ค้นหาบล็อกนี้

วันพฤหัสบดีที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2564

"เส้นผม" เจ้าปัญหา คดีลุงพล หมัดน็อกปิดคดีจริงหรือ?

 แต่หากคดีนี้ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ว่าลุงพลกระทำความผิดฆ่าน้องชมพู่จริงๆ ผลจะเป็นอย่างไร

เทียบฎีกา
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4437/2531
ผู้ตายขี่รถจักรยานสองล้อไปเก็บผักบุ้งบริเวณท้องนาต่อมาพบผู้ตายถูกข่มขืนกระทำชำเราใกล้กับสถานีทดลองข้าวซึ่งจำเลยทำงานอยู่ พบเส้นผมประมาณ 20-30 เส้น กับขนที่อวัยวะเพศ 1 เส้นตกอยู่ที่กองเลือดในที่เกิดเหตุ พนักงานสอบสวนได้นำตัวอย่างเส้นผมและขนจากอวัยวะเพศของจำเลยและของคนงานสถานีทดลองข้าวดังกล่าวรวม 8 คน ไปตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบกับเส้นผมและขนจากอวัยวะเพศของกลาง ผลการตรวจลักษณะภายนอกและการตรวจน้ำเหลืองทางวิทยาเชื่อว่า เส้นผมบางเส้นและขนจากอวัยวะเพศของกลางเป็นของจำเลยโดยมีแพทย์ผู้ตรวจพิสูจน์มาเบิกความรับรองว่า วิธีการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวสามารถยืนยันได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ และยังพบร่องรอยบาดแผลขีดข่วนที่ร่างกายของจำเลยอีกหลายแห่งอันเกิดจากการดิ้นรนต่อสู้ของผู้ตาย ดังนี้ พยานหลักฐานโจทก์ฟังลงโทษจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเราและฆ่าผู้อื่นเพื่อปกปิดความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคแรก,289(7) ได้
2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1325/2542
หลังจากเจ้าพนักงานตำรวจจับ ส. และ น. ได้ บุคคลทั้งสองพาไปหาหมวกกันน็อกที่ทิ้งไว้ในป่าหญ้าข้างทาง ปรากฏว่าหมวกใบหนึ่งมีเส้นผมติดอยู่ จากการตรวจพิสูจน์ของผู้เชี่ยวชาญ ปรากฏว่าเป็นเส้นผมของ น. การตรวจพิสูจน์นี้เป็นการทำตามหลักวิชาและมีความแน่นอนสามารถเชื่อถือได้ ประกอบกับ อาวุธปืนที่ น. ใช้ยิงผู้ตายได้มีการดัดแปลงแก้ไขให้ผิดไปจากเดิมอันเป็นพิรุธ พยานหลักฐานของโจทก์ มีน้ำหนักมั่นคงโดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ผู้อื่น ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนฯ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 84 วรรคสอง ประกอบมาตรา 289(4)
3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1794/2542
โจทก์มีพยานแวดล้อมกรณีมาสืบอย่างมั่นคงปราศจากสงสัยว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยอยู่ในที่เกิดเหตุ หลังเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจตรวจพบเสื้อผ้าของจำเลยที่จำเลยสวมใส่ ขณะเกิดเหตุมีคราบโลหิตมนุษย์ติดอยู่ และผลการตรวจพิสูจน์ พบรอยนิ้วมือของจำเลยที่ขาเก้าอี้ที่ใช้เป็นอาวุธตีทำร้ายผู้ตาย กับพบเส้นผมของจำเลยติดอยู่ที่คราบโลหิตตรงขาของ ผู้ตายทั้งสองข้าง นอกจากนี้ยังตรวจพบรอยขีดข่วนและ รอยถลอกใหม่ที่บริเวณแขนและนิ้วมือทั้งสองข้างของจำเลย จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายเพื่อปกปิด ความผิดอื่นของตน ซึ่งลำพังแต่พยานโจทก์ที่นำสืบมาก็เพียงพอ ที่จะลงโทษจำเลยได้แล้ว ฉะนั้นการที่จำเลยรับสารภาพก็เพราะ เกิดจากจำนนต่อพยานหลักฐาน จึงไม่เป็นประโยชน์แก่ การพิจารณาแต่อย่างใด ไม่มีเหตุบรรเทาโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบกับพฤติการณ์ แห่งคดีมีลักษณะร้ายแรง จึงไม่สมควรลดโทษให้จำเลย
4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4589/2539
แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่ได้รู้เห็นขณะที่จำเลยเข้าไปในห้องนอนของนางน. ผู้ตายเพื่อฆ่าข่มขืนผู้ตายและพยายามฆ่าเด็กชายจ. แต่โจทก์มีพยานแวดล้อมคือพนักงานสอบสวนตรวจพบเส้นขนอวัยวะเพศของจำเลยตกอยู่ในห้องที่เกิดเหตุและที่ร่างกายของจำเลยพบร่องรอยของการต่อสู้เป็นบาดแผลรอยถูกเล็บมือข่วน2แห่งที่ปลายแขนซ้ายด้านนอกและด้านหน้าอีกทั้งตรวจค้นพบของกลางเป็นนาฬิกาข้อมือของจำเลยที่สายหนังมีรอยคราบโลหิตติดอยู่ดังนี้พยานแวดล้อมของโจทก์จึงสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอดเพียงพอฟังลงโทษจำเลยได้
******ในกรณีที่ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์*******
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2539 โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์ว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดมาเบิกความต่อศาล จึงไม่มีน้ำหนักพอฟังลงโทษจำเลยทั้งสาม

ไม่มีความคิดเห็น: