บอกให้เอาเงินและของมีค่าไปด้วย จำเลยพาผู้เสียหายไปเบิกเงินจากธนาคารทั้งหมดเอามาเก็บไว้เสียเองและแบ่งให้มารดาจำเลยครึ่งหนึ่ง จำเลยพาผู้เสียหายย้ายที่อยู่หลายแห่ง เมื่อมารดาผู้เสียหายตามไปพบที่ต่างจังหวัด จำเลยหนีการจับกุมไปได้ ไม่กล้าสู้ความจริงว่าพาไปเป็นภรรยา ไม่มาตกลงกัน พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยยกความรักใคร่ฉันท์ชู้สาวมาอ้างกลบเกลื่อนความคิดกระทำอนาจาร และหลอกเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้เสียหาย จำเลยมีภรรยาแล้ว และขณะพาผู้เสียหายหลบหนี จำเลยก็ยังอยู่กินกับภรรยา เป้นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ คำพิพากษาฏีกา ๓๒๘/๒๕๒๗
๑๑. จำเลยชวนผู้เสียหายอายุ ๑๗ ปีไปทานอาหารแล้วพาไปร่วมประเวณี โดยบิดามารดาผู้เสียหายไม่ทราบว่าผู้เสียหายไปไหน มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ แต่จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาจนผู้เสียหายตั้งครรถ์ ศาลฏีการอการลงโทษจำคุกให้จำเลย คำพิพากษาฏีกา ๑๙๖๑/๒๕๒๙
๑๒. ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร มุ่งถึงการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรในทางเพศ แม้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจารเพราะผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป้นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร แม้บิดามารดาผู้เสียหายจะออกไปนอกบ้านขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้านและจำเลยได้พาไปที่ขหนำก็ตาม ยังถือว่าผู้เสียหายอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้กอดปล้ำหอมแก้ม จับหน้าอกผู้เสียหาย ถือได้ว่ากระทำการอันไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหาย มีความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ วรรคแรก โจทก์ฟ้องจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ตาม ปอ มาตรา ๓๑๘ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยเป็นกรณีตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ ซึ่งมีโทษเบากว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฏหมายอาญาบัญญัติไว้เป็นความผิดทั้งสองประการ คำพิพากษาฏีกา ๒๒๔๕/๒๕๓๗
๑๓. การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุ ๑๖ ปีไปด้วยความยินยอมผู้เสียหาย แล้วรับจะหาสินสอดไปให้บิดาผู้เสียหาย เมื่อหาเงินไม่ได้ก็ให้ผู้เสียหายกลับบ้าน หลังจากนั้นคืนเดียวจำเลยก็ได้หญิงอื่นเป็นภรรยา แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะเอาผู้เสียหายไปเลี้ยงดูเป็นภรรยาอย่างจริงจังแต่ประการใด ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ ฟ้องว่าพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปตามมาตรา ๓๑๘ ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เยาว์เต็มใจไปอันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลลงโทษจำเลยตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฏหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว คำพิพากษาฏีกา ๒๐๒๙/๒๕๓๐
๑๔. การที่ผู้เสียหายขณะเกิดเหตุมีอายุ ๑๕ ปีเศษ ยังเป็นผู้เยาว์อยู่ออกจากห้องไปพูดจาปรับความเข้าใจกับจำเลยห่างจากห้องพักที่เกิดเหตุ ๑๐ เมตร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปพูดคุยกับจำเลย ยังไม่เป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองผู้ดูแลผู้เสียหาย ไม่เป็นการพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้าย ไม่เป้นความผิดพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร คำพิพากษาฏีกา ๒๓๗๕/๒๕๔๑
๑๕. จำเลยกับผู้เยาว์รักใคร่ชอบพอกันแล้วหนีตามกันไปพักค้างคืนที่อื่น ๒๐ กว่าคืน แล้วกลับมาขอขมาพ่อแม่ผู้เยาว์และพักที่บ้านพ่อแม่ผู้เยาว์อีก ๑๐ วัน พฤติการณ์ดังกล่าวถือพาผู้เยาว์ไปเพื่อเป็นภรรยา ไม่ใช่พาไปเพื่อการอนาจาร ไม่เป้นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ คำพิพากษาฏีกา ๑๒๖๒/๒๕๑๓
๑๖. จำเลยพาผู้เสียหายที่เป็นหญิงอายุ ๑๗ ปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อเป็นภรรยาจำเลย โดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีภรรยาอยู่แล้ว ไม่เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ คำพิพากษาฏีกา ๒๑๗๗/๒๕๑๗
๑๗. ชายอายุ ๒๑ ปี พาหญิงอายุ ๑๗ ปี ๙ เดือนไปจากมารดาผู้ปกครองเพื่ออยู่กินเป็นสามี โดยชายหญิงไม่มีสามีภรรยาหรือคนรักอื่น ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อการอนาจารตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ คำพิพากษาฏีกา ๑๒๖๘/๒๕๑๘
๑๘. จำเลยไม่เคยมีภรรยา รักใคร่ชอบพอผู้เสียหาย ผู้เสียหายหนีบิดามารดามาอยู่กับจำเลยโดยสมัครใจเป็นเวลา ๖ เดือน แล้วไปอยู่กับบิดาเพราะจำเลยขับไล่ไม่ใช่ถูกทอดทิ้ง หลังจากนั้นบิดาผู้เสียหายไปแจ้งความข้อหาพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร จำเลยส่งญาติผู้ใหญ่ไปขอขมา บิดาผู้เสียหายยอมรับขมาและยอมรับจำเลยเป็นบุตรเขย จำเลยอยู่บ้านผู้เสียหาย ๑ เดือนแล้วออกจากบ้านผู้เสียหายไปทำนาที่นครปฐมและไม่กลับมาหาผู้เสียหายอีกเลย ผู้เสียหายก็ไม่ต้องการไปอยู่กินกับจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการพรากผู้เสียหายไปเพื่อเป็นภรรยาไม่ใช่เพื่อการอนาจาร คำพิพากษาฏีกา ๑๙๗/๒๕๒๕
๑๙. จำเลยกับผู้เสียหายเป้นคู่รักกัน เคยไปเที่ยวด้วยกันหลายนหน มีจดหมายรักถึงกัน คินเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายไปนอนพักที่บ้านคนอื่น บอกว่าพาเมียมาขอนอนพักด้วย ระหวว่างทานข้าวผู้เสียหายกับจำเลยก็หยอกล้อกัน เป็นการพาไปเพื่อเป็นภรรยา ไม่ใช่เพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ คำพิพากษาฏีกา ๑๖๙๖/๒๕๓๒
ข้อสังเกต๑.พรากผู้เยาว์อายุกว่า ๑๕ ปีแต่ไม่เกิน ๑๗ ปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลเพื่อหากำไรหรือเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙
๒..เด็กเกิดแต่หญิงที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับชาย เด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของหญิง แต่ไม่ใช่บุตรชอบด้วยกฏหมายของชาย ปพพ มาตรา ๑๕๔๖ เด็กจะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายต่อเมื่อบิดามารดาได้จดทะเบียนกันภายหลัง บิดาจดทะเบียนว่าเด็กเป็นบุตร หรือศาลพิพากษาว่าเป็นบุตร ปพพ มาตรา ๑๕๔๗
๓.อำนาจปกครองบุตรอยู่กับบิดาหรือมารดาในกรณีดังต่อไปนี้
๓.๑ มารดาหรือบิดาตาย
๓.๒ไม่แน่นอนว่าบิดาหรือมารดามีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว
๓.๓มารดาหรือบิดาถูกศาลสั่งเป็นคนไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
๓.๔มารดาหรือบิดาเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเพราะจิตฟั่นเฟือน
๓.๕ศาลสั่งให้อำนาจปกครองอยู่กับบิดามารดา
๓.๖บิดามารดาตกลงกันตามที่กฎหมายบัญญัติให้ตกลงกันได้ เช่น หย่าขาดจากกันให้อำนาจปกครองบุตรอยู่กับฝ่ายชาย เป็นต้น ตาม ปพพ มาตรา ๑๕๖๖
๔.ผู้เยาว์ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และไม่มีบิดามารดา หรือมีแต่ถูกถอนอำนาจปกครอง อาจมีการตั้งผู้ปกครองในระหว่างที่เป็นผู้เยาว์ได้ตาม ปพพ มาตรา ๑๕๘๕
๕.อำนาจปกครองผู้เยาว์หมดไปเมื่อ
๕.๑ ถูกถอนอำนาจปกครอง เพราะตกเป็นคนไร้ความสามารถ เสมือนไร้ความสามารถ ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ในทางมิชอบ ประพฤติชั่วร้าย ญาติผู้เยาว์หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้ถอนอำนาจปกครอง ตาม ปพพ มาตรา ๑๕๘๒ ,๑๕๙๘/๘
๕.๒ ผู้อยู่ในอำนาจปกครองตายหรือบรรลุนิติภาวะ ปพพ มาตรา ๑๕๗๘,๑๕๙๘/๖
๖.. ความผิดฐานพรากผู้เยาว์มุ่งคุ้มครองอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลมิใช่ตัวผู้เยาว์ผู้ถูกพราก ทั้งนี้เพื่อมิให้ผู้ใดมาก่อการรบกวนหรือกระทำการใดๆอันเป็นผลกระทบกระทั้งต่ออำนาจปกครองไม่ว่าโดยตรงหรือโดยปริยาย ไม่ว่าผู้เยาว์จะไปอยู่ที่แห่งใด หากบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้ดูแลยังเอาใจใส่ ผู้เยาว์ย่อมอยู่ในอำนาจปกครองดูแลของบิดามารดา หรือผู้ดูแลตลอดเวลา กฎหมายไม ได้จำกัดว่า พรากโดยวิธีการอย่างใดและไม่ว่าผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายออกจากบ้านไปเองโดยมีผู้ชักนำหรือไม่มีผู้ชักนำก็ตาม ก็เป็นความผิดทั้งสิ้น 
๗.. ที่ศาลฏีกาวินิจฉัยว่า “การที่ผู้เยาว์ไปหาจำเลยที่บ้าน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายนัดหมายชักชวนกันก่อนแล้วจำเลยร่วมประเวณีกับผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือยินยอมจากบิดามารดาของผู้เยาว์ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ถูกพรากไปโดยปริยาย” นั้นน่าจะหมายความว่าได้รับอนุญาตจากบิดามารดาให้พาผู้เยาว์ไปตามสถานที่ต่างๆได้แล้วไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์เท่านั้น แต่ไม่น่าหมายความรวมถึงว่าเมื่อบิดามารดาผู้เยาว์อนุญาตให้ร่วมประเวณีได้แล้วไม่เป็นความผิดเพราะตามปอ มาตรา ๒๗๗,๒๗๙ การร่วมประเวณีหรือกระทำอนาจารแก่เด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปีบริบรูณ์เป็นความผิดตามกฎหมาย แม้เด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ดังนั้นแม้บิดามารดาผู้ปกครองผู้ดูแลจะยินยอมให้ร่วมประเวณีได้ แต่หากเด็กอายุไม่เกิน ๑๕ ปีแล้วก็ยังคงเป็นความผิดอยู่ดี
๘. แม้ผู้เยาว์จะเป็นฝ่ายก่อนโทรศัพท์หาจำเลยว่า จะหนีออกจากบ้านและนัดพบจำเลย แม้ ผู้เยาว์เป็นผู้ชำระห้องพักและค่าใช้จ่าย ทั้งยังให้เงินจำเลยเป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนีด้วยก็ตาม การที่จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ทุกคืน พฤติการณ์จำเลยไม่ใช่ไปเป็นเพื่อนแต่เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร นั้นก็คือ ใครนัดใครก่อนไม่สำคัญ สำคัญที่ไปโดยได้รับอนุญาตจากบาดมารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแลหรือไม่เท่านั้น หากไมได้รับอนุญาตการไปกับผู้เยาว์ย่อมเป็นการล่วงอำนาจบิดามารดาผู้ปกครองผู้ดูแลแล้วย่อมเป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ เมื่อพาไปแล้วมีการร่วมประเวณีกันจึงเป็นการพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร
๙.ผู้เยาว์ที่ยัง อาศัยและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา แม้ผู้เสียหายไปเที่ยวที่ไหนกลับเมื่อใดก็ได้ อำนาจปกครองบิดามารดายังคงมีอยู่ อำนาจปกครองผู้เยาว์หมดไปเมื่อ
๙.๑ ถูกถอนอำนาจปกครอง เพราะตกเป็นคนไร้ความสามารถ เสมือนไร้ความสามารถ ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ในทางมิชอบ ประพฤติชั่วร้าย ญาติผู้เยาว์หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้ถอนอำนาจปกครอง ตาม ปพพ มาตรา ๑๕๘๒ ,๑๕๙๘/๘
๙.๒ ผู้อยู่ในอำนาจปกครองตายหรือบรรลุนิติภาวะ ปพพ มาตรา ๑๕๗๘,๑๕๙๘/๖
๑๐.จำเลยพบผู้เสียหายที่งานบวชพระแล้วพาผู้เสียหายไปกระทำชำเราด้วยความสมัครใจผู้เสียหาย เป็นการล่วงอำนาจปกครองบิดามารดาเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ พรากผู้เยาว์กฎหมายบัญญัติเป็นความผิดไม่ว่าผู้เยาว์จะเต็มใจหรือไม่ ฟ้องพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจ ขอให้ลงโทษตาม ปอ มาตรา ๓๑๘ ทางพิจารณาได้ความทำผิดฐานพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ตามปอ มาตรา ๓๑๙ ไม่ใช่เรื่องทางพิจารณาต่างจากฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้องตาม ปวอ มาตรา ๑๙๒ วรรคสอง เมื่อจำเลยไม่หลงต่อสู้ ศาลลงโทษได้โดยปรับบทลงโทษตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้ 
๑๑. การที่ผู้เยาว์ไปหาจำเลยที่บ้าน ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายนัดหมายชักชวนกันก่อนแล้วจำเลยร่วมประเวณีกับผู้เยาว์โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือยินยอมจากบิดามารดาของผู้เยาว์ย่อมทำให้อำนาจปกครองดูแลบุตรผู้เยาว์ถูกพรากไปโดยปริยาย การที่ผู้เยาว์โทรศัพท์หาจำเลยว่า จะหนีออกจากบ้านไปพัทยาและนัดพบจำเลย เมื่อพบกันจำเลยไม่ยอมให้ผู้เยาว์ไปตามลำพังแต่จำเลยขอไปด้วย โดยเปิดห้องพักอยู่ด้วยกัน ๒ คืน ผู้เยาว์เป็นผู้ชำระห้องพักและค่าใช้จ่าย ทั้งผู้เยาว์ยังให้เงินจำเลยเป็นค่าใช้จ่ายในการหลบหนีด้วยก็ตาม แต่จำเลยได้ร่วมประเวณีกับผู้เยาว์ทุกคืน พฤติการณ์จำเลยไม่ใช่ไปเป็นเพื่อนแต่เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารทั้งสองกรณี 
๑๒.ผู้เยาว์ที่ยัง อาศัยและอยู่ในความอุปการะเลี้ยงดูของบิดามารดา อำนาจปกครองยังอยู่ที่บิดามารดา ผู้ปกครอง
๑๓.หากจำเลยมีภรรยาอยู่แล้ว ยังไม่ได้เลิกกับภรรยา ได้พาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีโดยไม่มีเจตนาเลี้ยงดูผู้เสียหายฉันท์ภรรยา เมื่อทราบว่าการกระทำของตนเป็นความผิดจึงให้มารดาไปขอขมาและนำเงินชดใช้ค่าเสียหายให้เพื่อไม่ให้ดำเนินคดีกับจำเลย แม้ฟังว่าผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลยได้ร่วมประเวณีกับจำเลยก็เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ เป็นความผิดเพราะมีภรรยาอยู่แล้ว พาผู้เสียหายไปร่วมประเวณีโดยไม่มีเจตนาเลี้ยงดูผู้เสียหายฉันท์ภรรยา
๑๔.ผู้เสียหายเต็มใจไปกับจำเลย หลังจากจำเลยพาผู้เสียหายไปแล้ว ญาติทั้งสองฝ่ายตกลงจัดพิธีแต่งงาน มีการมอบสินสอดทองมั่นให้ผู้ใหญ่ฝ่ายผู้เสียหายรับไปบางส่วน เมื่อจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาถึงบ้าน ญาติผู้ใหญ่ผู้เสียหายจัดพิธีบอกผีบ้านผีเรือนตามประเพณีก่อนให้ผู้เสียหายเข้าบ้าน การบอกกล่าวผีบ้านผีเรือนหรือผูกข้อมือเป็นการขอขมาและทำการแต่งงานในวัฒนธรรมของบางพื้นที่ในประเทศไทย ถือเป็นการแต่งงานแล้ว แสดงให้เห็นว่าจำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นมีเจตนาพาไปเป็นภรรยาตั้งแต่แรก ประกอบทั้งจำเลยไม่มีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปเป็นภรรยา แม้ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ก็ไม่เป็นการละเมิดต่ออำนาจปกครองของมารดา แม้จำเลยร่วมประเวณีกับผู้เสียหายระหว่างพักอยู่ด้วยกัน ก็ไม่ใช่การพาไปเพื่อการอนาจาร ไม่เป็นความผิดฐานพาผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
๑๕.การที่ผู้เยาว์ ไปอยู่กับญาติที่บ้านอยู่ใกล้กัน ไม่ว่าจะเป็นเพราะทะเลาะกับมารดาหรือมารดานำไปฝากก็ไม่ทำให้อำนาจปกครองของมารดาหมดไป อำนาจปกครองของมารดายังมีอยู่ตลอดเวลา การที่ญาติผู้เสียหายอนุญาตให้ผู้เสียหายไปเอาหม้อยากับจำเลย ไม่ได้ทำให้อำนาจปกครองผู้เยาว์หมดไป การอนุญาตเพื่อไปเอาสิ่งของแต่ไม่ใช่การอนุญาตเพื่อให้จำเลยพาผู้เสียหายไปกระทำอนาจาร เมื่อจำเลยได้กระทำชำเราผู้เสียหาย แม้ผู้เสียหายสมัครใจยินยอมก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมเห็นชอบจากมารดาผู้เสียหาย ทำให้กระทบกระเทือนต่ออำนาจปกครองของมารดาผู้เสียหาย เป็นการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร 
๑๖.แม้ผู้เยาว์ไม่ได้พักอาศัยกับมารดา เพราะมารดานำไปฝากไว้กับผู้อื่นก็ไม่ถือพ้นจากอำนาจปกครองของมารดา การพาผู้เสียหายไปโดยมารดาไม่รู้เห็นยินยอมเป็นการล่วงอำนาจปกครองมารดา แม้ผู้เสียหายสมัครใจยินยอมก็ถือไม่ได้ว่าได้รับความยินยอมจากมารดา เป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากมารดาแล้ว 
๑๗. การกระทำอนาจารตาม ปอ มาตรา ๒๘๒และ ๓๑๙ หมายถึงการกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของบุคคลอื่น ซึ่งต้องเป็นการกระทำต่อเนื้อตัวร่างกายของบุคคลโดยตรงจะทำในที่รโหฐานหรือในที่สาธารณะก็ไม่มีผลแตกต่างกัน การที่ชายอื่นร่วมประเวณีกับผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เยาว์ที่ถูกจำเลยพาไปในห้องของโรงแรม แม้เป็นที่มิดชิด แต่ก็เป็นการกระทำในทางที่ไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของผู้เสียหาย จึงเป็นการกระทำเพื่ออนาจาร นั้นก็คือ แม้กระทำอนาจารในที่รโหฐาน หรือกระทำต่อหน้าธารกำนัลมีคนอื่นเห็น ก็ถือเป็นการกระทำที่ไม่สมควรในทางเพศต่อร่างกายของบุคคลอื่นแล้ว
๑๘.คำว่า “ ผู้ปกครอง”ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ หมายถึงผู้ใช้อำนาจปกครองอย่างบิดามารดา ไม่ได้หมายเฉพาะตัวบิดามารดาเท่านั้น ดังนั้นเมื่อผู้เสียหายเป็นผู้ปกครองและดูแลผู้เยาว์ในฐานะน้าและนายจ้าง โดยได้รับมอบหมายจากบิดามารดาของผู้เยาว์จึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครอง การที่จำเลยพาผู้เยาว์ไปจากผู้เสียหายโดยปราศจากเหตุอันควรเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ สังเกตนะครับว่าอำนาจปกครองเกิดขึ้นเพราะได้รับมอบหมายจากบิดามารดาผู้เยาว์ให้ดูแลผู้เยาว์ จึงเกิดอำนาจปกครองผู้เยาว์ได้. 
๑๙.ผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไปทำงานพักอยู่ที่บ้าน น. ต่อมาผู้เสียหายเดินทางกลับบ้านที่ตราดเพื่อเที่ยวสงกรานต์ ระหว่างนั้นบิดามารดาผู้เสียหายอนุญาตให้ไปส่งพี่สาวที่สถานีขนส่ง แล้วจำเลยพาผู้เสียหายไปดังนี้ ถือว่าระหว่างผู้เสียหายทำงานพักอยู่ที่บ้าน น. ผู้เสียหายย่อมอยู่ในความปกครองของ น. ที่กรุงเทพ แม้ผู้เสียหายย่อมอยู่ในความคุ้มครองของ น. แต่เมื่อผู้เสียหายเดินทางมาบ้านที่ตราด ผู้เสียหายย่อมอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดาด้วย การที่บิดามารดาอนุญาตให้ไปส่งพี่สาวที่สถานีขนส่งไม่เป็นเหตุให้พ้นจากความปกครองของบิดามารดา เมื่อจำเลยพาไปจึงเป็นการพรากผู้เยาว์ไปจากบิดามารดา ตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ นั้นก็คือ แม้ไปทำงานอยู่กับนายจ้าง นายจ้างมีอำนาจปกครอง แต่อำนาจปกครองของนายจ้างก็ไม่ได้ลบหรือถอนอำนาจปกครองของบิดามารดาไปแต่อย่างใด อำนาจปกครองไปเมื่อเข้าตามข้อสังเกตที่ ๓ ,๔ ,๕
๒๐.ใน ปอ มาตรา ๓๑๙ ตระหนักว่าผู้เยาว์อายุไม่เกิน ๑๘ ปี ยังขาดความสำนึกต่อเลห์กลทุรชนอาจถูกชักจูงให้หลงเชื่อโดยง่าย สภาพที่บิดามารดาพยายามตามเรื่องที่บุตรหายไป แสดงว่าผู้เสียหายไม่ได้มีความประพฤติส่ำส่อนจนบิดามารดาหมดความห่วงใย การที่จำเลยพรากผู้เสียหายไปก่อความทุกข์ใจใหญ่หลวงแก่บิดามารดา พฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีเหตุรอการลงอาญา 
๒๑.เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยพรากพาผู้เสียหายที่เป็นหญิงอายุไม่เกิน ๑๘ ปี ไปเสียจากบิดามารดาด้วยเจตนาเพื่ออยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายโดยสุจริต คือพาไปแต่ไม่มีเจตนาพาไปอยู่กินฉันท์สามีภรรยา แม้ผู้เสียหายสมัครใจไปกับจำเลยก็เป็นการพรากพาไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ 
๒๒.พฤติการณ์จำเลยเขียนจดหมายนัดผู้เสียหายอายุ ๑๔ ปีไปอยู่ด้วยกัน บอกให้เอาเงินและของมีค่าไปด้วย จำเลยพาผู้เสียหายไปเบิกเงินจากธนาคารทั้งหมดเอามาเก็บไว้เสียเองและแบ่งให้มารดาจำเลยครึ่งหนึ่ง แล้วพาผู้เสียหายย้ายที่อยู่หลายแห่ง เมื่อมารดาผู้เสียหายตามไปพบที่ต่างจังหวัด จำเลยหนีการจับกุมไปได้ ไม่กล้าสู้ความจริงว่าพาไปเป็นภรรยา ไม่มาตกลงกัน พฤติการณ์บ่งชี้ว่าจำเลยใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายโดยยกความรักใคร่ฉันท์ชู้สาวมาอ้างกลบเกลื่อนความคิดกระทำอนาจาร และหลอกเอาทรัพย์สินมีค่าของผู้เสียหาย ประกอบทั้งจำเลยมีภรรยาแล้ว และขณะพาผู้เสียหายหลบหนี จำเลยก็ยังอยู่กินกับภรรยา จึงเป็นการพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ 
๒๓. พาผู้เสียหายอายุ ๑๗ ปีไปทานอาหารแล้วพาไปร่วมประเวณี โดยบิดามารดาผู้เสียหายไม่ทราบว่าผู้เสียหายไปไหน มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ การที่จำเลยกับผู้เสียหายอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาจนผู้เสียหายตั้งครรถ์ เป็นการลุแก่โทษ พยายามบรรเทาผลร้ายของการกระทำความผิด ศาลฏีการอการลงโทษจำคุกให้จำเลย 
๒๔. ความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร มุ่งถึงการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอันไม่สมควรในทางเพศ แม้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานกระทำอนาจารเพราะผู้เสียหายยินยอม แต่ก็เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร แต่หากผู้เสียหายไม่ยินยอมก็จะเป็นการพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์ไม่ยินยอม ทั้งยังเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารด้วย แม้บิดามารดาผู้เสียหายจะออกไปนอกบ้านขณะที่ผู้เสียหายออกจากบ้านและจำเลยได้พาไปที่ขหนำก็ตาม ยังถือว่าผู้เสียหายอยู่ในอำนาจปกครองของบิดามารดา การที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนอนค้างคืนที่ขนำในสวนโดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย แล้วจำเลยได้กอดปล้ำหอมแก้ม จับหน้าอกผู้เสียหาย ถือได้ว่ากระทำการอันไม่สมควรทางเพศต่อผู้เสียหาย มีความผิดฐานพรากผู้เสียหายไปจากบิดามารดาเพื่อการอนาจาร ตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ วรรคแรก 
๒๕.ฟ้องจำเลยพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปด้วย ตาม ปอ มาตรา ๓๑๘ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เสียหายเต็มใจไปด้วยกับจำเลยเป็นกรณีตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ ซึ่งมีโทษเบากว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฏหมายอาญาบัญญัติไว้เป็นความผิดทั้งนั้น เป็นเรื่องทางพิจารณาต่างจากฟ้อง ฟ้องว่าพรากโดยไม่เต็มใจ ทางพิจารณาได้ความว่าเต็มใจไปด้วย ไม่ว่าการพรากจะไปด้วยความเต็มใจหรือไม่ก็เป็นการกระทำความผิดอยู่ดี เมื่อฟ้องบทหนักมาทางพิจารณาได้ความเป็นความผิดที่มีอัตราลงโทษเบากว่าศาลย่อมลงโทษจำเลยตามบทเบาได้ ไม่ถือพิจารณาต่างจากฟ้องอันจะเป็นเหตุให้ศาลยกฟ้อง
๒๖.การที่จำเลยพาผู้เสียหายอายุ ๑๖ ปีไปด้วยความยินยอมผู้เสียหาย แล้วรับจะหาสินสอดไปให้บิดาผู้เสียหาย เมื่อหาเงินไม่ได้ก็ให้ผู้เสียหายกลับบ้าน หลังจากนั้นคืนเดียวจำเลยก็ได้หญิงอื่นเป็นภรรยา แสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจจะเอาผู้เสียหายไปเลี้ยงดูเป็นภรรยาอย่างจริงจังแต่ประการใด หากมีเจตนาเลี้ยงดูผู้เสียหายเป็นภรรยาอย่างจริงจังคงไม่มีหญิงอื่นเป็นภรรยาในชั่วข้ามคืน ถือได้ว่าจำเลยพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ 
๒๗ฟ้องว่าพรากผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ไม่เต็มใจไปตามมาตรา ๓๑๘ ข้อเท็จจริงได้ความว่าผู้เยาว์เต็มใจไปอันเป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ ซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลลงโทษจำเลยตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ได้ เพราะการพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารโดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วยหรือไม่ก็ตามประมวลกฏหมายอาญาก็บัญญัติว่าเป็นความผิดอยู่แล้ว 
๒๘.การที่ผู้เยาว์อยู่ออกจากห้องไปพูดจาปรับความเข้าใจกับจำเลยห่างจากห้องพักที่เกิดเหตุ ๑๐ เมตร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปพูดคุยกับจำเลย ไม่ใช่เป็นเรื่องจำเลยพรากหรือพาผู้เสียหายไปจากอำนาจปกครอง ยังไม่เป็นการล่วงอำนาจปกครองของบิดามารดาผู้ปกครองผู้ดูแลผู้เสียหาย ลำพังการไปพูดคุยปรับความเข้าใจกันโดยไม่มีการล่วงละเมิดทางเพศ ยังไม่เป็นการพาหญิงไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้าย ไม่เป็นความผิดพาหญิงไปเพื่อการอนาจารและพรากผู้เยาว์เพื่อการอนาจาร 
๒๗.รักใคร่ชอบพอกันแล้วหนีตามกันไปพักค้างคืนที่อื่น ๒๐ กว่าคืน แล้วกลับมาขอขมาพ่อแม่ผู้เยาว์และพักที่บ้านพ่อแม่ผู้เยาว์อีก ๑๐ วัน พฤติการณ์ดังกล่าวถือพาผู้เยาว์ไปเพื่อเป็นภรรยา ไม่ใช่พาไปเพื่อการอนาจาร ไม่เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ 
๒๘. จำเลยพาผู้เสียหายที่เป็นหญิงอายุ ๑๗ ปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อเป็นภรรยาจำเลย โดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีภรรยาอยู่แล้ว ไม่เป็นความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ 
๒๙.ชายอายุ ๒๑ ปี พาหญิงอายุ ๑๗ ปี ๙ เดือนไปจากมารดาผู้ปกครองเพื่ออยู่กินเป็นสามี โดยชายหญิงไม่มีสามีภรรยาหรือคนรักอื่น ไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อการอนาจารตาม ปอ มาตรา ๓๑๙ 
๓๐.จำเลยไม่เคยมีภรรยา รักใคร่ชอบพอผู้เสียหาย ผู้เสียหายหนีบิดามารดามาอยู่กับจำเลยโดยสมัครใจเป็นเวลา ๖ เดือน แล้วไปอยู่กับบิดาเพราะจำเลยขับไล่ไม่ใช่ถูกทอดทิ้ง หลังจากนั้นบิดาผู้เสียหายไปแจ้งความข้อหาพรากผู้เยาว์เพื่ออนาจาร จำเลยส่งญาติผู้ใหญ่ไปขอขมา บิดาผู้เสียหายยอมรับขมาและยอมรับจำเลยเป็นบุตรเขย จำเลยอยู่บ้านผู้เสียหาย ๑ เดือนแล้วออกจากบ้านผู้เสียหายไปทำนาที่นครปฐมและไม่กลับมาหาผู้เสียหายอีกเลย ผู้เสียหายก็ไม่ต้องการไปอยู่กินกับจำเลย พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นการพรากผู้เสียหายไปเพื่อเป็นภรรยาไม่ใช่เพื่อการอนาจาร 
๓๑.จำเลยกับผู้เสียหายเป็นคู่รักกัน เคยไปเที่ยวด้วยกันหลายหน มีจดหมายรักถึงกัน คืนเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายไปนอนพักที่บ้านคนอื่น บอกว่าพาเมียมาขอนอนพักด้วย ระหว่างทานข้าวผู้เสียหายกับจำเลยก็หยอกล้อกัน เป็นการพาไปเพื่อเป็นภรรยา ไม่ใช่เพื่อการอนาจาร โดยผู้เสียหายเต็มใจไปด้วย ไม่ปรากฏว่าจำเลยมีภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ไม่มีความผิดตาม ปอ มาตรา ๓๑๙

ไม่มีความคิดเห็น: